ฝ่ายค้านเปิดเวที ซัด "ประยุทธ์" กลางสภา "พิธา" อัดตัวการของความล้มเหลว มีอำนาจ-งบมากสุด แต่บริหารประเทศห่วยสุด พาเศรษฐกิจไทยเกือบครองแชมป์บ้วยสุดในเอเชีย คนไทยเผชิญอนาคตมึดมน สิ้นหวัง รบ. ใจร้ายปล่อยนิ่งเฉย สาละวนแต่ชิงดำนาจ ป้อนกล้วยให้งู แนะเลิกดูถูก- ทวงบุญคุณ คืนอนาคตให้ประเทศ ก่อนย่อยยับเกินกว่าจะชดใช้ไหว "อนุดิษฐ์" ชู 3 นิ้วให้ยุติ รธน.เผด็จการไล่ "บิ๊กตู่" ลาออกคลี่คลายวิกฤติชาติ ขณะที่ "วันนอร์" อภิปรายทิ้งทวนเก้าอี้ส.ส. ชี้ประเทศวิกฤตไม่ได้เกิดจากโควิด แต่เกิดจาก"ประยุทธ์"
เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ได้มีการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 โดยสมาชิกได้อภิปรายประเด็นหลักๆ เกี่ยวกับปัญหาต่างๆของประเทศที่เกิดขึ้นจากการบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลภายใต้การนำพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ที่ดิ่งลงเหว ปัญหาการเมืองที่ไร้เสภีรภาพ ปัญหาการคุกคามสิทธิสรีภาพประชาชน จนนำมาซึ่งการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มต่างๆในขณะนี้
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้เสนอญัตติเป็นผู้เริ่มอภิปรายคนแรกว่า ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถูกตั้งฉายาเป็นนายกฯก่อหนี้มากสุดในประวัติศาสตร์ แต่ขณะนี้กำลังเกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็นนายกฯที่ถูกประชาชนขับไล่มากที่สุด มีเด็กรุ่นใหม่ออกมาขับไล่ แต่กลับถูกคุกคาม
น.อ.อนุดิษฐ์ได้ชู 3นิ้วก่อนอภิปรายต่อว่า ขอให้ทุกอย่างจบในสภาที่รุ่นเรา และขอเรียกร้อง 4ข้อคือ 1.ให้ยุติความรุนแรง 2.ยุติการคุกคาม 3.ยุติการออกหมายเรียก 4.ยุติรัฐธรรมนูญเผด็จการ มีการเปิดเวทีให้เยาวชนเสนอข้อเรียกร้องผ่านนายกฯ ปัญหาหนักของประเทศขณะนี้นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ยังมีเรื่องเศรษฐกิจที่นับแต่พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจมาตั้งแต่ปี2557 จนถึงเป็นนายกฯขณะนี้ จัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการณ์ 1ล้านล้านบาท ลากจูงแผ่นดินที่เคยมั่งคั่งให้จบหนี้สินกองมหึมา สภาวะขณะนี้เรียกว่าความล้มละลายของประเทศหรือไม่
ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัฐ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปราย เรามาประชุมวันนี้ช่วงที่มึดมนที่สุดของไทย แม้จะผ่านวิกฤตร่วมกันมาครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนหนักหนาและอนาคตมึดมนเท่าครั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตรอบด้าน ปัจจัยที่ถ่วงรั้งไม่ให้ประเทศขชับเคลื่อนไปข้างหน้าได้คือวิฤตภาวะผู้นำของรัฐนาวาที่ไม่รู้ร้อนหนาวกับสภาวะที่ก่อตัวขึ้นในโลกและประชาชนในประเทศนี้ ตอนนี้เรามีการปะทะกันระหว่างคนที่มีหวังกับสิ้นหวัง โดยเฉพาะสิ้นหวังเศรษฐกิจ หากเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับวิกฤตต้มยำกุ้งปี40 ทั้งตัวเลขคนตกงานและการหดตัวของจีดีพี แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือระบบการเมืองหรือโครงการสร้างที่อำนวยให้เกิดการแก้ปัญหา โดยปี40 เรามีรธน.