วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2563

“พิชัย” สวน “บิ๊กตู่” ตั้ง ส.ว. เอง 250 คนคือเผด็จการรัฐสภายุคเผด็จการทหาร


 
“พิชัย” สวน “ประยุทธ์” เผด็จการรัฐสภาคือเผด็จการที่ตั้ง ส.ว. เอง 250 คน ห่วงต้องกลับคำว่าไม่หนีคดี ชี้ คนรังเกียจเผด็จการไม่ได้รังเกียจทหารอาชีพ แนะ “สุพัฒนพงษ์” แก้ไขอย่าแก้ตัว และ อย่าแจกไฟฟ้าชุมชนเฉพาะหัวคะแนนพรรค พปชร. 

วันที่ 11 ก.ย.2563 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ สภาฯ ได้เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ถูกอภิปรายอย่างกว้างขวางถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมา 6 ปี โดยเป็นผลมาจากการเป็นรัฐบาลเผด็จการและยังมีการสืบทอดอำนาจกันมาจนถึงปัจจุบัน โดย สส. ฝ่ายค้านจำนวนมากได้เรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ลาออก แต่แทนที่พลเอกประยุทธ์จะหาทางอธิบายแก้ข้อกล่าวหา กลับพูดถึงเรื่องเผด็จการรัฐสภา ยิ่งเป็นการตอกย้ำระบบเผด็จการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์เอง เพราะปัจจุบันในสภามีสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากแต่งตั้งของพลเอกประยุทธ์ให้เข้ามาเลือกพลเอกประยุทธ์เองเป็นนายกฯ 250 คน ซึ่งตอกย้ำเผด็จการรัฐสภาอย่างแท้จริง เพราะถ้าหากไม่มี 250 ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งและโหวตให้พลเอกประยุทธ์ พลเอกประยุทธ์จะไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจต่อได้เลย เพราะ พรรค พปชร. ที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์มีจำนวน สส. น้อยกว่าพรรคเพื่อไทย ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมพลเอกประยุทธ์ถึงได้ตำหนิการกระทำของตัวเอง 


พลเอกประยุทธ์อาจจะเข้าใจผิดคิดว่า ในอดีตพรรคการเมืองที่ชนะเสียงข้างมากในสภาเป็นเผด็จการรัฐสภา ทั้งที่เป็นเสียงของประชาขนโหวตให้ชนะการเลือกตั้งเข้ามา และต้องใช้เสียงส่วนมากในการบริหารประเทศและสภาก็มีอายุตามเทอม 4 ปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่  ถ้าทำไม่ดีประชาชนก็จะไม่เลือกกลับมา ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กันทั่วโลก ในขณะที่เผด็จการแบบพลเอกประยุทธ์นั้น เข้ามาโดยการทำรัฐประหาร ประชาชนไม่ได้เลือก อยู่มา 5 ปีกว่าถึงจัดให้มีการเลือกตั้ง โดยมีการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจโดยมีวุฒิสภาจากการแต่งตั้ง 250 คน โหวตเลือกนายก ซึ่งเป็นเผด็จการรัฐสภาอย่างแท้จริงและนักศึกษา ประชาชน รวมถึงพรรคฝ่ายค้านกำลังหาทางแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ ถ้าพลเอกประยุทธ์รังเกียจเผด็จการรัฐสภาจริงก็ต้องยกเลิก สว. ไม่ให้โหวตนายก และ ยกเลิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งนี้ไปเลย 


นอกจากนี้การที่ประชาชนรังเกียจรัฐประหาร รังเกียจเผด็จการ รังเกียจการคุกคามประชาชน และไม่อยากให้ซื้อเรือดำน้ำในเวลาที่ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจ แต่พลเอกประยุทธ์กลับเรียกร้องให้อย่ารังเกียจทหาร ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นอย่างน่าเกลียด  เพราะคงไม่มีใครรังเกียจทหารอาชีพที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ ไม่ใช่เป็นทหารที่ทำรัฐประหารเข้ามาแล้วบริหารทำประเทศเสื่อมถอยที่คนกำลังรังเกียจกัน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเวลาที่ นักศึกษา นักเรียน และ ประชาชน จำนวนมากออกมาชุมนุม ต่อต้านและขับไล่ รัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ แต่กลับถูกหาว่าเป็นพวกชังชาติ ทั้งที่พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่ชาติ จึงไม่อยากให้ใช้วิธีการแย่ๆแบบตรรกวิบัตินี้ในการตอบโต้คนที่เห็นต่างที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 


