วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทึ่ง!นักข่าวจิ๋ว'บดินทร์' ผลิตผลงานเผยแผ่ผ่านสื่อ

              "ทั้งถ่ายภาพนิ่ง วีดีโอ จัดเวที อำนวยความสะดวกบนเวทีภายในห้องประชุม"  นี้เป็นภาพการปฏิบัติหน้าที่ของนักเรียนชั้น ม.3-4 โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี)นนทบุรี ที่ได้เห็นในโอกาสที่เดินทางไปร่วมประชุมผู้ปกครอง ในการเปิดภาคเรียนที่ 2

              รู้สึกทึ่งในความสามารถของนักเรียนกลุ่มนี้และชื่นชมในวิสัยทัศน์ของผู้ บริหารและครูของโรงเรียนแห่งนี้ เพราะโดยปกติแล้วจะเห็นภาพเหล่านี้จากการปฏิบัติของครู เจ้าหน้าที่ หรือว่าจ้างบุคคลาภายนอกมาทำ

              กลุ่มนักเรียนที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมีอยู่ประมาณ 10 คน อาทิ นายธนา ยุคลคร้าม นายอมรเทพ จำปาทอง  นายเจนณรงค์ สุภาฉาย นายปรัชนันท์ พัฒนะกูลพงศ์ ภายใต้การกำกับดูแลของนายอุดร ศรีลาศักดิ์ ครูคอมพิวส์เตอร์

              นายอุดรได้กล่าวถึงการพัฒนานักเรียนกลุ่มนี้ว่า เป็นนักเรียนชั้น ม.3-4 ที่สนใจเรียนคอมพิวส์เตอร์และมีความสามารถในการใช้งานได้เป็นอย่างดีทั้งการ เขียนโปรแกรม การตัดต่อวิดีโอ การซ่อมคอมพิวส์เตอร์

              "เมื่อผมได้มอบหมายให้ช่วยงานด้านโสตศึกษา จึงได้ฝึกนักเรียนเหล่านี้ให้สามารถทำได้ทั้งถ่ายภาพนิ่ง วีดีโอ เตรียมอุปกรณ์ จัดเวที อำนวยความสะดวกบนเวที เพื่อช่วยงานของโรงเรียนในการทำกิจกรรมต่างๆ" นายอุดร กล่าวและว่า

              หลังจากนักเรียนได้ถ่ายภาพนิ่ง วีดีโอเรียบร้อยแล้ว หลังจากเสร็จกิจกรรมก็จะนำไปตัดต่อทำเป็นสื่อต่างๆแล้วนำไปเผยแพร่ทาง เว็บไซต์ของโรงเรียน คลิปก็จะอัพโหลตขึ้นเว็บไซต์ยูทูบ ส่วนอนาคตนักเรียนจะเรียนต่อด้านนี้หรือไม่นั้น คงเป็นดุลพินิจของแต่ละคนคงไม่ได้กระตุ้นอะไรมาก

              ขณะที่นางเบญจมาศ ยิ้มมิ่ง รองผู้อำนวยการ กล่าวว่า ถือเป็นนโยบายของแต่ละโรงเรียนที่ต้องการฝึกนักเรียนให้มีทักษะด้านต่างๆ เพื่อช่วยงานของโรงเรียน

              อย่างไรก็ตามในการเข้าร่วมประชุมผู้ปกครองครั้งนี้ยังได้รับฟังการบรรยาย เกี่ยวกับโทษของยาเสพติดและประโยชน์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจาก ร.อ.สุธี สุขสากล อนุศาสนาจารย์หรือครูทารประจำกรมทหารราบที่1รักษาพระองค์ อดีตพระเปรียญธรรมเก้าประโยครุ่นเดียวกับพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี นักจัดรายการสยามานุสติ รายการรู้รักสามัคคีทำความดีเพื่อแผ่นดิน

              เห็นทักษะลีลาของอนุศาสนาจารย์คนนี้แล้วต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ทั้งร้องเพลงประกอบ ใช้อุปกรณ์เช่นคลิปจูงให้คนสนใจในเนื้อหา ทั้งนี้คงเป็นเพราะเรียนจบปริญญาตรีนิเทศศาสตร์จากมสธ.อีกหนึ่งใบ แสดงให้เป็นว่าของอนุศาสนาจารย์หรือครูทหารยุคปัจจุบันนี้ได้ออกจากกรมกอง เข้าหาชุมชนแล้วแต่เป็นลักษณะความสามารถส่วนบุคคลอยู่ หากมีการบริหารจัดการที่ดีแล้วจะเกิดประโยชน์มากขึ้น

              สิ่งที่ได้พบเห็นในการประชุมผู้ปกครองโรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี)นนทบุรีครั้งนี้ ทำให้เกิดความมั่นใจว่าโรงเรียนแห่งนี้จะสามารถพัฒนานักเรียนให้มีความพร้อม ด้านทักษะต่างๆและปลูกฝังจิตใจให้มีความคิดที่ดีไม่คิดโกง อันจะเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป


สำราญ สมพงษ์รายงาน







วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

'พูนสวัสดิ์'หันหลังการเมืองซุ่มเรียนป.โทพุทธศาสนา

              ส.ส.สุรินทร์สมัยนี้ต้องยกให้ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ พรรคเพื่อไทย ไม่ต้องทำอะไรมากเพียงทำหน้าที่ประท้วงฝ่ายค้านด้วยเสียงแหลมๆ "ท่านประธานที่เคารพ" เท่านี้ก็โด่งดังแล้ว ขนาดคนอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังนำไปล้อเลียนคราวขึ้นเวทีปราศรัย สร้างราคาให้กับจ่าประสิทธิ์อักโข

              หากมองย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา เวทีการเมืองสุรินทร์คงไม่มีใครไม่รู้จักนายพูนสวัสดิ์ มูลศาสตร์สาทร อดีตนักมวยชื่อดัง มีพี่ชายเป็นถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ถูกกล่าวขานว่า "ปลัดฮิตาซิ"  ขณะเดียวกันยังได้บารมีของ "พ่อใหญ่จิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีหัวหน้าพรรคความหวังใหม่

              พอหมดยุคของ "พ่อใหญ่จิ๋ว" นายพูนสวัสดิ์ก็หมดวาสนาและเริ่มหายหน้าหายตาไปจากเวทีการเมือง แม้นแต่ลงสมัครนายกเทศมนตรีเมืองสุรินทร์เมื่อต้นปี2555 ก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ในที่สุดคลื่นลูกใหม่อย่างจ่าประสิทธิ์ก็เข้ามาแทนที่

              แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้เห็นนายพูนสวัสดิ์อีกครั้งด้วยสีหน้าที่แจ่มใจคล่องแคล่วแม้นว่า
อายุ 72 ปีแล้ว ในเวทีสัมมนาสาธารณะของนักศึกษาปริญญาโท บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ เรื่อง "พระสงฆ์กับสังคมออนไลน์"  นายพูนสวัสดิ์ก็ตั้งใจฟังอย่างนักศึกษาที่ดี พอจบงานก็ยกของมอบให้กับวิทยากรด้วยความอ่อนน้อม ไม่แข็งกร้าวเหมือน ส.ส.ในสภา

              ได้เข้าไปสอบถามจึงได้ความว่านายพูนสวัสดิ์กำลังเรียนปริญญาโทที่บัณฑิตวิทยาลัย มจร สาขาพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพื่อต้องการทราบหลักธรรมในพระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและหากมีโอกาสก็จะบอกต่อ

              เมื่อถามว่าไม่หันกลับไปเล่นการเมืองอีกหรือ นายพูนสวัสดิ์บอกว่าไม่เอาแล้วปล่อยให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำหน้าที่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องการเห็นสำหรับการเมืองไทยก็คือเมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วก็ขอให้รู้จักแพ้รู้จักชนะแล้วหันหน้าช่วยกันพัฒนาประเทศ(ดูอย่างสหรัฐเป็นตัวอย่าง)

              พร้อมกันนี้นายพูนสวัสดิ์ยังเชิญชวนให้นักการเมืองควรหาโอกาสเข้ามาเรียนต่อที่บัณฑิตวิทยาลัย มจร ซึ่งจะได้มีความรู้ที่ดีนำไปปรับปรุงพฤติกรรมตัวเองให้เป็นนักการเมืองที่น่ารักยิ่งขึ้น 

              นับได้ว่านายพูนสวัสดิ์ มูลศาสตร์สาทร เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของนักการเมืองที่รู้จักคำว่า "พอ" แต่"ไม่พอ" ที่จะหยุดแสวงหาความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักธรรมในพระพุทธศาสนา นอกจากการฟังพระเทศน์ปฏิบัติธรรมแล้วยังได้ศึกษาหาความรู้ที่เป็นระบบมากยิ่งขึ้น นับเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมยิ่งและเป็นชาวพุทธที่ดี 

              หากนักการเมืองหรือประชาชนทั่วไปจะเลียบแบบนายพูนสวัสดิ์สามารถทำได้เพราะไม่มีใครแก่เกินเรียน เพราะขณะนี้บัณฑิตวิทยา มจร กำลังที่จะเปิดรับสมัครระดับปริญญาโท-เอก ด้านพระพุทธศาสนาหลายสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักสูตรสันติศึกษาตอนนี้เปิดรับสมัครแล้วสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ มจร (http://www.mcu.ac.th)

สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฮือฮา!'บัวขาว'นั่งสมาธิ-พรมน้ำมนต์ก่อนชก

               ยังคงดุดันเหมือนเดิมสำหรับ "ดำดอทคอม" สมบัติ บัญชาเมฆ หรือ บัวขาว ป.ประมุข  ในศึกไทยไฟท์ 2012 ณ อาคารชาญชัยอะเคเดียม ภายใน ม.กรุงเทพธนบุรี เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีแฟนมวยเข้าชมกันเนืองแน่น  โดยประเคนอาวุธเข้าใส่ เมาโร เซอร์นา นักชกจากอิตาลีจอดในยก 3  ชนิดที่ผู้แพ้ปากแตกหัวบวมปูดเป็นลูกมะนาว แต่นั้นก็คือหน้าฉาก

                คนส่วนใหญ่จะรู้แต่เพียงว่า นักมวยต้องซ้อมๆๆๆแล้วก็ซ้อมทั้งร่างกายจะจิตใจถึงจะชนะ

                ร่างกายดีแต่สภาพจิตใจไม่ดีไม่เข้มแข็งพอหรือเกิดปัญหาก่อนชกก็อาจจะเกิดความทำท้อแท้หมดกำลังใจที่จะชกได้ 

                บัวขาว ก็อยู่ในภาพเช่นนั้นคือจากลงเวทีก็ถือเวทีซ้อมนั้นเป็นการเตรียมความพร้อมด้านร่างกาย ส่วนจิตใจหละ บัวขาว ทำอย่างไร

                น้อยคนนักจะรู้ว่า บัวขาว นั้นยังซ้อมจิตใจให้เข้มแข็งด้วยๆ การนั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบอยู่เสมอ

                ทุกครั้งที่ บัวขาว จะขึ้นชกจะเดินทางไปที่วัดสุเทพนิมิต สระกำแพงใหญ่ (หลวงปู่เครื่องอุปถัมภ์ ) อ.อุทุมพรสัย จ.ศรีสะเกษ  ฝึกสมาธิขอพรและขอบารมีธรรมจากหลวงปู่สุข โกวิโท หรือพระครูพิสุทธิ์พรหมวิหาร  อายุ  81 ปี รักษาการแทนเจ้าอาวาส เกจิอาจารย์ชื่อดังจังหวัดศรีสะเกษ

                ทั้งนี้ได้รับการเปิดเผยจากพระมหาติ่ง มหิสสโร พระเลขานุการ ซึ่งจบปริญญาตรี - โท ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และกำลังทำเรื่องเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศอินเดียด้วยการสนับสนุนของหลวงปู่สุขว่า บัวขาว นับถือหลวงปู่มานานแล้ว ทุกครั้งที่จะขึ้นชกก็จะมาขอให้หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้และนั่งสมาธิเพื่อทำจิตใจให้เข็มแข็ง

                พร้อมกันนี้พระมหาติ่งยังบอกว่า นอกจากนี้หลวงปู่ยังให้ของดีหายากมากกับ  บัวขาว เอาไว้ติดตัวเวลาเดินทางและขึ้นชกด้วย

                บัวขาว นับเป็นนักกีฬาคนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตก่อนที่ขึ้นชก ส่วนผลออกมาจะเป็นอย่างไรนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มีน้ำใจเป็นนักกีฬารู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย

.................

(หมายเหตุ : ฮือฮา!'บัวขาว'ก่อนขึ้นชกทุกครั้ง เข้าวัดนั่งสมาธิพรมน้ำมนต์ : สำราญ สมพงษ์รายงาน ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Phramahathing Mahitsaro)

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นศ.ตระกูลดังอบรมจูมล่า'มจร' หวังทำเว็บไซต์ครูสอนคณิต

               "สนใจทำเว็บไซต์จึงได้เข้าไปค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ล ทราบว่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เปิดอบรมการสร้างและการจัดการเว็บไซต์องค์กรด้วยโปรแกรมจูมล่า (Joomla)   โดยเฉพาะอย่างยิ่งอบรมฟรี จึงได้สมัคร"

               นี้เป็นคำบอกเล่าของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีตระกูลดังนามว่านางสาวไอริณ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ขณะเดียวกันเธอก็เป็นครูสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ที่สถาบันติวเตอร์แห่งหนึ่งด้วย

               นางสาวไอริณตั้งความหวังว่าเมื่ออบรมเสร็จแล้วจะนำความรู้ไปทำเว็บไซต์เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวิชาคณิตศาสตร์ที่สอนพิเศษอยู่ ขณะเดียวกันก็จะช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ "มจร" เป็นการตอบแทนคุณ

               เมื่อนางสาวไอริณอบรมการสร้างและการจัดการเว็บไซต์องค์กรด้วยโปรแกรมจูมล่าเสร็จแล้ว ยังได้ลงชื่อเข้ารุมอบรม Joomla Advance Extention Workshop รุ่นที่ 1 ต่ออีกด้วย

               นี้เป็นรุ่นที่ 2 แล้วที่ "มจร" ภายใต้การดำเนินการของส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักหอสมุดและเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดอบรมการทำเว็บไซต์ด้วยโปรแกรมจูมล่าให้กับพระนิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไปรุ่นละ 40 คนครั้งละ 2 วัน

               นอกจากนี้ "มจร" ยังเปิดอบรมในระดับต่างๆที่สูงขึ้นไปและโปรแกรมที่เกี่ยวข้องอย่างเช่น  การออแบบเว็บไชต์ด้วย joomla CMS  understanding(network)  การจัดสร้างและปรับแต่งเทมเพลทจูมล่า Deamweaver และ Photoshop  ตัดต่อวิดีโอ ด้วย camtasia studio  Photoshop workshop microsoft office illustrator workshop สร้างระบบ e-Learning ด้วย Moodle ทั้งนี้อาจจะต้องจ่ายค่าอบรมบ้างแต่ในอัตราที่ไม่แพง

               สำหรับผู้ที่สนใจการอบรมการสร้างเว็บไซต์เบื้องต้นยังสามารถสมัครได้อีก ซึ่งทางส่วนเทคโนฯ จะจัดขึ้นอีกครั้งเป็นรุ่นที่ 3 ส่วนผู้ที่ผ่านการอบรมมาแล้ว ต้องการได้ความรู้เพิ่มเติม สามารถสมัครจองที่นั่งหลักสูตรการสร้างเว็บไซต์ระดับสูง ได้ทางเว็บไซต์ http://training.mcu.ac.th

               นอกจากผู้เข้ารับการอบรมแบบฟรีแล้ว ยังได้รับประทานอาหารฟรีด้วย เนื่องจากทาง "มจร" ได้รับแรงศรัทธาจากญาติโยมบริจาคทุนทรัพย์จัดทำภัตตาหารเพลถวายแก่พระภิกษุสามเณรที่เป็นผู้บริหาร เจ้าหน้าที่และพระนิสิตนักศึกษาทั้งไทยและต่างประเทศ  ส่วนฆราวาสที่เกี่ยวข้องก็ได้รับอานิสงส์จากส่วนนี้ด้วย

               นับได้ว่าเป็นการให้บริการสังคมอีกแนวทางหนึ่งของ "มจร" ทั้งนี้ด้วยตั้งความหวังว่าจะพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์นานาชาติในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยการอาศัยไอทีเป็นตัวช่วย

.................

