วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

โควิดบุกประชาธิปัตย์! ฉีดฆ่าเชื้อบริเวณพรรค เข้มมาตรการป้องกัน



นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงรายงานข่าวเจ้าหน้าที่พรรครายหนึ่งติดเชื้อโควิด-19 ว่า เจ้าหน้าที่พรรคฯ 1 คน ได้ติดเชื้อโควิด-19 จริงขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ซึ่งเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวโดยส่วนมากจะทำงานอยู่ที่บ้านตามมาตรการป้องกันของพรรคที่ให้สลับกันมาทำงาน วันหนึ่งจะมีเจ้าหน้าที่มาทำงานไม่ถึง 10 % 

ความจริงเจ้าหน้าคนดังกล่าวได้เข้ามาบริเวณพรรคเมื่อวันที่ 19 พ.ค.เพื่อมาไหว้สักการะพระแม่ธรณีบีบมวยผม เพราะช่วงนี้ทำงานอยู่ที่บ้าน แต่เมื่อจะเข้าไปยังที่ทำงาน ตึก ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็จะมีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด มีการตรวจวัดอุณหภูมิโดยเครื่องสแกนก่อนเข้าตึกทุกคนและทุกครั้งอย่างเคร่งครัด ปรากฏว่ามีอุณหภูมิสูงถึง 38 องศาเซลเซียส  เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์และเจ้าหน้าที่ที่เปี่ยวข้องที่ทำหน้าที่คัดกรองก็ให้กลับไปในทันทีเพื่อไปตรวจร่างกายเพื่อตรวจหาว่ามีเชื้อโควิด-19  หรือไม่ และผลตรวจเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ปรากฏว่าติดเชื้อ   ก็เข้าสู่กระบวนการป้องกันรักษาต่อไป แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้อำนวยการพรรคก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆที่ได้พบกับผู้ติดเชื้อรายนี้ไปตรวจหาเชื้อที่สถาบันบำราศนราดูร ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.  และได้จัดให้ จนท มาพ่นยาฆ่าเชื้อในทุกอาคาร ทุกชั้น ทั่วพื้นที่ทุกจุดภายในที่ทำการพรรค ในวันนี้

นายราเมศ กล่าวต่อว่า พรรคได้ดำเนินการด้วยมาตรการที่เข้มงวดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีจุดคัดกรอง มีการฉีดพ่นเช็ดด้วยยาฆ่าเชื้อทุกวัน และมีการให้สลับกันทำงานที่บ้าน ที่มาทำงานมีจำนวนประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมด งดการประชุมต่างๆ  ผมได้โทรศัพท์ไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว มีความกังวลใจที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ก็จำเป็นต้องแจ้งพรรคเพื่อรับผิดชอบต่อส่วนร่วม มีกำลังใจดี ผมก็บอกไปว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีใครอยากให้เกิด เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องหาทางแก้ปัญหากันต่อไป

7 ปีรัฐประหาร 2557! "ยิ่งลักษณ์"ขอเป็นตัวแทนประชาชนถาม "บิ๊กตู่" ทำตามสัญญาบ้างหรือยัง?



วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม 2564 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก โอกาส ครบรอบ 7 ปี รัฐประหาร 2557 ระบุว่า 7 ปีก่อนรัฐประหารวันนั้น กับ 7 ปี หลังรัฐประหารวันนี้ประเทศไทย และประชาชนสูญเสียโอกาส อะไรไปบ้าง

ดิฉันขอย้อนเวลากลับไปช่วงนี้เมื่อ 7 ปีก่อน ตอนนั้นดิฉันถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเพียงตำแหน่งเดียว ทั้ง ๆ ที่เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร และต่อมาในวันรุ่งขึ้น ป.ป.ช. ได้เร่งชี้มูลความผิดดิฉันในคดีจำนำข้าว ทั้ง ๆ ที่ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ข้อสรุปคดีดังกล่าวในระดับรัฐมนตรีเลย แต่ทำไปเพื่อส่งเรื่องถอดถอนดิฉันออกจากนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพียงแค่ให้แน่ใจว่าดิฉันจะพ้นสภาพจริง ๆ ทำให้เชื่อได้ว่ามีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าจากหลายเหตุการณ์ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างทำรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

