วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564

ด่วน! มส.ปลดเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ตั้งเจ้าคณะกทม.แล้ว



วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔ ผู้สื่อข่าวรางานว่า การประชุมมหาเถรสมาคมวันนี้(๓๐ก.ย.) ได้มีมติ ถอดถอนพระสังฆาธิการ ๓ รูปคือ ๑. พระราชปริยัติสุนทร  ออกจากตำแหน่ง จจ.ฉะเชิงเทรา ๒. ถอดถอน พระธรรมรัตนาภรณ์ ออกจากตำแหน่  จจ.ปทุมธานี ๓. ถอดถอน พระเทพสารเมธี  จจ.กาฬสินธุ์  ออกจากตำแหน่ง จจ.กาฬสินธุ์ พร้อมแต่งตั้งพระสังฆาธิการ จำนวน ๓ รูป ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ทดแทน ดังนี้ ๑. พระราชภาวนาภิธาน  จจ.ฉะเชิงเทรา ๒. พระราชสุทธิธรรมาจารย์  จจ.ปทุมธานี ๓. พระครูสุทธิญาณโสภณ  จจ.กาฬสินธุ์  คณะสงฆ์ภาค ๑๒ - ๑๓ (ธรรมยุต) 

และได้แต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดต่างๆ ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต(ธ.) ดังนี้ 

๑. พระวินัยโมลี  จจ.นครราชสีมา (ธ)

๒. พระครูเมตตาภิรม จจ.ภูเก็ต

๓. พระครูวิบูลธรรมานุศาสน์  จจ.จันทบุรี (ธ)

๔. พระราชศาสนาภิบาล  จจ.น่าน

๕. พระราชชัยสิทธิสุนทร  จจ.ชัยภูมิ

๖. พระธรรมวชิรมุนี วิ.  จจ.กรุงเทพฯ

๗. พระประสิทธิศีลคุณ  จจ.ตาก

๘. พระโสภณคุณาธาร  จจ.นราธิวาส

๙. พระปริยัติสารสุธี  จจ.พระนครศรีอยุธยา (ธ)

๑๐. พระปัญญาวิสุทธิโมลี  จจ.ลพบุรี (ธ)

๑๑. พระสิงหคณาจารย์  จจ.สิงห์บุรี (ธ)

๑๒. พระครูวิจิตรธรรมคุณ  จจ.นครสวรรค์ (ธ)

๑๓. พระครูโสภณวัชรคุณ  จจ.เพชรบูรณ์ (ธ)

๑๔. พระครูปัญญาสัตติคุณ  จจ.กำแพงเพชร-พิจิตร (ธ)

๑๕. พระครูวิสุทธิศีลคุณ  จจ.ลำปาง-แพร่ (ธ)

๑๖. พระครูประโชติธรรมคุณ  จจ.บึงกาฬ (ธ)

๑๗. พระประชาธรรมนาถ  จจ.ฉะเชิงเทรา (ธ)

๑๘. พระโสภณคณาภรณ์  จจ.ชลบุรี (ธ)

๑๙. พระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณ จจ.นครปฐม-สุพรรณบุรี (ธ)

๒๐. พระครูวินิจสมณการ  จจ.เพชรบุรี (ธ)

๒๑. พระครูสิริธรรมาภิรัต  จจ.นครศรีธรรมราช (ธ)

๒๒. พระครูบุญสารโสภิต จจ.ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส (ธ)

๒๓. พระครูพินิจสมณการ จจ.ปัตตานี

๒๔. พระราชรัตนวิสุทธิ์  จจ.ประจวบคีรีขันธ์

๒๕. พระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ จจ.สุพรรณบุรี

๒๖. พระราชวชิรเมธี  จจ.กำแพงเพชร

๒๗. พระพุทธิญาณมุนี  จจ.เชียงราย

๒๘. พระสิริคณาจารย์ จจ.นครศรีธรรมราช

๒๙. พระราชสิริวัฒน์  จจ.นครพนม

๓๐. พระครูศรีมงคลปริยัติกิจ  จจ.ศรีสะเกษ

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564

"สุดารัตน์" แนะใช้โมเดลสหรัฐฯ อยู่ร่วมกับโควิดได้ ด้วย"สะดวกตรวจ-ฉีดวัคซีนฟรี"

      


วันที่ 30 ก.ย.64 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวว่า " ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า หลังจากที่ดิฉันเคยแสดงความคิดเห็นเมื่อ 2 เดือนที่แล้วว่า สิ่งที่ไทยต้องรีบทำในขณะนี้คือ การทำให้คนไทยใช้ชีวิตอยู่กับCOVID ได้อย่างปกติและปลอดภัยมากขึ้นซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่          

1) การเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิผลต่อให้ประชาชนอย่างทั่วถึง2) การให้ประชาชนเข้าถึง การตรวจเชื้อฟรี ได้สะดวกเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแบบ New Normal คนไทยสามารถกลับมาทำมาหากิน เปิดเมืองเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ได้เร็วที่สุด โดยเฉพาะในขณะนี้ใกล้ถึงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งเป็นช่วงทำรายได้ให้กับคนไทย          

สิ่งที่ดิฉันเห็นในการมาอเมริกาครั้งนี้คือ ทุกธุรกิจเปิดทำการอย่างปกติ ทั้งร้านอาหาร ผับบาร์ ยิม นวดสปา รวมทั้งสนามกีฬาและโรงหนัง ซึ่งชาวอเมริกันกลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเพราะรัฐบาลอเมริกา เร่งฉีดวัคซีนฟรี!ให้กับประชาชนทุกคน รวมทั้งนักท่องเที่ยว ฉีดได้ทุกร้านขายยาทั้ง CVS และ Walgreens ทั่วประเทศ อย่างสะดวกมากค่ะ ทุกคนสามารถ Walk in หรือจองล่วงก็หน้าได้ โดยใช้เวลาลงทะเบียนจนถึงฉีดเสร็จใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีรวมทั้งทุกสนามบินจะมีจุดให้ฉีดวัคซีนฟรี          

นอกจากนั้นการตรวจโควิดก็สะดวกสบาย มีบริการตรวจPCR ฟรีทุกร้านขายยา และมีรถเคลื่อนที่จอดทุกมุมถนนใหญ่ หลังตรวจ4ชม.ก็ส่งผลเข้าโทรศัพท์เลยดังนั้นการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิผล ฉีดให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาชนปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยตรง ตามข้อมูลของสหพันธ์ธุรกิจค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Retail Federation) กล่าวว่า การฉีดวัคซีน เป็นตัวแปรที่สำคัญในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การเปิดเมือง และการบูรณะประเทศ โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 2 นี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐอเมริกา จะฟื้นตัวกลับมาจุดสูงสุดก่อนวิกฤตโควิดอีกครั้ง          

ในทางกลับกัน ประเทศไทย มีการฟื้นตัวจากวิกฤตอยู่ในอันดับท้ายๆของโลก โดยอยู่อันดับที่ 118 จากการสำรวจทั้งหมด 121 ประเทศทั่วโลก ตามข้อมูลของ Nikkei COVID-19 Recovery Index อีกทั้งการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรได้ปรับประมาณการทางเศรษฐกิจไทยลงในปีนี้ว่าจะติดลบ ร้อยละ 0.5แทนที่ปีนี้จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เป็นปีที่คนไทยจะได้ต่อลมหายใจทางเศรษฐกิจได้อีกเฮือก          

ทั้งหมดนี้เกิดจากความไม่มีประสิทธิภาพ และความล่าช้าในการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล รวมไปถึงการไม่วางแผนให้คนไทยใช้ชีวิตอยู่รวมกับโรคโควิดได้อย่างปลอดภัย          

ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องเร่งทำคือ การจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิผล มาให้คนไทยอย่างเพียงพอและรวดเร็วเพื่อเร่งเปิดเมือง เปิดประเทศฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ทันกับประเทศอื่นทั่วโลกไม่ใช่ขยายพรก.ฉุกเฉิน ที่ ศบค. เพิ่งมีมติออกมา เพราะนอกจากจะไม่สามารถควบคุมโรคได้จริงแล้ว ยังเป็นอุปสรรคขัดขวางกั้นการทำมาหากินของประชาชน และทำให้นักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่นในการเข้ามาเที่ยวในประเทศ"

กมธ.ศาสนาฯสภาฯถกเครียด! ปม ปชช.รุกที่วัด-ที่ดินพุทธมณฑลเชียงใหม่



เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 ที่วัดจำลอง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานกรรมาธิการ นายนพดล แก้วสุพัฒน์ ที่ปรีกษากรรมาธิการ นายทองแดง เบ็ญจะปัก กรรมาธิการ และคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ได้เข้าร่วมประชุมประเด็นข้อปัญหาที่ประชาชนร้องเรียน เรื่องวัดม่วงต่อ อ.แม่วาง ที่มีพื้นที่จำนวน 17-3-29 ไร่ โดยในโฉนดที่ดินระบุหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์เป็นของ “วัดม่วงต่อ (สำนักสงฆ์ร้าง) ” โดยสำนักพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ได้นำเอาโฉนดมายืนยัน 



ทั้งนี้มีประชาชนที่มีความประสงค์จะยื่นร้องต่อศาลเพื่อแสดงสิทธิ์การครอบครอง โดยนายเพชรวรรต ได้กล่าวว่า ในประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาไม่ใช่แต่เพียงที่ จังหวัดเชียงใหม่ เท่านั้นยัง มีประเด็นเรื่องที่ดินของวัดที่ประชาชนอ้างสิทธิ์ครอบครองอีกจำนวนมากทั่วประเทศ ทั้งนี้ยังมีประเด็นที่แม้ชาวบ้านเข้ามาปลูกบ้านในที่วัดแต่ไม่จ่ายค่าเช่า รวมถึงการจ่ายค่าเช่าในราคาต่ำแต่นำไปทำธุรกิจอื่นเพื่อแสวงผลกำไรที่ได้กำไรจำนวนมาก บางรายถึงกับขายสิทธิ์ต่อช่วงในราคาแพง แม้เป็นที่ดินของวัด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ตนจะนำเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมาธิการต่อไป

ด้าน นายณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ เปิดเผยว่า ในประเด็นของการอ้างสิทธิ์ครอบครองที่จะยื่นฟ้องต่อศาล โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ในการครอบครองปรปักษ์ มีข้อพิจารณาอยู่ 2 ประเด็นคือ

1.) ป.พ.พ.มาตรา 1382 กฎหมายระบุว่าบุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของ” ผู้อื่น” เกินสิบปี

2.) มีอำนาจตาม พ.ร.บ.สงฆ์ มาตรา 34 ประกอบมาตรา 35 ที่ไม่ให้อำนาจที่ดินวัดโอนสิทธิ์และสงวนสิทธิ์ในการฟ้องร้อง

หากพิจารณาแล้วตามข้อแรกของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คำว่า” ผู้อื่น” ซึ่งวัดถือว่าไม่ใช่ “บุคคล” ศาลอาจใช้เป็นดุลพินิจ ไม่รับข้อต่อสู้เพื่อขึ้นสู่ศาลในกรณีประชาชนจะฟ้องเอาที่วัด ส่วนประเด็นที่สอง ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 เป็นกฎหมายที่เป็นอำนาจโดยตรงเกี่ยวกับที่ดินวัด หากพิจารณาในมาตรา 34 เมื่อมีความชัดแจ้งถึงโฉนดว่าเป็นของวัด การใดที่จะทำให้กรรมสิทธิ์จะเกิดการโอนไปยังบุคคลได้ จะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติซึ่งยากมากตามวรรคแรก และยังมีวรรคท้ายที่ชี้แจงความสำคัญว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้”

สำหรับที่ดินวัด ด้วยวรรคนี้ถือเป็นการชัดว่าต่อสู้ด้วยอายุความไม่ได้ และยังมีประตูปิดตายที่ไม่สามารถเอาที่วัดมาเป็นของบุคคลได้ใน มาตรา 35 ที่ไม่สามารถบังคับคดี เกี่ยวกับที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และศาสนสมบัติกลางได้ ในแง่นี้ตนเห็นว่าประชาชนยังไม่รู้ข้อกฎหมาย และบางครั้งอาจมีทนายมาให้ข้อมูลกับประชาชนโดยหวังค่าตอบแทน ทั้งนี้การต่อสู้ในข้อกฎหมายเพื่อแย่งชิงเอาที่วัดไปเป็นของประชาชน ตนเห็นว่าในอดีตไม่มีใครเขาทำกัน มีแต่คนโบราณเขาบริจาคที่ดินในยามแก่กัน และจะเห็นบูรพาจารย์และบรรพบุรุษของไทยต่างแย่งกันสร้างวัดเพื่อเป็นบุญเป็นกุศล แม้ความกลัวในบาปกรรมที่เหยียบทรายออกจากวัด คนโบราณต้องขนทรายเข้าวัด ดังมีประเพณีขนทรายเข้าวัดในเทศกาลสงกรานต์ เพราะถือว่าเอาของวัดจะตายไปเป็น “เปรต” ดังนี้แล้วตนเห็นว่าส่วนงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความรู้ในแง่กฎหมายและในแง่ศีลธรรมอันดีอันเป็นจารีตประเพณีไทย ที่นับวันจะเสื่อมถอย

หลังจากนั้น นายเพชรวรรต ได้นำคณะลงพื้นที่บริเวณข้างโรงเรียนสันป่าตองวิทยาคม พร้อมเจ้าหน้าที่ธนารักษ์ จ.เชียงใหม่ โดยนายเพชรวรรต กล่าวว่าในประเด็นพุทธมณฑลเชียงใหม่ ที่ตอนแรกจะสร้างที่วัดน้ำบ่อหลวง แต่ขณะนี้ไม่สามารถที่จะสร้างได้แล้ว หลังจากที่ตนได้ทราบข้อมูลนี้จาก พระเทพปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งท่านเป็นห่วงเรื่องนี้มาก 

"จึงได้มาดูพื้นที่แปลงใหม่ตามคำแนะนำของท่าน อยู่บริเวณสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ ซึ่งเป็นที่ดินของราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ตนจึงรุดเข้ามาดูพื้นที่ประมาณ 100 กว่าไร่ ทั้งนี้ยังมีประเด็นที่อาจจะไม่สามารถสร้างได้ ตนได้หารือกับพระธรรมเสนาบดี ซึ่งท่านก็พร้อมที่จะบริจาคที่ดินกว่าพันไร่ ไว้แล้ว" นายเพชรวรรต กล่าว 

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2564

กมธ.ศาสนาฯสภาฯร่วมอุทิศกุศล "พระวิสุทธิวงศาจารย์" อดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ที่พระธาตุดอยสุเทพ


เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2564 เวลา 14.00 น. ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จ.เชียงใหม่ คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย นายสุชาติ อุสาหะ ประธานกรรมาธิการ นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานกรรมาธิการ นายนพดล แก้วสุพัฒน์ ที่ปรีกษากรรมาธิการ นายกฤษณ์ แก้วอยู่ เลขานุการกรรมาธิการ นายทองแดง เบ็ญจะปัก กรรมาธิการ นายทองแดง เบ็ญจะปัก กรรมาธิการ และคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ได้เข้ากราบพระธรรมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล หนังจากนั้นคณะกรรมาธิการได้ร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีสมโภชพระสุวรรณเจดีย์พระบรมธาตุดอยสุเทพ และรับฟังการแสดงพระธรรมเทศนาจากพระธรรมเสนาบดี รวมถึงได้ร่วมตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลที่คณะกรรมาธิการได้ทำมาดีแล้วถวายแด่ พระวิสุทธิวงศาจารย์ อดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม ผู้มีผลงานในขณะเป็นเจ้าคณะใหญ่หนเหนือมากมาย โดยเฉพาะโครงการหมู่บ้านศีล5 และงานการศึกษา ฯลฯ

นายเพชรวรรต เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาฯ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อจัดสัมมนาเรื่องการเสริมสร้างการเรียนรู้ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ที่สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา19 ที่ โรงเรียนบาลีสาธิตศึกษามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 26 - 30 กันยายน 2564 โดยมีวิทยากร ที่มีองค์ความรู้ถวายความรู้แด่พระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั่วไป ทั้งนี้นอกจะการสัมมนาแล้วคณะกรรมาธิการยังได้มีการรับเรื่องร้องทุกข์ จากวัดและประชาชนที่มีความเดือดร้อนในประเด็นกฎหมายและข้อพิพาทต่างๆ ซึ่งคณะกรรมาธิการจะนำเข้าสู่วาระการพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป 