(หมายเหตุ : นศ.ตระกูลดังอบรมจูมล่า'มจร' หวังทำเว็บไซต์ครูสอนคณิต : สำราญ สมพงษ์รายงาน)


วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สาววัยใส'ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น'ใฝ่ธรรมเรียนป.โท'มจร'

              คำว่า "ยูมิโก๊ะ" คงจะเป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนคอการ์ตูนญี่ปุ่นจากเรื่อง "ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน" เพราะเป็นแม่ของโคนันตัวเอกของเรื่องนั่นเอง

             แต่ในที่นี้หมายถึงลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหิดลและเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ที่ใช้นามทางเฟซบุ๊กว่า "Yuko Fc"

             หากดูจากหน้าตาเธอแล้วต้องบอกว่าไม่แพ้ดาราญี่ปุ่นหลายๆ คนเลยที่เดียว  แต่การมองคนนั้นไม่ควรที่จะดูที่ใบหน้าควรจะมองไปถึงจิตใจด้วย และในที่นี้จะมองเธอที่จุดนี้

             "ยูมิโก๊ะ" นอกจากจะทำหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว เธอยังสนใจศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) สาขาพระพุทธศาสนา ประดับปริญญาโทปี 2 ขณะนี้กำลังทำวิทยานิพนธ์ และทำรายการธรรมะแนว "กบนอกกะลา" เพราะอะไรเธอถึงสนใจด้านนี้

             "รังษี สุทนต์" อาจารย์อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มจร  ผู้ได้ฉายาว่า  "พระไตรปิฎกเคลื่อนที่"  ให้คำตอบว่า เนื่องจาก "ยูมิโก๊ะ" นับถือพระพุทธศาสนามหายานนิกายนิชิเรนในประเทศญี่ปุ่นตามครอบครัวโดยแม่เป็นคนไทย

             ทั้งนี้เธอสนใจใฝ่รู้และศรัทธาในพระพุทธศาสนานิยายเถรวาทมาก จึงต้องการทำวิทยานิพนธ์เปรียบเทียบระหว่างนิชิเรนกับเถรวาท แต่กรรมการสอบวิทยานิพนธ์มองว่าหนักไปจึงทำให้เธอทำในเชิงประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามหายานนิกายนิชิเรนเท่านั้น

             "ผมมองว่า เขาจะเป็นกำลังสำคัญในการเชื่อต่อมหายานแบบนิชิเรนให้ชาว มจร ได้ศึกษา และพระไตรปิฎกเป็นขุมทรัพย์แห่งปัญญา ทั้งนำมาใช้แสวงหาทรัพย์และนำมาใช้ปฏิบัติดำเนินชีวิต" อาจารย์รังษีระบุ

             ที่นี้มาดูว่า ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ปุจฉา-วิสัชนาธรรมในหน้าเฟซบุ๊กเป็นอย่างไรบ้าง

             "Yuko Fc สวัสดีค่ะ อ.รังษี พอดีหนูอยากตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่อง กาลามสูตร ในหนังสือ พระไตรปิฎกวิเคราะห์ว่า ข้ออื่นๆ ที่นอกเหนือจาก "อย่าปลงใจเชื่อตามตำรา" นั้น ถือว่า เป็นพุทธพจน์จริงๆ ใช่มั้ยคะ

             หนูมีคำถามสงสัยอยากจะเรียนถามอ.คะ ว่า : -พระไตรปิฎกมีข้อความใดบ้าง ที่ถือว่าไม่เป็นพุทธพจน์บ้างคะ (เช่นอะไรบ้างคะ?) -มีพุทธพจน์ที่อยู่ในตำราที่ไม่ไช่พระไตรปิฎกที่ทางเถรวาทยอมรับบ้างมั้ยคะ ถ้ามี มีในตำราอะไรบ้างคะ"

             ดูจากคำถามเธอประเด็นหลังแล้วหลายคนคงจะทึ่งเพราะว่าวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่คงจะไม่คิดจะถามคำถามเช่นนี้ ส่วนคำตอบของอาจารย์รังษีเป็นอย่างไรนั้นคงต้องติดตามได้ที่เฟซบุ๊กของอาจารย์ที่  http://www.facebook.com/arjarn.rangsi เพราะอย่างเรื่องกาลามสูตรก็มีถึง 16 ตอนและยังไม่จบ ส่วนประเด็นพระไตรปิฎกมีข้อความใดบ้างที่ถือว่าไม่เป็นพุทธพจน์บ้างก็ถึง 5 ตอนด้วยกัน

             นับได้ว่าสาววัยใสลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นนาม  "ยูมิโก๊ะ" คงจะเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สนในศึกษาพระพุทธศาสนาในเชิงลึกซึ้ง

.................

(หมายเหตุ : สาววัยใส'ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น'ใฝ่ธรรมเรียนป.โท'มจร' : สำราญ สมพงษ์รายงาน)


วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

'มหานิกาย'มอบป.เอก'ธรรมยุต' ย้ำภาพทำลายกำแพงนิกาย

              ภาพความร่วมมือระหว่างพระนิกายทั้งสองในประเทศไทยคือมหานิกายกับธรรมยุตไม่ได้ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนเท่าใดนัก ทั้งๆที่มีความร่วมมือกันมาอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ทราบกันก็เฉพาะในวงในเท่านั้น 

             อย่างภาพที่พระธรรมสุธี นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ฝ่ายมหานิยาย พร้อมด้วยพระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดี ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ ได้ร่วมพิธีถวายปริญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจักการเชิงพุทธ แด่พระธรรมวราจารย์ (แบน กิตฺสาโร) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 16,17,18  ฝ่ายธรรมยุต และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ กรุงเทพมหานคร ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) วิทยาเขตสิรินธร อ้อมใหญ่ จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา

             หรืออย่างเช่นกรณีประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน โดยได้พิจารณารายชื่อพระเถรานุเถระที่จะเข้ารับพระราชทานสถาปนาเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ ประจำปี 2555 ซึ่งปีนี้มีตำแหน่งชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ ฝ่ายมหานิกาย ว่างจำนวน 1 ตำแหน่ง

             ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้พิจารณาเห็นควรเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์พระธรรมโกศาจารย์ (ศ.ดร.ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส และอธิการบดี มจร  ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะรูปใหม่ มีราชทินนามว่า “พระพรหมบัณฑิต” สร้างความปลาบปลื้มให้กับชาว มจร และชาวพุทธไม่น้อย           

             ข้อมูลเช่นนี้ก็ทราบอยู่เฉพาะในวงจำกัดเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนกับกรณีพฤติกรรมของพระสงฆ์ที่ผิดพระธรรมวินัย มั่วสีกา ค้ายาเสพติด เต้นโคโยตี้เป็นต้น เมื่อมีข้อมูลทางลบเช่นนี้ถูกเผยแพร่ออกมา จะมีการเผยแพร่ต่อทางสังคมออนไลน์โดยเฉพาะทางเฟซบุ๊กอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีเสียงเรียกร้องจากพระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดี มจร ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ต้องการให้ มส.ตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบควบคุม

             ความจริงแล้วความร่วมมือของพระทั้งสองนิยายหรือแม้นแต่พระนิกายต่างๆในต่างประเทศ ก็มีมาอย่างต่อเนื่องดูการจัดงานวันวิสาขะโลกเป็นตัวอย่าง ทั้งการปกครองและการศึกษา มมร.ก็เคยพิจารณาพิธีถวายปริญาดุษฏีบัณฑิตแก่พระเถระฝ่ายมหานิกายเช่นเดียวกัน

             ต่อกรณีนี้ "สมหมาย  สุภาษิต" รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังมคม มจร  ชี้แจงว่า การที่ มจร ถวายปริญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจักการเชิงพุทธ แด่พระธรรมวราจารย์ ฝ่ายธรรมยุตดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ เพราะมีกิจกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านกระบวนการการเสนอชื่อให้สภาวิชาการของมหาวิทยาลัยพิจารณาอนุมัติไปตามคุณสมบัติอย่างแท้จริง โดยไม่มีสี การเมืองหรือนิกายเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

             "ส่วนการการที่ มส.พิจารณาเห็นชอบให้พระธรรมโกศาจารย์เลื่อนสมณศักดิ์ชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ ฝ่ายมหานิกายนั้น ก็เป็นพระราชาคณะที่มีคุณสมบัติเหมาะสม   1 ใน 3 รูปที่สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ กรรมการ มส. เสนอให้ที่ประชุม มส.พิจารณา" "สมหมาย"  ระบุ

             ภาพ มจร พิธีถวายปริญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระธรรมวราจารย์ พระเถระฝ่ายธรรมยุตดังกล่าวจึงนับว่าเป็นการย้ำการทุบกำแพงนิกายโดยแท้ ทั้งนี้เพราะทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์ตั้งบนหลักของ "วิชชา" ไม่ยึดฝักฝ่ายหรือนิกายเป็นที่ตั้ง

             หากยังมี "อวิชชา" ความเป็นนิกาย สี หรือแม้นแต่ความเป็นศาสนาจนทำให้เห็นภาพวัดพุทธในบังคลาเทศถูกเผา ทำให้ชาวพุทธต้องรวมตัวกันออกมาเรียกร้องให้ยุติพฤติกรรมการทำลายล้างเพราะศาสนาเป็นต้นเหตุ ภาพความร่วมมือของทั้งสองมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็คงไม่เกิด ฝ่ายการเมืองจะเอาเป็นแบบอย่างความปรองดองก็คงจะเกิดขึ้นได้

 สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

จุฬาฯถวายทุน'พระมหาจุฬาฯ' ทำวิจัย'พระกับการเมือง'

           สภาพการเมืองไทยทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่ามีการแบ่งฝ่ายเล่นกันอย่างชัดเจนแบบไม่มีกติกา ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ไม่รู้จักแพ้ ไม่รู้จักชนะ ไม่รู้จักให้อภัย ต่างชี้หน้าด่ากัน "เลว"  ทำดีก็ด่าว่า "สร้างภาพ"  ทำชั่วก็ทับถม ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า "สนับสนุนคนชั่ว"

            ไม่ขีดวงในการเล่น ไม่รู้ว่าการเมืองไหนในเป็นการเมืองในประเทศ การเมืองไหนเป็นการเมืองระหว่างประเทศที่คนทั้งชาติต้องร่วมมือกัน

            ไม่นึกถึงคำของพระพุทธทาสที่ว่า "เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย"

            ตอนนี้มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นักการเมืองไทยก็รู้เพียงแค่ผลว่าจะออกมาอย่างไรเท่านั้น แต่ไม่สนใจว่าหลังจากนั้นเขาร่วมมือกันพัฒนาประเทศอย่างไร

            นักการเมืองไทยไม่อยากได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกันบ้างหรืออย่างไร ดูอย่างพม่าที่นักการเมืองไทยมองอย่างเหยียดหยามว่าด้อยพัฒนา หล้าหลังไทย

            แต่พม่าก็มีนักการเมืองที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อ 20 ปีก่อนคือ "อองซาน ซูจี" และปีนี้ก็กำลังมีการเสนอชื่อผู้นำพม่าเพื่อรับรางวัลนี้ หากผลออกมาว่า "ได้" และมีแนวโน้มจะเป็นจริงด้วย แล้วนักการเมืองไทยจะเอาหน้าไปไว้ไหน แล้วไม่คิดสร้างชื่อกันบ้างหรืออย่างไร

            ขณะเดียวกันการเมืองไทยมาช่วง 6 ปีที่ผ่านมาก็ได้เห็นภาพพระสงฆ์เข้าไปมีส่วนร่วมของน้ำคลำการเมืองเน่าๆนั้นด้วย จนกระทั้งมีผู้เสนอความคิดให้พระสงฆ์ไทยมีสิทธิ์เลือกตั้งได้อย่างประเทศศรีลังกาและพม่า

            นี้คงเป็นเหตุผลบางส่วนที่ทางมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถวายทุนทำวิจัย "พระกับการเมือง" ให้กับพระจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  เชื่อว่าคงจะสร้างภาพลักษณ์ให้กับพระที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและนักการเมืองไทยได้บ้าง

            ทั้งนี้การทำวิจัยดังกล่าวภายใต้การนำของ "ปรีชา ช้างขวัญยืน" ผู้อำนวยการพุทธศาสน์ศึกษา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุนละ 150,000 บาท

            แบ่งออกเป็น 2 หัวข้อเรื่องคือ  "แนวโน้วบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" พระที่รับทุนคือ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี และเรื่อง "พระสงฆ์กับสงคราที่ยุติธรรม" พระที่รับทุนคือพระมหาสมบูรณ์ วุฒิกโร รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย

            พระมหาหรรษาเปิดเผยผ่านทางเฟซบุ๊กนาม "Hansa Dhammahaso" ความว่า สำหรับงานวิจัยเรื่อง "บทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" นั้น ได้เริ่มต้นศึกษาและรวบรวมข้อมูลมาตั้งแต่ตัดสินใจเข้าเรียนในหลักสูตรการเมืองการปกครองในระดับประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้าแล้ว โดยได้เจริญพร ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการตัดสินใจเข้าศึกษาหลักสูตรดังกล่าว เพื่อจะได้นำข้อมูลจากเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็น ส.ส. ส.ว. และข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนมาประมวลเป็นข้อมูลในการทำวิจัยเรื่องนี้

            การทำวิจัยเรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินทางไปศึกษา และสัมภาษณ์นักการศาสนา นักการเมือง และประชาชนบางส่วนในประเทศศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาเป็นกรอบในการกำหนด และตั้งคำถามว่า การเมืองคืออะไร พระสงฆ์ไทยว่าควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองได้หรือไม่ หรือเกี่ยวของในลักษณะใด จึงจะทำให้พระสงฆ์ได้วางบทบาทและสถานะของตนเองให้สอดคล้อง ถูกต้อง และเหมาะสมกับบริบท และสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

            เชื่อมั่นว่างานวิจัยเรื่องนี้จะทำให้ได้อีกหนึ่งคำตอบ หรือหนึ่งทางเลือกเพื่อที่จะบอกพระสงฆ์และสังคมไทยว่า แนวโนมบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" ควรจะมีทิศทางและแนวทางอย่างไร การตอบคำถามเหล่านี้ มิได้มีนัยเพื่อตัวพระสงฆ์หรือนักการเมืองไทยเท่านั้น หากแต่เป็นการวางสถานะ และจุดยืนของพระพุทธศาสนา เพื่อความตั้งมั่นและยั่งยืนของพระพุทธศาสนาทั้งในปัจจุบัน และอนาคตต่อไป

            ส่วนหัวข้อเรื่อง "พระสงฆ์กับสงครามที่ยุติธรรม" ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวข้อที่ร่วมสมัย และกลุ่มคนจำนวนมากกำลังอยากจะได้คำตอบว่า "พระสงฆ์สามารถทำสงครามเพื่อนำมาซึ่งความยุติธรรมได้หรือไม่?"