ดิฉันอยากให้ทุกท่านช่วยคิดว่า 7 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยสูญเสียโอกาสอะไรไปบ้าง ทั้งศักยภาพในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่นับวันยิ่งแย่ลง เกิดปัญหาการว่างงาน นักศึกษาจบใหม่ไม่มีงานทำ คุณภาพชีวิตแย่ลง ขาดการพัฒนาทักษะของประเทศให้รองรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สิทธิเสรีภาพถูกลิดรอนปิดกั้นความเห็นต่าง จากบุคคลที่อ้างว่าขออาสาเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ไม่มีใครทำได้ เป็นคนเก่งสุด รู้ดีสุด ต้องคุณประยุทธ์เท่านั้น          

ตลอดเวลา 7 ปี ดิฉันเจ็บปวดใจ และขมขื่นแทนพี่น้องประชาชน พยายามเฝ้าอดทนด้วยความหวังที่ว่ารัฐบาลจะทำสิ่งดี ๆ ให้กับประเทศบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำสัญญา และเหตุผลที่อ้างเพื่อรัฐประหารรัฐบาลดิฉัน จนถึงวันนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำได้ แม้จะจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่นั่นเป็นการสร้างภาพว่าคืนอำนาจให้กับประชาชน เพราะได้มีการออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองได้สืบทอดอำนาจ ประชาชนจึงออกมาเรียกร้องขอให้แก้ไข แต่ถูกยื้อ และไม่ให้ความสำคัญ

ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ย่อมไม่เข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน ไม่เคยแม้แต่เป็นที่พึ่งพิง หรือให้ความอบอุ่นเอื้ออาทร การบริหารประเทศแบบแนวทหารไม่สามารถทำให้ประเทศเศรษฐกิจดีได้ แถมยังซ้ำเติมด้วยการบริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ล้มเหลวล่าช้า แล้วแบบนี้ประชาชนจะหันหน้าไปพึ่งใครได้

ถึงวันนี้ทุกคนคงเห็นแล้วว่า 7 ปีของรัฐประหาร เป็น 7 ปีที่ประเทศ และคนไทยสูญเสียโอกาสในการพัฒนา เป็น 7 ปี ที่เสียงของประชาชนไม่มีความหมาย และเป็น 7 ปี ที่ประชาชนได้แต่เฝ้ารอรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ไม่รู้ว่าจะได้เห็นหรือไม่ดท้ายนี้ดิฉันจึงขอทวงถามคุณประยุทธ์แทนพี่น้องประชาชนว่า คุณได้ทำตามที่สัญญาว่าจะคืนความสุขให้กับประชาชนแล้วหรือยัง มิเช่นนั้นรัฐประหารเมื่อ 7 ปีก่อน ที่บอกว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้งคงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

"ชัยวุฒิ"ลั่นเฟกนิวส์! สื่อญี่ปุ่นแฉ"บิ๊กตู่"ถกลับ"มิน อ่อง หล่าย"

 


"ชัยวุฒิ" ปฏิเสธ "บิ๊กตู่" ถกลับ "มิน อ่อง หล่าย" ชี้สื่อญี่ปุ่นรายงานข้อมูลคลาดเคลื่อน เตือนสื่อควรระมัดระวังเสนอข่าว หวั่นกระทบสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  ปูด "อดีตข้าราชการ กต." สายอำนาจเก่าปล่อยข่าวหวังดิสเครดิต รัฐบาล

เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2564 จากกรณีที่สำนักข่าวชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น Nikkei Asia นำเสนอว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีการติดต่อกับพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำทางทหารของเมียนมา ผ่านช่องทางการติดต่อประตูหลัง (Back door diplomacy) ก็สามารถสื่อสารกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพบปะกัน โดยมีการถูกแชร์ต่อในโซเชียลมีเดียไทยอย่างกว้างขวางนั้น