ในการนี้คณะกรรมาธิการการศาสนา ได้จัดพิมพ์หนังสือคู่มือจัดทำบัญชีทรัพย์สินของวัด เพื่อให้วัดสามารถนำเอาหลักการการทำบัญชีที่ถูกต้อง เนื่องจากมีข้อกฎหมายที่อาจเข้ามาตรวจสอบซึ่งจะทำให้พระเกิดความเสียหายในภายหลังได้ โดยหลักการทำบัญชียึดโยงตามหลักมาตรฐานสากล แม้ในประเทศที่เจริญแล้วหากพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในดินแดนนั้นก็จะต้องทำบัญชีเพื่อแสดงความโปร่งใสให้กับวัดและพระภิกษุและไม่ทำให้เกิดการทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ทั้งนี้คณะกรรมาธิการได้นำหนังสือไปถวายแด่ พระเทพปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ที่วัดเจ็ดยอด และได้ถวายมุทิตาสักการะเนื่องในโอกาสอายุวัฒนมงคล 79 ปี ในการนี้ได้เกิดเหตุการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด เมื่อคณะกรรมาธิการมาถึงอีกด้วยถือเป็นนิมิตหมายที่ดี

"สุดารัตน์"สั่งทีมไทยสร้างไทยช่วยน้ำท่วมโคราชหนักสุดรอบ 10 ปี



เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 พรรคไทยสร้างไทย นำโดยนาวาอากาศตรีศิธา ทิวารี ประธานคณะอำนวยการและพัฒนาพรรคการเมือง พร้อมด้วยทีมพรรคไทยสร้างไทย ลงพื้นที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เพื่อมอบข้าวสาร อาหารแห้ง และน้ำดื่ม ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 250 หลังคาเรือน

นาวาอากาศตรีศิธากล่าวว่า น้ำท่วมจังหวัดนครราชสีมาครั้งนี้หนักสุดในรอบหลาย10 ปี โดยปริมาณน้ำฝนจากพายุ ”เตี้ยนหมู่” ตกมามากกว่า 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้อ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรบนและลำเชียงไกรล่าง ซึ่งมีมวลน้ำเดิมอยู่แทบจะเต็มความจุ 35ล้านลูกบาศก์เมตรอยู่แล้ว ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ จึงทำให้เกิดน้ำท่วมทั้งบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำในพื้นที่อำเภอด่านขุนทด และเอ่อล้นไปยังพื้นที่ใต้อ่างบริเวณอำเภอโนนไทย 

อุทกภัยครั้งนี้ ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนมากว่า 2 สัปดาห์ โดยขณะนี้ระดับน้ำเริ่มลดต่ำลง แต่ยังมีการท่วมขัง โดยพี่น้องประชาชนที่ต้องอพยพ ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านได้ และบางส่วนที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้น2 ก็ติดอยู่ในบ้านไม่สามารถสัญจรไปไหนได้ 

พรรคไทยสร้างไทย ยังมีความกังวลเรื่องการดูแลของรัฐบาล โดยอยากให้ ดูแลอย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกปัญหาโดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพและสุขอนามัยของพี่น้องประชาชน เนื่องจากได้รับทราบข้อมูลจากในพื้นที่ว่า พี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วย โควิด-19 ที่แยกกักตัวอยู่ตามบ้าน ได้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้หลายคน รวมถึงปัญหาความเสียหายของพืชผลทางการเกษตร ที่รัฐจะต้องเร่งเยียวยาอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมเกษตรกร  รวมทั้งระบบแจ้งเตือนภัย เพราะทราบจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ว่า คันดินกั้นอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกรตอนล่างที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง น้ำได้กัดเซาะคันดินผนังกั้นน้ำจนพัง ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือให้ชาวบ้านอพยพ

"อนุชา"แนะทีมลาซาด้า จับมือ สคบ. สกัดร้านค้าผิดกฎหมาย



เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 เวลา 14.30 น. คณะผู้บริหารบริษัท ลาซาด้า จำกัด ประกอบด้วย นางสาวรุจีรัฐ ตั้งศุภกุล  รองประธานอาวุโสฝ่ายกฎหมาย นางสาวญาณ์บดี จิตติกุลดิลก  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ นางสาวญานิชชณัฏฐ์ เฉลิมเตียรณ รองประธานอาวุโสฝ่ายรัฐสัมพันธ์ และ นางสาวเรณุกา แฟงทอง ผู้จัดการฝ่ายรัฐสัมพันธ์ เข้าพบ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือมาตรการคัดกรองร้านค้าที่ในระบบของลาซาด้า เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบ จากกรณีที่ได้รับสินค้าไม่ตรงตามเนื้อหาที่โฆษณา และสั่งสินค้าแล้วไม่ได้รับ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนและมีการร้องเรียนผ่านทางสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นจำนวนมาก  

คณะผู้บริหารบริษัท ลาซาด้า จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านค้าที่เข้าระบบและจำหน่ายสินค้ากับทางลาซาด้า ประมาณ 5 ล้านราย  โดยมีผู้ประกอบการไทยที่แจ้งสมัครเข้าระบบประมาณ 130,000 ราย พบว่าอัตราการเติบโตของตัวเลขผู้ซื้อขายผ่านระบบออนไลน์สูงขึ้นกว่า 50% ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะที่มีผู้ขายสินค้าบางรายไม่ปฏิบัติตามกฎ มีการขายสินค้าปลอมแปลงและผิดกฎหมาย รวมถึงให้ข้อมูลเนื้อหาไม่ครบถ้วน แม้ทางลาซาด้าจะมีระบบการตรวจสอบและตรวจจับสินค้า โดยการใช้เทคโนโลยีและอัลกอริทึมในการตรวจจับก่อนขาย (Pre-live) และการตรวจจับและคัดกรองด้วยคน (Post-live) แต่ก็ยังพบว่ามีร้านค้าที่ทำการเปลี่ยนแปลงข้อความและหลอกขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเบื้องต้นลาซาด้าได้กำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว โดยมีการกำหนดระบบ Notice and Take down เพื่อเป็นช่องทางการร้องเรียนแก่ผู้บริโภค 

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางการคุ้มครองผู้บริโภค โดยแนะให้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อย่างใกล้ชิด และกำหนดมาตรการและข้อบังคับต่อร้านค้าอย่างเข้มงวด และให้มีการเผยแพร่ข้อมูลและสถิติการลงโทษร้านค้าที่กระทำผิด เพื่อเป็นแบบอย่างไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันการค้าในรูปแบบ E-commerce เติบโตอย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่ากังวลคือร้านค้าในลาซาด้ามีการจำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งสินค้าบางประเภทแม้รวมค่าขนส่งแล้วยังมีราคาถูกกว่าสินค้าประเภทเดียวกันที่จำหน่ายในไทย จึงขอให้ลาซาด้าเข้มงวดเรื่องการตรวจสอบคุณภาพสินค้า และกำชับไม่ให้สร้างความเสียหายกลไกราคาสินค้าในประเทศ  

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2564

เพื่อไทยลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วมชัยภูมิ



“เลขาธิการพรรคเพื่อไทย” พร้อม “ทีม ส.ส.ชัยภูมิ” ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วม เรียกร้องรัฐบาลเร่งหาหนทางระบายน้ำและเยียวยาประชาชน ฟื้นฟูสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว  

วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมาและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ทีม ส.ส. ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย โดย ส.ส. นพ.โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ในพื้นที่ชุมชนขี้เหล็กน้อย-ปรางค์กู่ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง และชุมชนหนองบ่อ อำเภอเมือง  ซึ่งบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายกว่า 400 หลังคาเรือน โดยได้มอบอาหารสำเร็จรูป ข้าวกล่อง จำนวน 400 ชุดและสิ่งของจำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เนื่องจากผู้ประสบภัยจำนวนมากไม่สามารถเดินทางออกมานอกบ้านได้ 

นายประเสริฐ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดชัยภูมิครั้งนี้รุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี รัฐบาลขาดการวางแผนอย่างเป็นระบบในเรื่องการจัดการน้ำท่วม ซึ่งเป็นภัยซ้ำซากเกิดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ขาดระบบเตือนภัย เพื่อแจ้งให้ประชาชนรับทราบก่อนเกิดเหตุและที่น่าเป็นห่วงคือ ขณะนี้น้ำได้หลากเข้าท่วมโรงพยาบาล และบ้านเรือนประชาชนวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากฝนยังตกต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลควรหาทางแก้ไขปัญหา มีมาตรการที่ชัดเจนในากรเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังบ้านเรือนประชาชนออกโดยเร็ว พร้อมทั้งดำเนินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟูสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ด้าน นพ.โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย ส.ส.ชัยภูมิ กล่าวว่า พื้นที่ อำเภอเมืองชัยภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจจมน้ำแล้ว 100% เป็นความผิดพลาดของภาครัฐชัดเจนในเรื่องการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนลำปะทาวที่กักเก็บน้ำไว้จำนวนมาก ประกอบกับเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำในลำน้ำชีเพิ่มสูงขึ้น ถ้าน้ำในลำน้ำชีไม่มากและน้ำในเขื่อนไม่มาหนุน เมืองชัยภูมิก็จะไม่ท่วม และเมื่อน้ำท่วมแล้ว ภาครัฐก็ไม่มีอาหาร ไม่มีเรือสัญจร ถุงยังชีพไม่เพียงพอ ตอกย้ำว่าบริหารจัดการน้ำล้มเหลว การจัดการเยียวยาประชาชนในเมืองก็ล้มเหลวเช่นกัน

เจ้าคุณประสารประชุมร่วมสมาคมพุทธ 3 จว.แดนใต้ หวังอยู่ร่วมกันสงบสันติไม่เบียดเบียนกัน



วันที่ 27 กันยายน 2564 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศสพ.จชต.)  เป็นประธานประชุมร่วมกับสมาคมเพื่อความมั่นคงพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีคณะกรรมการกว่า 30 รูป/คนเข้าร่วมประชุมในแบบออนไลน์ อาทิ  พระครูสุวัฒนาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดสงขลา รองผู้อำนวยการศูนย์ฯ พระมหาวิเชียร วชิรธมฺโม ผอ.วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี รองผู้อำนวยการศูนย์ฯพระครูโฆสิตสุตาภรณ์(ท่านขาว)วัดบูรพาราม อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ฝ่ายแผนงาน เป็นต้น ในฝ่ายฆราวาสมีพล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ เลขาธิการศูนย์ฯ และคณะกรรมการบริการเข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน         

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวว่า การประชุมวันนี้เป็นการประชุมร่วมกันทุกฝ่ายที่ทำงานด้านพระพุทธศาสนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีวาระสำคัญเรื่องผลสัมฤทธิ์ของงานและปรึกษาหารือในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น           

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯได้รายงานและวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนถึงสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ปัญหาความไม่สงบในพิ้นที่ จชต. ความเป็นเอกภาพของชาวพุทธ การทำงานของภาครัฐและชาวพุทธที่ไม่ต่อเนื่อง เป็นต้น นอกจากนั้นยังได้เสนอโครงสร้างการบริหารสำนักงาน ศสพ.จชต.เพื่องานเชิงรุกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยกำหนดให้มีฝ่ายแผนงาน ฝ่ายโครงการและสาธารณสงเคาระห์ มีงานสำคัญ 6 งาน ฝ่ายเผยแผ่และบริการ มีงานในกำกับ 4 งาน ฝ่ายการศึกษา มีงานหลัก 4 งานใหญ่ ฝ่ายบริหารทั่วไป มีงาน 5 ด้าน รวมทั้งมีคณะทำงานแผนยุทธศาสตร์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัด         

จากนั้น พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ เลขาธิการ ได้สรุปผลงานของศูนย์ฯตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ถึง กันยายน 2564 ดังนี้ 1.ปัญหาของพระพุทธศาสนาและชาวไทยพุทธ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2.งานฟื้นฟูวัด สำนักสงฆ์ร้าง จำนวน 5 แห่ง 3.สนับสนุนการบูรณะวัด สำนักสงฆ์ ที่พักสงฆ์ จำนวน 5 แห่ง 4.งานสนับสนุนชุมชนที่มีความพร้อมให้จัดตั้งสำนักสงฆ์ ที่พักสงฆ์ จำนวน 4 แห่ง 5.งานส่งเสริมอาชีพ จำนวน 10 แห่ง           

6.จัดบรรพชาสามเณรและบวชเนขัมมะจาริณีภาคฤดูร้อน ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 14-30 เมษายน รวมทั้งอบรมให้ความรู้ธรรม สอนปฎิบัติธรรม ให้แก่นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป 7.การซ่อมแซมบ้านชาวพุทธที่ยากไร้ ได้รับความเดือดร้อน 8.การแก้ใขปัญหาที่ดินและการขออนุญาตใช้ทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ตามพรบ.2484 ให้กับวัด สำนักสงฆ์และที่พักสงฆ์ 9.เปิดรับบริจาคสาธารณะ 10.ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดยะลาและปัตตานี 

11.ถวายข้าวสาร อาหารแห้ง เทียนพรรษาและมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ยากไร้และกลุ่มคนเปราะบาง 12.กิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา 13.พัฒนาศักยภาพมนุษย์โดยแนวพุทธศาสตร์เพื่อแก้ใขปัญหายาเสพติด 14.ขอเปลี่ยนแปลงงบประมาณบางอย่างกับ ศอ.บต.,สมศ.กอ.รมน.ภาค4 สน.และผู้แทนเครือข่ายชาวพุทธ 15.เยี่ยมเยือน พบปะ วัดพระสงฆ์และประชาชนในพื้นที่ จชต. 

งานทั้งหมดนี้ได้ดำเนินการเป็นรูปธรรม วัดผลประเมินผลได้พร้อมทั้งมีรูปภาพประกอบในความสำเร็จของงาน          

พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ยังรายงานต่อไปว่า พื้นที่บางแห่งจากการไปดำเนินงานของศูนย์ฯพระได้ออกบิณฑบาตรทุกวัน บางแห่งได้ไปตั้งที่พักสงฆ์และนิมนต์พระไปจำพรรษาทำให้ชุมชนพุทธแห่งนั้นกว่า 70-80 ปีไม่เคยมีพระออกบิณฑบาตรเลยวันนี้ชุมชนได้ใส่บาตรพระสงฆ์ทุกเช้า นับเป็นภาพที่ปลื้มใจและงดงามยิ่ง           

"ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศสพ.จชต) และสมาคมความมั่นคงพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะยังคงยืนหยัด มุ่งมั่นในการรักษาวัด สำนักสงฆ์ที่พักสงฆ์พระสงฆ์สามเณรและชาวพุทธไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้อยู่ในพื้นที่ได้อย่างสงบ สันติ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาด้วย โดยมีสโลแกน​ว่า เราจะผนึกกำลัง​ไปด้วยกัน" พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวในตอนท้าย  

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2564

"บิ๊กป้อม" หนุนออกกม.ดึงปชช.มีส่วนร่วม อนุรักษ์-ป้องกันทรัพยากรทะเลชายฝั่ง


พล.อ.ประวิตร  สั่งเร่ง ปก.กักเซาะชายฝั่ง "เมืองพัทยา"  ประชุม คกก.ทรัพยากร ทางทะเลชายฝั่ง  มุ่งอนุรักษ์ ปชช.ได้ประโยชน์  เน้นสร้างการรับรู้ มีส่วนร่วม  ขอบคุณ อส.พิทักษ์ทะเล ร่วมอนุรักษ์

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2564 พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรองรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้เวลา 10.00น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง รองนายกรัฐมนตรี  ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบาย และแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์  โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301  ตึกบัญชาการ 1  ทำเนียบรัฐบาล

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การประชุมฯ วันนี้ เป็นความสำเร็จอีกขั้น ที่รัฐบาลโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกับภาคเอกชนและประชาชนที่ช่วยกันคิดและกลั่นกรองร่างกฎหมายลำดับรองกว่า 11 ฉบับ ที่จะช่วยอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่สำคัญของประเทศ และที่ประชุม ได้รับทราบ ผลการดำเนินงานการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ทั้ง 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล ประจำปี 2564 ประกอบด้วย การบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลน,การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล ได้แก่ ปะการัง หญ้าทะเล สัตว์ทะเลหายาก,การบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่งทะเล,การจัดทำปะการังเทียม การประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเล,การบริหารจัดการมลพิษ และขยะทะเล รวมถึงการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ( Smart patrol) เป็นต้น จากนั้นที่ประชุมได้มีการพิจารณา เห็นชอบ การออกกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณ ต่างๆ เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง อาทิ แหลมกลัด,อ่าวใหญ่ และเกาะหมาก จ.ตราด ,เกาะเปริด จ.จันทบุรี ,เกาะทราย เกาะขี้นก และเกาะสะเดา จ.ประจวบคีรีขันธ์ , เกาะไข่ จ.ชุมพร หมู่เกาะทะลุ เกาะสิงห์ เกาะสังข์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ , เกาะสะเก็ด จ.ระยอง ,หมู่เกาะพยาม จ.ระนอง  

