วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ชาวบึงกาฬแห่ชมสะดือ-ลายหิน-ผาใจขาดหลังภูลังกา เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่67


เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2566 ชาวจังหวัดบึงกาฬที่เดินทางกลับภูมิลำเนาเยี่ยมญาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รุ่งเช้าได้ไปเที่ยวถ้ำนาคา  ภูลังกา  อำเภอบึงโขงหลง กันอย่างเนืองแน่น พร้อมกันนี้ยังได้ล่องเรือไหว้ปู่อือลือเกาะดอนแก้วดอนโพธิ์ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ พื้นที่อำเภอบึงโขงหลง  สร้างรายได้ให้กับพื้นที่  

ทั้งนี้ถ้ำนาคา เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาที่เกิดจากการที่พื้นผิวของหินเกิดการกัดกร่อนไปตามปรากฎการณ์ซันแครก (sun crack) ทำให้มีลวดลายคล้ายเกล็ดปลาหรือเกล็ดงู

ตามตำนานความเชื่อเรื่อง  เจ้าปู่อือลือ  ที่ถูกสาปให้เป็น  พญานาค  และถูกจองจำ จะพ้นคำสาปและทำให้พื้นที่นั้นได้เป็นที่รู้จัก และเจริญรุ่งเรือง ก็ต่อเมื่อครบ 10 ปี ซึ่งสอดคล้องกับการครบรอบ การก่อตั้ง  จังหวัดบึงกาฬ  10 ปี ในปีพ.ศ. 2563 ทำให้มีผู้ได้มาพบเห็นถ้ำแห่งนี้ และเกิดการกระจายข่าวไปตามความเชื่อส่วนบุคคลจนมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

ถ้ำนาคา  ตั้งอยู่ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติชั่วคราว (น้ำตกตาดวิมานทิพย์) บ้านตาดวิมานทิพย์ ตำบลโพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมาก เปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันที่มีฝนตกหนัก สามารถขึ้นชมได้ทุกฤดูกาล

โดยในแต่ละฤดูกาลจะให้ภาพและบรรยากาศแตกต่างกันไป ในฤดูฝนจะเกิดมอส เฟิร์น และพืชพันธุ์ต่าง ๆ เกาะตามผิวหินทำให้ดูมีชีวิตชีวา ในฤดูร้อนจะเห็นผิวหินชัดเจน และระหว่างทางจะเต็มไปด้วยบรรดาพืชพันธุ์ดอกไม้ ทั้งไม้พุ่มและไม้ยืนต้นที่กำลังออกดอก เช่น ข่อยหิน เต็ง รัง คำมอกหลวง ม้าวิ่ง อะราง ตะแบกเกรียบ

ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปถึงถ้ำนาคาประมาณ 1,400 เมตร ทางเดินเป็นทางเดินธรรมชาติ ประกอบด้วย บันไดเป็นช่วง ๆ สลับกับพื้นดิน และมีบางจุดจะต้องดึงเชือกเพื่อช่วยพยุงตัวทั้งตอนขึ้นและลง

นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ เจดีย์หลวงปู่เสาร์ เจดีย์หลวงปู่วัง ถ้ำหลวงปู่วัง และหัวนาคาที่ 1 เป็นต้น ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 4-5 ชั่วโมงเหมาะแก่ผู้ที่มีสภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ตั้งครรภ์ และไม่มีโรคประจำตัว ทาง  อุทยานแห่งชาติ  แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน ต้องจองผ่าน Appilcation QueQ ก่อนเท่านั้น

ที่มา : เว็บไซต์สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช


แห่ชมถ้ำเจดีย์หลวงปู่วัง เจดีย์หลวงปู่เสาร์ภูลังกาบึงกาฬ เทศกาลต้อนรับปีใหม่2567

 

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2566 ชาวจังหวัดบึงกาฬที่เดินทางกลับภูมิลำเนาเยี่ยมญาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รุ่งเช้าได้ไปเที่ยวถ้ำนาคา  ภูลังกา  อำเภอบึงโขงหลง กันอย่างเนืองแน่น พร้อมกันนี้ยังได้ล่องเรือไหว้ปู่อือลือเกาะดอนแก้วดอนโพธิ์ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ พื้นที่อำเภอบึงโขงหลง  สร้างรายได้ให้กับพื้นที่  