ที่ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เอื้ออำนวยให้ยึดโยงกับประชาชน แก้ไขวิกฤตให้บ้านเมือง แต่ตอนนี้เรามีระบบการเมืองที่แข็งตัว นิ่งเฉย และไม่ตอบสนอง ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่ลื่นไหวรวดเร็ว จึงรุงแรงยิ่งกว่าปี 40 ทั้งปัญหาโควิต วิกฤตการเมือง หรือการศึกษา เพราะปี 63เรามีรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ รัฐธรรมนูญที่บิดเบี้ยว ระบบการเมืองที่รมต.เศรษฐกิจหายากเย็น พอหาได้ก็ต้องลาออกภายใน 27 วัน ไม่สามารถเริ่มทำงานได้ แม้ประชาชนจำนวนมากจะอยู่ในวิกฤตรุนแรงมากสุดในประวัติศาสตร์ ท่าทีจะเป็นมหาวิกฤตที่ไม่มีใครตอบได้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่
นายพิธากล่าวว่า ปัญหาต่างๆทำให้คนหนุ่มสาวต้องออกมาทวงอนาคตของเขาคืน ไม่ใช่ความคิดที่แตกต่างกันระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่เป็นการปะทะกันระหว่างคนที่ต้องการจะมีความหวังกับคนที่หมดหวัง ที่ชัดเจนที่สุดคือความสิ้นหวังทางเศรษฐกิจที่สะท้อนจากตัวเลขหลายตัว และเศรษฐกิจไทยบ้วยที่สุดในอาเซี่ยน และเกือบบ้วยที่สุดของเอเซีย จากการสำรวจไอเอ็มเอฟทั้ง 45 ประเทศ เศรษฐกิจไทยสิ้นปีนี้คาดว่าจะมาเป็นที่โหล่เกือบที่สุดของเอเซีย และความล้มเหลวทางเศรษฐกิจเริ่มส่งผลกระทบต่อคนชั้นกลาง และเจ้าของกิจการ แม้แต่ผลประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ก็ทำท่าจะแย่สุดในอาเซียน จะติดลบถึง 25% มากที่สุดภูมิภาคจากข้อมูลของMSCI ขณะที่ค่าเงินบาทกลับแข็งตัวที่สุดของเอเซียทำให้กระทบต่อส่งออกในวิกฤตโควิด ที่เราต้องพึ่งพาการส่งออก การท่องเที่ยวและจีดีพี ส่งผลให้เห็นตัวเลขคนว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา และในไตรมาสหน้าคลื่นลูกที่3 ที่จะมาถล่มระบบการเงินไทยคือหนี้สิน เพราะมีการขอปรับโครงสร้างหนี้ถึง7.2ล้านล้านบาท ที่กำลังจะหมดอายุลงและมีสิทธิ์เป็นหนี้เสียอาจจะมากกว่าที่สถาบันการเงินไทยจะรับไหว
ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลกล่าวอีกว่า การหารายได้ของรัฐบาลที่จะเก็บภาษีปีนี้หลุดเป้า 4 แสนล้านบาททำให้รัฐบาลต้องทำงบขาดดุลไปอีกหลายปี หากจะกู้ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำถามคือเหตุการณ์เฉพาะหน้ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไร จากที่มาขอรัฐสภางบฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท อนุมัติไป 4 หมื่นล้าน เบิกจ่ายจริงได้ 400 ล้านบาทหรือ 0.1% จากที่มาขอสภา โครงการเราเที่ยวปันสุขมีคนใช้สิทธิ์เพียง 17%ของทั้งหมด พรก.เงินกู้ซอฟโลนกลับไม่ซอฟสมชื่อเพราะเงืนอไขที่แข็งเกินไปทำให้เอสเอ้ฒอีเข้าถึงแค่20% วงเงินอีก4 แสนล้านบาทยังค้างเพราะปลดล็อคเงื่อนไขไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงภาวะสูญญากาศของการบริหารเศรษฐกิจไทย กัปตันใส่เกียร์ว่างไม่รู้ร้อนหนาวในยามที่พายุโหมกระหน่ำ นอกจากรัฐบาลจะใจเย็นแล้วยังจะเลือดเย็นกับความเดือดร้อนของประชาชน