และยังได้เห็นชอบการประกาศกฎกระทรวงในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง บริเวณพื้นที่เขตปกครองพิเศษ พัทยา จ.ชลบุรี พื้นที่ตำบลปากคลอง จ.ชุมพร และพื้นที่ตำบลธงชัย ,ตำบลแม่รำพึง จ.ประจวบคีรีขันธ์  ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ ทส.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการ ให้เป็นไปตาม กฎ ระเบียบ อย่างถูกต้อง โดยเคร่งครัด คำนึงถึง การอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อย่างสมดุล คุ้มค่า และยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวว่า ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง นับเป็นมรดกทางธรรมชาติ ที่มีคุณค่ายิ่ง ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเร่งด่วน ในการบริหารจัดการและ ต้องให้ประชาชนในพื้นที่ มีส่วนร่วม อย่างจริงจัง พร้อมทั้งให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อร่วมพัฒนาไปด้วยกัน  และยังได้ขอบคุณ อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ที่มีส่วนร่วมอนุรักษ์ ด้วยดีที่ผ่านมา


"หญิงหน่อย"โกอินเตอร์แล้ว! โหนเลือกตั้งเยอรมนี ชื่นชม"อังเกลา แมร์เคิล"


วันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2564   คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ประธานพรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กความว่า วันนี้่มีการเลือกตั้งที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี อีกไม่นานเยอรมนีจะได้ผู้นำใหม่ เพราะนางอังเกลา แมร์เคิลกำลังจะก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากการดำรงตำแหน่งตามวิถีทางประชาธิปไตยมาแล้วเกือบ 16 ปี 

ดิฉันมีความชื่นชมนางอังเกลา แมร์เคิล เป็นการส่วนตัว เพราะเธอมีความเป็นผู้นำสูง  เป็นผู้นำที่เป็นที่รักของชาวเยอรมัน เธอสามารถสร้างความรู้สึกมั่นคง มั่นใจให้กับประชาชน อีกทั้งมีความสามารถในการนำเยอรมันก้าวพ้นสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และนำเยอรมนีกลับมาเป็นผู้นำในเวทีโลกอย่างสง่างาม

ในด้านเศรษฐกิจ อังเกลา แมร์เคิล ลดอัตราการว่างงาน ที่มีอยู่สูงถึงร้อยละ 11 ในปี พ.ศ.2548 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 3.14 ในปี พ.ศ.2562 นับเป็นตัวเลขการว่างงานที่ตำที่สุดตั้งแต่การรวมชาติเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก

บทพิสูจน์ต่อมาคือ วิกฤตการณทางการเงินโลกที่เริ่มปะทุในปี พ.ศ.2550 ส่งผลให้หลายชาติในสหภาพยุโรปต้องเผชิญวิกฤตสถาบันทางการเงิน ภาคเอกชนจำนวนมากอยู่ในภาวะเสี่ยงล้มละลาย รวมถึงวิกฤตหนี้สินของประเทศที่ทำให้ไม่มีเงินงบประมาณเพื่อสวัสดิการของสังคม เยอรมนีภายใต้การนำของนางอังเกลา แมร์เคิล มีบทบาทอย่างสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้สินในสหภาพยุโรป อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องสหภาพยุโรปไม่ให้ล่มสลาย

ด้านสังคม แมร์เคิล มีนโยบายเปิดกว้างและใช้ความอดทนกับความแตกต่าง เธอรับมือกับปัญหาผู้อพยพจากตะวันออกกลางโดยไม่ปิดกั้นและค่อยๆทำให้ผู้อพยพกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเยอรมัน  อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนผ่านหลายประการทางด้านสังคมเช่น การผ่านกฎหมายสมรสคนเพศเดียวกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหมุดหมายที่ก้าวหน้าอย่างสำคัญที่ไม่ว่าใครก็ตาม เพศใดก็ตามมีสิทธิในการสมรสอย่างเท่าเทียมกัน สะท้อนให้เห็นพัฒนาการทางมนุษยชน

และสำคัญยิ่งในช่วงวิกฤติ Covid-19 ซึ่งเป็นบททดสอบสุดท้ายทางการเมืองของเธอ แมร์เคิลไม่เพียงแต่ต่อสู้กับปัญหาอย่างสุดความสามารถ จนนำพาให้เยอรมันนีกำลังจะก้าวพ้นวิกฤตได้ในขณะนี้ สุนทรพจน์ของแมร์เคิล และน้ำใจที่รัฐบาลเยอรมันแบ่งปัน ยา Monoclonal Antibody ให้กับประเทศไทย ได้สร้างกำลังใจให้กับชาวไทยจำนวนมาก

ดิฉันขอยินดีกับชาวเยอรมัน ที่กำลังจะได้ผู้นำใหม่ตามวิธีประชาธิปไตยอย่างราบรื่น และขอยกย่องนางอังเกลา แมร์เคิล ว่าเป็นหญิงแกร่งที่ร่วมฝ่าฟันมรสุมของวิกฤตต่างๆของโลก และเป็นหนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกเสรีนิยมประชาธิปไตย ดิฉันมั่นใจว่าผลงานของเธอจะอยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดไป

ชาวสุโขทัยซาบซึ้ง"บิ๊กตู่"สั่ง 9 เรื่องเร่งด่วน ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม


“ทิพานัน”เผยชาวสุโขทัยซาบซึ้งนายกฯ ดำเนินการ 9 เรื่องเร่งด่วนช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม  พร้อมเร่งสำรวจความเสียหายทั่วถึง-โปร่งใส เพื่อมารตรการเยียวยา ฟื้นฟูโดยเร็ว ชี้ทุกฝ่ายต้องช่วยประชาชนก่อน วอนฝ่ายค้านอย่าจ้องดิสเครดิตทางการเมือง 

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2564 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวภายหลังร่วมคณะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดสุโขทัยเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมว่า โดยภาพรวมจ.สุโขทัยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้ในพื้นที่เศรษฐกิจฝั่งขวา  9 อำเภอ 56 ตำบล 288 หมู่บ้าน พื้นที่การเกษตร 169,297 ไร่ บ่อปลา 1,326 ไร่ ถนน 118 สาย สะพาน 6 แห่ง ท่อระบายน้ำ 7แห่ง ตลิ่งและคันกั้นน้ำ 6 แห่ง ฝาย 9 แห่ง ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้ประสานงานรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือเฉพาะหน้าเป็นการเร่งด่วนแล้ว

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่ล่าสุดสิ่งที่นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยในภาวะฉุกเฉินเร่งด่วนนี้ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการ 9 ภารกิจเร่งด่วนคือ 1.อพยพผู้ประสบภัยและสัตว์เลี้ยงไปยังที่ปลอดภัย โดยคำนึงมาตราการป้องกันโควิด-19 ด้วย  2.จัดเตรียมศูนย์อพยพชั่วคราวและต้องประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าให้ผู้ประสบภัยได้ทราบและมาพักอาศัยกรณีเกิดภาวะน้ำท่วมฉุกเฉินไว้   3.ในส่วนพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านได้นั้น ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาอาหารแห้ง น้ำดื่มและยารักษาโรค 4.อำนวยความสะดวกการใช้ไฟฟ้าแก่พี่น้องประชาชนให้มีใช้อย่างเพียงพอต่อเนื่อง รวมทั้งแนะนำข้อปฏิบัติเกี่ยวกับไฟฟ้ากรณีเกิดน้ำท่วมให้มีความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด 5.จัดให้มีชุดปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็วทางเรือเพื่อให้การรักษาพยาบาลพี่น้องประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม 6.สำรวจและขจัดสิ่งขวางทางน้ำไหลเพิ่มให้เหมาะสม 7. ด้านการคมนาคมนายกรัฐมนตรีได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแสดงสัญลักษณ์และเตือนภัยเส้นทางสัญจรที่เป็นอันตราย ไม่ควรผ่านให้ประชาชนได้เตรียมตัวได้ทัน มีจุดบอกระดับน้ำท่วมในจุดที่มีพี่น้องประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อความปลอดภัย 8.ให้หน่วยงานเกี่ยวข้องขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตให้ช่วยเฝ้าระวังสัญญาณให้การได้อยู่เสมอ 9.ให้เร่งสำรวจความเสียหายของพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยอย่างทั่วถึงและโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อที่รัฐบาลจะได้มีมาตรการเยียวยา และฟื้นฟูโดยเร็วที่สุดและครบถ้วน  ซึ่งทุกข้อสั่งการหากติดขัดตรงไหนก็ขอให้ผู้เกี่ยวข้องรีบรายงานมาที่นายกรัฐมนตรีโดยด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนต่อไป

“นายกฯห่วงใยสภาพจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม ฉะนั้นกำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ และการลงพื้นที่  นายกฯจะติดตามข้อสั่งการเสมอๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ของพี่น้องประชาชนให้รวดเร็ว  อย่างวันลงพื้นที่ตนได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชน ต่างมีความซาบซึ้งในความห่วงใยและความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ของนายกรัฐมนตรี เข้าใจว่านายกรัฐมนตรี ต้องการดูแลประชาชนทั้งประเทศอย่างดีที่สุด จึงต้องรับรู้ถึงสถานการณ์ สัมผัสปัญหาเพื่อเข้าใจสภาพความเป็นจริง  ไม่ใช่รอรับรายงานเพียงอย่างเดียว เพื่อเสริมความคล่องตัวในการทำงานให้มากขึ้น โดยยึดหลักการกระจายอำนาจและบูรณาการการทำงาน”น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า เมื่อเกิดสถานการณ์ที่น้ำท่วมในหลายพื้นที่ เป็นช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องหันหน้ามาร่วมมือร่วมใจกันเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนก่อน ไม่ใช่หาช่องโจมตีหรือดิสเครดิตทางการเมือง ฝ่ายค้านเองก็ควรลงพื้นที่ไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเช่นกัน เพื่อจะได้สัมผัสถึงปัญหาและความต้องการของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

 

 

"ส.ส.อุบลฯเพื่อไทย"เตือน"บิ๊กตู่"ดันกฎหมายการเงินเข้าสภาถูกคว่ำแน่


วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564  นางสาวกิตติ์ธัญญา วาจาดี ส.ส.อุบลราชธานี เขต 3 กรรมาธิการการปกครอง คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากจะขอเตือนไปยัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ว่ากำลังจะล้มเหลวทุกด้าน ทั้งคนเจ็บคนตายที่ยังสูงอยู่ และคนเจ็บคนตายที่ผ่านมาก็มีจำนวนสูงมาก ปัจจุบันวัคซีนคุณภาพก็ยังไม่เห็นเข้ามาเลย ในขณะที่ประเทศเวียดนามสั่งวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มขึ้นอีกแล้ว สภาวะเศรษฐกิจทรุดต่ำลงตลอด ประเทศหนี้ล้นเกินกว่า 9 ล้านล้านบาท จนต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ของจีดีพี ประชาชนหนี้ท่วม จนหนี้ครัวเรือนจะทะลุ 14.13 ล้านล้านบาทและจะถึง 93% ของจีดีพีในปลายปีนี้ โดยที่พลเอกประยุทธ์ ไม่มีหนทางจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร ขนาดการแก้ไขน้ำท่วมที่กำลังเป็นปัญหาหนักพลเอกประยุทธ์ ทำได้แค่แนะนำประชาชนให้สวดมนต์ไล่พายุ 

อีกทั้งความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐยิ่งวันยิ่งทวีความรุนแรง ส.ส. ต่างอึดอัด และแบ่งก๊กแบ่งฝ่ายกันแล้ว โดยพลเอกประยุทธ์ น่าจะทราบดีว่าเสียงสนับสนุนตนเองมีน้อยมากในพรรคพลังประชารัฐ ทั้งนี้เพราะความนิยมของพลเอกประยุทธ์  อยู่ในระดับที่ต่ำมาก ส.ส. ในพรรคจะไม่ชนะเลือกตั้งหากจะยังชูพลเอกประยุทธ์ ขนาดเลขาธิการพรรค พปชร. เองยังยอมรับว่าความนิยมของพรรค พปชร. ตกต่ำลงมาก และอาจจะเลือกตั้งแพ้พรรคก้าวไกลได้ ดังนั้นทุกอย่างดูแย่ การที่พลเอกประยุทธ์ จะดันทุรังอยู่ในตำแหน่งต่อไปจะยิ่งทำให้ประเทศย่ำแย่และจะพังมากขึ้นได้ 

ทั้งนี้ สังเกตได้จาก พ.ร.บ.  โรคติดต่อฯ ที่แก้ไขปรับปรุงเสร็จ แต่ไม่กล้าประกาศใช้ เพราะห่วงว่าจะต้องนำเข้าสภาเพื่อรับรองแต่อาจจะถูกคว่ำในสภาได้ และ จะทำให้พลเอกประยุทธ์ ต้องลาออกหาก พ.ร.บ.  ถูกคว่ำ ทำให้พลเอกประยุทธ์ ไม่กล้านำเข้าสภาและต้องต่อ พ.ร.ก. ฉุกเฉินออกไปอีก 2 เดือน แทนที่จะใช้ พ.ร.บ. โรคติตต่อฯ และยกเลิก พ.ร.ก ฉุกเฉินได้แล้ว ดังนั้น ขนาด พ.ร.บ. โรคติดต่อฯ ยังไม่กล้านำเข้าสภา แล้วกฏหมายที่เกี่ยวกับการเงินก็คงไม่กล้านำเข้าสภาแน่ เพราะหากนำเข้าสภา การจะได้รับเสียงโหวตสนับสนุนอาจจะไม่เพียงพอ ถึงจะพอก็อาจจะต้องแจกกล้วยกันอีกเป็นเคลือๆ แทนที่จะเป็นหวีเหมือนในอดีตตามที่สื่อคาดการณ์ไว้  ดังนั้นแม้จะขยายเพดานการกู้เงิน แต่พลเอกประยุทธ์ จะใช้เงินได้เฉพาะจำนวนเงินที่อนุมัติแล้ว จะขอเงินกู้เพิ่มจะทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย เพราะพลเอกประยุทธ์ จะไม่กล้านำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินเข้าสภา เพราะหากถูกตีตกพลเอกประยุทธ์ จะต้องลาออกทันที เมื่อไม่สามารถจะขอเงินกู้เพิ่มขึ้นได้ พลเอกประยุทธ์  ก็ไม่มีทางจะฟื้นเศรษฐกิจได้ (ถึงกู้ได้ ก็ฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้อยู่แล้ว จากความสามารถที่จำกัดตามประวัติย้อนหลัง) ดังนั้นการคงอยู่เพียงเพื่อรักษาอำนาจจะยิ่งทำให้ประเทศย่ำแย่ลงไปอีก

ทางที่ดีที่สุด คือพลเอกประยุทธ์   ควรจะหาทางลงและออกไปได้แล้ว เพราะอยู่ไปก็แก้ปัญหาของประเทศไม่ได้ ประชาชนจะยิ่งลำบากและอาจจะสาปแช่งได้ สุดท้ายอาจจะทนกันไม่ไหวต้องออกมาขับไล่พลเอกประยุทธ์ อีกเป็นจำนวนมาก จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้สำนึกและหาทางลงก่อนที่จะถูกบังคับให้ลง และอาจจะมีคดีความตามมาอีกมาก

“บ้านเซี๊ยะ-บ้านโป่ง (สันขี้เหล็ก)”หมู่บ้านจัดการขยะรีไซเคิล 3R สู่การสร้างสรรค์งานศิลปะชุมชน




โครงการวิจัยนวัตกรรมการสร้างสรรค์งานศิลปะชุมชนจากขยะรีไซเคิลเพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเพิ่มรายได้โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)และสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

จากการดำเนินงานวิจัยที่ได้คัดเลือกพื้นที่วิจัย จำนวน 2 ชุมชน ได้แก่ บ้านเซี้ยะ หมู่ 4 ตำบลจุน อำเภอจุน จังหวัดพะเยา และบ้านโป่ง (สันขี้เหล็ก) หมู่ 6 ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นต้นแบบการจัดการขยะรีไซเคิลตามหลักการจัดการขยะอยู่แล้ว สามารถพัฒนาต่อยอดด้วยวิธีการศิลปะ นำไปสู่การช่วยขับเคลื่อนชุมชนทั้งด้านการจัดการขยะในรูปแบบใหม่ที่มีสุนทรียภาพ สร้างจิตสำนึกของชุมชน และสร้างแลนมาร์คใหม่แก่ชุมชนอีกด้วย