ทั้งนี้ถ้ำนาคา เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาที่เกิดจากการที่พื้นผิวของหินเกิดการกัดกร่อนไปตามปรากฎการณ์ซันแครก (sun crack) ทำให้มีลวดลายคล้ายเกล็ดปลาหรือเกล็ดงู

ตามตำนานความเชื่อเรื่อง  เจ้าปู่อือลือ  ที่ถูกสาปให้เป็น  พญานาค  และถูกจองจำ จะพ้นคำสาปและทำให้พื้นที่นั้นได้เป็นที่รู้จัก และเจริญรุ่งเรือง ก็ต่อเมื่อครบ 10 ปี ซึ่งสอดคล้องกับการครบรอบ การก่อตั้ง  จังหวัดบึงกาฬ  10 ปี ในปีพ.ศ. 2563 ทำให้มีผู้ได้มาพบเห็นถ้ำแห่งนี้ และเกิดการกระจายข่าวไปตามความเชื่อส่วนบุคคลจนมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

ถ้ำนาคา  ตั้งอยู่ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติชั่วคราว (น้ำตกตาดวิมานทิพย์) บ้านตาดวิมานทิพย์ ตำบลโพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมาก เปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันที่มีฝนตกหนัก สามารถขึ้นชมได้ทุกฤดูกาล

โดยในแต่ละฤดูกาลจะให้ภาพและบรรยากาศแตกต่างกันไป ในฤดูฝนจะเกิดมอส เฟิร์น และพืชพันธุ์ต่าง ๆ เกาะตามผิวหินทำให้ดูมีชีวิตชีวา ในฤดูร้อนจะเห็นผิวหินชัดเจน และระหว่างทางจะเต็มไปด้วยบรรดาพืชพันธุ์ดอกไม้ ทั้งไม้พุ่มและไม้ยืนต้นที่กำลังออกดอก เช่น ข่อยหิน เต็ง รัง คำมอกหลวง ม้าวิ่ง อะราง ตะแบกเกรียบ

ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปถึงถ้ำนาคาประมาณ 1,400 เมตร ทางเดินเป็นทางเดินธรรมชาติ ประกอบด้วย บันไดเป็นช่วง ๆ สลับกับพื้นดิน และมีบางจุดจะต้องดึงเชือกเพื่อช่วยพยุงตัวทั้งตอนขึ้นและลง

นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ เจดีย์หลวงปู่เสาร์ เจดีย์หลวงปู่วัง ถ้ำหลวงปู่วัง และหัวนาคาที่ 1 เป็นต้น ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 4-5 ชั่วโมงเหมาะแก่ผู้ที่มีสภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ตั้งครรภ์ และไม่มีโรคประจำตัว ทาง  อุทยานแห่งชาติ  แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน ต้องจองผ่าน Appilcation QueQ ก่อนเท่านั้น

ที่มา : เว็บไซต์สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช


แห่เที่ยวถ้ำนาคาภูลังกาบึงกาฬแน่น! ทางจังหวัดเปิดศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567



เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2566  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวจังหวัดบึงกาฬที่เดินทางกลับภูมิลำเนาเยี่ยมญาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รุ่งเช้าได้ไปเที่ยวถ้ำนาคา  ภูลังกา  อำเภอบึงโขงหลง กันอย่างเนืองแน่น สร้างรายได้ให้กับพื้นที่ 