นอกจากนี้ จากที่ได้ฟัง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน ตอบการอภิปรายในสภาครั้งแรก รู้สึกผิดหวังอย่างมาก เหมือนกับอยู่คนละประเทศ พูดเหมือนทุกอย่างดีหมด ทั้งที่เศรษฐกิจไทยมีปัญหาอย่างมาก จริงอยู่สถานะทางเศรษฐกิจของไทยยังมั่นคงเพราะประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่สูง แต่ปัญหาหลักคือเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมากมาตลอด 6 ปี ตั้งแต่มีการทำรัฐประหาร พอมาเจอวิกฤตโควิด ไทยกลับยิ่งทรุดหนักที่สุดในเอเชีย และยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ทำให้เศรษฐกิจไทยแทบไม่ขยายตัวเลยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จะไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่เขาขยายตัวสูงมาตลอดหลายปีไม่ได้ และเทียบไม่ได้เลยกับประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะ ประเทศสิงคโปร์ เพราะรายได้ต่อหัวต่อคนของคนสิงคโปร์สูงกว่าคนไทยประมาณ 8 เท่า  มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนชาวสิงคโปร์ดีกว่าของไทยมาก ไม่ได้เดือดร้อนเท่าประชาชนไทย  อีกทั้งไทยยังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3-4 ปีกว่าจะกลับมาฟื้นกลับมาเท่าที่เดิม ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมาก นอกจากนี้ การขายฝันว่าจะสร้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง โดยเริ่มจากมาตรการการสนับสนุนค่าจ้างครึ่งหนึ่งให้กับการจ้างงาน 260,000 คน สำหรับนักศึกษาจบใหม่ อยากถามว่าจะจ้างไปใช้ในการผลิตสินค้าและให้บริการประเภทไหนในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่อยากให้พูดเพื่อสร้างความหวังโดยไม่สามารถจะทำได้จริง เพราะตลอด 6 ปียังไม่เคยทำได้เลย 


ในเรื่องพลังงาน การออกใบอนุญาตให้โรงไฟฟ้าชุมชน ก็อยากให้พิจารณาให้ดี อย่าได้เอื้อประโยชน์ให้เฉพาะกับกลุ่มหัวคะแนนของพรรคพลังประชารัฐ ตามที่มีข่าวตั้งแต่สมัยรัฐมนตรีคนที่แล้วที่จะใช้โรงไฟฟ้าชุมชนนี้เหมือนเป็นการซื้อเสียงให้กับฐานเสียงของพรรค ซึ่งหาก ปปช. ตรวจพบอาจถูกดำเนินคดีได้ นอกจากนี้ การจะยกเลิก แก๊สโซฮอล์ 91และ 95 ที่มีส่วนผสมเอทานอล 10% เพื่อไปใช้ E 20 ที่มีส่วนผสมของเอทานอล 20% อย่างเดียวไม่น่าจะแนวทางที่ถูกต้อง และอาจจะเป็นการเอื้อประโยชน์นายทุนผู้ผลิตเอทานอล ตามที่ได้เคยทักท้วงไว้แล้ว ทั้งนี้เพราะราคาเอทานอลสูงกว่าราคาเนื้อน้ำมันที่กลั่นแล้วหลายเท่า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนและราคาของน้ำมันแพงขึ้นไปอีก เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนมากขึ้น อีกทั้งยังควรที่จะเจรจาต่อรองราคาเอทานอลให้ลดลง เพราะราคาเอทานอลของไทยสูงกว่าราคาในตลาดโลกมาก 


ปัญหาทางเศรษฐกิจจะเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ และจะทำให้ประชาชนลำบากเพิ่มขึ้นอีกมากจนจะทนกันไม่ไหว ถ้าพลเอกประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและทีมเศรษฐกิจยังคงสับสนและพยายามจะหลอกประชาชนและหลอกตัวเองไปวันๆโดยไม่มีแนวทางที่จะแก้ไขได้อย่างชัดเจน จะไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนักได้ ซึ่งหากรู้ตัวว่าไม่ไหวพลเอกประยุทธ์ก็ควรจะลาออกไปตามคำเรียกร้องของฝ่ายค้าน นักศึกษา และประชาชนจำนวนมาก อย่าทำให้ประเทศเสียหายไปกว่านี้ และไม่ต้องรอให้นักศึกษาและประชาชนออกมาไล่มากขึ้นกว่านี้ไปอีก เพราะที่บอกว่าจะไม่หนีคดี แต่สุดท้ายอาจจะต้องกลับคำ ถ้าหากมีคนเจ็บคนตายจากการชุมนุมเหมือนในอดีต เพราะครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งที่แล้วอย่างแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"วราวุธ" เผย พม.จับมือ พศ.- กรมการศาสนา ตั้งศูนย์คุ้มครองเด็กและสามเณร สร้างพื้นที่ปลอดภัยแก่เด็กและเยาวชนหากถูกละเมิด

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567  นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมยุษย์ (รมว.พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเด็ก ...