            "จะเห็นว่า หัวข้องานวิจัยทั้งสองเรื่องนี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก" พระมหาหรรษาระบุ

            เชื่อแน่ว่าผลงานวิจัยทั้ง 2 หัวข้อนี้จะได้เห็นภาพของนักการเมืองไทยเชิงพุทธเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นแบบอย่างของการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในไทยและทั่วโลกได้

.................

(หมายเหตุ : จุฬาฯถวายทุน'พระมหาจุฬาฯ' ทำวิจัย'พระกับการเมือง' : สำราญ สมพงษ์รายงาน)

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ชาวมอญฉุนนักเขียน'ศิริวร'นำเนื้อหา'หงส์'เป็นลายผ้าถุง

               ทราบกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับรางวัลซีไรต์ประจำปี 2555 ประเภทนวนิยาย คือ "คนแคระ" ของ"วิภาส ศรีทอง" จากทั้งหมด 7 เรื่องที่เข้าชิง

               แต่ผลพวงที่ตามมากับไม่ใช่เรื่อง "คนแคระ" กลับเป็นเรื่อง "โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า" ของ "ศิริวร แก้วกาญจน์"  ที่ถ่ายทอดชะตากรรมของพลเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน

               "ศิริวร"  กล่าวว่า  ข้อมูลเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ค้นเพิ่มเติมจากหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มมากทั้งประวัติศาสตร์พม่า ประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเรื่องคู่ขนาน 2 เรื่อง เดินไปจนสุดท้ายก็บรรจบกัน ระหว่างความเป็นคนนอก คนใน ก็หายไป ทั้งหมดก็คือนิยายเรื่องหนึ่ง

               จุดที่เป็นปัญหาก็คือเนื้อหาในหน้าที่ 181 ความว่า "...พอทูก็ตั้งสติกำราบเชื้อร้าย เช็ดหลังมือกับผ้าถุงลายหงส์กำลังร่อนบินไปสู่ดวงดาวห้าแฉก..."

               เนื่องจาก “หงส์” ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชนชาติมอญในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีตำนานผูกพันกับการสร้างเมืองหงสาวดีเมื่อปีพุทธศักราช 1116 รวมทั้งความเชื่อในทางพุทธศาสนา

               ปัจจุบัน ชาวมอญยังได้ใช้ “หงส์” เป็นสัญลักษณ์บนธงชาติ นั่นคือ “หงส์สีทองบินทะยานไปสู่ดวงดาวสีน้ำเงินบนผืนผ้าแดง”   การนำ "หงส์" ใช้เป็นลายผ้าถุงของเด็กหญิงกะเหรี่ยง จึงสร้างความไม่พอใจให้กับชาวมอญที่อยู่ในประเทศไทยและพม่าเป็นอย่างมาก

               ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2555 นางฉวีวรรณ ควรแสวง นายกสมาคมไทยรามัญ ได้ร่วมกันลงชื่อทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบต่อกรณีเนื้อหาในนวนิยายไม่เหมาะสมดังกล่าว เพราะไม่ต้องการให้เรื่องดังกล่าวนำมาซึ่งความขัดแย้งบานปลายภายในสังคมไทย รวมทั้งระหว่างพลเมืองของภูมิภาคที่จะเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ในฐานะประชาคมอาเซียนในอนาคตต่อไป

               "องค์ บรรจุน" นักเขียนเชื้อสายมอญ ให้ความเห็นผ่านไทยทีพีเอสว่า "หนังสือเล่มนี้เนื้อหาดี ข้อมูลหลากหลาย โดยรวมเขียนได้ดีเข้าใจชาติพันธุ์ของชนกลุ่มน้อยที่ถูกกระทำจากพม่า โดยมีเจตนาดีแต่การใช้สัญลักษณ์ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม"

               เมื่อเกิดความไม่พอใจเช่นนี้ "ศิริวร" ได้ชี้แจงผ่านทางเฟสบุ๊ก ขณะอยู่ประเทศอินโดนีเซีย และให้ความเห็นผ่านหน้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอมรับว่านวนิยายเล่มนี้อาจมีความผิดพลาดในขั้นตอนพิสูจน์อักษรบ้าง

               อย่างไรก็ตาม "เจน สงสมพันธุ์" นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "ขอแสดงความเสียใจที่บางเรื่องไปกระทบต่อความรู้สึกของชนชาติมอญ ซึ่งต้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายพบปะทำความเข้าใจกัน"

               นับเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยงประเด็นที่จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำสู่ความขัดแย้งที่ยากจะแก้ไข

...........

(ชาวมอญฉุนนักเขียน'ศิริวร' นำเนื้อหา'หงส์'เป็นลายผ้าถุง : สำราญ สมพงษ์รายงาน)

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

เชิญศาลพระภูมิไทยตั้งถึงถิ่น'สตีฟ จ็อบส์'

              จะเป็นความจริงขึ้นมาแล้วสำหรับคำถามที่ว่า "สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน"  หลังจากเว็บไซต์วัดธรรมกายได้เผยแพร่สารคดี ซึ่งพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย ระบุว่า   "สตีฟ จ็อบส์" ได้ไปเกิดเป็นภุมมเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ หรือตามที่ชาวบ้านเข้าใจก็คือเทวดาประจำศาลพระภูมิ ทำให้มีเสียงคัดค้านตามมา

              ขณะที่ "ราช รามัญ" ผู้มีผลงานด้านชีวิตหลังความตาย ได้คลอดหนังสือ "สตีฟ จ็อบส์ตายแล้วไปไหน" เช่นกัน ระบุว่า "สตีฟ จ็อบส์" ไม่ได้ไปเกิดที่เช่นนั้นแน่เพราะว่าเขานับถือพุทธศาสนานิกายเซน  เนื่องจากนิกายนี้ไม่มีนรก-สวรรค์    

              ล่าสุดมีการเชิญศาลพระภูมิไทยนำไปตั้งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นถิ่นของ "สตีฟ จ็อบส์" และสถานที่ตั้งนั้นก็พิเศษสุดเนื่องจากตั้งอยู่ในศูนย์ฝึกหน่วยรบพิเศษหรือที่เรียกว่าหน่วยซีล ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกในแผนปฏิบัติการปลิดชีพ "บิน ลาเดน"

              และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือว่า ทหารที่เป็นคนไทยในหน่วยซีลทำหน้าที่เป็นผู้ตั้งศาลพระภูมิดังกล่าวด้วย เพราะทหารไทยคนนี้มีตำแหน่งเป็นถึงอนุศาสนาจารย์คนแรกที่ประจำในกองทัพสหรัฐนามว่าร้อยเอกสมญา มาลาศรี

              การตั้งศาลพระภูมิในศูนย์ฝึกหน่วยรบพิเศษหรือซีลเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2555 ที่ผ่านมาโดยประกอบพิธีตามตำราไทยทุกประการ

              ร้อยเอกสมญาเปิดเผยว่า  ได้ไปทำพิธีตั้งศาลพระภูมิให้กับหน่วยรบพิเศษ (Special Forces Group) ในค่ายเดียวกัน หน่วยนี้ไปฝึกกับกองทัพไทย ที่เรียกว่า Cobra Gold แล้วได้นำศาลพระภูมิมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย จึงทำพิธีให้ เขาดีใจมากๆที่ตนไปทำพิธีให้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังให้ทหาร

              นับได้ว่าศาลพระภูมิไทยก้าวไกลถึงประเทศสหรัฐแล้ว



ศิษย์เก่า"มจร"สู่อนุศาสตร์คนแรกกองทัพสหรัฐ

              ร้อยเอกสมญา มาลาศรี เป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ มีชีวิตวัยเด็กเหมือนชาวบ้านทั่วไปและค่อนข้างจะเกเรนิดๆ เคยเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯตามโรงงาน พออายุ 17 ปี แม่ป่วยมากจึงตั้งใจบวชเณรเพื่อให้แม่สบายใจ

              สามเณรสมญาได้ท่องไปตามจังหวัดต่างๆขึ้นเหนือล่องใต้ถึงเมืองหาดใหญ่ เรียนนักธรรมบาลีที่วัดในวัง อ.นาทวี จ.สงขลา สอบได้เปรียญธรรมหรือประโยค 3  เข้ากรุงเทพฯอยู่ที่วัดโพธินิมิตรตลาดพลูสอบได้ประโยค 4 เรียนเตรียมอุดมศึกษาที่วัดมหาธาตุฯท่าพระจันทร์ และกศน.ควบคู่ไปด้วย

              หลังจากนั้นได้มีโอากาสไปเรียนภาษาอังกฤษที่ประเทศพม่าปี2535  เรียนได้ 1 ปีกลับมาเรียนต่อหลักสูตรปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย "มจร"  วิทยาเขตเชียงใหม่ ที่วัดสวนดอก  แต่เรียนได้เพียงเทอมเดียว เศรษฐีชาวพม่าที่เคยเป็นโยมอุปัฏฐากถวายทุนให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศศรีลังกา

              เพราะความไม่ชอบจึงเรียนได้เพียง 1 ปี จึงกลับเมืองไทยเรียนต่อที่ มจร วัดศรีสุดาราม คณะมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ จนจบรุ่นที่ 46 รุ่นเดียวกับพระมหาสมปอง ตาลปุตโต แล้วสมัครสอบเป็นพระธรรมทูตเดินทางไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จำพรรษาที่วัดพุทธวราราม เมืองเด็นเวอร์ และวัดสันติธรรมาราม รัฐโคโลราโด

              และได้ย้ายจากวัดสันติธรรมมารามไปอยู่ทีวัดธรรมคุณาราม เมืองเลซี่ย์ รัฐยูทาห์ ได้ไปเรียนต่อภาษาอังกฤษ ที่ Davis Apply Technology college  ช่วงนั้นมีทหารมาไห้วพระที่วัดก่อนที่จะไปสงครามที่ประเทศอิรัค คิดอยากจะเป็นทหารบ้างตามที่เคยตั้งความฝันไว้ตอนเป็นเด็ก จึงกลับมาลาสิกขาบทที่ประเทศไทยแล้วกลับไปอยู่ที่วัดป่าพุทยานันทาราม เมืองลาสเวกัส และได้ตัดสินใจสมัครเป็นทหาร

              ร้อยเอกสมญาได้ไปฝึกครั้งแรกที่ Fort Jackson รัฐเซาท์ แคโรไล่น่า แล้วเรียนต่อวิชาชีพต่อที่ Fort Lee รัฐเวอร์จิเนีย ได้ยศเป็นสิบเอก หลังจากนั้นถูกส่งไปประจำการที่ Hawaii หน่วยที่ประจำการอยู่นั้นถูกเรียกให้ไปปฏิบัติหน้าที่อิรัค และร้อยเอกสมญาก็ได้รับคำสั่งให้ไปอิรัคด้วย

              ร้อยเอกสมญา กล่าวว่า เมื่อตอนสมัครเป็นทหารใหม่ๆนั้น ก็สมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ด้วย และได้ติดยศร้อยตรีเหมือนกับประเทศไทย ขณะเดียวกันได้เดินเรียนต่อด้านเทววิทยา-อนุศาสนาจารย์แบบพุทธ (Master of Divinity in Buddhist Chaplaincy) ที่ University of the West in Los Angeles, California. และได้ไปเรียนโรงเรียนนายทหารที่ Fort Jackson, South Carolina. หลังจากจบแล้วได้มาประจำการที่ Joint Base Lewis-McChord เมือง Tocoma รัฐวอชิงตัน ในเดือนตุลาคม 2010  และได้ยศเป็นร้อยเอก 

              "ผมเป็นอนุศาสนาจารย์ชาวพุทธคนแรกที่เป็นทหารกองประจำการ โดยมีอนุศาสนาจารย์ชาวพุทธคนหนึ่งเขาเข้าเป็นหทารก่อนผมสองปี แต่ว่าเขาเป็น Army National Guard ถ้าบ้านเราก็คือ นักเรียน รด. แต่ว่าเขาได้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่อิรัคหนึ่งปี เขาเพิ่งจะเข้ามาเป็นทหารกองประการเมื่อปีที่แล้วนี้ ซึ่งเป็นหลังผมหนึ่งปี"  ร้อยเอกสมญา กล่าว

              นับได้ว่าร้อยเอกสมญา มาลาศรี นับเป็นคนไทยคนหนึ่งที่พัฒนาตัวเองจากเด็กบ้านนอกยากจน และพลิกชีวิตตัวเองจากการได้เข้ามาบวชในพุทธศาสนาเรียนจบประโยค 4 ปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิตที่ มจร เป็นพระธรรมทูต เพราะความอยากเป็นทหารจึงผันตัวเองเป็นทหารที่ประเทศสหรัฐและได้เป็นอนุศาสนาจารย์ครูสอนทหารคนไทยคนแรกของกองทัพสหรัฐ  นับเป็นเกียรติประวัติที่น่ายกย่องเผยแพร่เป็นแบบอย่างของคนดี

..................

(หมายเหตุ : เชิญศาลพระภูมิไทยตั้งถึงถิ่น'สตีฟ จ็อบส์' : สำราญ สมพงษ์ รายงาน)





วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

6ปีรัฐประหาร'ทักษิณ'ผู้เสียสละเทียบชั้น'ปรีดี'?