ขณะเดียวกันวันที่ 29 ธ.ค. 2566 ก่อนหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ บรรยากาศที่บริเวณตลาดนัดไทย-ลาว ในเขตเทศบาลเมืองบึงกาฬ ซึ่งตลาดนัดแห่งนี้มักเรียกกันว่าตลาดลาว แต่จริงๆ มีทั้งคนไทยและคน สปป.ลาว นำสินค้ามาวางจำหน่ายกันอย่างคับคั่ง เปิดบริการในวันอังคาร และศุกร์ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 12.00 น. มีจุดเด่นที่สำคัญ คือ การนำสินค้าหายาก ได้แก่ ของป่าหายาก จากฝั่งสปป.ลาว และพืชผักปลอดสารพิษของจังหวัดบึงกาฬ มาวางจำหน่าย ภายใน “ตลาดนัดไทย-ลาว” ตั้งอยู่บนถนนริมบึงใหญ่ มีระยะทางของตลาดประมาณ 500 เมตร จะมีสินค้าวางขายตั้งแต่ของป่า ของหายากจากฝั่งลาวแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พืช ผัก กบ เขียด และปลาในแม่น้ำโขง ซึ่งนอกจากอาหารการกินแล้ว ก็จะมีเสื้อผ้า ของใช้วางขาย เลือกช้อปกันเพลิน ๆ ทั้งชาวไทย ชาวลาว พร้อมชมวิวริมแม่น้ำโขงในยามเช้า

โดยวันนี้ถือว่าเป็นนัดสุดท้ายส่งท้ายปี พ่อค้าแม่ค้า หลายร้านจัดโปรโมชั่น ทั้งลดราคา ทั้งของแถม ให้กับชาวไทย ชาวลาว ชาวพม่า ที่มาเดินจับจ่ายใช้สอด โดยได้รับความสนใจจากประชาชนทยอยเดินทางมาเลือกซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมาก สร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่อย่างคึกคักในช่วงปีใหม่

ที่บริเวณหน้าวัดสามัคคีอุปถัมภ์ (วัดภูกระแต) อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ นายนคร ศิริปริญญานันท์ รอง.ผวจ.บึงกาฬ เป็นประธานในการเปิดศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ของ จ.บึงกาฬ ภายใต้แนวคิด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ซึ่งจะให้บริการประชาชนในช่วง 7 วัน ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 - 4 มกราคม 2567 โดยมีนายสมจิตร สุภาษิต ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงบึงกาฬ ในนามตัวแทนศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

สำหรับศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ของจังหวัดบึงกาฬ เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายและมาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 เพื่อเป้าหมายในการลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต โดยศูนย์ฯ จะให้บริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้เดินทางอย่างสะดวกปลอดภัย โดยให้บริการที่จอดพักรถ บริการน้ำดื่ม เครื่องดื่ม กาแฟ แจกแผ่นพับ แผนที่ แนะนำข้อมูลทางหลวง และรับประสานความช่วยเหลือ พร้อมชุดเคลื่อนที่เร็วตลอด 24 ชั่วโมง ตามจุดบริการทั้ง 7 จุดในเขตพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ได้แก่ ที่ศูนย์ประสานงานแขวงทางหลวงบึงกาฬ, จุดบริการทั่วไทย (หน้าแขวงทางหลวงบึงกาฬ), หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หมวดทางหลวงบึงกาฬ, หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หมวดทางหลวงศรีวิไล, หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หมวดทางหลวงเซกา, หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หมวดทางหลวงบ้านม่วง และจุดบริการกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยว หมวดทางหลวงศรีวิไล

นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผวจ.บึงกาฬ กล่าวว่า อีกไม่กี่วันจะถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกๆปี ซึ่งสถิติของประเทศไทย มักจะเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 7 วันอันตราย อยากฝากถึงพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ก่อนจะขับรถขอให้เตรียมตัวก่อนสตาร์ทรถทุกครั้ง ขับรถอย่างมีสติ ขับรถอย่างมีวินัย ขับรถอย่างมีน้ำใจ สำหรับจังหวัดบึงกาฬของเราได้มีการเตรียมพร้อมมาตรการตั้งแต่ในเรื่องของคน ถนน การใช้ยานพาหนะ การบังคับใช้กฎหมาย เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนทุกท่าน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุให้ได้มากที่สุด ฝากถึงพ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับขอให้ทุกท่านร่วมมือไปพร้อมๆกัน ภาคราชการ ภาคเอกชน รวมถึงทุกท่านมาร่วมมือกัน แล้วมาร่วมฉลองปีใหม่อย่างมีความสุขไปด้วยกัน