จากการสร้างกระบวนการวิจัยโดยการมีส่วนร่วมของ 2 ชุมชนนั้น ได้มีการสร้างนวัตกรรมด้านศิลปะชุมชนโดยการใช้เอกลักษณ์อัตลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นของชุมชนมาช่วยสร้างสรรค์เกิดผลงานของชุมชน และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่ง บ้านเซี๊ยะ ได้สร้างสรรค์หุ่นประติมากรรมนกยูงจากขยะรีไซเคิลที่ประกอบด้วย กระป๋องกาแฟ ซองกาแฟ ขวดน้ำอัดลมและถังขยะพลาสติกเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว หลังจากมีการจัดการขยะรีไซเคิล โดยเหตุผลที่เลือกสร้างนกยูง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของชุมชน คือเป็นแหล่งอนุรักษ์นกยูงเวียงลอ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา และในชุมชนมีขยะประเภทกระป๋องเป็นจำนวนมาก รวมทั้งถังขยะเก่าจากเทศบาลตำบลจุนส่วนทางด้านบ้านโป่ง (สันขี้เหล็ก) ได้สร้างกังหันลมดอกขี้เหล็ก ซึ่งใช้เอกลักษณ์ของชุมชนคือ ชุมชนมีต้นดอกขี้เหล็กอย่างมากมายและเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่ชุมชนมาแต่ยาวนาน  โดยใช้กระป๋องยากำจัดวัชพืช และกระป๋องน้ำอัดลม กาแฟที่มีอยู่จำนวนมากในชุมชน มาสร้างเป็นกังหันลมดอกขี้เหล็กที่มีขนาดรัศมี 2 เมตร และ 5 เมตร ตลอดจนพัฒนามาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนคือ กังหันลมขนาดเล็กที่ใช้ประดับตามบ้านเรือน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอีกทางหนึ่ง


นอกจากนี้ทางโครงการวิจัยและชุมชนได้ร่วมจัดกิจกรรมในชุมชน เพื่อเปิดตัวหมู่บ้าน และเป็นการเผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจในเรื่องการจัดการขยะชุมชนด้วยศิลปะ โดย บ้านเซี๊ยะได้มีการเปิดตัวประติมากรรมนกยูงพร้อมติดตั้งหุ่นประติมากรรมนกยูงตามจุดสำคัญต่างๆ ในชุมชน ในวันที่ 30 สิงหาคม 2564  และบ้านโป่ง (สันขี้เหล็ก) ได้จัดการประกวดคุ้มการเรียนรู้ศิลปะชุมชน โดยชุมชนในแต่ละคุ้มได้นำเสนอการจัดนิทรรศการตามแต่ละคุ้มเพื่อนำเสนอการจัดการขยะและเชื่อมโยงตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชน ในวันที่ 24 กันยายน2564 ที่ผ่านมา

ทางด้าน ผศ.ดร.สหัทยา วิเศษ หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า “การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างสรรค์นวัตกรรมจากขยะรีไซเคิลที่มีอยู่ในชุมชน โดยเริ่มจากการให้ดูตัวอย่างงานศิลปะจากขยะ การกระตุ้นให้คนในชุมชนคิดสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน การตั้งคณะทำงานเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน มีการประเมินผลงานที่ได้ทำขึ้นมา และจัดนิทรรศการเพื่อแสดงผลงานศิลปะชุมชนจากขยะรีไซเคิล รวมทั้งการถอดบทเรียนหลังเสร็จสิ้นการดำเนินงาน ในทุกขั้นตอนชุมชนเกิดการเรียนรู้ในด้านความเป็นผู้นำ ความคิดสร้างสรรค์ การแบ่งบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ ที่สำคัญมีความสุขและความสนุกจากการสร้างสรรค์ผลงานดังกล่าว”



นายหมวก สะสาง ผู้ใหญ่บ้านบ้านเซี๊ยะกล่าวถึงกิจกรรมในโครงการวิจัยครั้งว่า “เป็นกิจกรรมที่ดีเป็นการส่งเสริมและช่วยให้ชุมชนมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสามารถต่อยอดการจัดการขยะนอกเหนือจากการใช้วิธี 3R แล้วยังสามารถนำมาประยุกต์สร้างพื้นที่ความสวยงามแก่ชุมชน เป็นศูนย์เรียนรู้แบ่งปันความรู้ให้แก่ชุมชนรอบข้างได้ รวมไปถึงขยายผลไปถึงการสร้างรายได้แก่ชุมชนเพราะตอนนี้เริ่มมีผู้สนใจหุ่นประติมากรรมนกยูงมากขึ้น และมีผู้ให้ความสนใจในการอยากจะศึกษา เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะด้วยศิลปะ ”




นายประพันธ์ แก้วมณี ผู้ใหญ่บ้านบ้านโป่ง (สันขี้เหล็ก) กล่าวว่า “การจัดกิจกรรมของโครงการวิจัยในครั้งนี้มองว่าเป็นการสร้างสรรค์วิธีการจัดการขยะอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากการจัดการโดยการคัดแยกขยะ เมื่อโครงการนี้ได้เข้ามาสนับสนุนจึงได้มีการต่อยอดและรู้ถึงวิธีการสร้างมูลค่าของขยะมากยิ่งขึ้น เช่น ขยะบางประเภทเมื่อแยกแล้วนำไปขายก็ได้ราคาไม่สูงมาก แต่ถ้าหากนำมาประดิษฐ์ เช่น สร้างกังหัน ก็สามารถเสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นมาจากเดิม รวมไปถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในยุคที่มีโรคระบาท (โควิท)ที่ต้องปรับกระบวนการทำงาน เช่น การร่วมสร้างกังหันดอกขี้เหล็กขนาด 2 เมตร และ 5 เมตร ต้องมีการสลับสับเปลี่ยนของคนในชุมชนแต่ละครัวเรือนให้มาร่วมสร้าง เพื่อลดปัญหาโรคระบาท โดยไม่จำเป็นต้องรวมกลุ่มมากมายแต่ก็สามารถทำให้ผลงานสำเร็จได้ นอกจากนี้การจัดคุ้มการเรียนรู้ก็ยังเป็นการสร้างศูนย์การเรียนรู้ในหมู่บ้านแต่ละจุด โดยการนำเสนอถึงการใช้วัสดุอุปกรณ์จากขยะรีไซเคิลที่หาได้ในชุมชนมาใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่ต้องงบประมาณมาก ซึ่งสอดคล้อง หลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่หมู่บ้านใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิต”

ศิลปะขยะจากชุมชน ไม่เพียงแค่การสร้างสรรค์ผลงานที่สำเร็จเป็นชิ้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของความสวยงาม แต่ยังแฝงไปด้วยคุณค่า จิตวิญญาณของชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รวมถึงสร้างความวิริยะ อุตสาหะ เพื่อไปถึงจุดหมายร่วมกัน ส่งผ่านผลงานที่ตราตึงจิตใจแก่ผู้พบเห็น หากท่านใดที่เดินทางผ่านมาทางชุมชนบ้านเซี๊ยะ และบ้านโป่ง (สันขี้เหล็ก) สามารถแวะชมและสนับสนุนผลงานของทั้ง 2 ชุมชนได้

พช.จับมืออีสท์เวสท์ซีดรับมอบ "ฟ้าทะลายโจร" สู้โควิด-19


พช.จับมืออีสท์เวสท์ซีดรับมอบ “ฟ้าทะลายโจร” สู้โรคโควิด-19 ควบคู่การรักษาแพทย์แผนปัจจุบันวันที่ 26 กันยายน 2564 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมรับมอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวน 4,000 ต้น จากบริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด (เมล็ดพันธุ์ตราศรแดง) โดยมีนายวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสเวสท์ ซีด จำกัด เป็นตัวแทนมอบให้กับกรมการพัฒนาชุมชน นำต้นกล้าฟ้าทะลายโจรไปแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วประเทศ เพื่อให้คนไทยมีพืชสมุนไพรประจำบ้าน ช่วยรักษาควบคู่กับแพทย์แผนปัจจุบันจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 พร้อมทั้งสาธิตการปลูกต้นฟ้าทะลายโจร ณ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี          

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ขอขอบคุณบริษัท อีสเวสท์ ซีด จำกัด (เมล็ดพันธุ์ตราศรแดง) ได้รับความกรุณาร่วมเป็นภาคีเครือข่ายกับเรามาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบที่ 1 จากการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสร้างพื้นที่ต้นแบบอย่างหลากหลายพื้นที่ เช่นที่ ตำบลโก่งธนู อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ภายใต้โครงการ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” รณรงค์ให้ทุกครัวเรือนปลูกพืชผักสวนครัว สร้างความมั่นคงทางอาหาร เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเอง โดยใช้พื้นที่ว่างปลูกพืชผักสวนครัวไว้รับประทานอย่างปลอดภัย สามารถลดรายจ่ายในครัวเรือน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากความร่วมมือกับบริษัท อีสเวสท์ ซีด จำกัด (เมล็ดพันธุ์ตราศรแดง) ในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยต่อการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ผัก ร่วมกันรณรงค์การซื้อเมล็ดพันธุ์ซื้อ 1 แถม 1 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยม ทำให้คนไทยกว่า 12 ล้านครัวเรือนเกิดการตื่นตัวปลูกพืชผักสวนครัวเป็นอย่างมาก ต่อมาเกิดการแพร่ระบาดหนักเป็นรอบที่ 2 และ รอบที่3 ทำให้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากและรวดเร็ว ทำให้ยารักษาโรคไม่เพียงพอ บริษัทฯ จึงให้ทีม R&D วิจัยและคิดค้นในเรื่องของพืชสมุนไพร ฟ้าทะลายโจร ด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจรที่มีคุณภาพ เนื่องจาก ฟ้าทะลายมีสารแอนโดกราโฟไลด์ มีสรรพคุณช่วยผู้ป่วยที่มีอาการไม่หนักโดยควบคู่กับการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน ทางกรมการพัฒนาชุมชนจึงส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพร ขิง ข่า ตะไคร้ มะนาว มะกรูด ซึ่งมีสรรพคุณ ป้องกันไข้หวัด รวมถึงฟ้าทะลายโจร ควบคู่กับการปลูกพืชผักสวนครัวอย่างต่อเนื่อง

          ด้าน นายวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทน บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ส่งมอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวน 4,000 ต้น แก่กรมการพัฒนาชุมชน เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วประเทศไทย จากโครงการปฏิบัติการ 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร เราได้ทำร่วมกับทางกรมการพัฒนาชุมชน มาอย่างต่อเนื่อง เมื่อสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ยังคงมีตัวเลขผู้ป่วยที่สูงขึ้น ทางบริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด หรือ เมล็ดพันธุ์ตราศรแดง มีความห่วงใยต่อพี่น้องคนไทย เล็งเห็นว่า การป้องกันตัวเอง หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง ใสหน้ากาก ใช้แอลกอฮอล์ ยังคงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกาย เช่นเดียวกับพืชสมุนไพร อย่างฟ้าทะลายโจร เป็นพืชสมุนไพรที่มีรสขม อยู่ในกลุ่มยาเย็น มีสรรพคุณทางการแพทย์แผนไทย ใช้บรรเทาอาการไข้หวัดแก้ไอและเจ็บคอ นั้น ทางเราจึงขอส่งมอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจรแก่กรมการพัฒนาชุมชน ในการเป็นเครือข่ายส่งต่อความห่วงใยให้แก่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ

          สุดท้ายนี้ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จะเป็นตัวแทนส่งมอบต้นกล้าฟ้าทะลายโจรจำนวน 4,000 ต้น ให้พี่น้องคนไทยทั่วประเทศ และส่งเสริมการขยายพันธุ์ และส่งเสริมอนุรักษ์พันธุกรรมพืชต่อไป จะเห็นได้ว่าประเทศชาติจะอยู่รอดได้ ถ้าทุกคนไม่ทอดทิ้งกัน อย่างเช่นบริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด (เมล็ดพันธุ์ตราศรแดง) และเราจะเป็นภาคีเครือข่ายที่ดี เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้รอดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน ทำให้สังคมเป็นสังคมแห่งความรัก ความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งพืชผักที่ปลูกจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อน อย่างน้อยช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน มีผักกินเองในบ้านโดยที่ไม่ต้องซื้อหาจากข้างนอก ปลูกผักที่กิน กินผักที่ปลูก ประหยัดรายจ่าย เท่ากับเพิ่มรายได้ ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศเกิดความมั่นคง มีความเข้มแข็ง อย่างยั่งยืนต่อไป และขอเชิญชวนทุกท่านร่วมสมัครเป็นสมาชิก Fanpage Facebook “ปลูกพืช ปลูกผัก ปลูกรักกับ พช” ด้วยการกด Like กด Share เพื่อเป็นช่องทางให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจร่วมกัน พร้อมเป็นการสร้างวัฒนธรรมการพึ่งพาตนเอง ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัวและพืชสมุนไพรไว้บริโภคเองในครัวเรือน จนเป็นอุปนิสัยเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้นแบบให้กับพี่น้องประชาชนทั่วโลกได้ชื่นชมต่อไป อธิบดี พช. กล่าวปิดท้าย

สิ้นกรรมการมส.! "พระวิสุทธิวงศาจารย์" สิริอายุ ๘๔ ปี พรรษา ๖๔


วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๔  มีรายงานว่า พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ ป.ธ.๙) อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม ,อดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และอดีตรองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ  มรณภาพแล้วอย่างสงบ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลา ๑๒.๕๒ น. เศษ สิริอายุ ๘๔ ปี พรรษา ๖๔ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ

๏ ชาติภูมิ

พระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ) เดิมชื่อ วิเชียร เรืองขจร เกิดวันอาทิตย์ ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐ ปีฉลู ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ บ้านบางพลับ ตำบลบางพลับ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔ ณ วัดดงตาล ตำบลบางพลับ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมี พระครูอุภัยภาดารักษ์ วัดสองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาอุปสมบทเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ณ วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร โดยมีพระธีรสารมุนี วัดอัปสรสวรรค์ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอุปัชฌาย์

๏ ลำดับสมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค และในปีเดียวกันได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระเมธีวราภรณ์”

พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ “พระราชปริยัติกวี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ “พระเทพสุธี ธรรมปรีชาญาณดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ “พระธรรมธีรราชมหามุนี คัมภีรญาณวิมล โสภณธรรมานุสิต ตรีปิฎกบัณฑิตมหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ในราชทินนามที่ “พระวิสุทธิวงศาจารย์ ญาณทัศนวิกรม พรหมจริยาธิมุต วิสุทธิธรรมานุจารี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”


วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

พระปิดตาปลดหนี้ "หลวงพ่อพัฒน์"วัดห้วยด้วน สืบสานตำนาน"ปิดตาหลวงปู่โต๊ะ"



ในแวดวงนักสะสมพระเครื่องวัตถุมงคลยุคนี้ ไม่มีใครปฏิเสธพลังศรัทธาที่พุทธศาสนิกชนทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศมีต่อ พระราชมงคลวัชราจารย์ หรือ"หลวงพ่อพัฒน์ ปุญญกาโม"  พระมหาเถระ 5แผ่นดินผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา สมญานาม “เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว” กล่าวได้ว่า ถนนทุกสายมุ่งหมายสู่เมืองปากน้ำโพ โดยคณะศิษย์และวัดวาอารามหลายแห่งต่างมาขอพึ่งบารมีของท่านขออนุญาตจัดสร้างวัตถุมงคลมากมายหลายร้อยรุ่นจนเป็นประวัติการณ์

"หลวงพ่อพัฒน์ ปุญญกาโม”แห่งวัดห้วยด้วน (ธารทหาร) อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่สืบทอดพุทธาคมสายหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล ซึ่งท่านเป็นเหลนแท้ๆ ผ่านทางอดีตสุดยอดคณาจารย์ดังอย่างหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ, หลวงพ่ออิน วัดหางน้ำสาคร, หลวงพ่อหมึก วัดสระทะเล และหลวงพ่อโหมด วัดโคกเดื่อ     

ด้วยเหตุที่ท่านร่ำเรียนสรรพวิชาวิทยาคมมากมายและนำมาใช้ในการสร้างและปลุกเสก ส่งผลให้วัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิตมีพุทธคุณที่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ก่อเกิดประสบการณ์มากมายในทุกรุ่นจนเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวาง โดยท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดธารทหาร (ห้วยด้วน) สร้างคุณงามความดีทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวเมืองปากน้ำโพมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 จวบจนปัจจุบัน

วัตถุมงคลหลวงพ่อพัฒน์ที่กำลังมาแรงติดอันดับพระยอดนิยมอีกรุ่นนั่นคือ  "พระปิดตาปลดหนี้" ผลงานการจัดสร้างโดย"นิภัทร สมาร์ทอิมเมจ และ"ป้อม สกลนคร" สมญานาม"2เสือ" โดยมีวัตถุประสงค์นำรายได้ส่วนหนึ่งถวายหลวงพ่อพัฒน์ เพื่อร่วมสร้างเจดีย์กลางน้ำ 