              19กันยายน2555 เป็นวันครบรอบ 6 ปีการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" หลังจากนั้นเจ้าตัวถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปีจากคดีที่ดินรัชดา มีสภาพเป็นนักโทษหนีคุก เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปตามหัวเมืองต่างๆ จนเกิดปัญหาทำให้ ป.ป.ช.สอบกระทรางการต่างประเทศกรณีการออกหนังสือเดินทางให้

              ตลอดระยะเวลา 6 ปีนี้กลุ่มคนเสื้อแดง และล่าสุด "สมเกียรติ อ่อนวิมล" ก็กวักมือเรียกให้ "ทักษิณ" กลับบ้าน แต่ "ทักษิณ" ทิ้งประโยชน์ส่วนตนมองประโยชน์ส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง จึงได้ประกาศไม่เดินทางกลับช่วงที่บ้านมีความขัดแย้งสูง ดังนั้น "ทักษิณ" จึงควรจะได้รับการยกย่องว่า "เป็นผู้เสียสละ" แล้ว

              หากจะให้ดีไปกว่านั้น "ทักษิณ" ควรจะประกาศยุติบทบาททางการเมือง ไม่ลวงลูกโผทหาร ไม่ชักใย "น้องสาว" ให้ถูกตราหน้าว่าเป็น "นายกฯหุ่นเชิด" ก็จะทำให้เธอได้รับการยกย่องว่าเป็น "นารีขี่ม้าขาว" เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็เป็นได้เพียง "นารีถือโพย" เท่านั้น

              และจะให้ดีไปกว่านั้น "ทักษิณ" ควรจะประกาศไม่เดินทางกลับประเทศไทยอีก ตามข้อเสนอของ "คณิต ณ นคร" ประธาน คอป.   ที่ระบุว่า "ถ้าอยากเป็นรัฐบุรุษ ต้องรู้จักคำว่าเสียสละ แม้ว่าจะไม่กลับประเทศ ก็สามารถเป็นรัฐบุรุษได้เช่นกัน เหมือนนายปรีดี พนมยงค์ ที่ทำงานเพื่อประเทศโดยที่ไม่เคยกลับประเทศ เพียงเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ"

              "ทักษิณ" ยอมรับข้อเสนอของ "คณิต" ก็จะกลายสภาพเป็น "State Man หรือ รัฐบุรุษ" เทียบชั้น  "ปรีดี พนมยงค์" ทันที

              หาก "ทักษิณ"  ไม่ยอมรับและยังดึงดันที่จะเดินทางกลับไทยโดยไร้ความผิดแล้ว อาจจะถูก "แผ่นดินสูบ" ก็เป็นได้ ในที่นี้คือ ถูกสูบจากความดีที่เสียสละมา ความเป็น "State Man หรือ รัฐบุรุษ" ให้หมดไป

              คำว่า "แผ่นดินสูบ" คงจะสามารถตีความได้ในลักษณะเช่นนี้ได้  อย่างเช่น "เสฐียรพงษ์ วรรณปก" เจ้าของคอลัมน์ "รื่นร่ม รมเยศ" ที่มติชน ได้เขียนเรื่อง " เมื่อคนชั่วถูกแผ่นดินสูบ" เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ยกกรณีผู้ที่แผ่นดินสูบเมื่อครั้งพุทธกาลคือ พระเทวทัตและนางจิญจมาณวิกา

              กรณีของพระเทวทัตอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ระบุว่า "มีข้อที่น่าสังเกตว่า ทั้งๆ ที่พระเทวทัตถูกประณามว่าเป็นมารร้ายคอยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า ชาวพุทธฝ่ายจีนเขายังถือว่า พระเทวทัตมีความสำคัญมิใช่น้อย ถึงกับยกย่องให้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง (ว่ากันอย่างนั้น เท็จจริงอย่างไรผมก็ยังไม่ได้เห็นหลักฐานชัดๆ) เขาอธิบายว่า พระเทวทัตยิ่งเลวร้ายต่อพระพุทธองค์เพียงใด พระพุทธคุณยิ่งเด่นชัดขึ้นในความรู้สึกของประชาชนเพียงนั้น ดุจดังจุดดำช่วยขับให้ผ้าขาวเด่นชัดขึ้นฉันนั้น"

              ขอเสริมอาจารย์เสฐียรพงษ์ตรงจุดนี้ก็คือว่า ตามพุทธประวัติแล้วช่วงที่พระเทวทัตจะถูกแผ่นดินสูบนั้นสำนึกผิดขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(อริยะ)เป็นที่พึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทำนายว่าด้วยอานิสงส์แห่งการสำนึกผิดนี้  พระเทวทัตหลังจากเสวยกรรมในนรกแล้วจะสั่งสมบารมีและบรรลุพระปัจเจกพุทธเจ้าในที่สุด            

              ส่วนกรณีของ "นางจิญจมาณวิกา" ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้าทำให้เธอตั้งครรภ์เพราะหวังจะทำลายชื่อเสียงของพระองค์ เมื่อพิสูจน์ความจริงปรากฏจึงถูกประชาทัณฑ์วิ่งหนีออกจากพระอารามและถูกแผ่นดินสูบ

              อาจารย์เสฐียรพงษ์ระบุว่า ถ้าไม่ตีความตามตัวอักษรคงจะหมายความว่า "นางคงวิ่งกะเล่อกะล่าหนีฝูงชนจนตกท่อประปา เอ๊ยตกหลุมตกบ่อตาย หรือไม่ก็คงถูกประชาชนรุมกระทืบตายคาเท้านั่นเอง"

              หาก "ทักษิณ"  ไม่ยอมรับข้อเสนอของ "คณิต" ตามการตีความไม่ตรงตามตัวอักษร อาจจะถูก "แผ่นดินสูบ" พลาดโอกาสการเป็น "State Man หรือ รัฐบุรุษ" จึงมองไม่เห็นว่าสังคมไทยจะเกิดความปรองดองเมื่อใด

............

(หมายเหตุ : 6ปีรัฐประหาร'ทักษิณ'ผู้เสียสละเทียบชั้น'ปรีดี'? : กระดานความคิดโดยสำราญ สมพงษ์)

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

มจรวิจัยพบบทสวดโพชฌงค์แก้'โรคซึมเศร้า'จากภัยพิบัติได้จริง

              น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับคนไทยเนื่องจากมีผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตสูงถึงกว่า  3  ล้านราย ทั้งโรคจิต โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคลมชัก  และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า ทั้งนี้จากการเปิดเผยของนายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2555ที่ผ่านมา

              ปัญหาเกิดจากโลกร้อนเกิดภัยพิบัติต่างๆ ตามมาทั่วโลก  ประเทศไทยก็มีการเปลี่ยนเป็นสภาพสังคมเมืองมากขึ้น เกิดภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วม  สุโขทัยระทม คนกรุงขวัญผวาฝนตกหนักทุกวันกลัวว่าน้ำจะท่วมอีก และสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าอีกอย่างหนึ่งก็คือ "น้ำลาย" จากนักการเมืองที่ด่ากันผ่านสื่อทุกวัน

              เมื่อสภาพสังคมไทยป่วยเป็นโรคจิตเช่นนี้จะอาศัยเพียงโรงพยาบาลโรคจิตก็คงจะไม่เพียงพอ แล้วบุคคลหรือหน่วยงานใดที่จะเป็นอาสาเข้ามาช่วย มองไปทั่วประเทศไทยก็เห็นมีแต่ลูกศิษย์ "นักจิตบำบัดที่เก่งที่สุดในโลก" ตามที่ ดร.เมล กิลล์ (Dr.Mel Gill)  นักจิตบำบัด ผู้รับขนานนามว่า  "นักพูดพันล้าน กูรูผู้สร้าง แรงบันดาลใจ"  ประกาศยกย่องนั้นก็คือ "พระพุทธเจ้า"

              พุทธวิธีบำบัดโรคจิตโดยเฉพาะโรคซึมเศร้านั้นก็มีทั้งการฝึกสมาธิ ฝึกอานาปานสติ และการสวดบทพระปริตร

              การสวดนั้นจะใช้บทใด เพราะบทสวดที่พระสวดนั้นก็มีทั้งเจ็ดตำนานและสิบสองตำนาน ซึ่งเรื่องนี้นางเบญญาภา กุลศิริไชย นักศึกษาปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้ทำการวิจัยในการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "การลดภาวะซึมเศร้าในผู้ประสบภัยพิบัติด้วยการรับบทสวดโพชฌงคปริตรเข้าจิตใต้สำนึก" และได้นำเสนอในการบรรยายสาธารณะเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่บัณฑิตวิทยาลัย "มจร" วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์  กทม.

              ผู้วิจัยได้นำเสนอว่า ลักษณ์ของผู้ประสบภัยพิบัติที่เกิดภาวะซึมเศร้าจะมีทัศนคติที่บิดเบือนไปในทางลบ และมีจิตใต้สำนึกจะต้านทานทุกอย่างที่เข้ามา ฉะนั้นถ้ามีวิธีการที่สามารถส่งข้อมูลเชิงบวกเข้าจิตใต้สำนึกได้โดยตรงที่ปราศจากการต้านทานจากจิตสำนึก น่าจะช่วยฟื้นฟูจิตใจลดภาวะซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี

              ผู้วิจัยได้ค้นคว้าข้อมูลพบว่า มีหลักการนี้เรียกว่า "ซับลิมินอล แมสเซส" (subliminal messages) เป็นการส่งข้อมูลต่างๆ เข้าจิตใต้สำนึกโดยที่จิตไม่สามารถต้านทานได้  และขั้นตอนของการวิจัยด้วยวิธีนี้ได้ใช้บทสวดโพชฌงคปริตรในการทดลอง เพราะถือกันมาว่าเป็นพุทธมนต์สำหรับสวดสาธยายเพื่อให้คนป่วยหายจากโรคทางกายและใจได้

              ผู้วิจัยได้ทดลองจากผู้ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์อุทกภัยในประเทศไทยปี พ.ศ.2554 ที่อพยพไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงจังหวัดนครปฐม โดยแบ่งคนที่มีภาวะซึมเศร้าออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 ให้ฟังเสียงเพลงธรรมชาติที่ซ่อนบทสวดโพชฌงคปริตรและคำแปล กลุ่มที่ 2 ฟังเสียงเพลงธรรมชาติเท่านั้น และกลุ่มที่ 3 ไม่ได้ฟังทั้งสองอย่าง ตลอด 7 วัน

              หลังจากนั้นทำการประเมินปรากฏว่ากลุ่มที่ 1 มีสภาวะซึมเศร้าลดลงและเพิ่มความรู้สึกสุขภาวะทางจิตได้ อีกทั้งยังส่งผลต่อเนื่องในระยะยาวนาน ส่วนกลุ่มที่ 2 มีสภาวะซึมเศร้าลดลงและเพิ่มความรู้สึกสุขภาวะทางจิตได้ แต่ไม่ส่งผลต่อเนื่องเหมือนกลุ่มที่ 1  ส่วนกลุ่มที่ 3 มีภาวะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร

              ทั้งนี้ผู้ที่ฟังบทสวดโพชฌงคปริตรนั้นมีความรู้สึกสุขภาวะทางจิตด้านความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นมิตร ร่าเริง มีจิตใจเข้มแข็ง มีสมาธิเพิ่มขึ้น

              จากผลการทำ "ซับลิมินอล แมสเซส" ด้วยฟังบทสวดโพชฌงคปริตรดังกล่าวสอดคล้องกับการทดลองของนักจิตบำบัดในต่างประเทศเช่น สตาร์ค(Stark)  ไคล์น โฮลท์ และคีย์

              อย่างไรก็ตามผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่าผู้สวดโพชฌงคปริตรก็ต้องมีองค์ประกอบคือ มีจิตเมตตา มุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง (ไม่ใช่มุ่งหวังแต่สตางค์)  สวดไม่ผิด และรู้ความหมายของบทสวดด้วย ขณะที่ผู้ฟังก็ต้องมีองค์ประกอบเช่น ไม่เคยทำกรรมหนักหรืออนันตริยกรรม ไม่มีมิจฉาทิฏฐิอย่างเช่นรับได้กับผู้บริหารที่ทุจริต โกงกินเป็นต้น  และมีความเชื่อมั่นในอานุภาพของโพชฌงคปริตร

              จากผลการวิจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าคำสอนสามารถนำไปแก้ปัญหารักษาโรคซึมเศร้าได้เจริง นับเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ ตามที่ สกอ.ได้ตั้งความหวังเมื่อคราวเดินทางไปประเมินผลการจัดการศึกษาของ "มจร" ระหว่างวันที่ 12-14 ก.ย.ที่ผ่านมา

              แต่หากต้องการที่จะทราบพุทธวิธีในการบำบัดทางจิตมากยิ่งขึ้นวันที่ 27 ก.ย.ที่จะถึงนี้ทาง "มจร"  จะจัดงาน 65 ปีของคณะพุทธศาสตร์ ที่ "มจร" อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยจะมีการปาฐกถาพิเศษและเสวนาวิชาการเรื่อง "เหลียวหลังแลหน้าพุทธศาสตร์ในประชาคมอาเซียน" ซึ่งมีผู้ร่วมเป็นวิทยากรประด้วยพระธรรมโกศาจารย์อธิการบดี พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต และมีนายกฤษณะ ไชยรัตน์ แห่งเครื่องเนชั่นเป็นผู้ดำเนินรายการ


 สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

เปิดมิติใหม่ผู้นำศาสนาอาเซียนร่วมแก้ขัดแย้ง

              กระแสความขัดแย้งระหว่างศาสนานับวันจะยิ่งทวีความรุ่นแรงมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีชาวมุสลิมทั่วโลกได้ลุกฮือขึ้นประท้วงหนังหมิ่นศาสนาอิสลาม ขณะเดียวกันก็มีความกระทบกระทั้งกันระหว่างชาวมุสลิมกับพุทธอย่างเช่นที่ พม่า อินเดีย และมาเลเซีย หรือชาวพุทธกับคริสต์ หากผู้นำแต่ละศาสนาไม่จับมือกับดับไฟเสียแต่ต้นลมแล้ว ก็ยิ่งจะเกิดผลเสียกับชาวโลก

             นับเป็นมิติหมายอันดีที่ผู้นำศาสนาในภูมิภาคอาเซียนได้มีการประชุมปรึกษา หารือกันระหว่างวันที่ 17-19 ก.ย.ที่ผ่านมา ในการสัมมนานานาชาติ เรื่อง "ศาสนากับกระบวนการสร้างสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน"  ซึ่งจัดโดยศาสนาสันนิบาตโลกมุสลิม สภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ณ โรงแรมเดอะสุโกศลหรือโรงแรมสยามซิตี้เดิม  อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งโครงการนี้ยังเป็นการรองรับการก้าวสู่ "ประชาคมอาเซียน" หรือ ASEAN Community ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) อีกด้วย

              งานนี้มีวิทยากรสำคัญที่เข้าร่วมการสัมมนา อาทิ นายอับดุลเลาะห์ บิน อับดุลมุหชิน อัล ตุรกี เลขาธิการสันนิบาตโลกมุสลิม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช พระราชวราจารย์ ประธานร่วมศาสนาเพื่อสันติภาพ สภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย (RfP - IRC Thailand) สมเด็จพระสังฆราช Tep Vong (กัมพูชา) ประธานร่วมศาสนาเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ

               Mr. Myint Swe จากมูลนิธิรัตนเมตตา สหภาพพม่า อัครสังฆราช Fernando Capalla จากฟิลิปปินส์ สังฆราชแห่งมินดาเนาและประธานกิจการระหว่างศาสนาและระหว่างชาวคริสต์ของ สหพันธ์สภาสังฆราชแห่งเอเชีย Dr.Nyoman Udayana Sangging กรรมการบริหารของสมาคมฮินดูแห่งอินโดนีเซีย พระอาจารย์ภูสวรรค์ รองประธานพุทธศาสนสัมพันธ์ประเทศลาว Sadsr V. Harcharan Singh ประธานสภา Gurdwards แห่งมาเลเซีย Prof. Dr. Philip K Widjaja รองเลขาธิการพุทธสมาคมแห่งอินโดนีเซีย Huji Mohamad Idris ประธานชุมชนอิสลามในกรุงโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม Dr. Yabit Alas คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรูไนดารุสซาลาม Sister Maria Law ประธานองค์กรระหว่างศาสนาแห่งสิงคโปร์ เป็นต้น

              สำหรับฝ่ายไทยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีวิทยาลัยอิสลามยะลา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายกสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผศ.สุกรี หลังปูเต๊ะ คณบดีคณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ร่วมในการสัมมนาและให้การต้อนรับคณะวิทยากรจากต่างประเทศ
  
           ทั้งนี้สภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้นำศาสนาในพื้นที่ 5 ศาสนา คือ อิสลาม พุทธ คริสต์ ซิกข์ และฮินดู เพื่อเป็นเวทีและสะพานเชื่อมระหว่างผู้นำศาสนารวมทั้งประชาชนทั่วไปในการนำ หลักการทางศาสนาที่ถูกต้องมาใช้ในกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยเปิดโอกาสให้แต่ละศาสนาในพื้นที่เสนอทางออกในมิติของการอยู่ร่วมกันอย่าง สมานฉันท์และสันติสุข

              แนวแนวคิดจัดการสัมมนานานาชาติระดับอาเซียนในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้นำศาสนาทั้ง 5 ศาสนาในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน และนำตัวอย่างอันดีตลอดจนประสบการณ์ในการจัดการความขัดแย้งทางศาสนาหรือความ ขัดแย้งอื่นๆ ที่สามารถใช้หลักการและกระบวนการทางศาสนาเข้าไปเยียวยาไปใช้แก้ไขปัญหาความ ขัดแย้งในแต่ละพื้นที่ของอาเซียน รวมทั้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยต่อไป

              งานสัมมนาเริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 17 ก.ย. โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดแทนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า ศาสนาถือเป็นกระบวนการสำคัญในการแก้ไขปัญหาทางสังคม  ตนคิดว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เกิด จากศาสนาและเกิดจากการเมืองมากกว่า เพราะไทยเปิดโอกาสให้ทุกคนในทุกศาสนิกมีโอกาสเท่ากันในการเข้ามาบริหาร ประเทศ ที่ผ่านมามีผู้บริหารระดับประเทศที่เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม เช่น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภา และรมว.มหาดไทย  นอกจากนี้ยังมีผู้ว่าฯที่เป็นมุสลิมก็มี จึงขอยืนยันว่าปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ไม่ใช่ความขัดแย้งทางด้านศาสนา แต่เป็นปัญหาความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ และ ความรู้สึก
 
            วันอังคารที่ 18 ก.ย.เป็นการเสวนาเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือและการสานเสวนาระหว่างศาสนา เพื่อแปลงเปลี่ยนความขัดแย้งและสร้างสันติภาพในประเทศอาเซียน, การสร้างเครือข่ายศาสนาเพื่อสันติภาพในอาเซียน และการประชุมกลุ่มย่อยซึ่งมีหัวข้อน่าสนใจ เช่น แบ่งปันความสำเร็จในการจัดการความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับศาสนา, ความเป็นสมัยใหม่และความสมานฉันท์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ศาสนา และความขัดแย้งและบทบาทของศาสนา: กรณีศึกษาของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น

              หลังจากนั้นวันพุธที่ 19 ก.ย.คณะผู้นำศาสนาเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงเช้าร่วมสัมมนาที่มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มีวงประชุมร่วมกับคนในพื้นที่เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งและการใช้หลักศาสนา ในการจัดการความขัดแย้ง โดยจะมีการร่วมแถลงข่าวของผู้นำศาสนาในประเทศอาเซียนด้วย

              เชื่อแนวทางแนวทางการปรึกษาหารือกันพูดคุยกันนี้จะสามารถสร้างสันติภาพให้ เกิดขึ้นในโลกได้ มากกว่าการโพทนาด่าท่อกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานสัมมนาลักษณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ

 (หมายเหตุ  : ขอบคุณข้อมูลจาก thaipbs.or.th และศูนย์ข่าวภาคใต้สำนักข่าวอิศรา isranews.org/south-news)

สำราญ สมพงษ์รายงาน 

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

หมอเปรมเผยเคล็ดลับ'รวยโดยสุจริต'


              เพราะคำว่า "รวย" ทำให้มนุษย์เกิดมาแล้วต่างแสวงหาไปตามอัตภาวะของแต่ละบุคคล ดำบ้าง ขาวบ้าง เทาๆบ้าง สุจริตบ้าง  ทุจริตบ้าง บางคนหาคำนี้มาตลาดชีวิตก็ไม่พบ หรือพบแล้วก็ไม่มีเวลาที่จะใช้ตายไปก่อนก็มาก

             เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่บูชาคำว่า "รวย" จึงทำให้ไม่สนใจถึงวิธีการของการได้มา  ทำให้ผลสำรวจความเห็นของโพลล์สำนักต่างๆ ออกมาว่าคนส่วนใหญ่รับได้กับผู้บริหาร คนรวย ที่ทุจริต คอรัปชั่น แม้นแต่คนรุ่นใหม่ก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว

              สาเหตุมาจากอะไรเพราะไม่รู้วิธีที่จะแสวงหาคำว่า "รวยโดยสุจริต" ใช่หรือไม่

              หากยังไม่รู้คำว่า "รวยโดยสุจริต" ทำอย่างไร นายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตส.ส.ขอนแก่น ปริญญาโท สาขาพระพุทธศาสนาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) มีคำแนะในหนังสือ "คิดเป็นทำจริงคุณก็รวยได้" จากปราชญ์สำนักพิมพ์ ที่มีนายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของอาณาจักรโบนันซ่าเขาใหญ่เป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

              นายแพทย์เปรมศักดิ์ได้เปิดตัวหนังสือเล่มนี้เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2555 ที่ร้านหนังสือ B2S เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี "อวัสดา ปกมนตรี" พิธีกรสาว ผู้ประกาศข่าวชื่อดังในอดีต ทำหน้าที่เป็นพิธีกรแนะนำและยิงคำถาม ซึ่งมีผู้ไปร่วมงานมากพอสมควร นายแพทย์เปรมศักดิ์ได้ได้ให้มุมมองแนวคิดในการทำหนังสือช่วงที่พักเวทีการเมืองมาสู่การเป็นนักเขียน นำเอาความรู้ประสบการณ์ชีวิตมาถ่ายทอด

              นายแพทย์เปรมศักดิ์ได้ให้บัญญัติ 10 ประการของการแสวงหาคำว่า"รวยโดยสุจริต" คือ

              1.การทำธุรกิจอันใดต้องมีความรู้เป็นอย่างดีก่อนลงมือทำ 2. นักธุรกิจต้องไม่ละเลยเป้าหมายของธุรกิจส่วนใหญ่นั่นก็คือผลิตสินค้าและบริการให้ดีขึ้นเรื่อยๆ 3.ปรับปรุงเพิ่มการผลิตให้มากขึ้นและลดต้นทุนค่าใช้จ่าย 4.นักธุรกิจต้องวางหลักปฏิบัติว่าต้องประหยัดทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำธุรกิจ จงหาเงินก่อนแล้วจึงคิดเรื่องใช้ 5. อย่ามองข้ามโอกาสขยายงานแต่ไม่มากเกินไปหรือขาดการวางแผนที่ดี

              6.นักธุรกิจต้องดำเนินกิจการเองและตรวจสอบอย่างใกล้ชิด 7. นักธุรกิจต้องตื่นตัวที่จะปรับปรุงสินค้าบริการอยู่เสมอ 8.นักธุรกิจต้องเต็มใจที่จะเสี่ยง 9.นักธุรกิจต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆอยู่เสมอๆ และ10.สร้างความเชื่อถือให้กับสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นมา

              หลังจากนั้นนายแพทย์เปรมศักดิ์ได้แนะนำวิธีการของนักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จถึงระดับเศรษฐี รวมถึงธุรกิจที่น่าลงทุนอย่างเช่น การเล่นหุ้น ซึ่งต้องศึกษาหาความรู้แต่ไม่ใช่รวยด้วยการปั่นหุ้น ธุรกิจที่ดินและศิลปวัตถุที่ต้องแสวงหามาด้วยสุจริตไม่ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อการได้มา

              หากพิจารณาเนื้อหาในหนังสือ "คิดเป็นทำจริงคุณก็รวยได้"  ไม่มีประโยคไหนที่แนะนำให้รวยด้วยวิธีโกง ทุจริต คอรัปชั่น แต่มีเนื้อหาที่เข้าหลักอิทธิบาท 4 ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา  มีความชอบที่จะทำธุรกิจสีขาวอย่างขยันมั่นเพียร จิตใจแน่วแน่โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา

              และเข้าหลักของหัวใจเศรษฐดี 4 ประการคือ อุ อา กะ สะ นั้นก็คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ อันได้แก่

              1.อุฏฐานสัมปทา มีความขยั่นมั่นเพียรในการทำธุรกิจ  2.อารักขสัมปทา รู้จักใช้คำว่า "รวย" ให้เป็นประโยชน์กับตนและสังคม โดยรู้จักการแบ่งปัน  3.กัลยาณมิตตตา  รู้จักเลือกคบบัณฑิตไม่คบคนชั่วหรือคนพาลาในคาบบัณฑิต  4.สมชีวิตา ดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาท คือ รู้จักคำว่าพอเพียง

              เหล่านี้คือเคล็ดลับในหนังสือ "คิดเป็นทำจริงคุณก็รวยได้"  นับเป็นการรวยโดยสุจริตโดยแท้ โดยไม่ต้องใช้อำนาจหน้าที่โกง กิน ทุจริต คอรัปชั่น อย่างใด



....................

สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

'เสธ.หนั่น-เจ๊หน่อย'สร้างอาราม ชวนนักการเมืองหันหน้าเข้าวัด


               วันที่ 7 เดือนกันยายน พ.ศ.2555 เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 77 ปีของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา โดยเปิดบ้านสนามบินน้ำให้บุคคลต่างๆ เข้าอวยพร
              สิ่งที่พล.ต.สนั่นฝากก็คือ อยากให้นักการเมืองมีความรักความสามัคคีกัน หันหน้าเข้าสู่ความปรองดองเพื่อความเจริญของประเทศ และขอให้อภัยซึ่งกันและกัน มาเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่า

              ขณะเดียวกันพล.ต.สนั่น ก็ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนกำลังเตรียมสร้างวัดที่จังหวัดปทุมธานี โดยใช้พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ อยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเป็นพื้นที่ของวัดกกบริเวณรังสิต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและยังไม่มีชื่อวัดอย่างเป็นทางการ

              “ผมอยากสร้างวัดเพราะช่วงนี้ก็บั้นปลายชีวิตแล้ว อยากให้คนเข้าวัดกันมากๆ โดยเฉพาะนักการเมือง อยากให้หันหน้าเข้าวัดกันมากขึ้น อย่าทุกข์ อย่าเครียด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”พล.ต.สนั่น กล่าว
              ขณะเดียวกันคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ได้ประกาศที่จะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ  ในนามพรรคเพื่อไทยโดยให้เหตุผลต้องการที่จะบูรณะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ประเทศนปาล จึงขอทำงานที่ยิ่งใหญ่ในการรับใช้พระพุทธศาสนา
              นับว่าเป็นสิ่งที่ดียิ่งที่บุคคลทั้งสองมีกุศลจิตสร้างสมบารมีในบั้นปลายของชีวิต แต่หากมีกำลังจะสร้างบารมีเพิ่มก็ขอแนะคือการสนับสนุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ โดยเฉพาะยิ่งที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ที่มีพระนิสิตนักศึกษาเรียนอยู่ทั้งพระและคฤหัสถ์หลายพันรูป/คน
              มีศิษย์เก่าผู้ที่จบการศึกษาแห่งนี้ที่เป็นนักการมืองก็หลายคนที่สังกัดพรรคเพื่อไทยอย่างเช่น ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง นายอดิศร เพียงเกษ จบถึงระดับปริญญาเอก นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกรัฐบาล ที่มีผลงานวิจัยเรื่อง "สัมมาวาจากลไกสร้างความปรองดอง" ที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์อย่างเช่นนายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก และที่กำลังศึกษาอยู่ก็อย่างเช่นพระรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรมว.สามารณสุข
              และที่สำคัญก็คือมหาจุฬาฯได้เปิดโครงการหลักสูตรสันติศึกษาพร้อมกับหลักสูตรผู้นำเชิงพุทธระดับปริญญาเอกขึ้น เชื่อแน่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติและทั่วโลกได้ สอดคล้องอดีตผู้นำเอเชียและผู้มีบทบาทสำคัญด้านการกำหนดนโยบายสาธารณะระหว่างประเทศ เตรียมจัดตั้งสภาสันติภาพและปรองดองแห่งเอเชีย (เอพีอาร์ซี) ขึ้น โดยมีเป้าหมายช่วยส่งเสริมสันติภาพในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
              ขณะเดียวกันมหาจุฬาฯเป็นสถานการศึกษาของคณะสงฆ์ที่เปิดการศึกษามาเกือบร้อยปีแล้ว และคณะแรกที่เปิดก็คือคณะพุทธศาสตร์โดยจะมีการจัดงาน 65 ปีของคณะในวันที่ 27 กันยายนนี้ที่มหาจุฬาฯ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยจะมีการปาฐกถาพิเศษและเสวนาวิชาการเรื่อง "เหลียวหลังแลหน้าพุทธศาสตร์ในประชาคมอาเซียน" ซึ่งมีผู้ร่วมเป็นวิทยากรประด้วยพระธรรมโกศาจารย์อธิการบดี พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต และมีนายกฤษณะ ไชยรัตน์ แห่งเครื่องเนชั่นเป็นผู้ดำเนินรายการ
              จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งพล.ต.สนั่น คุณหญิงสุดารัตน์ และผู้ไปร่วมงาน  65 ปีคณะพุทธศาสตร์มหาจุฬาฯ ได้สร้างสมบารมีเพิ่มจนสามารถได้ดวงตาเห็นธรรม ลดความยึดมั่นถือมั่นจากการแบ่งสีแบ่งฝ่าย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง หากชวนคนที่อยู่แดนไกลมาสร้างบารมีด้วยก็จะดีไม่น้อย
.............................
สำราญ สมพงษ์รายงาน




วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

เมินอภัยทานมุ่ง'อภัย-นิรโทษ'ปรองดองไม่เกิด

              ขณะนี้ทุกฝ่ายต่างก็บอกว่า ต้องการเห็นการยุติความขัดแย้ง เลิกเล่นกีฬาสี สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ

              ฝ่ายรัฐบาลเองก็หวังเป็นฐานในการแก้ปัญหามุ่งพัฒนาประเทศไปข้างหน้า ไม่ติดหล่มอย่างเช่นทุกวันนี้ ขณะเดียวกันก็ยังจ่อ พ.ร.บ.ปรองดองคาไว้ในวาระการประชุมสภา พร้อมมอบให้สถาบันพระปกเกล้าและมหาวิทยาลัยต่างๆถามความเห็นประชาชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

              ส่วนฝ่ายค้านเองก็ค้านสมชื่อกลัวว่าฝ่ายรัฐบาลจะซ่อนเงื่อน ลักไก่ อภัยโทษ นิรโทษกรรมให้กับคนบ้างคนที่อยู่แดนไกล

              การเมืองไทยจึงเป็นคู่ขนาน  ไม่สงวนจุดต่างประสานจุดร่วมที่เป็นประโยชน์ของชาติ  ไม่พิจารณาผลการกระทำของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไร ตั้งหน้าตั้งตาตำหนิไว้ก่อนหรือสักว่าเป็นข่าว

              ประเทศไทยถือ(ดี)ว่าเป็นเมืองพุทธ จนกระทั้งมีการเคลื่อนไหวให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่จะมีคนไทยสักกี่เปอร์เซนต์ที่เข้าใจหลักธรรมพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

              ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ชอบให้ทานทำบุญตักบาตรก็นับได้ว่าเป็นชาวพุทธที่ดีระดับหนึ่ง จนกระทั้งต้องมีทหารคอยคุ้มครองพระไปบิณฑบาตทาง  3 จังหวัดชายแดนใต้

              แต่การให้ทานในพระพุทธศาสนานั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1. อามิสทานหรือวัตถุทาน การให้วัตถุสิ่งของต่างๆ  2. ธรรมทาน การให้พระธรรมคำสั่งสอน และ 3. อภัยทาน การให้อภัยแก่คนที่เราโกรธ หรืออาฆาตพยาบาท หรือสัตว์อื่นๆ นับเป็นทานที่น่ายกย่อง

              ดูเหมือนว่าชาวพุทธไทยนิยมที่จะทำทาน 2 ประเภทคือ อามิสทานและธรรมทาน แต่สำหรับอภัยทานแล้วไม่ค่อยอยากให้กันเท่าใดนัก

              นอกจากนี้ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนายังให้ความสำคัญกับผู้ที่จะรับทานด้วย หากผู้รับทานเป็นผู้บริสุทธิ์ผลของทานนั้นก็จะมีมาก ตรงกันข้ามถ้าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ก็จะมีผลน้อย ดังนั้น หากมีการอภัยทานแล้วผู้รับนั้นก็ต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยเช่นเดี่ยวกัน  หรือต้องทำให้ตัวบริสุทธิ์ต้องมีความสำนึกด้วย ผลแห่งการปรองดองก็จะเกิดขึ้น

              ประเด็นของ "อภัยทาน" สามารถนำไปสู่ความปรองดองได้ ซึ่งพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) นักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปปร) รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้า ได้เขียนบทความเรื่อง ''อภัยทานกับความจริง การอภัยโทษ และการนิรโทษกรรม'' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง "อภัยทานในฐานะเป็นเครื่องมือสร้างความปรองดองในสังคมไทย" ซึ่งผ่านการอนุมัติจากสถาบันพระปกเกล้าแล้ว และมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1424&menutype=1&articlegroup_id=276)

              เนื้อหาในบทความนั้น พระมหาหรรษาได้อ้างอิงความเห็นของศ.ดร.คณิต ณ นคร ที่ให้ความสำคัญกับ "อภัยทาน" ที่สอดคล้องกับความเห็นของนายเนลสัน เมนเดลล่า อดีตผู้นำแอฟริกาใต้ ที่จะนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ พร้อมกับนิยามความหมายของคำว่า "อภัยทาน" "อภัยโทษ" และคำว่า "นิรโทษกรรม" มีนัยยะเหมือนและแต่ต่างกันอย่างไร รวมถึงแนวทางการปฏิบัติไปสู่เป้าหมาย

              พระมหาหรรษาได้ระบุในบทส่งท้ายของบทความโดยสรุปว่า "อภัยทาน" นับเป็นหลักการที่สำคัญประการหนึ่งที่สังคมตะวันตกและพระพุทธศาสนาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสในประเด็นนี้ว่า "อภัยทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด" ความปรองดองที่แสดงตัวผ่านการอภัยโทษและการนิรโทษกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากการให้อภัยยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในเบื้องต้น

              บทความเรื่อง "อภัยทานกับความจริง การอภัยโทษ และการนิรโทษกรรม'' น่าจะเป็นหลักคิดที่จะนำไปสู่กระบวนการของสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ แต่หากสังคมการเมืองไทยยังเมินอภัยทานมุ่งแต่จะอภัยโทษ นิรโทษกรรม ก็เชื่อแน่ว่าความปรองดองจะไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้สามารถศึกษารายละเอียดจากลิ้งค์บทความดังกล่าว

สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

พุทธสันติวิธีแก้ขัดแย้ง(การ)เมืองไทยได้จริงหรือ?




             ปัญหาความขัดแย้งแบ่งสีแบ่งฝ่ายขาดความสามัคคีที่เกิดขึ้นให้สังคมไทยปัจจุบัน  ยังไม่มีแนวโน้มจะที่ประสานรอยร้าวให้กลับคืนมาเหมือนเดิมได้

             หากปล่อยไว้เช่นนี้มีแต่จะเป็นตัวถ่วงพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ แล้วทุกวันนี้เรามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหานี้กันหรือยัง หรือจะเป็นเชื้อเพลิงเติมความขัดแย้งไปเรื่อยๆจนยากที่จะเยียวยา

             หากยังไม่เห็นแนวทางพลเอกภณ วนากมล อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อนสนิทของพันเอกวินัย สมพงษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอแนวคิดผ่านทางเฟซบุ๊คเรื่องหนังเกาหลี ที่ระบุโดยสรุปว่า เขาสร้างมีสาระและชวนให้ติดตาม

             การสร้างชาติสมัยใหม่ต้องมีวิธีคิดที่เรียกว่า"ยุทธศาสตรการสร้างชาติ"ซึ่งมีให้เห็นคือประเทศสิงคโปร์และเกาหลีใต้จะมีที่มาไม่เหมือนการสร้างชาติในสมัยโบราณ เขาจะกำหนดเป้าหมายของชาติส่วนรวมขึ้น และแยกแขนงที่เป็นองค์ประกอบเป็นเรื่องๆไป และทำแผนยุทธศาสตร์ให้นำไปปฏิบัติโดยสอดคล้องประสานกัน

             "ที่ทำสำเร็จเพราะเกาหลี รักชาติรู้คุณค่าของบรรพบุรุษ ที่สละชีวิตในสงครามที่โหดร้ายในอดีต ผมจึงถามตัวเองว่า ขณะนี้ชาติไทยมีเกียรติและเป็นที่ยอมรับจากต่างชาติในเรื่องอะไร  ถ้าคนไทยกับเกาหลีหรือสิงคโปร์อยู่ด้วยกัน เขาจะเชื่อถือใครมากกว่ากัน?.."อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ระบุ

             ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาได้ดูคลิปหนังเกาหลีที่นำวีรบุรุษโบราณมาเป็นตัวพล็อตเรื่อง อย่างจูมงมหาบุรุษกู้บัลลังก์โซซอนโบราณให้กลับมาเกรียงไกร และเรื่องมูยุน ได้เห็นตัวเอกของเรื่องทิ้งความแค้นส่วนตัวแม้กระทั้งผู้ที่ฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง แล้วจับมือกันร่วมต้านชนชาติที่เข้ามาปกครองแบบกดขี่ มีอุดมการณ์แน่วแน่ และเทคนิควิธีที่จะใช้ในการกู้ชาติ

             แล้วประเทศไทยจะเริ่มที่จุดใด ซึ่งก็คงหนี้ไม่พ้นที่จะต้องเริ่มที่สถานการศึกษา แม้ว่าบางแห่งจะลงไปเล่นกีฬาสีด้วยก็ตาม

             สถานศึกษาหลายแห่งได้ตั้งสถาบันสันติศึกษาขึ้นมา รวมถึงสถาบันพระปกเกล้าที่ตั้งสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล เปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรหลายรุ่นแล้ว และหนึ่งในนักศึกษาจำนวนนั้นก็คือพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  อันเป็นที่มาของผลงานหนังสือเรื่อง "ปัญจสดมภ์: ค่านิยมแห่งชาติ" และ"พุทธสันติวิธี"

             ขณะเดียวกันพระมหาหรรษายังได้ผลักดันให้มีการเปิดหลักสูตรสันติศึกษาขึ้นใน "มจร" ล่าสุดสภาวิชาการก็ได้อนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

             พระมหาหรรษา กล่าวในเฟซบุ๊คว่า เนื้อหาของหลักสูตรนี้จะเริ่มต้นศึกษาภาคทฤษฎี เช่น วิชาเกี่ยวกับสันติภาพ ความขัดแย้งและความรุนแรง พัฒนาการความขัดแย้งและสันติภาพในโลกยุคใหม่ พุทธสันติวิธี กระบวนการสร้าง และรักษาสันติภาพ สันติสนทนา ผู้นำเพื่อสันติภาพ ขันติธรรมทางศาสนา และองค์กรสันติภาพระหว่างประเทศ ส่วนภาคปฏิบัติจะเป็นการเน้นการสร้างทักษะในการเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง ทั้งในศาล และกรณีขัดแย้งในชุมชุมชนต่างๆ

             โดยการนำเครื่องการสื่อสาร และการใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาสนับสนุนกระบวนการปฏิบัติในสถานการณ์จริง อีกทั้งเน้นดูสถานการณ์ความขัดแย้ง และความรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ ที่ครอบคลุมถึงมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

             หลักสูตรนี้จะเปิดรับสมัครตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 เน้นทั้งสารนิพนธ์ และวิทยานิพนธ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศักยภาพของนิสิต และอาจารย์ที่ปรึกษา โดยมีคณาจารย์บรรยายประกอบผู้เชี่ยวชาญด้านสันติภาพจำนวนมาก เช่น พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดี"มจร" พระไพศาล วิสาโล  ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ พลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ จากสถาบันพระปกเกล้า  นายนพพร โพธิรังสิยากร ผู้พิพากษาศาลอาญา ดร.พศวัจน์ กนกนาค ผู้พิพากษาศาลฏีกา

             หลักสูตรนี้เป็นการร่วมมือระหว่างมหาจุฬาฯ สถาบันพระปกเกล้า ศาล องค์กรสันติภาพต่างๆ ในประเทศและต่างประเทศ

             "การเมืองในปัจจุบัน ควรเป็นการเมืองแบบเมตตา (Compassionate Politics) ไม่ใช่ การเมืองแห่งการทำลายล้าง หรือ ประหัตประหารกัน เพราะผลเสียจะไม่ตกอยู่กับนักการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ที่จะได้รับผลทุกข์หรือผลเสียนั้น คือประเทศชาติและประชาชนไทยทั้งหมดซึ่งเป็นที่มาของนักการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น"

             พระมหาหรรษาได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเมืองผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่ผ่านมา น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีแนะเป็นทางแนวในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในการเมืองและสังคมไทยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางแห่งพุทธสันติวิธี

'หมอเปรม'คลอดหนังสือ'คิดเป็น ทำจริง คุณก็รวยได้'

            

             คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักการเมืองจะเขียนหนังสือหรือมอบให้คนอื่นเขียนแล้วจัดพิมพ์จำหน่วย บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตบนถนนการเมืองของตัวเอง

             ดร.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตส.ส.ขอนแก่น สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ทำเช่นนั้น โดยอาศัยช่วงที่ว่างเว้นในหน้าที่การเมือง

             หนังสือของนพ.เปรมศักดิ์แทนที่จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองแต่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำธุรกิจการหาเงินโดยให้ชื่อว่า "คิดเป็น ทำจริง คุณก็รวยได้" โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 10 กันยายนนี้ ณ ร้านหนังสือ B2S ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ล ชั้น 3 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป โดยวันดังกล่าวจะมีการสนทนากับแขกรับเชิญ...นักขายพันล้าน "สมพร ทิมแสง" เจ้าของตำนานสู้แล้วรวยและบุคคลสำคัญอีกคับคั่ง ขณะนี้ก็มีการว่างขายตามร้านหนังสือบ้างแล้ว

             "เรื่องง่ายๆ ที่บางครั้งเราไปตั้งโจทย์ให้มันยาก มันก็เลยหาคำตอบได้ยาก ความสำเร็จอยู่ข้างหน้าเรา...หากเรามุ่งมั่นและทำจริงกับสิ่งนั้น ความสำเร็จที่ได้มาจากความสุจริต คือ ความสุขที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง...." ดร.นพ.เปรมศักดิ์ ได้ระบุในเฟซบุ๊คและว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากกว่า

             เมื่อถามว่าตอนนี้นพ.เปรมศักดิ์รวยหรือยังก็ได้รับคำตอบว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก

.......

