วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

สำนักเรียนบาลีร้าง ...บ่งบอกความอ่อนแอของสงฆ์ยุคออนไลน์?



วันที่ 24 พ.ค.2563   เฟซบุ๊ก Naga King ได้โพสต์ข้อความว่า สำนักเรียนบาลีร้าง ...บ่งบอกความอ่อนแอของสงฆ์ยุคออนไลน์?

ผมว่าเรื่องสำนักเรียนบาลีร้าง ไม่มีคนสอนไม่มีนักเรียน หลายท่านออกมาพูดว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่คณะสงฆ์ยุคออนไลน์นี้ปล่อยปละละเลยการจัดการศึกษาภาษาบาลีได้อย่างไร ที่ปล่อยให้สำนักเรียนที่เคยโด่งดังมาหลายสำนัก "ร้าง"ไปโดยที่ไม่มีใครคิดที่จะมาเหลียวแลเลย และดูเหมือนว่าการที่สำนักเรียนบาลีร้างก็ไม่ได้ถือกันว่าเป็น "ปัญหาของคณะสงฆ์แต่อย่างใด" ส่วนมากผู้บริหารคณะสงฆ์ทุกระดับก็จะใช้วากรรมของ "ลุงตู่ในเรื่องราคาน้ำมัน คือมันเป็นไปตามกลไกลตลาดโลก " โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าจะหาทางลราคาน้ำมันลงไปได้อย่างไร คิดไหลไปตามกระแสโลกว่ามันเป็นไปตามกลไกตลาดทั้งๆที่ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันที่กลั่นแล้วที่มาเลเซียกลับราคาถูกกว่าเราแบบเห็นได้ชัด ซึ่งเขาก็อยู่ในกลไกตลาดโลกเช่นเดียวกันทำไมบ้านเขาราคามันถึงถูก แต่บ้านเราทำไมมันถึงแพงหรือว่ากลไกตลาดโลกมันมามีอิทธิพลเฉพาะบ้านเราเท่านั้น

ในเรื่องของสำนักเรียนบาลีร้าง นี่ก็เหมือนกันเจ้าสำนักเรียนรุ่นใหม่ อ้างเพียงอย่างเดียวว่า "ไม่มีนักเรียนคือไม่มีเณรหรือพระมาสนใจเรียนบาลี สำนักเรียนเลยต้องปิดตัวเองไป คณะสงฆ์ผู้ปกครองสังฆมณฑลในยุคออนไลน์นี้ก็เหมือนกัน คิดไม่ต่างไปจากเจ้าสำนักเรียนดอก คิดว่าโลกยุคนี้ไม่ต้องไปหาใครมาเรียน ยุ่งยากเปล่าๆมีก็สอนไม่มีก็ไม่ต้องสอน โลกมันเป็นแบบนี้เราก็ต้องไหลตามโลก คณะผูปกครองสงฆ์บ้านเรายุคออนไลน์นี้ก็จะคิดแบบนี้แหละ สำนักเรียนบาลีบ้านเรามันจึง "ร้างไปตามๆกัน"เพราะผู้บริหารคณะสงฆ์ยุคนี้ "ยอมแพ้ต่อกระแสโลก...ไม่ยอมทำในสิ่งที่ทวนกระแสโลก" คิดได้เพียงอย่างเดียวว่า "โลกเขาเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไหลเอื่อยๆไปตามโลก โลกอยากเห็นตู้ปันสุข วัดก็ทำสั่งให้วัดทำ โลกเขาจัดงานวันเกิดสุดสวยหรู ก็จัดงานวันเกิดแบบเขาเอาแบบสวยหรูมีโต๊ะจีนกินหรูอยู่สบาย โลกเขาออกไปช่วยชาวบ้าน ก็สั่งให้พระออกไปช่วยชาวบ้านตามที่โลกเขาเป็น โลกเขารู้จักการสร้างภาพก็สั่งให้สร้างภาพแบบที่โลกเขาเป็นนั่นแหละ ทำแบบนี้จน"จุดยืนของพระศาสนาไม่มี" คือไม่มีนโยบายอะไรๆที่จะสามารถที่มาเป็นแกนกลางในการพัฒนาพระศาสนาได้เลย ผมว่าเอาสั้นๆ ๑๐ ปีมานี้คณะสงฆ์ละเลยหลายเรื่องที่ควรทำ และไม่มีการกำหนด "เข็มมุ่ง หรือเป้าหมายหลักหรือทิศทางของสงฆ์เลย"ว่าเราจะพัฒนาคณะสงฆ์หรือนำพระสงฆ์ไปในทิศทางไหน "ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างสร้างอาณาจักรให้กับตนเอง แล้วมาวัดกันที่ "สมณศักดิ์ว่าใครจะได้ไปได้อย่างไหลลื่น"และดูเหมือนว่า สมณศักดิ์จะเป็น "แกนกลางของคณะสงฆ์ไปแล้วสำหรับพระเณรเราในทุกวันนี้"

สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่ามันคือ "ความอ่อนแอของคณะสงฆ์" ก็คือ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา (ราวๆ๖ ปีเห็นจะได้)พวกเราเห็นพระรูปหนึ่งออกมานำม๊อบประท้วงร่วมกับ กปปส.การแสดงออกของพระรูปนั้น "ท้าทายต่อการปกครองคณะสงฆ์มากที่สุดเท่าที่คนไทยพุทธเราจะได้เห็นมา" ผมหวังว่าช่วงเวลานั้นคณะสงฆ์จะออกมาตัดสิน "อธิกรณ์ที่พระรูปนี้ก่อไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่พวกเราก็หมดหวังเพราะคณะสงฆ์ฝ่ายนำในบ้านเรา "เงียบได้จิตได้ใจเลยทีเดียว ผมไม่เห็นว่าจะมีพระรูปไหนยศใหญ่ยศสูงจะออกมาปริปากเรื่องอธิกรณ์ของพระภิกษุรูปนั้นเลยแม้แต่น้อย ปิดปากเงียบกริบทั้งๆที่ท่านนเหล่านั้นมีวุฒิภาวะค่อนข้างสูง รู้ธรรม รู้วินัยเต็มที่ตามกรอบหรือองค์ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา ทุกรูป "เงียบกริบ และไม่มีใครพูดถึงอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเลยแม้แต่รูปเดียว" แต่พอมีเรื่องเงินทอนเท่านั้นแหละ พวกเรากระหน่ำกันเองแทบไม่มีชิ้นดี เหมือนไก่ในเข่งจิกกันไปมาแบบคนที่ไม่มีความคิดจนพระหลายรูปถูกจับขังคุกแบบว่าไร้การอุทธรณ์ใดๆ ผมในความเห็นส่วนตัวผมเห็นว่า "คณะสงฆ์เราเริ่มอ่อนแอลงไปมากทีเดียว เฉื่อยและไหลตามโลกไม่มีแนวคิดในการนำ หรือการออกจากโลกแม้แต่รูปเดียว

เรื่องสำนักเรียนบาลีร้าง อาจารย์ทองย้อย แสงสินชัยก็บ่นเชิงน้อยอกน้อยใจกับภาวะที่คณะสงฆ์เราปล่อยปละละเลยให้ "สิ่งที่ควรหนุนนำอุปถัมภ์ให้ดี ส่งเสริมให้เป็นการเชิดหน้าชูตา"ล้มลงต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่มีนโยบายใดๆออกมาส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านการศึกษาภาษาบาลีเลย โน่น คิดได้อย่างเดียวจะหาทางรับรอง ป.ธ.๙ ให้มีศักดิ์เท่าปริญญาเอก ทั้งๆที่มันเป็นได้แค่ปริญญาตรี และคนจบป.ธ.๙ก็เป็นส่วนน้อยของพระทั้งหมด คำถามนะผมว่าคำถามที่คณะสงฆ์บ้านเราควรตั้งเป็นประเด็นก็คือ

(๑) ทำไมการศึกษาบาลีในต่างจังหวัดมันจึงลดคุณค่าลงไปมาก เมื่อมีคำถามแบบนี้แล้วหาคำตอบเมื่อได้คำตอบแล้วก็ต้อง "หาทางแก้ไขกันต่อไปครับว่า"อุปสรรคปัญหามันเป็นแบบนี้ๆเราจะแก้ไขแบบนี้ คือผู้ปกครองคณะสงฆ์ต้องออกนโยบายเกี่ยวกับการกระตุ้นให้การเรียนบาลีมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น คือ (๑) ทำอย่างไรเด็กจะได้เข้ามาบวชมากขึ้น (๒) เมื่อเขามาบวชแล้วจะหาทางจัดการเพื่อให้เขาได้เข้าถึงการเรียนบาลีอย่างไร (๓) เราจะดำเนินการเพื่อให้มีครูสอนภาษาบาลีที่เข้าใจง่ายและเป็นมิตรกับผู้เรียนอย่างไร เป็นต้น

(๒) เราจะทำอย่างไรที่จะลดปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการเข้ามาบวชของเด็กนักเรียนหลังจากที่จบ ป.๖ มาแล้วจะได้ไม่ผิด พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ทำอย่างไรคนไทยจะเห็นคุณค่าของการบวชเรียนเพิ่มมากขึ้น ผมว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่พระผู้ใหญ่ที่จบ ป.๙กันน่าจะคิดกันได้ ไม่ใช่มามัวติดสุข ติดสบาย กูรอดแล้วคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันแบบที่กำลังเป็นอยู่นี้