"ท่านนายกฯคงจะตอบว่ารัฐบาลมีโครงการอยู่แล้วคงไม่ได้ เศรษฐกิจยิ่งแก้ยิ่งต้องเพิ่มความมั่นใจ คนต้องกล้าเข้ามาลงทุนเพิ่ม แต่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังดิ่งลงตลอดกาล จากตอนเดือนก.พ. ที่มีอภิปรายไม่ไว้วางใจดัชนีอยู่ที่ 67 ก็ต่ำสุดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้อยู่ที่50 สะท้อนว่าประชาชนไม่ได้เชื่อมั่นในสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่เลย ยิ่งร้ายหน่วยราชการยังคอรัปชั่นซ้ำเติมปัญหาประชาชน จากที่สำนักปลัดนายกฯรายงานว่างบปี62 มีการยักยอกทุจริตจัดซื้อจัดจ้างถึง 1.3 หมื่นล้านบาท ถ้าความล้มเหลวที่เกิดจากการที่ท่านบริหารปีแรกผมคงวิจารณ์อีกอย่างว่าเจอพิษโควิตเต็มๆ แต่นี่ท่านยึดอำนาจบริหารมาแล้วก่อน5 ปีเต็มและได้รับอภิสิทธิ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ในประเทศไหนที่มีประชาธิปไตย คือไม่มีฝ่ายค้านหรือแรงต้าน ไม่มีการตรวจสอบ งบเกือบ5ล้านล้านบาทสูงที่สุดกว่านายกฯคนไหนๆ แต่ผลงานที่ได้รับคือเศรษฐกิจรั้งท้ายบ้วยที่สุด ของเอเซีย 5 ปีมากพอสำหรับผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการวางรางฐานของประเทศเพื่อให้ต่อสู้กับความท้าทายในศตวรรษที่21 ได้ ภัยความมั่นคงในรูปแบบโควิต หรือภัยพิบัติจากธรรมชาติ มีโอกาสแต่ก็ไม่ทำ ทำให้คนในประเทศต้องรับสภาพในอนาคตที่มึดที่สุด และต่อไปในอนาคตอันใกล้หากรัฐบาลไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขเศรษฐกิจให้เห็นโอกาสที่จะฟื้นตัวได้แรงบีบคั้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆจากทุกชนชั้น ความอดทนและความมั่นใจของประชาชนจะหมดลง หากแก้ปัญหาความมั่นใจไมไ่ด้ก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ บ้านเมืองก็จะถึงทางตัน"
อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นยังมาจากระบบการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาอำนาจให้พล.อ.ประยุทธ์ แต่กลับไม่สามารถทำให้บริหารบ้านเมืองได้ ความน่าเศร้าของคนไทยตอนนี้คือในชั่วโมงที่มึดมนที่สุด เรามีนายกฯที่ไม่มีภาวะผู้นำและมีระบบการเมืองที่บิดเบี้ยวที่สุด เมื่อสองสิ่งนี้มาอยู่ในช่วงเดียวกันไม่ต้องหลับตาก็นึกภาพออกว่ามันพังพินาศแค่ไหน พรรคการเมืองที่เสนอให้ท่านเป็นนายกฯก็เพราะรธน.ปี 60 ออกมาเพื่อพรรคพวกของท่าน ตั้ง 250 ส.ว.ขึ้นมาให้เลือกกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง ยังกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นบ่วงรัดประเทศให้อยู่ในอำนาจมั่นคง ปลอดภัยมากที่สุด รัฐธรรมนูญจึงไม่ได้มีไว้เพื่อคนไทยและการรับมือกับโลกอนาคต แต่ทำหน้าที่เฉพาะกิจสืบทอดให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯและรักษาอำนาจเครือข่ายของท่านให้ยาวนานที่สุด เท่าที่เป็นไปได้