(หมายเหตุ : หมอเปรมศักดิ์คลอดหนังสือ "คิดเป็น ทำจริง คุณก็รวยได้" แนววิธีแก้ปัญหาในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน : สำราญ สมพงษ์รายงาน)






วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

'จอบส์-คลินตัน'ปฏิบัติธรรมโลกนี้นะจ๊ะ'ธัมมชโย'

              กลายเป็น "ทอร์ค ออฟ เดอะทาวน์" ขึ้นมาทันควัน เมื่อสถานีโทรทัศน์ DMC ของวัดพระธรรมกาย เผยแพร่สารคดี “Where is Steve Jobs” หรือ "สตีฟ จอบส์" ตายแล้วไปไหนตอนที่ 1 และเว็บไซต์วัดพระธรรมกายเผยแพร่ต่อเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย)  เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี ตอบคำถามของของพนักงานบริษัทแอปเปิล  อย่างไรก็ตามทางเว็บไซต์ได้ชี้แจงว่าสารคดี"สตีฟ จอบส์ ตายแล้วไปไหน" นี้เป็นเพียงทรรศนะหนึ่งเท่านั้น ผู้ฟังมีสิทธิ์ที่จะเชื่อหรือไม่ก็ได้


              เมื่อมีประเด็นนี้เกิดขึ้นได้มีผู้ออกมาท้วงติงอย่างเช่น พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) วัดสวนแก้ว และพระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาส วัดป่าสุคะโต ชัยภูมิ ต่างมองว่าไม่เหมาะสมส่อเข้าข่ายอุตริมนุสธรรม ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระได้  หรือแม้นแต่นายมโน เลาหวณิช วิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานมูลนิธิชีวันตารักษ์ อดีตเคยบวชที่วัดธรรมกายก็ได้ออกมาระบุในลักษณะเดียวกันและไม่แปลกใจในพฤติกรรมของพระเทพญาณมหามุนีและเชื่อว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าอย่างดี


              ทั้งนี้เนื้อหาของสารคดีดังกล่าวสรุปว่า สตีฟ จอบส์ตายไปเกิดเป็น "เทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์" มีผิวดำและเขี้ยวเป็นยักษ์ แต่ด้วยผลบุญที่ได้คิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่โลก จึงทำให้เขาได้พบมิตรที่ดีบนสวรรค์ และสตีฟ จอบส์ จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึงธรรมกายต่อไป ทั้งนี้รู้ได้ด้วยการวิปัสสนา การเข้าญาณ ที่ถูกต้อง 


              นอกจากนี้เว็บไซต์วัดธรรมกายยังได้เผยแพร่ "สตีฟ จอบส์" ตอนที่ 2 ทำไม จึงเป็นคนฉลาด และ"สตีฟ จ๊อบส์"ตอนที่ 3 ทำไมจึงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยมีเนื้อหาและภาพวาด "สตีฟ จอบส์" ที่ระบุเป็น  "เทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์"


              อย่างไรก็ตามเนื้อหาแห่งเรื่องนี้เริ่มด้วยคำถามของพนักงานบริษัทแอปเปิลที่กล่าวถึงประวัติของ "สตีฟ จอบส์" ชีวิตการทำงานและช่วงที่ป่วยพร้อมกับระบุว่า "สาเหตุที่ผมเขียนจดหมายมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับสตีฟ จอบส์ทั้งหมดนี้  เพราะเขาเป็นชาวพุทธครับ ในสมัยที่สตีฟ จอบส์ยังเป็นหนุ่ม เขาเคยเดินทางไปอินเดีย  และทำให้เขาตัดสินใจหันมานับถือพระพุทธศาสนาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา สตีฟ จอบส์ เคยคิดที่จะออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาด้วย แต่เพราะติดโครงการสร้างคอมพิวเตอร์ เขาจึงพลาดโอกาสบวชเป็นพระไปครับ"


              ต่อจากนั้นเป็นการตอบคำถามโดยพระเทพญาณมหามุนีโดยมีเนื้อหาและรูปภาพประกอบที่ระบุถึงภูมิต่างๆ (เหมือนไตรภูมิ) ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ "สตีฟ จอบส์"  ได้ระบุว่า  "สตีฟ จอบส์" มีความกังวลเกี่ยวกับบริษัทแอปเปิล พร้อมถึงกังวลลึกๆว่า “เมื่อตัวเขาตายไปแล้วชีวิตหลังความตายของเขาจะเป็นอย่างไร ตัวเขาจะได้ไปอยู่ที่ไหน และที่แห่งนั้นจะเป็นอย่างไร หรือว่าจะเป็นอย่างที่อาจารย์ของเขา ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นและเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ได้เคยสอนเอาไว้หรือเปล่าหรือว่าจะเป็นอย่างอื่น”


              ด้วยความที่  "สตีฟ จอบส์" มีความกังวลนี้เองพระเทพญาณมหามุนี จึงระบุว่า  เมื่อ"สตีฟ จอบส์" ได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว ตัวเขาก็ได้ไปบังเกิดใหม่เป็น “เทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” ที่มีที่อยู่ที่อาศัยซ้อนอยู่บนโลกมนุษย์ใกล้ๆ กับที่ทำงานเดิมของตัวเขาในทันที   "ภุมมเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์" คือภุมมเทวาสายนี้มีลักษณะเป็นวิทยาธรกึ่งยักษ์เพราะมีอัธยาศัยรักในความรู้ต่างๆและก็มักโกรธ  ขี้โมโห และหงุดหงิดง่าย ต่อจากนั้นก็ได้มีการอธิบายความเป็นของของ"สตีฟ จอบส์" ในภาพของเป็น “เทพบุตรภุมมเทวาระดับกลางสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” โดยจะมีเครื่องอำนวยความสะดวกที่เป็นไฮเทคต่างๆ


              และช่วงท้ายของตอนนี้พระเทพญาณมหามุนีได้ระบุว่า "ระหว่างที่ท่านเทพบุตรสตีฟ จอบส์ กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมภุมมเทวาแห่งนั้นก็ได้มีกระแสธารแห่งบุญจากที่แห่งหนึ่ง ไปเชื่อมจรดที่ศูนย์กลางกายของท่านเทพบุตรใหม่สตีฟ จอบส์  ซึ่งทันทีที่กระแสบุญดังกล่าวได้ไปจรดเชื่อมที่ศูนย์กลางกายของเขา ก็เป็นผลทำให้ใจของเขาบังเกิดความสว่างไสวขึ้นมาในทันที แล้วภาพของแหล่งกำเนิดแสงสว่าง ที่มาจากคนกลุ่มหนึ่งที่ได้สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวให้กับตัวเขาและก็นึกถึงเขาก็ได้ไปปรากฏฉายขึ้นภายในใจของเขา"


              ส่วนตอนที่ 2 ทำไมจึงเป็นคนฉลาดนั้น พระเทพญาณมหามุนีได้ระบุว่า ในอดีตนั้น"สตีฟ จอบส์" ได้สั่งสมปัญญาบารมีและทานบารมีมาข้ามภพข้ามชาติและหลายภพหลายชาติ โดยมีการยกตัวอย่างว่าเคยเกิดเป็นเกษตรกรอยู่สองชาติและได้เกิดในประเทศอินเดียนับคือพระพุทธศาสนาด้วย โดยได้อธิบาวิถีชีวิตเป็นฉากๆเน้นการถวายทานเป็นสำคัญ และได้ฝึกสมาธิหลังจากสิ้นอายุขัยก็ได้เปิดเกิดเป็น “เทพบุตรสุดหล่อ” อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อจุติ (หรือตาย) จากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธสร้างวัดและเมื่อตัวเขาได้ละจากภพชาตินั้นไปตัวเขาก็ได้กลับไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมาเกิดเป็น "สตีฟ จอบส์"


              ขณะที่ตอนที่ 3 ทำไมจึงเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นการสรุปถึงปัจจัยที่ "สตีฟ จอบส์" มีความคิดสร้างสรรค์ 7 ประการในอดีตชาติ โดยมุ่งเน้นให้เห็นว่าเนื่องจากมีกัลยาณมิตรที่ดีทำทานที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่น ไมเคิล แองเจโล  จิตรกร สถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลียุคปัจจุบันนี้ ปฏิบัติสมาธิจนเห็นแสงสว่างนอกตัวเป็นต้น ตายแล้วจึงไปเกิดเป็น “เทพบุตรสุดหล่อ” อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วมาเกิดเป็น"สตีฟ จอบส์"


              ตามที่พระเทพญาณมหามุนีระบุนั้นเป็นภาพในอดีตอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ส่วนภาพ "สตีฟ จอบส์" ในโลกปัจจุบันนี้ "สตีฟ จอบส์" ได้เรียนรู้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาและเตรียมตัวก่อนตายอย่างไร พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เขียนบทความเรื่อง "ความตาย : พระพุทธเจ้าสอน สตีฟ จอบส์ปฏิบัติ'' เมื่อปี 2554 ช่วงที่ "สตีฟ จอบส์" ยังมีชีวิตอยู่ และได้เตรียมตัวอย่างไรเมื่อทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง 


              บทความดังกล่าวมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ความตายที่สตีพ จอบส์กำลังเผชิญหน้าอยู่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่การ ดำรงชีวิตของเขามากมายนัก เพราะครั้งหนึ่ง สตีพ จอบส์ได้เคยเรียนรู้บทเรียนดังกล่าว และรับอิทธิพลเรื่อง “ความตาย” จากพระพุทธศาสนานิกายเซ็นในประเทศสหรัฐอเมริกา


              ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย จอบส์เริ่มหันมาศึกษาพุทธศาสนานิกายเซน เขาสนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพล สูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จอบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา จึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจอบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)
  

              การที่สตีพ จอบส์ได้อ่านหนังสือและเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้จากหนังสือเกี่ยวกับพระ พุทธศาสนา รวมไปถึงการนำหลักการพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้การใช้ชีวิตในโลกธุรกิจอย่าง จริงจังนั้น ทำให้วิธีคิดและการแสดงออกของเขาสอดรับกับแงุ่มุมทางพระพุทธศาสนา  ดังจะเห็นได้จากการที่เขาได้กล่าวถึงประสบการณ์เกี่ยวกับ "ความตาย" ในพิธีพิธีสำเร็จการศึกษาของ บัณฑิตมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปี ค.ศ. 2005 ว่า เมื่อผมอายุราว 17 ผมได้อ่านประโยคเด็ดในทำนองว่า ‘ถ้าคุณใช้ชีวิต ราวกับว่าแต่ละวันนั้นเป็นวันสุดท้ายของชีวิต วันหนึ่งคุณจะสมหวัง’  ผมประทับใจมาตลอด 33 ปี ทุกเช้าผมจะมองกระจกและถามตัวองว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ผมอยากทำอะไร และวันนี้ผมจะทำอะไร ?” และเมื่อใดที่คำตอบกลับมาว่า ไม่อยากทำอะไร หลายๆ วันเข้า คุณต้องรู้แล้วว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตแล้ว”


              ในพิธีเดียวกันนี้ เขาได้ชี้ให้เห็นถึงคุณูปการของความตายเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “การ ใช้มรณานุสติเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผมตัดสินใจเรื่อง ใหญ่ของชีวิต เพราะสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากผู้คนทั้งหลาย เกียรติยศชื่อเสียงทั้งปวง ความกลัวที่จะเสียหน้าหรือกลัวที่จะล้มเหลว มันก็จะหายไปเมื่อเราตาย เหลือไว้เพียงเรื่องที่สำคัญจริงๆ มรณานุสตินี่เองที่จะช่วยให้คุณหลบหลีกกับดักทางความคิดที่ว่าคุณไม่อยากจะ สูญเสียอะไร จริงแล้วคุณไม่มีอะไรติดตัวเลย จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ทำอะไรตามที่ใจคุณต้องการ

              และเมื่อ สตีพ จอบส์ได้เรียนรู้ และนำหลักการนี้มาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เขาได้ค้นพบสัจธรรมเกี่ยวกับความตาย  ซึ่งการค้นพบสัจธรรมของความตายดังกล่าว ทำให้เขาค้นพบ “iPod  iPad  และ iPhone” ในที่สุด"


              การอัดฉีดพลังแห่งความตายเข้าไปในจิตใจนั้นจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเซลล์ ประสาทให้ตื่นตัว  และมุมมองต่อชีวิต การทำงาน การทำธุรกิจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  ดังจะเห็นได้จากบทสรุปของบุคคลต้นแบบที่ได้นำเสนอในเบื้องต้นว่า การค้นพบความตาย  การเข้าใจและตระหนักรู้ในความตายทุกวินาทีนั้น ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะเปลี่ยนแปลง “โลกทางจิต” ไปสู่ความเป็น “พระพุทธเจ้า”  และเมื่อ สตีพ จอบส์ได้เรียนรู้ และนำหลักการนี้มาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เขาได้ค้นพบสัจธรรมเกี่ยวกับความตาย  ซึ่งการค้นพบสัจธรรมของความตายดังกล่าว ทำให้เขาค้นพบ “iPod  iPad  และ iPhone” ในที่สุด


              คำเตือนดังกล่าวได้ส่งต่อมาถึงสตีพ จอบส์จนทำให้เขาได้ตกผลึก และรับรู้บทเรียนที่ทรงคุณค่าเกี่ยวกับ “ความตาย” จนเป็นที่มาของประโยคทองที่ว่า “คุณ มีเวลาจำกัด ดังนั้นอย่าเสียเวลาไปกับการใช้ชีวิตแบบคนอื่น อย่าตกหลุมลัทธิความเชื่อที่ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างที่ผู้คนเขาคิดกันว่าควรจะ เป็น อย่าปล่อยให้ความคิดของคนอื่นเข้ามารบกวนเสียงจากใจของคุณ (Inner voice) และที่สำคัญที่สุด คุณต้องมีความกล้าที่จะทำตามหัวใจและการหยั่งรู้ (Intuition) ของคุณ ที่จะช่วยให้คุณบรรลุสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นจริงๆ แล้วก็ปล่อยให้เรื่องอื่นๆ นั้นเป็นเรื่องรองไป” และเพื่อให้บรรลุความฝันและแรงบันดาลใจดังกล่าว "จงกระหายที่จะเรียนรู้ และจงทำตนเหมือนคนโง่" (Stay Hungry, Stay Foolish )


              จะเห็นว่า การมีสติระลึกถึงความตายทุกวินาทีแห่งลมหายใจนั้น จะทำให้มนุษย์ตื่นรู้ ใส่ใจ และเพียรสร้างสิ่งต่างๆ ทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความดี ความงาม และความสุข รวมไปถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เอาไว้เป็น "ธรรมเจดีย์" แก่ชีวิตและโลกของเรา"


              ไม่ใช่แต่ "สตีฟ จอบส์" ที่รู้คุณค่าของหลักธรรมในพระพุทธศาสนาแล้วนำมาปฏิบัติในชีวิตแม้แต่ "บิล คลินตัน" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มีปัญหาสุขภาพมาหลายปีแล้ว ให้แพทย์ผ่าหัวใจทำบายพาสมาใหญ่แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งระยะหลัง "บิล คลินตัน" ได้ดูแลสุขภาพด้วย "ชีวจิต" จะเห็นได้ว่าในช่วงที่จัดงานแต่งงาน "เชลซี" ลูกสาว ดูยังหนุ่มอยู่เลยทั้งๆที่อายุ 66 ปีแล้ว


              และล่าสุดเมื่อต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2555 สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า "บิล คลินตัน" ได้เข้ารับการฝึกสมาธิแบบพุทธศาสนากับพระภิกษุรูปหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาจิตใจและสุขภาพ


              แน่นอนคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับภพภูมิอย่างเช่นในไตรภูมิพระร่วง แต่ธรรมส่วนใหญ่มุ่งที่จะแก้ปัญหามนุษย์ในโลกนี้ภพภูมินี้เป็นสำคัญ ผู้ใดจะรู้ภพภูมิหน้าอย่างไรนั้นเป็นความสามารถของแต่ละคน และเมื่อรู้แล้วพระองค์ทรงห้ามไม่ให้พูดเพราะว่าเรื่องเช่นนี้เป็นอจินไตยรู้ได้เฉพาะตน ไม่เช่นนั้นพระองค์ไม่ทรงบัญญัติอาบัติปาราชิกข้อห้ามอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน หรือมีก็ห้ามเช่นเดียวกันหากฝ่าฝืนก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดังนั้น อย่างให้สัทธรรมปฏิรูปบัดเบือนไปมากกว่านี้เลย