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti fake news center) ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่า ข้อมูลที่สื่อนำเสนอมีความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง สร้างความสันสนให้กับผู้รับข่าวสารอย่างมาก และกังวลว่าเรื่องนี้จะบานปลาย กระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายมิติ ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ในประเทศเมียนมา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยติดต่อกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ตามช่องทางตามที่สำนักข่าวดังกล่าวนำเสนอ และไม่มีบุคคลระดับสูงที่ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี นำข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปบอกกับทางสำนักข่าวต่างชาติอย่างแน่นอน

"ท่านนายกฯ ไม่มีความจำเป็นจะต้องติดต่อกันในทางลับ ตามที่สำนักข่าวญี่ปุ่นนำเสนอ ซึ่งอ้างอิงบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวว่าเป็นคนให้ข้อมูล ไม่เปิดเผยหรือระบุตัวตนให้ชัดเจน ดังนั้น การนำเสนอเรื่องที่ละเอียดอ่อนควรระมัดระวังและรับผิดชอบให้มากกว่านี้ เพราะอาจเกิดผลกระทบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้" นายชัยวุฒิ กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยและเมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ชายแดนติดต่อกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีในทุกด้าน จึงมีกลไกการหารืออย่างเป็นทางการระหว่างกันในหลายระดับอยู่แล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย แต่อย่างใด และที่ผ่านมานายกฯไทยก็ยืนยันในหลายวาระแล้วว่า การแก้ไขปัญหาของเมียนมา ถือเป็นกิจการภายใน โดยไทยมีจุดยืนต่อสถานการณ์ในเมียนมา ตามกลไกการแก้ปัญหาในระดับภูมิภาคอาเซียนอยู่แล้ว ทั้งนี้จากการตรวจสอบเบื้องต้นยังพบว่าแหล่งข่าวที่สำนักข่าวญี่ปุ่นอ้างอิงนั้น เป็นอดีตข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศไทย เป็นคนของกลุ่มอำนาจเก่าและมีจุดยืนอยู่ตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อยู่แล้ว แต่กลับอ้างว่าเป็นแหล่งข่าวระดับสูงในสำนักนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ซึ่งไม่เป็นความจริง

"ต้องถามว่า การปล่อยข่าวและการเสนอข่าวเช่นนี้มีวัตถุประสงค์ใด เป็นความพยายามดิสเครดิตรัฐบาลไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่"  รมว.ดีอีเอส ระบุ


 

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

"อนุชา"นำคณะถวายสิ่งของสนับสนุนวัดราชบพิธ ช่วยเหลือพระ-โยมสู้ภัยโควิด



วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ อาคารสัมฤทธิ์วิทยาการ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะเข้ากราบสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร และเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เพื่อถวายสิ่งของและเครื่องอุปโภคบริโภคให้ทางวัดนำไปสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือพระภิกษุ สามเณร และสงเคราะห์ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชทรงมีความห่วงใยต่อสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ และการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน ทำให้เกิดความยากลำบากในการดำเนินชีวิต จึงทรงมีพระบัญชาให้วัดที่มีศักยภาพดำเนินการช่วยเหลือชุมชนและประชาชนผู้ประสบภัย ปัจจุบันพบว่ามีหลายวัดที่ดำเนินการจัดตั้งโรงทาน และแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นแก่ประชาชน วันนี้คณะจึงได้นำสิ่งของและเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นมาร่วมสนับสนุน เพื่อนำไปแจกจ่ายยังวัดและชุมชนที่มีความต้องการ พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนประชาชนที่มีความพร้อมและต้องการสนับสนุน สามารถนำสิ่งของเครื่องใช้และเครื่องอุปโภคบริโภคไปบริจาคได้ยังวัดต่างๆ มั่นใจว่าถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน ประเทศจะสามารถก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปได้

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ แพร่ระบาดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ อาจทำให้พระสงฆ์มีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับเชื้อ เนื่องจากพระสงฆ์มีกิจนิมนต์ ต้องพบปะกับประชาชน และต้องทำสังฆกรรมร่วมกันเป็นหมู่คณะ จึงขอความร่วมมือประชาชนกลุ่มเสี่ยงระมัดระวังเว้นระยะห่างพระสงฆ์ให้มากกว่าเดิม เพื่อความปลอดภัย และเพื่อป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดจากประชาชนไปสู่พระสงฆ์

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...