แห่ชมภูสิงห์บึงกาฬ หินสามวาฬอายุกว่า 75 ล้านปี บ่อน้ำร้อยบ่อเทศกาลปีใหม่ 2567



เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2566  ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ยังคงถือโอกาสเที่ยมชมแหล่งท่องเที่ยว อย่างเช่นที่ป่านันทนาการหินสามวาฬ ในเขตป่าสงวน ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู ท้องที่บ้านโนนไทรทอง หมู่ที่ 8 ต.โคกก่อง อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ หรือที่รู้จักกันในนาม “ภูสิงห์”  โดยนักท่องเที่ยวจำนวนมากทยอยเดินทางเข้าเยี่ยมชมความงดงามทางธรรมชาติที่บริเวณจุดชมวิว “หินสามวาฬ” เพื่อชมทัศนียภาพที่งดงามในช่วงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า นอกจากนี้ ภูสิงห์ ยังมีจุดชมวิวที่สำคัญๆ เช่น จุดชมวิว ถ้ำฤาษี ส้างร้อยบ่อ และหินหัวช้าง

ทั้งนี้ภูสิงห์ จังหวัดบึงกาฬ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าสงวนแห่งชาติป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู อยู่ในความดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับภูทอก มีแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นคือ หินสามวาฬ เป็นหน้าผาหินทรายขนาดใหญ่ยื่นออกไป เป็นจุดชมวิวที่มีความสวยงาม และสามาถชมทะเลหมอกยามเช้าในฤดูหนาวได้ นอกจากนี้ ยังเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์และหลากหลาย ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูสิงห์เป็นจำนวนมาก

หินสามวาฬ ว่ากันว่ามีอายุกว่า 75 ล้านปี ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดมหึมาวางเรียงกัน 3 ก้อน มองไกลหรือมองจากภาพถ่ายทางอากาศ มีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ พ่อ แม่ ลูก กำลังว่ายน้ำกันอย่างสนุกสนาน จึงเรียกกันว่า”หินสามวาฬ”  

พร้อมกันนี้ยังมี 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของอำเภอเมืองบึงกาฬ ประกอบด้วย ศาลเจ้าแม่สองนาง วัดโพธาราม(วัดท่าไคร้) วัดใต้ วัดกลาง วัดเหนือ ศาลเจ้าปู่ย่า วัดพันลำ วัดสุดเขตแดนสยาม และวัดภูกระแต

 

ชมโบสถ์ทองวัดป่าเมืองเหืองบึงกาฬ ทำบุญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567


ชมโบสถ์ทองวัดป่าเมืองเหือง  ต.ชัยพร  อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ  เป็นวัดที่ได้รับการขนานนามเป็น “นาคานคร”หรือ“เมืองพญานาค”มีพระพุทธรูปหน้าทอง โบสถ์ลงลักปิดทองสวยงามโดดเด่น เนื่องจากมีชายแดนติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวห่างกันเพียงแม่น้ำโขงกั้น นับได้ว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดบึงกาฬ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยขอม โดดเด่นด้วยโบสถ์สีทองอร่าม เต็มไปด้วยพญานาครายล้อมรอบโบสถ์

วัดพระธรรมกายจัดสวดมนต์ข้ามปี - ตักบาตรพระกว่า 3,000 รูป สั่งสมบุญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่


 
วัดพระธรรมกายจัดสวดมนต์ข้ามปี - ตักบาตรพระกว่า 3,000 รูป สั่งสมบุญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับศักราชใหม่ 2567  เชิญชวนร่วมกิจกรรม “โครงการธรรมยาตรา ฯ ปีที่ 12” เปิดสวนดอกไม้ “ทุ่งสวรรค์ ตะวันฉาย” ชมฟรีตลอดเดือนมกราคมนี้ 

วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 21.30 น. พระภาวนาธรรมวิเทศ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นประธานในพิธีฉลองชัย สวดธรรมจักรครบ 6,000,000,000 จบ และสวดมนต์ข้ามปี สร้างบุญเป็นสิริมงคลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ณ มหารัตนวิหารคด หน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์ จากนั้น วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เวลา 06.20 น. เป็นพิธีตักบาตรพระ 3,000 กว่ารูป ต้อนรับศักราชใหม่ 2567 ณ ลานธรรมพระมหาธรรมกายเจดีย์ มีคณะสงฆ์ในโครงการอุปสมบทบูชาธรรมมหาปูชนียาจารย์ พ.ศ. 2566 ร่วมรับบาตร มีพุทธศาสนิกชนสวมชุดขาวร่วมพิธีจำนวนมาก หลังเสร็จสิ้นพิธีตักบาตรแล้ว ผู้มาร่วมตักบาตรยังได้รวมใจ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ประกอบพิธีบูชาข้าวพระ และถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานด้วย

ด้านพระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส  ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กล่าวว่าเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่วัดพระธรรมกายได้เปิดสวนดอกไม้ “ทุ่งสวรรค์ ตะวันฉาย” ให้ประชาชนเข้าชมฟรีจนถึง วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นสวนดอกเบญจมาศ สีชมพู อยู่บริเวณฝั่งทิศตะวันออก ลายจอด P13 วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี ปลูกเพื่อนำไปบูชาพระรัตนตรัยในกิจกรรมต้อนรับพระภิกษุธรรมยาตราโครงการกตัญญูบูชา มหาปูชนียาจารย์ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร อนุสรณ์สถาน 7 แห่ง  ปีที่ 12 ซึ่งกำหนดจัดระหว่างวันที่ 2-31 มกราคมนี้ ทุกท่านสามารถสอบถามรายละเอียดการร่วมกิจกรรมโครงการธรรมยาตรา หรือชมสวนดอกไม้ได้ทาง www.dmc.tv ,เพจ Facebook สำนักสื่อสารองค์กร และ www.gbnus.com หรือ โทร.02-831-1234

"ดร.มหานิยม"เดือดโต้สื่ออ้างได้ตำแหน่งโยงธรรมกาย เร่งหน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบ


 

เมื่อวันที่  1 มกราคม 2567   ดร.นิยม เวชกามา  ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (คนที่ 1) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ฯพณฯ ภูมิธรรม เวชยชัย) และ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีสื่อสำนักหนึ่งอ้างว่า นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด จากพรรคเพื่อไทย นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น นายนิยม เวชกามา ที่ล้วนแล้วเป็นสายหนุนแนวทางของวัดพระธรรมกายมาโดยตลอดนั้นเป็นการกล่าวคำเท็จซึ่งผิดตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อ

"การที่กล่าวอ้างว่าเป็นสายหนุนวัดพระธรรมกายนั้น ผมขอยืนยันว่า ผมได้บวชในบวรพระพุทธศาสนาเป็นลูกศิษย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเวลากว่า 16 ปีสังกัดวัดสังข์กระจาย อำเภอบางกอกใหญ่ และอุปสมบทเป็นพระที่วัดราชสิทธาราม หรือวัดพลับ ตำบลวัดอรุณ อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ จบปริญญาเอกที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) โดยส่วนตัวก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายเลย ตนไม่ได้สังกัดวัดธรรมกายแต่อย่างใด"

ดร.มหานิยม กล่าวด้วยว่าในขณะที่เป็น สส. สี่ปีที่ผ่านมาได้อภิปรายตั้งกระทู้ถามอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะช่วยเหลือพระพุทธศาสนาและความไม่เป็นธรรมในวงการสงฆ์ ไม่เคยเอ่ยอ้างวัดธรรมกายแม้แต่ครั้งเดียวว่าผิดหรือถูกจึงขอให้ต้นสังกัดสื่อต้องแสดงความรับผิดชอบและขอให้พี่น้องชาวพุทธได้ตรวจสอบสื่อสำนักนี้ด้วย เพราะการเขียนข่าวแบบนี้ทำให้ตนเสียหายว่าส่งเสริมหรือสังกัดวัดธรรมกายซึ่งความจริงตนสังกัดพระพุทธศาสนา นับถือพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และต่อสู้ให้แก่พระภิกษุสงฆ์ตลอดในช่วงเป็น สส. ในอดีตตนเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์มติชนประจำจังหวัดสกลนคร 20 ปี ผมเป็นนักข่าวไอทีวีตั้งแต่ไอทีวีตั้งจนลาออกมาสมัคร ส.ส. ไม่เคยใส่ร้ายใคร ไม่เคยนั่งเทียนเขียนข่าวแม้แต่ครั้งเดียว 

