ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มีนาคม, 2014

ฝึก'พระธรรมทูต'เทียบชั้น'มิชชันนารีวาติกัน'

               การท่องแดนพุทธภูมิประเทศอินเดียของคนไทยพุทธส่วนใหญ่แล้ว ต้องการที่จะสัมผัสพื้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรง เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ปฏิบัติธรรมทวีคูณขึ้นไป                หลังจากร่วมคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร ) รุ่นที่ 1 (และกำลังรับสมัครรุ่นที่ 2 ถึงวันที่ 30 มี.ค.นี้) ได้จัดโครงการ "จาริกสันติธรรม สู่ดินแดนแห่งพุทธภูมิ" ประเทศอินเดีย-เนปาล จำนวน 40 รูป/คน ระหว่างวันที่ 16-26 มกราคมที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตร จึงทำให้ได้ติดตามการเคลื่อนไหวของพุทธศาสนิกชนที่เดินทางไปแสวงบุญคณะต่างๆผ่านทางเฟซบุ๊กวัดไทยในประเทศอินเดีย                ได้เห็นกิจกรรมต่างๆ ที่น่าอนุโมทนายิ่งอย่างเช่น กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้การนำของนายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดี ได้จัดโครงการส่งพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนประกอบศาสนกิจ ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ประเทศอินเดีย-เนปาล เป็นรุ่นที่ 2 แล้วประกอบด้วย พระสังฆาธิการ พระธรรมวิทยากร จำนวน 100  รูป และฆราวาสผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา จำนวน 35 ค

'มจร'สานงาน'สมเด็จเกี่ยว'พัฒนาชาวเขา

              "ขอให้ทุกคนภูมิใจว่า เราเกิดบนแผ่นดินไทย มีพระพุทธศาสนาเป็นหลักใจ จะเป็นชาวเขาหรือชาวเรา ทุกคนก็เป็นคนเสมอกัน คือ เราเป็นคนไทย ขอให้พวกเราอาศรัยแผ่นดินแห่งนี้สร้างชีวิต สร้างความดีงาม ให้สมกับที่เกิดมาเป็นคนไทย"               นี้เป็นโอวาทของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่ระบุในหนังสือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร พระมหาเถระผู้เป็นประวัติศาสตร์ความทรงจำพระพุทธศาสนาโลก ที่อยู่ในถุงที่พุทธศาสนิกชนที่ได้รับในวาระพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 9 มีนาคม 2557 เวลา 17.00 น.ที่ผ่านมา               หนังสือเล่มนี้รัฐบาลจัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการดังกล่าว ที่ได้รวบรวมภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์มรณภาพจนกระทั้งพิธีพระราชทานเพลิงศพ พร้อมทั้งประวัติและผลงานด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านบริการสังคมและเผยแพร่ ซึ่งอยู่ช่วงท้ายเ

'จ้วง'ญาติที่คนไทยลืมสายสัมพันธ์ที่จางหาย

               คำว่า "จ้วง" คนไทยส่วนใหญ่แล้วมักจะคุ้นเคยกับคำกิริยาที่ว่า "จ้วงแทง" หรือ "จาบจ้วง" แต่ถ้าเป็นคำนามแล้วไม่ค่อยรู้จักว่าหมายถึงอะไร หรือจะรู้บ้างก็เพียงว่าชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในมณฑลกวางสี จากข่าวที่ผู้บริหารเขตปกครองตนเองกวางสีและชนกลุ่มน้อยชาวจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อกระซับความสัมพันธ์จบเพียงแค่นั้น                ความจริงแล้วชาวจ้วงที่มณฑลกวางสีทางใต้ของจีนนี้นับได้ว่าเป็นเครือญาติของคนไทยผู้ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุด ที่รวมกลุ่มกันอยู่ก่อนยุคสามก๊ก (ราว 2,000 ปีมาแล้ว) กว่า 10 ล้านคน พูดจาสื่อสารกันเองในชุมชนหมู่บ้านและในครอบครัวที่อยู่ห่างไกลจากเมือง ก็พูดภาษาตระกูลไทย-ลาว หรือลาว-ไทย ฉันทลักษณ์ในบทร้อยกรองของจ้วงกับของไทยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และมีพื้นฐานจากคำคล้องจองเช่นเดียวกัน  กลองหรือฆ้องมโหระทึกนับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ชาวจ้วงสื่อกับเครื่อญาติไทย ทุกวันนี้ชาวจ้วงทุกวันนี้ยังมีกลองมโหระทึกประจำตระกูลกับประจำหมู่บ้านใช้งานในพิธีกรรมที่ทำสืบเนื่องมาแต่ดึกดำบรรพ์อีกรวมนับพันๆ ใบ ชาวจ้วงกับคนไทยก็มีค