สำราญ สมพงษ์ รายงาน             

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"บิล คลินตัน"ฝึกสมาธิแบบพุทธรักษาสุขภาพ

สืบเนื่องจาก "บิล คลินตัน" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีปัญหาสุขภาพมาหลายปีแล้ว ให้แพทย์ผ่าหัวใจทำบายพาสมาใหญ่แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งระยะหลัง "บิล คลินตัน" ได้ดูแลสุขภาพด้วย "ชีวจิต" จะเห็นได้ว่าในช่วงที่จัดงานแต่งงาน "เชลซี" ลูกสาว ดูยังหนุ่มอยู่เลยทั้งๆที่อายุ 66 ปีแล้ว

แต่ล่าสุดเมื่อต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2555 สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า "บิล คลินตัน" ได้เข้ารับการฝึกสมาธิแบบพุทธศาสนากับพระภิกษุรูปหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาจิตใจและสุขภาพ

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

'แก้วแพ้'บทพิสูจน์ไทย2มาตรฐานกับคำว่า'โกง'

              กลับเมืองไทยได้รับการต้อนรับและฉลองอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม สำหรับทัพนักกีฬาไทยที่เดินทางไปร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พร้อมรับเงินอัดฉีดปลอบขวัญจากภาครัฐและเอกชน
   
                   นำโดย 2 นักกีฬาฮีโร่ "จ่าแก้ว" จ.ส.อ.แก้ว พงษ์ประยูร นักมวยสากลสมัครเล่นเหรียญเงิน  "น้องแต้ว" พิมศิริ ศิริแก้ว นักยกน้ำหนักสาวเหรียญเงิน และ "น้องเล็ก" ชนาธิป ซ้อนขำ นักเทควันโดสาวเหรียญทองแดง
   
                   แต่ควันหลงที่ตามมาก็คือเสียงวิจารณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของ "แก้ว พงษ์ประยูร" ที่แพ้ให้กับนักชกจีน ซึ่งค้านสายตาของคนไทยและต่างชาติ จึงมีเสียงออกมาว่าถูกปล้นชัยชนะหรือโดน"โกง" อย่างเช่นบทบรรณาธิการประจำวันที่ 15 ส.ค.2555 เรื่องกีฬากับการพัฒนาประเทศ ระบุว่า "การประท้วงคัดค้านการให้คะแนนของกรรมการตัดสินก็ถือเป็นเรื่องที่ตามมาเป็นขั้นตอนสุดท้าย"
   
                   ขณะที่แคน สาริกา ก็ได้ระบุในคอลัมน์มนุษย์สองหน้าเรื่อง "รักชาติชั่วข้ามคืน"ทางคมชัดลึกเช่นเดียวกันสรุปความว่า"เรื่องของ แก้ว พงษ์ประยูร แตกต่างจากฮีโร่คนอื่น ก็ตรงเกิดประเด็น "กรรมการโกง" ในความรู้สึกของคนไทย
       
                   ประกอบกับมันเป็นยุคโซเชียลมีเดีย ความเห็นหลังการชกถูกส่งต่อไปในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว จุดอารมณ์รักชาติขึ้นมาโดยพลัน คนไทยที่เคยถูกปรามาสว่าแตกแยกกันมา 4-5 ปี ก็รักสามัคคีกันภายในชั่วข้ามคืน
       
                   สหพันธ์มวยสากลสมัครเล่นนานาชาติ (ไอบา) และประธานไอบาชาวไต้หวัน ตกเป็นจำเลยในข้อหาปล้นเหรียญทองนักชกไทย"
   
                   จากเหตุการณ์ของ "แก้ว พงษ์ประยูร" ในความรู้สึกของคนไทยกับคำว่า "โกง" นั้นเป็น 2 มาตรฐานหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้โพลล์หลายสำนักก็เปิดเผยผลสำรวจออกมาว่า "คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้กับการโกงหรือการทุจริตคอรัปชั่น" แล้วทำไมกรณีของ "แก้ว พงษ์ประยูร" คนไทยถึงยอมรับไม่ได้กับคำว่า"โกง" เพราะคนไทยเอาความพอใจหรือถูกใจไปตัดสินคำว่า"โกง"มากกว่าความถูกต้องหรือไม่
   
                   จากประเด็นคำว่า "โกง" นี้ ดร.พระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)  ได้ให้ข้อคิดผ่านทางเฟซบุ๊คนาม "Hansa Dhammahaso" ในโอกาสที่ได้รับนิมนต์จากส่วนงานธรรมนิเทศ มจร. โดยพระอาจารย์มหาวัลลพ โกวิโล ไปร่วมเป็นวิทยากรเสวนา เรื่อง เยาวชนจะเหลวไหล ถ้าผู้ใหญ่ไม่ช่วย "กัน แก้" เมื่อวันที่ 14 ส.ค.เช่นกัน
   
                   โดยมีผู้ร่วมสัมมนาประกอบด้วย"ครูหยุ่น" นายมนตรี สินทวิชัย อดีตส.ว. นางสาวมยุริญ ผ่องผุดพันธ์ ดร.บรรเจดพร สู่แสน ดำเนินรายการโดย รท.หญิง ชลรัสมี นาทวีสุข ซึ่งมีผู้เข้าร่วมรับฟังกว่า 250 รูป/คน ประะกอบด้วยผู้บริหารครูพระสอนศีลธรรม และศึกษานิเทศประจำจังหวัดต่างๆ
   
                   ดร.พระมหาหรรษาได้นำเสนอว่า จุดอ่อนการศึกษาสมัยนี้ คือ เราสามารถพัฒนานักเรียนให้เป็นอย่างน้อย ๓ นัก ได้แก่ "นักรัก นักเลง และนักมวย" การที่จะกันหรือแก้นั้นจำเป็นต้องมองใน 2 มิติ คือ ระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติการ ในระดับนโยบายนั้นควรจะเน้น "การศึกษาเพื่อสันติภาพ" (Education for Peace) ให้มากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ท่ามกลางความแตกต่างทางวิธีคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี ผลประโยชน์ และความต้องการ การเรียนรู้วิชานี้ ควรเริ่มตั้งแต่ระดับอนุบาล เพื่อให้เด็กมีทัศนคติในเชิงบวกต่อความต่างมากขึ้น
   
                   ในแง่ของการปฏิบัติในเบื้องต้นนั้น ควรค้นหาคุณค่าเด่น หรือค่านิยมหลักในการกัน และแก้พฤติกรรมที่เป็นจุดอ่อน "นักรัก นักเลง และนักมวย" แล้วออกแบบค่านิยมหลักเหล่านั้นเป็นบทเพลง กิจกรรม กลอน หนังสือการ์ตูน บทความ ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเด็กในแต่ละช่วงชั้น แล้วนำไปสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Youtube FB Blog TV Cable TV Clip และหนังสือพิมพ์ เพื่อให้เยาวชนได้ซึมซับ เรียนรู้ และปฏิบัติตามค่านิยม หรือแนวปฏิบัติเหล่านั้น ในประเด็นนี้ สถาบันภาษา มหาจุฬาฯ พยายามที่จะบูรณาการหลักสูตรภาษาเชิงบูรณาการ โดยเรียนทั้งภาษาทางโลก เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น และอาเซียนกับภาษาธรรม โดยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม และสวดมนต์ ดังวิสัยทัศน์ที่ว่า "ภาษาเพื่อชีวิตที่ดีงาม"
   
                   อย่างไรก็ตาม ตัวแปรสำคัญในการที่จะกัน (Prevention) และแก้ (Resolution) ไม่ให้เยาวชนมีพฤติกรรมในเชิงลบนัน คือ "ผู้ใหญ่" ด้วยเหตุนี้ ผู้ใหญ่ หรือผู้นำทางสังคมควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี (Role Model) ให้แก่เยาวชนไทย ทั้งในแง่ต่างๆ เช่น ความรุนแรง พฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พฤติกรรมในการโกง หรือคอรั่ปชั่น" (Abuse of Power@Function) โดยไม่ให้เยาวชนเกิดทัศนคติที่ผิดๆ ว่า "โกงกินได้ขอให้ทำงานบ้าง" มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า "พอกรรมการโกงผลการตัดสินแก้ว พงษ์ประยูร เรายอมไม่ได้ แต่เรายอมได้ถ้ามีการโกงและคอรั่ปชั่นในชาติบ้านเมืองของเรา"
   
                   หากคนไทยไม่ปรับความรู้สึกกับคำว่า"โกง"ตามแนวทางของดร.พระมหาหรรษา ก็คงจะถูกตราหน้ามี 2 มาตรฐานกับคำว่า"โกง"อยู่ตลอดไป

สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วัดคำประมงดูแลผู้ป่วยมะเร็งมจร.ชูวิจัยเด่นปี55

"มะเร็ง" นับเป็นภัยเงียบคร่าชีวิตมนุษย์ในแต่ละปีเป็นจำนวนไม่น้อยไม่แพ้โรคเอดส์ ไม่ว่าจะเป็นยาจกหรือมหาเศรษฐีอย่าง "สตีฟ จ็อบส์" เจ้าพ่อแอบเปิ้ล ผลิตไอแพด-ไอโฟนให้มนุษย์ได้ใช้กันก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อไม่นานมานี้

เมื่อเป็นโรคมะเร็งแล้วจะรักษาหรือบริหารชีวิตอย่างไรให้อยู่อย่างมีความสุข หน่วยงานใดในสังคมจะมีส่วนช่วยบ้าง หากเป็นโรคเอดส์ระยะสุดท้ายวัดพระบาทน้ำพุ ต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี ภายใต้การดูแลของพระอุดมประชาทร (อลงกต ติกฺขปญฺโญ ) ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเอดส์ที่ไร้ที่พึ่งได้เป็นอย่างดียิ่ง แล้วเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายจะมีหน่วยงานใดดูแล

วัดคำประมง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ได้ทำหน้าที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โดยสอนเริ่มตั้งแต่การปฏิบัติตนที่ถูกต้องของผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ปรับสภาพจิตใจที่เศร้าหมองให้มีคความสุขผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น ดนตรีบำบัด สวดมนต์ร่วมกัน สร้างมิตรภาพและกำลังใจร่วมกัน ผ่านความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างเกื้อกูลภายในวัด

หลักธรรมที่มีเทคนิคในการสอนทำให้ผู้ฟังผ่อนคลายทุกข์จากความเจ็บป่วยทางกายและใจ พิธีกรรมต้มยาสมุนไพร การฝึกสมาธิโดยมรณานุสติ ร่วมถึงการเรียนรู้ความจริงเชิงประจักษ์ คือการร่วมสวดมนต์ให้กับคนไข้หนักที่ใกล้เสียชีวิต ทำให้เห็นสัจธรรมของชีวิตและเกิดความปล่อยวาง เกิดปัญญาในการดำเนินชีวิตที่เหลือของตนเองอย่างมีความสุข

จากผลการปฏิบัติต่อผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายของวัดคำประมงดังกล่าว ทำให้สุขภาพกายและใจของผู้ป่วยเป็นไปในทางที่ดีขึ้น รับประทานอาหารได้มากขึ้น หน้าตายิ้มแย้ม ร่างกายสดชื่น ก้อนเนื้อมะเร็งนิ่มลง ส่วนผลลัพธ์ความทุกข์ทางใจ ทุกข์น้อยลง เกิดความปล่อยวาง มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับโรคร้ายแต่ในขณะเดียวกันถ้ามีอาการลุกลามมากขึ้น ก็สามารถยอมรับและพร้อมที่จะจากไปอย่างมีความสุข

การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบองค์รวมของวัดคำประมงดังกล่าว เป็นผลการวิจัยเรื่องการจัดการเพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบองค์รวม : กรณีศึกษาวัดคำประมง จังหวัดสกลนคร ของนางสาวจรัสแสง ผิวอ่อน นักศึกษาปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบัญฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ซึ่งมีนามสกุลด้วยกับนายปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตศูนย์หน้าฟุตบอลทีมชาติไทย ซึ่งได้รับการคัดเลือกเป็นวิจัยเด่นประจำปี 2555 หนึ่งในหกเรื่องจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)

เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา พระมหาสมบูรณ์ วุฒิกโร รองอธิการบดีบัณฑิตวิทยาลัย มจร. และผู้วิจัย ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงผลการคัดเลือก และจะจัดงานสัมมนาวิชาการเผยแพร่ผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่น ในวันอาทิตย์ที่ 26 ส.ค.นี้ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00น.ที่หอประชุมมวก.49 มจร.อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ภายในงานจะได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายของวัดคำประมงแล้ว ยังจะได้ทราบเกี่ยวกับผลงานวิจัยดีเด่นอีก 5 เรื่องคือ

1.การศึกษาวิเคราะห์ปาณาติบาตในเซลล์มนุษย์และตัวอ่อนมนุษย์ ซึ่งจะได้ทราบว่าการคุมกำเนิดแบบต่างๆ การผสมเทียม การทำเด็กหลอดแก้วเป็นต้น มีความเสี่ยงต่อการผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่อย่างไร

2.กายวิภาคที่เกื้อหนุนต่อการปฏิบัติกัมมัฏฐาน

3.CURING BODY AND MIND : HOW MODERN MEDICINE MAKES USE OF THE BUDDHA'TEACHINGS

4.พุทธวิธีในการจัดการความขัดแย้งในระบบสาธารณสุขของไทย ซึ่งจะประยุกต์ใช้กับความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมไทยในปัจจุบันนี้ได้เป็นอย่างดี

5.การศึกษาวิเคราะห์เรื่องรัศมีในพระพุทธศาสนาเถรวาทผ่านแนวคิดเรื่องแสงในวิทยาการสมัยใหม่เรื่องสนามพลังงานในมนุษย์

จะเห็นได้ว่าผลงานวิจัยที่บัณฑิตวิทยาลัย มจร.คัดเลือกให้เป็นผลงานที่ดีเด่นประจำปี 2555 นั้น เน้นหนักทางด้านสาธารณสุขและการดูแลสุขภาพเป็นสำคัญ ซึ่งก็จะสอดคล้องกับภาวะของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยอยู่ในช่วงวัยทำงานและเข้าสู่วัยชรา ดังนั้นการดูแลสุขภาพจึงถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศอีกทางหนึ่งด้วย เชื่อแน่ว่างานสัมมนาวิชาการเผยแพร่ผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่นของ บัณฑิตวิทยาลัย มจร. จะตอบสนองประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดียิ่ง

เรื่อง/รูป โดยสำราญ สมพงษ์

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...