 "โปรดรับรู้ว่าสำนักสื่อทั้งหลายหมดยุคที่จะนั่งเทียนเขียนแล้วข้อมูลในอินเตอร์เน็ตข้อมูลในเฟซบุ๊กต่างๆ หมดยุคแล้ว ทั้งนี้ในการที่ทำข่าวในแนวที่ว่าพรรคเพื่อไทย เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายและโยงไปถึงอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร เป็นการจงใจที่จะทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองหรือไม่ ซึ่งเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 32 วรรค 2 ที่กล่าวถึงการกระทำอันละเมิดหรือการกระทบต่อสิทธิของบุคคลด้วยหรือไม่ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบด้วย" ดร.มหานิยม กล่าว

“เทวัญ” ประธานพิธีสวดมนต์ข้ามปีโคราชลานย่าโม อวยพรปีใหม่ 2567 ขอให้ทุกคน มีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง



เมื่อวันที่  1 มกราคม 2567   เวลา 01.00 น.-05.00 น. ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และบริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เขตเทศบาลนครนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา , นายประเสริฐ บุญชัยสุข นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา , ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา , พลตรีอรรถชัย รักษาศิลป์ ผู้บัญชาการมณฑลทการบกที่ 21  กองทัพภาคที่ 2 , พล.ต.ต.ณรงค์ฤทธิ์ ด่านสุวรรณ ผบก.ภ.นครราชสีมา หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ พุทธศาสนิกชน ญาติโยม พี่น้องประชาชาชาว จ.นครราชสีมาพร้อมในสวมใส่เสื้อผ้าชุดสีขาว ชุดไทยสีขาวรวมกว่า 5,000 คนร่วมพิธีสวดมนต์ข้ามปีในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา กิจกรรม ทำบุญเสริมสิริมงคล สวดมนต์ข้ามปี สู่ปีใหม่ 2567 โดยมีหลายหน่วยงานในพื้นที่ จ.นครราชสีมา จัดกิจกรรมเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่า 2566 ต้อนรับปีใหม่ 2567 กันอย่างคึกคัก

นายเทวัญ กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาร่วมสวดมนต์ข้ามปี กับพี่น้องชาวโคราช ณ ลานย่าโม ขอให้ปี พ.ศ. 2567 นี้ ทุกท่านพบแต่ความสุข ความเจริญ เฮงๆ รวยๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรงตลอดทั้งปี และร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกัน

โดยบรรยากาศเฉพาะในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งทางจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับเทศบาลนครนครราชสีมา จัดกิจกรรมเคานต์ดาวน์ พิธีนพเคราะห์ สวดมนต์ข้ามปี วิถีพุทธ ด้วยการจัดพิธีสวดมนต์ข้ามปี ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมาในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ข้ามไปถึงวันที่ 1 มกราคม 2567 โดยแต่ละวัดที่มีการจัดกิจกรรมมีพระสงฆ์สมณศักดิ์จากแต่ละวัดเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำพระภิกษุ สามเณร และประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา และสวดมนต์เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ วิถีไทยวิถีธรรม

สำหรับกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีแต่ละวัดนั้นมีผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดไปร่วมในพิธี อาทิ วัดสุทธจินดา วรวิหาร มีนายสยาม ศิริมงคล เป็นประธานฝ่ายฆราวาส, วัดบึง พระอารามหลวง มีนายสมเกียรติ วิริยะกุลนันนท์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส เป็นต้น

วธ.นำทำบุญตักบาตรเสริมสิริมงคลวันขึ้นปีใหม่ เริ่มต้นพุทธศักราช 2567 พร้อมกันทั่วประเทศ