(๓) เราจะให้ เจ้าคณะจังหวัดทั้ง ๗๗ จังหวัดมีแนวคิดในเรื่องการสนับสนุนการศึกษาด้านภาษาบาลีอย่างไร ผมว่าท่านทั้งหลายที่เป็นฝ่ายปกครองต้องเอาหัวมาคิดเรื่องแบบนี้บ้าง ไม่ใช่ไปคิดแต่เรื่องลาภสักการะ ชื่อเสียงเกียรติยศเหมือนที่ผ่านมา คือฝ่ายนำต้องหาทางบรรจุแนวคิดเรื่องการเรียนบาลีไปไว้ในหัวของ จจ.แต่ละพื้นที่วางนโยบายให้แล้วให้ท่านเหล่านั้นไปคิดต่อ เอาง่ายๆท่านกระตุ้นเรื่องการสร้างเสนาสนะอย่างไร ท่านก็กระตุ้นเรื่องการเรียนภาษาบาลีอย่างนั้นแหละ คือ (๑) จังหวัดไหนส่งเสริมเรียนบาลีทั้ง พระและคฤหัสถ์ได้ จังหวัดนั้นเลื่อนสมณศักดิ์ จังหวัดไหนไม่สนใจก็แป๊กไว้นั่นแหละ (๒) ให้แต่ละจังหวัดแข่งขันกันเรื่องแคมเปญเรียนบาลีทั้งพระและคฤหัสถ์ ฝ่ายนำต้องให้งบประมาณและครูสอนที่เพียงพอด้วย งบถามว่าเอามาจากไหน ก็เอามาจาก สนง.พศ.นั่นไง ก็งบเงินทอนยังเอาออกมาได้หลายสิบล้าน งบเพื่อการศึกษาทำไมจะเอาออกมาไม่ได้ คือเอาเงินออกมาแล้วมากระตุ้นเรื่องการเรียนบาลี ไม่ใช่เอาไปทำก่อสร้างหรือไปส่งเสริมพระปริยัติสามัญอย่างเดียว

(๔) ทุกฝ่ายต้องไม่มัวไปคิดว่า "ความย่อยยับของสำนักเรียนบาลีมันคือกระแสโลก"คิดแบบนั้นมันจบตั้งแต่ยังไม่คิด คือพวกที่คิดแบบนี้คือพวกไม่มีความคิด แต่ที่ควรทำคือคิดว่าทำอย่างไรการเรียนบาลีจะพลิกฟื้นกลับมามีสีสันเหมือนเดิมได้ และกลุ่มที่คิดแบบที่ผมว่านี่คือ "กลุ่มนำ คือฝ่ายปกครอง ต้องเป็นคนคิดก่อนอย่าไปมัวให้เจ้าสำนักเรียนคิดเพราะเจ้าสำนักเรียนยุคใหม่เขาแบกภาระไม่ไหว เพราะฝ่ายนำไม่หยอดงบหยอดคนไปให้ปล่อยให้พวกเขาทำเอง เชื่อเถอะเข็ญรถสิบล้อยังง่ายกว่าเข็ญเรื่องของสำนักเรียนบาลีเสียอีก ฝ่ายนำต้องคิดใหม่ทำใหม่ ต้อง "สังคายนาที่เป็นรูปธรรมไม่ใช่สังคายนาแบบจินตนาการเหมือนที่ผ่านมา"ล้มเลิกความคิดที่จะไหลตามกระแสโลก แล้วมาทวนกระแสโลกกัน ถ้าหากไม่เรียนบาลีเชื่อเถอะ เจ้าสำนักป่วนๆเมืองทั้งหลายจะเกิดขึ้นมาแบบดอกเห็ดอย่างแน่นอนที่สำคัญก็คือจะมีพวก "สัคเค ตกท่อน้ำครำ"เกิดขึ้นเป็นทิวแถวแน่ๆ

@ สำนักเรียนบาลีร้าง...บ่งบอกความอ่อนแอขององค์กรสงฆ์อย่างไร ?