"จึงเห็นว่ารัฐบาลนี้สาละวนอยู่แต่กับการแย่งชิงอำนาจต่อรองตำแหน่ง สภาวุ่นวายกับการป้อนกล้วยให้งูกิน รัฐบาลผสมไม่มีเอกภาพ ไร้คุณภาพ ต่างคนต่างทำงาน บ้านเมืองไร้ทิศทางมองไม่เห็นอนาคต คนหนุ่มสาวออกมาร้องทวงคืนอนาคตของตนเอง นอกจากไม่แก้ปัญหา ไม่รับฟัง ยังคุกคามเสรีภาพ ใช้มาตรา 116 อย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่อาจจะแก้ปัญหาอะไร กลับยิ่งขยายความขัดแย้งไปในวงกว้าง หวังให้เกิดความหวาดกลัวไม่กล้าเรียกร้อง แต่เกรงว่าจะตรงกันข้าม กลายเป็นยั่วยุ ท้าทายให้ประชาชนโกรธ จะต้องจับกุมอีกกี่คนถึงจะเข้าใจว่าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย วันนี้มีคำถามถึงการรัฐประหารดังขึ้น พวกเขาที่ไม่ยอมรับและต่อต้านพวกท่าน ท่านจะหันกระบอกปืนเข้าหาพวกเขาซึ่งเป็นอนาคตมือเปล่าหรือไม่ หวังว่าไม่ขาดสติจนพาประเทศไปถึงจุดนั้นอีก อยากให้เข้าใจว่าการทำรัฐประหาร และคุกคาม ไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ แล้วยังแช่แข็งประเทศ เอาไว้อีก"
นายพิธา กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ฉุดรั้งอนาคตคนไทยไว้คือ ระบบราชการและระบบการศึกษา ระบบราชการไทยมีความแข็งตัวสูง เป็นระบบอุปถัมภ์ที่มีแต่พรรคพวก ไม่ยอมให้ใครล้ำเส้น เป็นระบบที่ล้าหลัง ไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ขณะที่ระบบการศึกษาไทยก็ล้าหลัง และไม่เคยเปลี่ยน โรงเรียนจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะระบบอำนาจนิยมที่แรกที่เด็กได้พบเจอ ทั้งการใช้อำนาจของครูกับลูกศิษย์ หรือรุ่นพี่ที่กดทับรุ่นน้อง วันนี้นักเรียน นักศึกษาต้องการจะปลดแอกตัวเองจากระบบที่ห่วยแตกแบบนี้ เราต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เรายังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะเดินไปอย่างไร เพราะแม้แต่การจัดทำงบประมาณก็ยังทำเหมือนเดิม ระบบราชการยังคงรวมศูนย์ ระบบการศึกษายังไม่มีการปรับตัว สังคมไทยจึงมืดมิด เพราะท่านหวงแหนอดีตที่ทำให้ท่านได้ประโยชน์ แต่สร้างเวรกรรม ทำให้พวกเขาก้าวสู่อนาคตไม่ได้ ทั้งนี้ ไม่มีครั้งไหนที่นักเรียน นักศึกษาประท้วงรัฐบาลมาก และกระจายไปทั่วประเทศขนาดนี้ หยั่งรากลึกลงไปจนถึงระดับนักเรียนมัธยม ซึ่งถ้าท่านปฏิรูปประเทศจริงตั้งแต่ 6 ปีก่อน การชุมนุมของนักศึกษาจะไม่เกิดขึ้น
"ดังนั้น เลิกดูถูก เลิกทวงบุญคุณว่าท่านเข้ามาบริหารประเทศเพราะอะไร เพราะคนที่ปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาก็คือพล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ชัดเจนแล้วว่า ความวุ่นวาย ความสิ้นหวัง ความล้าหลังนั้น ใจความล้มเหลวมันอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ ท่านก็ควรหลีกทาง ลงจากอำนาจ คืนอนาคตให้กับประเทศชาติ ออกไปก่อนที่ประเทศจะย่อยยับเกินกว่าที่พวกท่านจะชดใช้ไหว" นายพิธาระบุ
"วันนอร์"อภิปรายทิ้งทวนเก้าอี้ส.ส. ชี้ประเทศวิกฤตไม่ได้เกิดจากโควิด แต่เกิดจาก"ประยุทธ์"