พระปิดตารุ่นนี้นับเป็นการสืบตำนานพระปิดตาปลดหนี้  "หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ"(พระราชสังวราภิมณฑ์)วัดประดู่ฉิมพลี เขตบางกอกใหญ่ กทม. โดยถอดพิมพ์มาจัดสร้างได้อย่างงดงามตรงตามเอกลักษณ์ดั้งเดิม แต่ที่เหนืออื่นใดคือมวลสารที่ใช้ในการสร้างอย่างเต็มสูตร หรือพูดตามภาษานักสร้างก็ต้องบอกว่า"จัดหนักจัดเต็ม เข้มข้น เข้มขลัง"  

หลวงพ่อพัฒน์เมตตาตั้งชื่อรุ่น พร้อมมอบเกศาและจีวรคู่กายที่ท่านใช้ประจำรวมกับผงว่าน ผงเสก ตะกรุดจารเสก เพชรพลอย หินสี ผงตะใบเสก ซึ่งล้วนเป็นมวลสารชั้นครู โดยท่านปลุกเสกลงคาถามวลสารทุกอย่างให้อย่างเข้มขลังตามเคล็ดวิชาตำราโบราณ

พระปิดตาปลดหนี้ หลวงพ่อพัฒน์ รุ่นนี้สาเหตุที่เรียกว่ารุ่น"ปลดหนี้" เพราะตอนที่หลวงพ่อพัฒน์ดูรูปแบบเเล้วเมตตาเขียนคำว่า "ปลดหนี้" ให้บนจีวรที่ใช้เป็นมวลสาร เเถมตอนที่ปั๊มองค์นำฤกษ์ท่านยังหยิบพระขึ้นมาแล้วกล่าวเป็นวาจาให้ "รวย รวย ปลดหนี้" เป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อพัฒน์ให้พรแก่ลูกศิษย์"ให้เอาไปปลดหนี้ รวย รวย รวย กันทุกๆคน"  

เช่นเดียวกับ พระปิดตารุ่นปลดหนี้ของหลวงปู่โต๊ะ วัดประดูฉิมพลี สาเหตุที่เรียกว่ารุ่น "ปลดหนี้" เพราะว่าเวลาหลวงปู่หยิบพระพิมพ์นี้ให้ใคร ท่านจะกล่าวให้พรว่า "ขอให้หมดหนี้หมดสินนะ" และเป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าว จากประสบการณ์เล่าขานของผู้ที่นำไปบูชา คุณวิเศษทางด้านเมตตา โชคลาภ โดยเฉพาะด้านการเงิน ช่วยให้หลายๆ คนปลดหนี้ได้จริงๆ แม้ในด้านแคล้วคลาด ปลอดภัยช่วยคุ้มครองได้อย่างน่าอัศจรรย์

พระปิดตาปลดหนี้ หลวงพ่อพัฒน์ นับเป็นสุดยอดงานสร้างสไตล์โบราณที่ทรงคุณค่า มีมนต์ขลัง ซึ่งจะเป็นตำนานอีกหนึ่งรุ่นในทำเนียบวัตถุมงคลหลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน ด้วยกระแสความแรงที่ไม่ธรรมดา ด้วยเนื้อหามวลสารที่อัดแน่น และพิมพ์ทรงองค์พระที่ลงตัวไม่ต่างจากพระปิดตาปลดหนี้หลวงปู่โต๊ะ ส่งผลให้ศิษย์สายหลวงปู่โต๊ะและหลวงพ่อพัฒน์ร่วมสั่งจองบูชากันอย่างคึกคัก โดยกำหนดปลุกเสกในเดือนตุลาคมนี้

ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญสร้างเจดีย์กลางน้ำกับหลวงพ่อพัฒน์ ติดต่อสอบถามได้ที่ "นิภัทร์ สมาร์ทอิมเมจ" โทร.0864508969  "ป้อม สกลนคร"โทร.0896198989 หรือในเพจ"กลุ่มพระผงยอดนิยมทุกรุ่น หลวงพ่อพัฒน์ ปุญญกาโม วัดห้วยด้วน จ.นครสวรรค์"

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2564

"พส.พระมหาสมปอง"เข้ากราบ"มส."สมเด็จพระมหาธีราจารย์ รับคำแนะนำชี้แนวทางเผยแผ่พุทธยุคใหม่


วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564  เนื่องเพจพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ได้โพสต์ภาพและข้อความว่า "วันนี้ (๒๔ กันยายน ๒๕๖๔) เวลา ๐๗.๐๐ น. เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาธีราจารย์  กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เมตตาให้พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโตและ พระอาจารย์ ดร.สมพงษ์  รตนวํโส กราบมุฑิตาสักการะ เจ้าประคุณฯได้เมตตา ให้คำแนะนำชี้แนวทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนายุคใหม่ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร"  

ก่อนหน้านี้จากกรณีพระมหาสมปอง ตาลปุตโต และพระมหาไพรวัลย์ วรวัณโณ พระนักเทศน์ชื่อดังแห่งวัดสร้อยทอง กรุงเทพมหานคร ที่ไลฟ์สดสอนธรรมทำให้มีผู้ติดตามชมมากถึง 2 แสนคน ส่งผลให้มีผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนั้น ทำให้ศ.ดร.อุทิศ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว"Uthit Siriwan" ประกอบการแชร์ข่าวเรื่อง"ถล่ม 2 พระมหา“สมปอง-ไพรวัลย์”-ยืนฝั่งตรงข้ามรัฐบาล"ความว่า พระเป็นข่าวดังในสังคมไทยเวลานี้ ครั้งแรกที่วงการสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ อยากได้พระเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้าเรียก event marketing มหาเถรสมาคมน่าจะนิมนต์เอาตัวไปเป็นพรีเซนเตอร์มหาเถรสมาคม 

"และจัดงบประมาณสนับสนุนการเผยแผ่เดินสายเทศน์ปุจฉาวิสัชนาทุกจังหวัดทุกอำเภอ ตามวัดต่างๆ  เหมือนพระพยอม(พระราชธรรมนิเทศ) ทำในอดีตรับรอง คนรุ่นใหม่ แห่เข้าวัดตรึมเพื่อฟัง 2 พส. เทศน์สด นักวิชาการพุทธศาสนาคนดัง นิรนามบอกสื่อสั้นๆว่า เพราะเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล" ศ.ดร.อุทิศ ระบุ ซึ่งก็มีผู้แสดงความเห็นว่า "มส.ตั้งพส.เป็นโฆษกเลยครับ" 

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2564

กมธ.ศาสนาฯสภาฯถวายความรู้ "ข้อกฎหมาย-ทำบัญชีวัด" พระสังฆาธิการเพชรบุรี


เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้จัดสัมมนาโครงการบริหารจัดการวัดยุคใหม่กับการพัฒนาศักยภาพประชาชนภายได้หลักศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ณ ห้องนพรัตน์ โรงแรมรอยัลใดมอน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 23-26 ก.ย. โดยมีนายสุชาติ อุสาหะ ประธานกรรมาธิการฯ เป็นผู้เปิดงาน ในการนี้ได้มีวิทยากรที่ถวายความรู้กับพระสังฆาธิการ ได้แก่ พระพิพิธพัชโรดม (อำนวย อินฺทวณฺโณ) รองเจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี นายกฤษณ์ แก้วอยู่ เลขานุการกรรมาธิการ นายทองแดง เบ็ญจะปัก กรรมาธิการ นายธานินท์ ชื่นใจ ที่ปรึกษากรรมาธิการฯ นายสัมพันธ์ เสริมชีพ อนุกรรมาธิการฯ นายณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการฯ โดยวิทยากรได้มุ่งถวายความรู้ในแง่มุมต่างๆ ในแง่ข้อกฎหมายที่พระสงฆ์อาจยังไม่ทราบ การจัดทำบัญชีวัด 

รวมถึงมุมมองการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของสถาบันหลักของชาติ โดยให้ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก ดังในสมัยของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่พระองค์ใช้การเผยแผ่ศาสนาโดยประสานงานคู่กับฝ่ายการเมือง นำเอาความรู้ของพระพุทธศาสนาไปถึงวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยใช้วัดเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ทำให้พระสงฆ์เป็นพระตัวอย่างและต้องพัฒนาตัวเองเพื่อเป็นครูผู้มีความรู้ เด็กเยาวชนผู้ปกครองก็พร้อมที่จะเข้าวัด ทำให้เกิดการผสมผสานทั้ง ความรู้ พระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนในแต่ละวิถีแห่งท้องถิ่น 

ส่งผลให้ลดปัญหาการก่อคดีที่จะส่งผลให้มีคดีขึ้นสู่ศาล ทำให้บ้านเมืองเป็นสุข ลดงบประมาณด้านตุลาการ ด้านตำรวจ ด้านการสาธารณสุข ด้านสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ ทำให้สังคมและประเทศชาติพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในการนี้พระพิพิธพัชโรดม กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้พระสงฆ์อย่าทิ้งประชาชน การเป็นเจ้าอาวาสให้เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ต้องทำให้วัดอยู่คู่กับชาวบ้านได้อย่างเป็นสุข

ด้านนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานกรรมาธิการฯ ได้กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่คณะกรรมาธิการ นอกจากจะรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่รัฐสภาฯ ยังให้ความสำคัญในการลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้ และสามารถเข้าถึงปัญหาที่บางครั้งการนั่งประชุมแต่ในห้องไม่สามารถเข้าถึงปัญหาที่แท้จริงได้ การที่ผู้มีอำนาจอยู่แต่ในเมืองหลวงโดยถือว่าเป็นผู้วางนโยบายและไม่ลงพื้นที่เลยนั้นตนเห็นว่าจะไม่นำมาซึ่งการแก้ปัญหาอย่างถูกจุดและยั่งยืน ดังนั้นคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ที่ผ่านมาจะลงพื้นที่ตลอดจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ในการแก้ปัญหารวมถึงการผลักดันกฎหมายต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ

สสส.ชู รพ.สนามวัดสุทธิวรารามเป็นต้นแบบดูแลผู้ป่วยโควิด-19



หนุน รพ.สนาม “1 วัด 1 จังหวัด” สสส.จับมือภาคีเครือข่ายสุขภาพพระสงฆ์ ดันมติมหาเถรสมาคม ให้วัดดูแลผู้ป่วยโควิด-19ชู รพ.สนามวัดสุทธิวราราม เป็นต้นแบบ พร้อมพัฒนานวัตกรรมสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ ช่วยพระ-บุคลากรทางการแพทย์-ญาติ สร้างความเข้าใจกับผู้ป่วยติดเชื้อ ลดเสี่ยงจากสัมผัส ตั้งเป้าส่งต่อ รพ.สต. 10,000 แห่งทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 ที่วัดสุทธิวราราม กรุงเทพฯ โดยพระสุธีรัตนบัณฑิต, รศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และผู้จัดการโครงการการเสริมสร้างสุขภาวะและการเรียนรู้ตามแนวพระพุทธศาสนา สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 1 เดือน แต่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลสนามและมาตรการดูแลผู้ป่วยโควิดด้วยระบบอื่นๆ เช่น ระบบกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ระบบชุมชน (Community Isolation) ในแต่ละวันยังคงมีอัตราที่สูง จากข้อมูลสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 โดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พบว่า มีผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลสนามและระบบอื่นๆ กว่า 80,000 คน เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่มี 40,000 คน พบว่ามีมากกว่าถึง 1 เท่า การวางระบบบริหารจัดการโรงพยาบาลสนามและระบบอื่นๆ ให้มีความพร้อมถือเป็นมาตรการสำคัญ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดการแพร่ระบาดในครอบครัวและชุมชมวงกว้างในสถานการณ์ที่ผู้ป่วยยังคงล้นโรงพยาบาล

          พระสุธีรัตนบัณฑิต, รศ.ดร. กล่าวว่า โรงพยาบาลสนามวัดสุทธิวราราม ตั้งขึ้นในอาคารศูนย์เรียนรู้พระพุทธศาสนาและการพัฒนาสังคม ภายใต้โครงการการเสริมสร้างสุขภาวะและการเรียนรู้ตามแนวพระพุทธศาสนา สนับสนุนโดย สสส. วัดสุทธิวรารามมีรูปแบบการจัดการและวางระบบที่มีความพร้อม 5 ด้าน คือ 1.ด้านสถานที่ รองรับ 138 เตียง 2.ด้านการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย ที่ผ่านมา มีผู้เข้ารับการรักษากว่า 138 คน ปัจจุบันรักษาผู้ป่วยหายดีกลับบ้านแล้วกว่า 60 คน 3.ด้านอาหาร จัดตั้งโรงครัวทำอาหาร 3 มื้อ 4.ด้านการค้นหาผู้ป่วยและเยี่ยมผู้ป่วยในชุมชน กลุ่ม “พระไม่ทิ้งโยม” ลงพื้นที่เชิงรุกในชุมชนรอบข้าง และ 5.ด้านการสื่อสาร พัฒนานวัตกรรมด้านการสื่อสารรูปแบบรูปภาพเชิงสัญลักษณ์ 4 ภาพ โดยให้ผู้ป่วยสำรวจอาการเบื้องต้นแล้วใช้รูปภาพสื่อสารกับพระสงฆ์ บุคลากรทางการแพทย์ หรือคนในครอบครัว เพื่อลดการแพร่ระบาดจากการสัมผัส และลดปัญหาในการสื่อสาร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็ก และแรงงานข้ามชาติ โดยขยายการผลิตสื่อในรูปแบบสติกเกอร์ เพื่อส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 10,000 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเตรียมเปิดพื้นที่การเรียนรู้ Mini-Sandbox ย่านเจริญกรุง เพื่อเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่

          ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. มุ่งพัฒนาสุขภาวะองค์กรพระสงฆ์และชุมชน โดยสนับสนุนให้โรงพยาบาลสนามวัดสุทธิวรารามเป็นต้นแบบดูแลคนป่วยในวัดที่มีความพร้อมในการขยายผล พร้อมสานพลังภาคีธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติผลักดันให้มหาเถรสมาคมเห็นชอบแนวทางการดูแลคนป่วยในวัดได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยให้วัดที่มีศักยภาพจัดตั้งเป็นศูนย์พักคอยเพื่อชุมชนอย่างน้อย 1 วัด 1 จังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้มีวัดและวิทยาลัยสงฆ์ภูมิภาคต่าง ๆ ของ มจร. นำรูปแบบการจัดการของวัดสุทธิวรารามไปปรับใช้แล้ว 17 แห่ง อาทิ วัดสิงห์ กรุงเทพฯ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม วัดท่าโรงช้าง จ.สุราษฎร์ธานี วิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง จ.ลำปาง วิทยาลัยสงฆ์ร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด เพื่อช่วยให้ประชาชนที่กลับภูมิลำเนาได้เข้าถึงบริการสุขภาพ ลดภาระปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ตัดวงจรการระบาดและลดจำนวนผู้เสียชีวิตของไทย

          ทั้งนี้ วัดที่สนใจจัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อชุมชนในวัด หรือหารือแนวทางการจัดตั้ง ติดต่อได้ที่เว็บไซต์ https://stopcovid.anamai.moph.go.th/dashbord_center/ โดยจะมีทีมงานประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหาแนวทางการจัดการวางระบบที่มีศักยภาพและมีความพร้อมที่ได้มาตรฐานต่อไป


วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2564

"หญิงหน่อย"บินพบ"แทมมี่"ส.ว.สหรัฐเชื้อชาติไทย จับมือร่วมสู้โควิดหนุนวัคซีน mRNA



วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564  คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า ไม่ได้คุยกันหลายวัน เพราะดิฉันได้เดินทางมาที่สหรัฐอเมริกา มาทำภาระกิจหลายอย่าง ทั้งประชุมเรื่องวัคซีน mRNA รวมทั้งการหาข่องทางค้าขายให้ SMEs และสินค้าเกษตรไทยเพราะเศรษฐกิจอเมริกาฟื้นตัวแล้ว กำลังซื้อจึงกลับมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อวาน(22ก.ย.) ดิฉันได้ พบและหารือกับท่านสว. แทมมี่ ดักเวิร์ธ ส.ว.เชื้อชาติไทย แห่งรัฐอิลลินอยส์ ผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดัน ให้รัฐบาลสหรัฐบริจาควัคซีนไฟเซอร์จำนวน 2.5 ล้านโดส ให้ไทย  ส.ว.แทมมี่ได้แสดงความห่วงใยต่อการแพร่ระบาดของ covid 19 ในไทย และประสงค์จะช่วยผลักดันรัฐบาลสหรัฐ ให้บริจาควัคซีนให้ประเทศไทยเพิ่มเติม จากที่ได้แสดงเจตจำนงบริจาคไปแล้ว 2.5 ล้านโดส ซึ่งได้ส่งมอบมาแล้วจำนวน 1.5 ล้านโดส ซึ่ง ส.ว. แทมมี่ ได้กล่าวว่าสหรัฐพร้อมที่จะส่งมอบวัคซีน ไฟเซอร์ที่เหลืออีก 1 ล้านโดสให้ไทย แต่ขณะนี้รัฐบาลไทย ยังไม่ส่งเอกสารตอบรับมา จึงทำให้ยังไม่สามารถส่งมอบอีก 1 ล้านโดสที่เหลือให้ชาวไทยได้ 