เมื่อวันที่  1 มกราคม 2567  เวลา 07.00 น. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในกิจกรรมตักบาตรรับปีใหม่ เพื่อความเป็นสิริมงคล พุทธศักราช 2567 โดยมี นางลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เจ้าหน้าที่ ประชาชน และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2567 ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2566 – 1 มกราคม 2567 โดยในส่วนกลางมีศูนย์กลางจัดงานที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดอรุณราชวราราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากภาคคณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน องค์กรเครือข่ายและประชาชนในชุมชน พร้อมใจกันสวดมนต์ข้ามปีอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับกิจกรรมในวันที่ 1 มกราคม 2567 ประกอบด้วย พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2567 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้รับความเมตตาจาก สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญรับปีใหม่ด้วยการนำข้าวสารอาหารแห้ง เครื่องอุปโภค บริโภค ตักบาตรพระสงฆ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลยังวัดใกล้บ้าน สำหรับส่วนภูมิภาค ได้ร่วมกับจังหวัด 76 จังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด องค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น สนับสนุนการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีและกิจกรรมตักบาตรรับปีใหม่ พ.ศ. 2567 เพื่อความเป็นสิริมงคลพร้อมกันทั่วประเทศ



สำหรับกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา กรมการศาสนาได้รวบรวมข้อมูลศูนย์ประสานงานสวดมนต์ข้ามปีระดับจังหวัดทั่วประเทศ ร่วมกับสำนักงานสถิติของจังหวัด ประมวลผลการจัดงาน พบว่า วัด ศาสนสถาน ในกรุงเทพและส่วนภูมิภาคมีการจัดงาน จำนวนกว่า 30,000 แห่ง มีวัดในต่างประเทศจัดกิจกรรมมากกว่า 70 วัด และมีผู้ร่วมสวดมนต์ในวัด สถานที่จัดงานและผ่านทางระบบออนไลน์ รวมทั้งสิ้นกว่า 12 ล้านคน อันเป็นการแสดงถึงการร่วมอนุรักษ์ สืบทอดพระพุทธศาสนา และประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นที่มีคุณค่า ให้ดำรงอยู่ในทุกพื้นที่ด้วยความรัก ความสามัคคี และความมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่ง กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จวบจนถึงปัจจุบัน และได้รับความสนใจจากประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี



รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่ออีกว่า กิจกรรมตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2567 จัดขึ้นเพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาและนำหลักธรรมคำสอนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา สร้างบุญ สร้างกุศลด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ งดงาม ต้อนรับศักราชใหม่ เริ่มวิถีชีวิตใหม่ด้วยแสงแห่งธรรมนำทาง ซึ่งเป็นแสงแรกของปี 2567   อันจะส่งผลให้ได้พบสิ่งที่เป็นมงคล และเสริมสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวตลอดทั้งปี 

วธ. เผยคนไทยทั่วไทย-ทั่วโลก เข้าร่วมสวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคล ต้อนรับศักราชใหม่ ปี 2567 เนืองแน่นทุกพื้นที่



เมื่อวันที่  1 มกราคม 2567 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานพิธีสวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2567 ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2566 – 1 มกราคม 2567 ในส่วนกลางมีศูนย์กลางจัดงานที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดอรุณราชวราราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม โดยบูรณาการการจัดกิจกรรมในวัดและศาสนสถานจากทุกหน่วยงาน ทุกจังหวัด ทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลศูนย์ประสานงานสวดมนต์ข้ามปีระดับจังหวัดทั่วประเทศ ร่วมกับสำนักงานสถิติของจังหวัด ประมวลผลการจัดงาน พบว่า วัด ศาสนสถาน ในกรุงเทพและส่วนภูมิภาคมีจัดงาน จำนวน 24,629 แห่ง มีวัดในต่างประเทศจัดกิจกรรมจำนวน 70 วัด และมีผู้ร่วมสวดมนต์ในวัด สถานที่จัดงานและผ่านทางระบบออนไลน์ รวมทั้งสิ้นกว่า 12,067,387 คน 

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ มาอย่างต่อเนื่องในนามของรัฐบาล โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานไฟพระฤกษ์ให้แก่กระทรวงวัฒนธรรมเพื่อจุดเทียนมงคลในพิธีสวดมนต์ข้ามปี และโปรดประทานตราอักษรพระนาม ออป. จัดพิมพ์ลงบนกล่องไม้ขีดไฟ เพื่อมอบให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ นำไปประกอบพิธีจุดเทียนมงคลในวัดทั่วประเทศไทย 