ผมว่าหากคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองปัญหาเรื่องการเรียนภาษาบาลีของพระภิกษุสงฆ์ไม่แตกขบปัญหาไม่ได้ ปัญหามันจะเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน การเรียนบาลีมันมีเสน่ห์ แต่ที่คนบอกว่ามันยากเพราะเขายังเข้าไม่ถึงความเป็นจริงของบาลี ถ้าคณะสงฆ์ยังรักษา "สถาบันการศึกษาด้านภาษาบาลี"เอาไว้ไม่ได้ ผมว่า มันคือจุดอ่อนแอสุดๆของคณะสงฆ์เลยทีเดียว เพราะอย่างที่เรารู้กัน คือ ภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ไว้ได่ก็คือภาษาบาลี ภาษาอื่นไม่ได้ หากสงฆ์เรายังไม่ให้ความสำคัญปล่อยให้ (๑) จำนวนภิกษึสามเณรลดลง (๒) ผู้ที่เข้ามาเรียนทั้งพระทั้งโยมลดลง โดยเฉพาะพระสงฆ์สามเณรลดลง เชื่อเถอะว่า "ภาพความเข้มแข็งของพระศาสนาในเมืองไทยเราจะไม่มีอย่างแน่นอน คือ

(๑) จะไม่มีผู้รู้ภาษาบาลี คือรู้ภาษาพระไตรปิฎก ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของวัฒนธรรมแบบพุทธอินนเดียโบราณได้ เมื่อเข้าไม่ถึงก็เรียนพุทธแบบไทยๆแบบบ้านๆก็ตะเข้าใจพุทธแบบไทยๆแบบบ้านๆ เมื่อนั้นเราก็จะตีความพระธรรมวินัยแบบบ้านๆ เช่น ตีความว่าเครื่อดื่มพญานาค เป็นโอสถพระดื่มได้ ที่สุดดื่มไปก็เมาไปอาละวาดแถวตลาดได้ แบบนี้ผมว่ามันเกิดมาจาก "การตีความพระธรรมวินัยตามใจตัวเอง" แต่หากเรารู้ภาษาบาลีย่อมทำให้เราเข้าถึงความหมายระหว่างโอสถกับเมรัยได้ว่าอะไรคือโอสถ อะไรคือเมรัยก็จะเลี่ยงได้ เป็นต้น

(๒) คณะสงฆ์ไทยให้พระสงฆ์เรียนบาลีชั้นอรรถกถา ทำให้ความสนใจที่จะใช้ภาษาบาลีเพื่อการแปลหรืออ่านพระไตรปิฎกลดลง การเรียนบาลีสงฆ์ไทยต้องตั้งความหวังให้สูงว่าเรียนป.ธ.๙ไม่ใช่ที่สุดของการเรียน แต่ต้องหวังให้ท่านเหล่านั้นไปเรียนพระไตรปิฎกด้วย โดยเพิ่ม ยศ ฐานะเพิ่มขึ้นหรือมากกว่า ป.ธ.๙ ไม่ใช่ทุกอย่างไปจบที่ป.ธ.๙แล้วไม่มีการเรียนต่อพระธรรมวินัยเพิ่มเติมที่สุดก็จะทำให้ป.ธ.๙ก็ไม่ได้รู้อะไรมากกว่าที่ป.ธ.อื่นรู้เลย ดังนั้น สงฆ์ควรเน้นให้สงฆ์เรียนบาลีเพื่อให้พัฒนาไปสู่การเรียนพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับพระศาสนามากกว่าที่เป็นอยู่

(๓) การที่สำนักเรียนบาลีล่มไม่เป็นท่า มันแสดงถึง ความอ่อนด้อยยของคณะสงฆ์ในปัจจุบันที่ไม่สนใจ "แก่น"หรือสาระของพระศาสนา ปล่อยให้เวลาได้เข้ามาทำลายแกนของสงฆ์ในเรื่องของการศึกษาลงไป เป็นการอ่อนด้อยที่สงฆ์ไม่อาจจะรักษาพระศาสนาเอาไว้ได้เลย เมื่อรักษษแกนกลางของพระศาสนาเอาไว้ไม่ได้ ก็เท่ากับรักษาพระศาสนาเอาไว้ไม่ได้นั่นเอง

ฝากนะครับ ไม่ได้บ่นเพราะน้อยใจ แต่สะท้อนให้เห็นว่า "ตอนนี้ท่านทั้งหลายกำลังทำอะไรอยู่ การจะชนะศัตรูที่เข้ามาทำลายพระศาสนาเราไม่สามารถถือปืนไปสู้กับเขาได้ดอกครับ ติดอาวุธคือปัญญาให้กับคนของเราจะได้กว่าในอนาคตพรสงฆ์ที่เชี่ยวชาญด้านภาษาบาลีเหล่านี้แหละจะช่วยรักษาพระศาสนาเอาไว้ได้

ขอบคุณครับ

Naga King

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รวม 4 สุดยอดเหรียญเจ้าสัวมนต์นาคราช หลวงปู่คีบ ธีรปัญโญ วัดป่าสุทธาวาส จ.นครพนม อายุ109 ปี

เหรียญเจ้าสัวมนต์นาคราช  หลวงปู่คีบ ธีรปัญโญ วัดป่าสุทธาวาส อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม อายุ 109 ปี รวมความเป็นสุดยอดดังนี้ สุดยอดพุทธศิลป์ สุดยอดม...