นอกจากนี้ ส.ว.แทมมี่ ได้แสดงความเห็นว่าถ้าประเทศไทยรีบดำเนินการเข้าโครงการโคแวค จะทำให้ไทยมีโอกาสในการได้รับจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม เพื่อมาเร่งฉีดให้คนไทยได้มากขึ้น ซึ่งสหรัฐพร้อมสนับสนุน ดิฉันได้ใช้โอกาสนี้ในการขอบคุณรัฐบาลสหรัฐ และท่านสว.แทมมี่ สำรับวัคซีนจำนวน 2.5 ล้านโดสที่ได้บริจาคให้ประเทศไทย  และหวังในความร่วมมือในการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติมให้ชาวไทย  โดยดิฉันได้เสนอว่า”ท้องถิ่น”ของไทยหลายแห่ง มีความพร้อมและประสงค์จะซื้อวัคซีน mRNA ที่ FDA สหรัฐ รับรองอย่างเต็มรูปแบบแล้ว เพื่อไปฉีดให้ประชาชนได้ทั่วถึงอย่างรวดเร็ว โดยท้องถิ่นมีเงินสะสมอยู่หลายแสนล้าน 

ดิฉันจึงขอให้ส.ว.แทมมี่ ช่วยสนับสนุนเรื่องนี้ด้วย ซึ่งทางส.ว.แทมมี่ได้ตอบรับที่จะประสานงานให้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทยจะเปิดทางให้หรือไม่ สุดท้าย ดิฉันได้หยิบยกเรื่องการค้าการลงทุนขึ้นมาหารือ กับส.ว.แทมมี่ ถึงลู่ทางที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐได้เริ่มฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสทองของผู้ส่งออก และ SMEs ไทยโดยท่านสว.แทมมี่มีแผนงานที่จะนำนักธุรกิจจากสหรัฐ มาประชุมกับภาคธุรกิจหลายประเทศในอาเซียนช่วงปลายปีนี้ แต่ไม่ได้มาไทย 

ดิฉันจึงถือโอกาสเชิญท่านส.ว.ให้นำนักธุรกิจอเมริกันมาพบปะกับนักธุรกิจไทย เพื่อฟื้นฟู และส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐหลัง  covid ในช่วงต้นปีหน้าอีกด้วย


กมธ.ศาสนาฯสภารุดรับฟังปัญหาวัด-ศิลปะเพชรบุรี หลังค้างคามานาน

 


วันที่ 22 กันยายน 2564 ที่วัดมหาธาตุวรวิหาร จ.เพชรบุรี  ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร และนายทองแดง เบ็ญจะปัก กรรมาธิการฯ เป็นตัวแทน นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการฯ พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการฯ และคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาฯ ได้ร่วมประชุมกับพระครูวาทีวรวัฒน์ รักษาการเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุวรวิหาร จ.เพชรบุรี ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 1  ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนา จ.เพชรบุรี  วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี ได้ประชุมเพื่อและรับฟังปัญหาในมิติต่างๆ ในจังหวัดเพชรบุรี ทั้งประเด็นที่ดิน ประเด็นศิลปะโบราณ รวมถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนา 


ดร.เพชรวรรต กล่าวว่า ขณะนี้กรรมาธิการการศาสนาฯ เป็นช่องทางหนึ่งที่รับเรื่องหลังจากที่มีเรื่องร้องเรียน เพื่อทำตามอำนาจหน้าที่คือแสวงหาข้อเท็จจริง มีหลายครั้งต้องลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลในพื้นที่เพื่อนำกลับไปเสนอต่อคณะกรรมาธิการก่อนที่จะนำเสนอต่อสภาฯ ดังวันนี้ก็ได้เข้ามาแสวงหาข้อเท็จจริงที่ จ.เพชรบุรี และช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ได้เข้ามาดูงานที่วัดเขาย้อย ที่มีประเด็นว่าพระนอนในถ้ำยังไม่ขึ้นโบราณสถานมาเป็นเวลานานแล้ว และช่วงเย็นวันนี้ก็เข้ามารับเรื่องร้องเรียนที่วัดเขาบันไดอิฐ ที่ประชาชนทั่วไปเรียกวัดหลวงพ่อแดง ยังมีประเด็นเรื่องการออกโฉนดที่ดิน ซึ่งตนก็ได้รับเรื่องเพื่อนำเข้าสู่คณะกรรมาธิการก่อนที่จะเรียก อธิบดีกรมที่ดิน และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาชี้แจงเพื่อหาทางออกต่อไป

"อ.เกรียงศักดิ์"เสนอโมเดลปั้น พุทธศาสนาทายาท-"มจร"ทายาท



"อ.เกรียงศักดิ์"แนะองค์กรยุคใหม่ต้องมีแผนสร้างทายาท ยกพระพุทธเจ้าต้นแบบสร้างธรรมทายาททางจิตตภาพมุ่งอุดมการณ์ เสนอโมเดลปั้นศาสนาทายาท

วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร. วิทยากรต้นแบบสันติภาพ อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  

เลขานุการศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน  มจร นักศึกษาหลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ รุ่น 12 ประธานด้านการประชาสัมพันธ์กลุ่มสโลวาเกีย หลักสูตรนักบริหารระดับสูง เปิดเผยว่า ได้เรียนออนไลน์หลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ รุ่นที่ 12  โดยสถาบันการสร้างชาติ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่รวมพลังคนดี คนเก่ง คนมีคุณภาพสู่การพัฒนาที่เกิดความยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “การสร้างทายาทผ่านวิกฤต” บรรยายแบบบูรณาการโดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) และนักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์  กล่าวประเด็นสำคัญว่า ผู้นำที่ดีจะต้องมองอนาคต มิใช่ทำเพียงในยุคตนเองเท่านั้น โดยใช้ชีวิตให้มีคุณค่าในฐานะผู้นำ ผู้นำจะมองทะลุไปถึงความมั่นคง ยั่งยืน ที่ห่วงใยอย่างมากอนาคตจะต้องสร้างทายาท ซึ่งถ้าไม่สามารถสร้างทายาทไว้ได้จะมีการเหยียดหยามกันในบางกลุ่มจึงจำเป็นต้องสร้างทายาท ในปัจจุบันคนไม่ค่อยสร้างทายาทเพราะมองว่าเป็นความยุ่งยากรวมถึงภาวะเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ แต่ถ้าไม่สร้างทายาทเผ่าพันธุ์มนุษย์จะสูญสิ้นไป ถือว่าเป็นทายาททางกายภาพเกี่ยวข้องกับชุมชนสังคม แต่ต้องพัฒนาไปสู่ทายาททางจิตตภาพไปสู่ทายาท ซึ่งคำว่าทายาทหมายถึง บุคคลสำคัญที่ทำให้องค์กรยั่งยืน หรือ ล่มสลาย โดยการสร้างทายาทเป็นปัจจัยอยู่รอดขององค์กร จึงต้องถ่ายทอดทางจิตตภาพสู่ททายาท เพราะมนุษย์มีกายภาพที่สิ้นสลาย  จึงต้องสืบสัญชาติญาณทางกายและทางใจ จึงต้องพัฒนาตนเองเป็นต้นแบบในทางทายาท ไม่สร้างพันธุกรรมที่อ่อนแอ จึงต้องพัฒนาตนเองทั้งกายภาพและจิตตภาพ โดยพระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบในการสร้างธรรมทายาททางด้านจิตใจสามารถสืบทอดคำสอนให้เกิดความยั่งยืน เพราะผู้นำที่ดีต้องทายาทที่ดี ซึ่งผู้เป็นผู้นำองค์กรถ้าคิดเฉพาะตนเองไม่สร้างทายาทถือว่าเป็นผู้นำที่ขาดความผิดชอบอย่างยิ่ง 

จึงจำเป็นต้องทายาทให้มีอุดมการณ์ทางด้านกายภาพและจิตตภาพ ทำให้สอดรับกับการสร้างทายาทในองค์กรธุรกิจต่างๆ จึงต้องรักษาค่านิยมในองค์กร ภายในองค์กรจะต้องสร้างคนของตนเองให้ได้ จึงต้องเลือกทายาทที่มีคุณภาพเพราะเลือกทายาทผิดทำให้องค์กรล้มสลาย  จะต้องมี “ลมหายแห่งการสร้างทายาท”จะเป็นการสืบทอดอุดมการณ์ เจตนารมณ์ รักษามาตรฐานขององค์กร ผลักดันองค์กรให้มีการเติบโต โดยผู้ที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำองค์กรจะต้องสร้างทายาท  มีความเกี่ยวข้องทางอุดมการณ์มีจิตเสมอกันทางอุดมการณ์ แต่ถ้ามาอยู่ด้วยการแอบแฝงไร้อุดมการณ์จะทำให้องค์กรล้มสลายอย่างอันตราย ผู้นำจะต้องไม่นำแค่ฉาบฉวยทำให้ทายาทไม่มีอุดมการณ์ ทำให้เราเห็นศาสนาที่มีความยั่งยืนมาหลายพันปีแสดงว่าต้องมีดีอย่างแน่นอน จงขอฝากทุกท่านว่า “อย่าไปย่ำยีศาสนาใดๆ” เช่น ศาสนาพุทธมีการทำนายว่าจะอยู่ยาวนานถึง 5,000 ปี เพราะเหตุใดจึงทำนายว่าเช่นนั้นเพราะทายาทไม่ปฏิบัติตามแนวทางของพระศาสดา จึงจำเป็นต้องสร้างทายาทด้านจิตตภาพและกายภาพให้มีความมั่นคงเพื่อรักษา สืบสาน ต่อยอด ทายาทเป็นบุคคลที่เห็นผู้นำเป็นแรงบันดาลใจ จิตเสมอกัน เห็นคุณค่าอุดมการณ์เท่ากับผู้นำ ยินดีดำเนินรอยตามอย่างสุดใจไม่สงสัย ไม่หวั่นไหวแม้ต้องเผชิญอุปสรรคและไม่ทิ้งอุดมการณ์ ทำให้เห็นว่า 

"อำนาจก่อเกิดลูกน้องเป็นการสั่งการเลย อิทธิพลก่อเกิดลูกศิษย์เป็นการจูงใจ  ศรัทธาก่อเกิดสาวกผู้เดินตามในคำสอน   บารมีก่อเกิดทายาทยึดมั่นอุดมการณ์”  ซึ่งใช้อำนาจอย่างเดียวไม่สามารถก่อเกิดทายาทได้แต่ต้องใช้ศรัทธาและบารมีนำไปสู่เชื่อถือเชื่อมั่นเชื่อใจ แต่การกดไล้ผ่านออนไลน์ต่างๆ ไม่ใช่ศรัทธา เราจึงต้องมีสาวกเพราะถ้าไม่มีสาวกแสดงว่าเราไม่ลงลึกซึ้งจากสิ่งนั้น ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกล้วนมาจากศรัทธาของบุคคลทั้งนั้น เช่น พีระมิด กำแพงเมืองจีน ถามว่าเรามีศรัทธาในเรื่องใด จึงต้องสร้างทายาทองค์กร  “อย่าเป็นเพียงซากเดินดินเท่านั้น”  จึงต้องสร้างทายาทจิตตภาพและทายาทกายภาพผ่านศรัทธา ปัญญา บารมี  องค์กรต้องมีแผนการสืบแทนหรือสร้างทายาท การสร้างทายาทเป็น KPI หนึ่งของผู้นำจึงสะท้อนว่า พ่อแม่คือกายภาพ ปฏิมัตต์ทายาทคือจิตตภาพ ทำนายชีวิตลูกให้ดูชีวิตพ่อ ประเมินชีวิตพ่อให้ดูชีวิตลูก ทำนายชีวิตทายาทให้ดูปฏิมัตต์ และประเมินชีวิตปฏิมัตต์ให้ดูทายาท  การสร้างทายาทคือการเอาชนะกาละและเทศะเพราะมรดกชีวิต มรดกชีวิตยืนยาว และเวลาชีวิตแสนสั้น ซึ่งเวลาเราสั้นจึงต้องสร้างทายาททำให้องค์กรเจริญรุ่งเรือง 

องค์กรขาดการวางแผนการสร้างทายาทมีความล่าช้าในการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ส่งผลกระทบต่อองค์กร ทายาทจึงกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น ริคาร์โด เซมเลอร์ มีการบริหารบริษัทจากพ่อขณะเพียงอายุ 24  ปีเท่านั้น ซึ่งองค์กรที่ขาดการวางแผนสร้างทายาทที่ดีเพราะผลประโยชน์ หรือ ขัดแย้งในครอบครัว  การเลือกทายาทจะต้องมองอุดมการณ์จึงต้องมองระดับความสัมพันธ์สูงสุดของมนุษย์ “บุคคลที่ทรยศมากที่สุดคือคนที่อยู่ใกล้ที่สุด” แต่ถ้าไม่เกิดความไว้วางใจจะไม่สามารถหาทายาทได้เลย 

แนวทางในการเลือกทายาทหรือสร้างทายาทจะต้องมอง 3 ประการคือ 1)รักสูงสุด มีความรักในผู้นำและองค์กร  2)ไว้ใจสูงสุด ไว้ใจให้สุดใจมีความเชื่อ  3)อภัยสูงสุด เพราะมนุษย์ทุกคนสามารถทำผิดได้ต้องสามารถให้อภัยคนอื่นได้ การนับถือคนจงอย่านับถือสิ่งห่อหุ้มเพราะตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่คือผู้ทำหน้าที่ของตนเองดีที่สุด จึงแสดงว่าไอดอลของคุณคือผู้มีบารมีที่คุณนับถือสูงสุด  ผู้นำจะต้องสามารถรวมใจคนในองค์กรมิใช่มองสั้นจะต้องมองยาว ผู้นำจะต้องสามารถนำ บริหารเก่ง ยินดีและอุทิศตัว สิ่งที่น่าห่วงมากคือไม่มีการเตรียมผู้นำขึ้นสู่อนาคตเน้นเอาพวกตนเองขึ้นมานำ ซึ่งทายาทที่มีทักษะที่จำเป็นในการนำองค์กรยามวิกฤต จะต้องมีบารมีทำให้คนในองค์กร สงบ เชื่อมั้น พาองค์กรผ่านวิกฤต ตัดสินใจในเรื่องยากๆได้ สื่อสารดีเยี่ยม รวมใจคนได้ บริหารเงินช่วงยากลำบากได้ดี มีความรู้สึกเร่งด่วน มีประสบการณ์ลึกซึ้งในการดำเนินงาน เก่งในการจัดการสถานการณ์ที่คลุมเครือฉุกเฉิน และสามารถปรับตัวเก่งยืดหยุ่น โดยคนที่ผ่านการพิสูจน์ตัวแล้วซึ่งผู้จะเป็นทายาทจะต้องผ่านการร่วมงานร่วมสำนึกคิด ร่วมอุดมการณ์ “ผู้ร่วมสืบทอดงาน ผู้ร่วมอุดมการณ์ ผู้ร่วมสำนักคิด และผู้ร่วมงาน”  ซึ่ง IBM เน้นระบบการไต่เต้า การเลือกคนมาเป็นทายาทผิดอาจทำให้แผนการไม่สำเร็จ

การเลือกทายาทของนายลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศสิงคโปร์ ถือว่าเป็นต้นแบบของการเลือกทายาทมุ่งมั่นพัฒนาทำให้สิงคโปร์มีการพัฒนาในระดับโลก  มีแนวทางในการปั้นทายาทอย่างดียิ่ง ในการเลือกทายาทของสิงคโปร์ในการยกระดับมาเป็นผู้นำประกอบด้วย 1)บริหารตน เป็นนักเรียนทุนสามารถบริหารตน จบมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก 2)บริหารคน เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเพราะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคน 3)บริหารงาน เป็นผู้บริหารองค์กรใหญ่สำเร็จ  4)บริหารเงิน เคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงการคลัง  ถือว่าเป็นโมเดลของการเลือกทายาทผู้นำของสิงคโปร์ 

โดยวิธีการเลือกทายาทเพื่อสืบทอดธุรกิจครอบครัวประกอบด้วย 1)ไม่บังคับถ้าอยากได้ต้องซื้อเอง  2)ไม่บังคับแต่ปลูกฝังสนับสนุน  3)ลูกหลานต้องสืบทอดธุรกิจตระกูล และวิธีการเลือกทายาทตามแนวทางของอาจารย์เกรียงศักดิ์ ใช้แนวทางเลือกคนหลากหลายประเภท  เลือกเป็นกลุ่ม เลือกเป็นระดับชั้น เลือกโดยผู้นำเอง  เลือกแบบปกป้องไม่ให้หลุดหายระหว่างทาง อย่าทดลองมากเกินไป 