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ได้ลุกขึ้นอภิปรายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลาออกจากตำแหน่งส.ส.ว่า รัฐบาลบริหารงานมา 5-6 ปี ล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ อ้างว่าเพราะสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ทำให้ผู้ประกอบการต้องปิดกิจการ ยังไม่นับคนตกงาน คนว่างงานอีกมาก ที่เกิดจากผู้นำขาดความรู้ความสามารถ ความล้มเหลวนี้จึงไม่ได้เกิดจากโควิด-19หรือเศรษฐกิจตกต่ำ แต่เกิดจากผู้นำที่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม อยากให้รัฐบาลรับฟังสภาฯ วันนี้ และหวังว่าท่านจะตัดสินใจเพื่อบ้านเมือง เพื่อคนไทย และเพื่อภาวะวิกฤติ หนี้สินที่รัฐบาลไปกู้มา ก็เพราะท่านตั้งรายจ่ายไว้สูง แต่รายรับของท่านมันต่ำ ตนพึ่งจะเคยเห็นว่า รัฐบาลเอาเงินไปแจกชาวบ้าน แทนที่เขาจะชื่นชมและดีใจ แต่ปรากฏว่ารัฐบาลถูกด่ามาตลอด เพราะการเยียวยาทำอย่างไม่ทั่วถึง รัฐบาลประเทศอื่นเวลาเยียวยาเขาทำอย่างเสมอหน้า และทั่วถึง ในระยะเวลาที่ไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน แต่เงินที่รัฐบาลเยียวยานั้นเกิดปัญหาในทุกด้าน ถ้าท่านยังเป็นรัฐบาลต่อไป ท่านก็ต้องกู้ต่อไปเรื่อยๆ ตนจึงห่วงว่า ถ้ายังอยู่บริหารต่อจะยิ่งกู้ไม่รู้จบ กู้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินมาใช้หนี้วิธีไหน ส่วนใหญ่ใช้แต่ดอกเบี้ย เป็นการบริหารงานที่ไม่คิดถึงอนาคตลูกหลาน สร้างหนี้สินให้คนรุ่นลูก รุ่นหลานต้องมาชดใช้แทน เขาจึงไม่เอารัฐบาลนี้ เพราะมีแต่กู้ๆๆ
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวอีกว่า ยังไม่รวมถึงการใช้อำนาจแทรกแซงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใช้มาตรา 44 สั่งยุบรวม อปท. สข. สั่งยุบพรรคการเมืองที่มีสมาชิกนับล้าน หรือแม้กระทั่งรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา ขนาดเด็กยังรู้ว่าใช้กฎกติกาที่ฉ้อฉล แล้วท่านจะนำพาบ้านเมืองนี้ไปอย่างไร ขอแนะนำให้เห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่ประชาชน วันนี้หมดเวลาของท่านแล้ว ขอให้ลงจากอำนาจอย่างสง่างาม ทั้งนี้ ขอยกตัวอย่างกรณี 2 พล.อ.คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ที่รู้จักพอ เมื่อลงจากอำนาจก็อยู่ในสังคมไทยอย่างปกติสุข ขณะที่อีก 1 พล.อ. และอีก 1 จอมพล ซึ่งตนไม่ขอเอ่ยนาม ต้องหนีไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ โดยคนหนึ่งเสียชีวิตในต่างประเทศ ขณะที่อีกคนกลับมาโดยต้องห่มผ้าเหลือง และทรัพย์สมบัติของครอบครัวก็ถูกยึดทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวอย่างให้ท่านดูว่าท่านจะเอาแบบไหน อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ท่านเลือกเส้นทางที่สวยงาม ท่านยังมีเวลาตัดสินใจก่อนถึงวันที่ 19 ก.ย. ก่อนที่คนส่วนใหญ่จะพูดว่า หมดเวลาของท่านแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น