จึงเสนอการเลือกทายาท 3 ท. คือ โมเดลทายาทคือ สร้างทายาท  โมเดลทายาทที่แท้คือสร้างทายาทของทายาท โมเดลทายาทที่สมบูรณ์คือสร้างทายาทของทายาทของทายาท ทายาทจะต้องมีหลักหมุดชีวิตและงานคือ หลักปรัชญา  หลักคิด หลักวิชา หลักการ หลักปฏิบัติ  ผ่านการมอบหมายงาน สอนงาน ตรวจงานและถ่ายโอนงาน มีการมอบหมายงานฝึกหัด โดยสตีปจ๊อบมีการวางทายาทเป็นอย่างดียิ่ง จึงต้องเดินทางกรอบของโมเดล AIMMI ประกอบด้วย เป้าหมายทะยานใจ แรงบันดาบใจ แรงจูงใจ มูลเหตุจูงใจ  และสิ่งประสงค์ล่อใจ   

การสร้างทายาทด้วยภาวะไตรภาวะด้วย 3 ประการคือ 1)สร้างภาวะการนำ ด้วยวิสัยทัศน์ ชั่งน้ำหนักยุทธศาสตร์ แก้วิกฤต  2)สร้างภาวะบริหาร  ด้วยการบริหารตน บริหารคน  บริหารงาน บริหารเงิน 3) สร้างภาวะคุณธรรม  ผ่านการสอนเป็นแบบอย่างสามารถตัดเตือนแก้ไข รวมไปถึงทำงานอย่างสมานฉันท์ในกลุ่มทายาท   จึงสรุปว่าองค์กรจะต้องสร้างทายาทอย่างเป็นระบบ อย่าให้จบเพียงของรุ่นจะต้องสร้างทายาท อย่าให้จบเพียงรุ่นเราเท่านั้น แม้แต่กระบวนการเลือกอธิการบดีของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้มีการเตรียมการหรือกระบวนการเตรียมเลย แต่อาศัยพรรคพวกในการดึงขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กร เรามองเพียงประโยชน์เฉพาะตนไม่ได้มองถึงอนาคต ขอบอกว่าผู้นำสำคัญที่สุดจะต้องมีผู้นำดี ไม่ใช่ใครก็ได้เป็นผู้นำ ส่วนใหญ่เลือกคนถูกใจได้เลือกคนที่ถูกต้อง เลือกบุคคลที่มีคุณภาพคนดี คนเก่งและคนกล้าในการนำองค์กรและประเทศ 

ดังนั้น องค์กรไม่ล้มสลายอย่างแน่อน ถ้าเราเดินตามโมเดลปั้นทายาท โดยการยกย่องผู้นำทุกศาสนาในการสร้างทายาทาหลายพันปียาวนาน จงอย่าไปย่ำยีศาสนาใดๆ เลย อย่าให้จบเพียงรุ่นของเราเท่านั้นจงสร้างทายาท ซึ่งองค์กรยุคใหม่ต้องมีแผนในการสร้างทายาทอย่างเป็นระบบ เราต้องไม่เป็นผู้นำที่ขาดความรับผิดชอบต่อองค์กร  โดยการเลือกทายาทจะต้องมองอุดมการณ์มองระดับความสัมพันธ์สูงสุด โดยยกพระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบในการสร้างธรรมทายาททางจิตตภาพมุ่งอุดมการณ์ เพราะอำนาจก่อเกิดลูกน้องแต่บารมีก่อเกิดทายาททางจิตตภาพและกายภาพ โดยผู้นำจะต้องสร้างภาวะการนำภาวะการบริหารภาวะของคุณธรรม แต่สิ่งที่พึงตระหนักมากคือ 

การสร้างศาสนทายาทของพระพุทธศาสนาจะต้องมีรูปแบบการพัฒนาศาสนาทายาทให้มีความเข้มแข็ง ให้พระสงฆ์มีตัวเลือกในการสร้างศาสนาทายาทถือว่าเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัทในการสร้างศาสนทายาท มีกระบวนการในการคัดเลือกศาสนทายาทจึงมุ่งพัฒนาวัดสร้างชาติเป็นต้นแบบในการพัฒนาตั้งแต่ศาสนบุคคลให้เป็นบุคคลต้นแบบ มีการพัฒนาสามเณรสร้างชาติเพราะพระสงฆ์สามเณรมาจากความเหลื่อมล้ำทางสังคม เช่น การไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาอย่าแท้จริง ทำให้ส่วนหนึ่งพยายามหาโอกาสในการเข้าถึงการระบบศึกษาผ่านพระพุทธศาสนา 

ทำให้ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) ปวารณาตนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสนับพระพุทธศาสนาในการสร้างศาสนาทายาทและยินดีให้การสนับสนุนการสร้างศาสนาทายาทของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพราะมีความเคารพต่อพระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดี มจร รูปอดีตและรูปปัจจุบัน อันเป็นมหาวิทยาสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทยอันเป็นฐานของการพัฒนาบุคคล ชุมชน สังคมและประเทศต่อไป 

"ธรรมนัส-นฤมล-ส.ส.พปชร."พร้อมหน้า รับ"บิ๊กป้อม"ลงพื้นที่อยุธยาดูน้ำ



"บิ๊กป้อม"ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้าน จ.อยุธยา แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำหลาก  เร่งรัด 10 มาตรการรับมือฤดูฝน  ลดผลกระทบ  เยี่ยมเยียน ให้กำลังใจ  ปชช. เกษตรกร   ขอบคุณ ปชช.ร่วมแก้ปัญหา จนท.ทุ่มเทปฏิบัติงาน

วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้เวลา14.00น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผอ.กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) และคณะฯได้ลงพื้นที่ไปปฏิบัติราชการ ณ คลองส่งน้ำและบำรุงรักษาบางบาล อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีนาย ภานุ แย้มศรี  ผวจ.อย.ให้การต้อนรับ

พล.อ.ประวิตรและคณะได้รับฟังการบรรยายสรุปภาพรวม การบริหารจัดการน้ำหลากตามมาตรการ และแผนงานการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมทั้งระบบในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จาก สทนช.และรับทราบแนวทางการจัดเตรียมพื้นที่รับน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มต่ำจาก กรมชลประทาน  รวมถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  ซึ่งเป็นไปตามแผนงาน และนโยบายของรัฐบาล ด้วยดี  อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายที่สำคัญเร่งด่วน เนื่องจากสถานการณ์น้ำในขณะนี้ ยังมีความน่าเป็นห่วงจากภาวะฝนตกหนัก ต่อเนื่อง จากอิทธิพลหย่อมความกดอากาศต่ำ กำลังแรง ประกอบกับ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยได้กำชับ กอนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ให้เร่งรัด 10 มาตรการรับมือฤดูฝน อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะพื้นที่บางบาล และบางไทร ซึ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมน้ำหลาก ซ้ำซาก และอยู่ระหว่างการแก้ปัญหา บริเวณคลองระบายน้ำหลาก บางบาล-บางไทร 

พล.อ.ประวิตร  ยังได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน ต้องบูรณาการทำงาน อย่างจริงจัง ทั้งในส่วนของจังหวัด และท้องถิ่น ร่วมกับ กอนช.เพื่อแก้ปัญหาน้ำให้ครอบคลุมทุกมิติ อย่างยั่งยืน รวมถึงการกักเก็บน้ำบนดิน ใต้ดิน ไว้รองรับในฤดูแล้งหน้าได้ด้วย และต้องสร้างการรับรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชน/เกษตรกรในการร่วมแก้ไขปัญหาน้ำไปด้วยกัน เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำ มีความยั่งยืน  

จากนั้น พล.อ.ประวิตร และคณะฯ ได้เดินทางต่อไปยังประตูระบายน้ำปากคลองบางบาล ซึ่งทำหน้าที่รับน้ำหลากเข้าพื้นที่ที่เตรียมไว้ เพื่อลดผลกระทบจากปริมาณน้ำ พร้อมกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ที่ได้เสียสละ ทุ่มเทปฏิบัติงานด้วยดี จากนั้นได้เดินทางไปพบปะกับชาวบ้าน เพื่อเยี่ยมเยียน และขอบคุณที่ให้การต้อนรับและให้ความร่วมมือแก้ปัญหาเรื่องน้ำ พร้อมมอบสิ่งของที่จำเป็นให้กับตัวแทนชาวบ้าน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ต่อไป

"ธรรมนัส" นัด 40 ส.ส.พปชร. รอต้อนรับ

ทั้งนี้มีรายงานว่า วันเดียวกัน น.ส.ธนพร ศรีวิราช หรือ จุ๊บจิ๊บ ภรรยาของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านไอจีสตอรี่ เป็นคลิปแสดงให้เห็น ร.อ.ธรรมนัส และ น.ส.ธนพร ออกกำลังกายยามเช้าร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ร.อ.ธรรมนัสมีภารกิจร่วมคณะกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรค พปชร.ในวันที่ 22 กันยายน เพื่อลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการบริหารจัดการน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มต่ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางบาล อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยจะมีแกนนำพรรคคนสำคัญร่วมด้วย อาทิ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และ ส.ส.พรรค พปชร.ร่วมเดินทางไปด้วยประมาณ 40 คน          

ในวันที่ 23 กันยายน เวลา 14.00 น. พรรค พปชร.แจ้งนัดประชุม ส.ส.ที่ห้องประชุมพรรคชั้น 6 อาคารรัฐสภา โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค และ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค จะเข้าร่วมด้วย วาระสำคัญคือการหารือถึงความชัดเจนในการเลือกตั้งท้องถิ่น ระดับ อบต.ว่าพรรคจะวางแนวทางในการส่งผู้สมัครอย่างไร


วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2564

21ก.ย.วันสันติภาพโลก! "หลักสูตรสันติศึกษา มจร" มอบรางวัลแด่ "เจ้าคุณว.วชิรเมธี" เปิดวัคซีนสันติภาพฉีดยุคโควิด



วันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2564 หลักสูตรสันติศึกษา และวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายด้านสันติภาพ จัดงานวันสันติภาพสากลขึ้นผ่านออนไลน์ โดยมีสมัครเข้าร่วมงาน  3,000 รูป/คน ภายใต้การสัมมนาวิชาการนานาชาติเนื่องในวันสันติภาพสากลหัวข้อ  “สันติภาพวิถีใหม่สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยมีประธานดำเนินการจัดงานวันสันติภาพสากลคือพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, ศาสตราจารย์ ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมคณาจารย์เจ้าหน้าที่ของหลักสูตรสันติศึกษาและผู้บริหารคณาจารย์เจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ ในเบื้องต้นมีการรับชมวีดีทัศน์เกี่ยวกับการสร้างสันติภาพภายใต้ของกายภาพ พฤติภาพ จิตตภาพ และปัญญาภาพของหลักสูตรสันติศึกษา มจรทั้งภาคภาษาไทยและภาคอินเตอร์  มีการกล่าวถวายรายงานในการจัดงานในครั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตระหนักถึงมิติของการใช้ความรุนแรงและความเสมอภาคเท่าเทียมในสังคม สันติภาพเป็นส่วนสำคัญการพัฒนาทุกมิติซึ่งเป็นฐานสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้คนในสังคมพึงตระหนักจากภายใน โดยเดินตามแนวทางพระพุทธเจ้าตรัสว่า พึงศึกษาสันติศึกษาเท่านั้น หลักสูตรสันติศึกษาจึงผลึกกำลังเสริมสร้างสังคมสันติสุข  


พระธรรมวัชรบัณฑิต, ศาสตราจารย์ ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะประธานกล่าวเปิดงานและกล่าวนำหัวข้อ “พระพุทธศาสนากับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” กล่าวประเด็นสำคัญว่า หลักสูตรสันติศึกษาและเครือข่ายได้ร่วมจัดงานสันติภาพสากลเพื่อเสริมสร้างสังคมสันติสุข โดยพระพุทธศาสนากับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะต้องเดินตามกรอบของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นฐาน ผ่านการพัฒนาตามหลักของภาวนา 4 ในทางพระพุทธศาสนาประกอบด้วย กายภาพ พฤติภาพ จิตตภาพ และปัญญา ซึ่งในยุคปัจจุบันจะต้องมีการปรับตัวโดยการพัฒนาจิตใจตนเองอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ปัญญามีความงอกงามเกิดขึ้นไม่แสดงอาการขึ้นๆ ลงๆ เพราะสติมาปัญญาย่อมเกิดขึ้น  โดยมหาจุฬามุ่งการสร้างสันติภายในก่อนออกสร้างสันติภาพนอก ค่อยเป็นค่อยไปโดยทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องบำเพ็ญบารมีเหมือนพระโพธิสัตว์


"อิทธิพล"ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอาศัยพลัง"บวร"ช่วยสร้างสังคมสันติสุข

   

ต่อจากนั้น นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สร้างสันตินวัตกรรมเสริมสร้างสังคมสันติสุข” กล่าวประเด็นสำคัญว่า โดยมุ่งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งใช้หลักศาสนาในการขับเคลื่อนประเทศเพราะศาสนาเป็นทุนทางวัฒนธรรมอย่างดียิ่งในประเทศไทย โดยมุ่งการพัฒนามนุษย์ ความเสมอภาค สร้างความมั่นคงทางด้านสังคม  จึงต้องอาศัยพลังของ บวร ช่วยขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดสันติสุข แต่ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดคือ ทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สามารถเคารพในความแตกต่าง ยิ่งสำคัญความเท่าเทียมความเสมอของคนในสังคมโดยมุ่งเน้นพัฒนาให้เป็นคนดีและคนเก่งเพื่อการพัฒนาสังคม จึงจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อผลักดันการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ จึงต้องไม่เบียดเบียนกันมีความเคารพซึ่งกันและกัน จึงต้องสร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สร้างความมั่นคงทางวัฒนธรรมด้วยการสืบสาน รักษา ต่อยอด และธรรมาภิบาล บำรุงรักษาศาสนาเพื่อนำไปสู่สังคมสันติสุข จึงขอสนับสนุนกิจกรรมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเพื่อเสริมสร้างสังคมสันติสุขต่อไป 

มอบรางวัลลมหายใจสันติภาพและศิษย์เก่าดีเด่นหลักสูตรสันติศึกษา 

ต่อจากนั้นพระมหาหรรษา  ประกาศรายชื่อรางวัล “ลมหายใจแห่งสันติภาพ” ถือว่าเป็นพิธีมอบโล่ลมหายใจแห่งสันติภาพ กล่าวประเด็นสำคัญถึงครอบครัวสันติศึกษาและสังคมว่า วันสันติภาพเป็นการตระหนักรู้ในการไม่ใช้ความรุนแรง ในปี 2524  มีการเคาะระฆังแห่งสันติภาพไปทั่วโลกให้เห็นคุณค่าในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์รวมถึงธรรมชาติส่งแวดล้อม โดยพึงพาอาศัยกันจึงตั้งคำถามว่าทำไมเราจึงต้องรักคนอื่น เพราะอยู่อยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกใบนี้ จึงขอให้ช่วยกันกระตุ้นเรื่องสันติภาพมีความดีขึ้นมีความยั่งยืนจะต้องลงไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง เพราะสันติภาพไม่สามารถเกิดขึ้นจากการพูดแต่สันติภาพจะเกิดเมื่อเราลงมือทำเท่านั้น จึงต้องมุ่งพัฒนาสู่การพัฒนาที่มีความยั่งยืน 17  ข้อ สะท้อนแง่มุมในการทำงานเริ่มตั้งขจัดความยากจน ความเท่าเทียมทางเพศ  ลดความเหลื่อมล้ำ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม  สันติภาพในการอยู่ร่วมกัน เป็นต้น 

สอดรับกับการพัฒนาที่ยั่งยืนในทางพระพุทธศาสนาคือ ภาวนา 4  คือ พัฒนากาย พัฒนาพฤติภาพ พัฒนาจิตใจ และพัฒนาปัญญา ทำให้สันติศึกษาสร้างความตระหนักว่าเราพัฒนาชีวิตแล้วนำตนไปพัฒนาสังคมในมิติต่างๆ  สันติศึกษาเกิดจากพระพุทธเจ้าซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าพระองค์เป็นพุทธ แต่ผู้คนพยายามบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นพุทธ แต่พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลของโลกเพราะคำสอนของพระองค์ไปเป็นไปเพื่อสันติภาพ โดยคำสอนของพระองค์ย้ำว่า “พึงศึกษาสันติเท่านั้น” การศึกษาเพื่อสันติภาพเป็นการตระหนักรู้ภายในและออกไปทำงานสันติภาพภายนอก หลักสูตรสันติศึกษาจึงเดินทางแนวทางของพระพุทธเจ้า สันติศึกษาเป็นของคนทั้งโลกใบนี้ไม่ใช่ของมหาจุฬาเท่านั้น ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองยกระดับตนเองให้เกิดสันติภาพใน พระพุทธเจ้าเป็นคนของโลกเท่านั้น “จงพอกพูนสันติวิธีเท่านั้นคือ มรรค ๘ ในทางพระพุทธศาสนา ” จึงนำไปสู่สุขอื่นยิ่งกว่าสันติไม่มี  ซึ่งปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญาของโลก      

จึงมีการประกาศรายชื่อบุคคลสำคัญด้วยรางวัล “ลมหายใจแห่งสันติภาพ” เพื่อเป็นพลังกำลังใจ ประกอบด้วย 1)พระเมธีวชิโรดม ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัยไร่เชิญตะวัน เป็นพระสงฆ์ที่ทำงานกับเพื่อนมนุษย์ด้านสันติภาพเป็นพระสงฆ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนานำไปสู่สันติภาพ ส่งเสริมการศึกษาด้านสันติภาพ  ๒)นายสุทธิพงษ์ สุริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทขาบสไตส์ จำกัด เจ้าของรางวัลออสก้าร์อาหารโลก  ท่านอาจารย์ยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ภูมิปัญญาสากล พัฒนาชนบทให้มีพื้นที่ในเวทีโลก กระตุ้นเตือนในคนในชนบทรู้คุณค่าของตนเอง 3)นางสาวกชมน พากเพียร ประธานชมรมจิตอาสาศาสนานำสุข จังหวัดตรัง โดยทำงานร่วมกับคนในสังคมด้วยพลังแห่งจิตอาสา  

และมอบราวัลศิษย์เก่าดีเด่นของหลักสูตรสันติศึกษา มจร ประจำปี 2564  เป็นการให้กำลังใจและพลังของคนทำงานด้านสันติภาพ  ประกอบด้วย 1)ด้านยุติธรรมเพื่อสันติภาพคือ ดร.เชวง ชูศิริ  อธิบดีศาลอาญาพระโขนง  2)ด้านเยาวชนเพื่อสันติภาพคือ พระมหาธีระยุทธ  จิตฺตปุญฺโญ ดร. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดตันตยาภิรม จังหวัดตรัง 3)ด้านสตรีเพื่อสันติภาพคือ ดร.นงลักษณ์ ลักษณะโภคิน กรรมการบริษัทชิงเกอร์ประเทศไทยจำกัด  4)ด้านสังคมสงเคราะห์เพื่อสันติภาพคือพระปลัดวิศรุต ถิรสทฺโธ พระนักเผยแผ่และนักสาธารณสงเคราะห์ วัดถ้ำเขาชะอางค์   5)ด้านการศึกษาเพื่อสันติภาพคือ ดร.จิตรา  แสงวัฒนาฤกษ์  ประธานกรรมการบริหาร Smart Kids Preschool  6)ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพคือ พระธวัชชัย อนามโย ประธานสำนักสงฆ์วัดพระธรรมจาริกป่าพุทธวาส ผู้นำด้านรักษาป่าชุมชน  7)ด้านกฎหมายเพื่อสันติภาพคือ ว่าที่ พันตรี ดร.สมบัติ วงศ์กำแหง  เจ้าของสำนักกฎหมาย สำนักกฎหมายสมบัติ วงศ์กำแหง   8)ด้านสันติภาพชุมชนคือ ดร.คนึงนิตย์  ศรีรักษ์  เจ้าของกิจการสตรีจิตอาสา จังหวัดสุราษฏร์ธานี  

9)ด้านการสื่อสารเพื่อสันติภาพคือ ดร.สำราญ สมพงษ์ นักข่าวเว็บไซต์หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ต้นแบบนักสื่อสารงานสันติภาพ  10 )ด้านการเผยแผ่ธรรมเพื่อสันติภาพคือ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต ดร. ประธานหลักสูตรวิปัสสนาภาวนา วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูรณ์ มจร  11 )ด้านองค์กรสันติสุขคือ ดร.จารุณี  สิงหกุล  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารสำนักงานเขต สำนักงานเขตสามยอด บมจ.ธนาคารกรุงไทย  นับว่าเป็นคุณค่าอย่างยิ่งในการสนับสนุนส่งเสริมบุคคลที่ทำงานด้านสันติภาพในมิติการพัฒนาต่อไป 

"เจ้าคุณว."ชี้มิจฉาทิฐิถือว่ามีความอันตรายที่สุดในโลก 


พระเมธีวชิโรดม (พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย ไร่เชิญตะวัน  แลกเปลี่ยนการบรรยายสันติสนทนาวิชาการสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “วิถีแห่งสันติภาพวัคซีนของสังคมไทย” กล่าวประเด็นสำคัญว่า ขอบคุณสำหรับรางวัลลมหายใจแห่งสันติภาพ เพราะรางวัลเป็นการรับรองและเรียกร้องมาตรฐานว่าจะต้องทำงานด้านสันติภาพให้ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยเริ่มจากการรับรางวัลสันติภาพในต่างประเทศ มีการนำบุคคลที่รับรางวัลมาอยู่ร่วมกันก่อนรับ ๗ วัน เพื่อให้เป็นเครือข่ายการทำงานร่วมกันโดยให้ผู้รับรางวัลกล่าวท่านละ ๒ นาที สะท้อนว่ารางวัลสร้างความตระหนักว่าเราต้องมุ่งมั่นในการสร้างสันติภาพภายในหรือสันติในเรือนใจให้ตนเองก่อนออกไปสร้างสันติภาพภายนอกคือสังคม อย่าเป็นนักสันติภาพแบบพัดลม เพราะเป่าให้คนอื่นเย็นแต่ตนเองร้อน จะต้องมีสันติในเรือนใจจึงต้องออกไปสร้างสันติภาพ ซึ่งกายสันติ วาจาสันติ ใจสันติจึงเป็นสมณะผู้ดำรงไว้ซึ่งสันติภาพ จึงต้องพัฒนาสันติภาพภายในตนเองก่อนออกไปสร้างสันติภาพภายนอก จึงมองเสรีภาพแต่ละบุคคลผ่านการทดลองในกระบวนการของสุนทรียสนทนา ผ่านการกระตุ้นโทสะของบุคคลที่อยู่ในวงสนทนา ว่าผู้จะทำงานหรือสร้างสรรค์สันติภาพในการทำงานด้านสันติภาพจะต้องพัฒนาสันติภายใน ซึ่งจุดเด่นของการทำงานสันติภาพคือ การสร้างสันติภาพภายใน  สันติภาพคือหนทาง ซึ่งคนที่จะทำงานสันติภาพจะต้องมีสันติในเรือนใจจึงออกไปทำงานด้านสันติภาพ เพราะถ้าไม่มีสันติภาพภายในจะทำให้เกิดโทสะ เกลียด ชิงชัง จึงย้ำเตือนว่า “จงฝึกตนให้มีสันติในเรือนใจจึงก้าวออกไปสู่สังคมโลก” 


โดยมีโอกาสไปดูกำแพงเบอร์ลินที่มีการแบ่งแยกคนออกสองฝั่ง รวมถึงไปดูพิพิธภัณฑ์ของนักสันติภาพของโลก แต่มีห้องหนึ่งเป็นห้องมืดอยู่คนเดียวคือ ฮิตเลอร์ เป็นลักษณะของหุ่นขี้ผึ้งมีการขังไว้ ถึงจะตายไปแล้วยังมองว่าเป็นบุคคลที่อันตราย สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากคือมีผู้ยังยึดแนวทางของฮิตเลอร์เป็นโมเดล  มองว่าชาวยิวเป็นยาพิษ มองว่าชาวยิวปล่อยไว้ไม่ได้จึงต้องจำกัด จึงมีข้อความเขียนว่าในหนังสือว่า “ตรงกันข้ามอารยัน คือ ชาวยิว” จึงมีการเบียดเบียนกันอย่างโหดร้ายสุดประมาณ โดยมองว่ามีการเริ่มสร้าง รักษาไว้ ทำลายวัฒนธรรม จึงมีการจำกัดชาวยิวเพราะมองว่าชาวยิวเป็นผู้ทำลายวัฒนธรรม จึงมีโอกาสไปชมค่ายกักกันในโปแลนด์ทำให้จิตตก ยกอย่างไรยังไม่ขึ้นเพราะเห็นพลังแห่งความเจ็บปวด เราจึงต้องระวังระวังระบบความเชื่อที่ผิดมาใส่ในสมองของเรา ฮิตเลอร์ได้รับความคิดความเชื่อที่ผิดๆ ทำให้ทำลายคนจำนวนมาก ในทางพระพุทธศาสนาจึงย้ำว่า มิจฉาทิฐิอันตรายอย่างยิ่งซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ อย่าปล่อยให้ตนเองไปเรียนรู้ระบบความคิดที่ผิดๆ จะทำไปสู่สงครามในโลก แม้แต่ในกัมพูชาเกิดทุ่งสังหารสร้างความเจ็บปวด ในเวียดนามมีการล้มตายจำนวนมาก ในเกาหลี “สงครามเริ่มที่ใจจึงต้องรักษาที่ใจสันติภาพจึงเกิดขึ้นที่ใจ” ถ้าเรามีปืนยิงคนตายแค่จำนวนกระสุนที่มี แต่ถ้าเรามีความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิถือว่ามีความอันตรายที่สุดในโลก ระวังตนเองไม่สมาทานลัทธิมิจฉาทิฐิ  ทำบาปโดยทั้งที่รู้มีการทำอย่างต่อเนื่อง เหมือนอังกฤษพยายามจะยิงคนอินเดีย โดยมหาตมคานธีบอกว่าไม่ใช้ความรุนแรงต่อความรุนแรง เพราะความรุนแรงไม่สามารถระงับด้วยความรุนแรง สันติภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงต้องระวังกับความมืดสีขาว จึงเน้นว่าติดดีน่ากลัวเพราะหลงในความดีของตนเอง ซึ่งทำชั่วแต่นึกว่าตนเองกำลังทำดี จึงอย่ารับความรู้ที่ผิดๆ เพราะเป็นมิจฉาทิฐิ  หลักสูตรสันติศึกษาจะต้องพัฒนาไปสู่สัมมาทิฐิมองว่าคนทั้งโลกคือพี่น้องกัน เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เรามีสัญชาติเดียวคือ มนุษยชาติ มองว่าโลกทั้งผองเราคือพี่น้องกัน  


จึงต้องมองเนลสัน แมนเดล่าว่าเคยใช้ความรุนแรงในอดีตจากการติดคุยทำให้เนลสันตระหนักคิดทำให้หันมาใช้สันติภาพอย่างจริงแท้ เพราะความแค้นไม่ได้ช่วยอะไรโดยเคารพในทุกคนไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ต่อเพื่อนมนุษย์มีการให้อภัยทาน ส่งผลให้เนลสันได้รับรางวัลแห่งสันติภาพ ด้วยการหยิบอาวุธขึ้นมาแล้วโยนทิ้งออกไปด้วยการทิ้งอาวุธนำไปสู่การเลือกตั้งเกิดสมานฉันท์ในประเทศ ซึ่งไม่มีใครเกิดมาพร้อมการเกลียดชังคนอื่น เพราะเรียนรู้ที่จะเกลียดชังกันแต่เราสามารถเรียนรู้จะรักกันได้ เพราะล้างสมองให้เกลียดกัน แต่ทำไมเราไม่ทำให้ทุกคนรักกันสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขนำไปสู่วัคซีนแห่งความรักเกิดสันติสุขต่อไป          


นางสาวกชมน พากเพียร ประธานชมรมจิตอาสาศาสนานำสุข จังหวัดตรัง แลกเปลี่ยนการบรรยายสันติสนทนาวิชาการสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “ศีลธรรมของยุวชนคือสันติภาพของโลก” กล่าวประเด็นสำคัญว่า ยุวชนคือผู้อ่อนจากด้านจิตใจบุคคลใดที่มีความอ่อนทางด้านจิตใจคือยุวชน จึงมีการพัฒนารูปแบบการพัฒนาเยาวชนจิตอาสาโดยพุทธสันติวิธีโดยมีรูปแบบการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ซึ่งมีการพัฒนาผ่านงานวิจัยโดยพระมหาธีระยุทธ  จิตฺตปุญฺโญ,  ดร. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดตันตยาภิรม จังหวัดตรัง ซึ่งผลักดันการพัฒนาผู้นำเยาวชนจิตอาสา โดยมีการพัฒนาเยาวชนตามรูปแบบการพัฒนาอย่างดียิ่ง ทำให้ผู้เข้าสู่การพัฒนาเกิดพลังอย่างยิ่งเพราะจิตอาสาเป็นหน้าที่ของทุกคนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จะต้องผลึกกำลังในการทำงานด้านจิตอาสา  


นายสุทธิพงษ์ สุริยะ (อาจารย์ขาบ)  กรรมการผู้จัดการ บริษัทขาบสไตส์ จำกัด เจ้าของรางวัลออสก้าร์อาหารโลก  แลกเปลี่ยนการบรรยายสันติสนทนาวิชาการสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ “ยกระดับแบรนด์ชุมชนสู่วิถีสันติภาพที่ยั่งยืน” กล่าวประเด็นสำคัญว่า เป็นการนำศิลปะมาจัดการความขัดแย้งในชุมชน คำถามเราจะพัฒนาชุมชนเพื่อนำไปสู่การการท่องเที่ยงอย่างยั่งยืนอย่างไร โดยนำอาหารท้องถิ่นมายกเป็นแบรนด์สร้างคุณค่าและมูลค่าถือว่ามีเสน่ห์จะถูกสื่อสารออกไปให้ถูกจริตของคนเมือง เน้นธรรมะธรรมดาธรรมชาติ สร้างอาหารให้มีอัตลักษณ์อย่างเป็นรูปธรรมเป็นการท่องเที่ยว เราจะทำอย่างไรไม่ให้คนในชุมชนออกนอกพื้นที่เพราะไม่มีความยั่งยืน แต่จะต้องให้คนภายนอกเข้ามาในชุมชน เราจะเห็นว่าคนในชุมชนมีคนสองวัยคือ ผู้สูงอายุและเด็กเท่านั้น ทำอย่างไรให้คนกลับมาหารากฐานของชุมชนตนเองอย่างแท้จริง  สินค้าโอท๊อปจะสร้างให้มีราคาจะต้องวิเคราะห์ทุนวัฒนธรรมชุมชน โดยแต่ละหมู่บ้านมีของเลอค่าแต่ต้องสร้างการสื่อสารให้เกิดแบรนด์ สิ่งสำคัญคือ 


1) ชุมชนไม่สามารถทำแบรนด์   2)รสนิยม จึงต้องสร้างความยั่งยืนให้เกิดกับชุใมชนอย่างแท้จริง อดีตในชุมชนไม่มีอะไรเลยแต่ตอนนี้มีทุกอย่างที่ต้องการ ซึ่งจังหวัดบึงกาฬมี 8 ชาติพันธุ์จึงต้องสร้างมรดกทางวัฒนธรรมสร้างเงินสร้างงานก่อให้เกิดเป็นรูปธรรม จึงต้องสร้างศิลปะที่ร่วมสมัยโดยดึงคนรุ่นใหม่มีสร้างการมีส่วนร่วมเราจึงได้รับรางวัลของโลกจำนวนมาก โดยผ่านนวัตกรรมเป็นสิ่งใหม่ในประเภทอาหารเพื่อการท่องเที่ยว เป็นการออกแบบชุมชนต้นแบบถือว่าเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนโดยชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้ ด้วยการนำบ้านมาพัฒนาพิพิธภัณฑ์เป็นบ้านมีชีวิต ชาวบ้านมีรายได้จากการท่องเที่ยว โดยเราเป็นหมู่บ้านเล็กๆ จำนวน 50 ครัวเรือน มีการนำความเชื่อในมิติของพญานาคมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก  “ชาวบ้านเป็นนักแสดงไม่ใช่ตัวประกอบในการพัฒนาชุมชนฐานราก” ต้องทำให้ชาวบ้านมีตัวตนมีแสงในตนเอง  ทำให้เกิดการขับเคลื่อนร่วมกันจะต้องมองความยั่งยืนมากกว่าศิลปะ อย่าให้นักท่องเที่ยวซื้อเพราะสงสารแต่จงให้ซื้อเพราะมีความเป็นศิลปะ ต้องออกแบบด้วยความเป็นสากลเพื่อนำไปสู่การพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง โดยวิธีการสร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริงคือ เงินเน้นปากท้องต้องอิ่ม เพราะเศรษฐกิจฐานรากต้องการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ทุกคนสามารถหาเงินด้วยตนเองอย่างภาคภูมิใจ    

ขอบคุณข้อมูลจากยูทูป mcu tv live 

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...