ในส่วนกลาง มีศูนย์กลางจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดอรุณราชวราราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และวัดต่าง ๆ พร้อมกันทั่วประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน 17 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี หนองคาย นครพนม บึงกาฬ มุกดาหาร ศรีสะเกษ สุรินทร์ เลย ตราด ตาก เชียงราย แม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง สตูล สงขลา และนราธิวาส ได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีอาเซียน ให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนาและพิธีการต่างๆ ของจังหวัด โดยส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีฯ ตามวัด/ศาสนสถาน หรือสถานที่จัดกิจกรรม นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือองค์การทางศาสนาจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตามหลักศาสนบัญญัติของศาสนานั้น ๆ โดยศาสนาคริสต์ จัดพิธีอธิษฐานขอพร ณ โบสถ์อัสสัมชัญบางรัก คริสตจักรสานสัมพันธ์กรุงเทพ คริสตจักรพลับพลา และคริสตจักรจีนเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จัดพิธีสวดมนต์ขอพรต้อนรับปีใหม่ ณ วัดเทพมณเฑียร และวัดวิษณุ ศาสนาซิกข์ จัดพิธีสวดอัรดาส ขอพรต้อนรับปีใหม่ ณ สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา สมาคมนามธารีสังคัต เป็นต้น และในส่วนต่างประเทศร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประสานความร่วมมือไปยังวัดไทยและวัดทางพระพุทธศาสนาในต่างประเทศกว่า 70 วัดทั่วโลกร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เช่น วัดอรุณสหราชอาณาจักร เมืองนอริช สหราชอาณาจักร วัดไทยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา วัดพุทธบารมี ฮัมบวร์ค สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี วัดป่าโพธิศรัทธา ซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย วัดญาณประทีป นิวซีแลนด์ วัดพุทธารามเกาหลี สาธารณรัฐเกาหลี วัดไทยพุทธคยา935 สาธารณรัฐอินเดีย เป็นต้น

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช กล่าวต่ออีกว่า สำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชนยังสามารถสวดมนต์ได้ในทุกสถานที่ ทุกช่วงเวลาตามอัธยาศัย ทางเว็บไซต์สวดมนต์ข้ามปีฯ www.prayer2567.com และส่งคำอวยพรในการ์ดอวยพรปีใหม่ (ส.ค.ส) แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Card) เพื่อส่งต่อให้ผู้อื่นผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์  พร้อมทั้งขอบคุณทุกภาคส่วน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ร่วมบูรณาการจัดกิจกรรมในวัดและศาสนสถาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ การสวดมนต์ข้ามปีจะเป็นกิจกรรมสำคัญที่ประชาชนจะได้ร่วมก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ด้วยความเป็นสิริมงคล ก่อเกิดอานิสงส์เป็นแรงจูงใจให้ประชาชนลดความเสี่ยงจากอบายมุขและอุบัติเหตุ เป็นการทำบุญใหญ่ให้กับชีวิตทั้งทางกายและจิตใจ ด้วยหลักธรรมทางศาสนา ก้าวไปสู่วิถีชีวิตใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ช่วยปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายและโรคภัยต่างๆ ให้แก่ชีวิตของตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดปีและตลอดไป

"ผู้นำฝ่ายค้าน"ลั่นรัฐบาลทำงานผิดพลาด ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกทันที

 


"ผู้นำฝ่ายค้าน" ขอรอดูผลงานรัฐบาลก่อน หากผิดพลาดยื่นซักฟอกทันที  รับเสียงอาจไม่พอสั่นคลอนแต่สังคมจะเป็นผู้พิพากษา หากแจงไม่ชัด ยังไม่กังวลหลังมีกระแสปชป.ย้ายขั้ว  ลั่นเดินหน้าทำงานเต็มสูบ ถ่วงดุลตรวจสอบไม่ค้านดะ หวังเห็นผลงานร่วมกันโดยไม่แบ่งฝ่าย  

เมื่อวันที่  1 มกราคม 2567  นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง การทำงานของฝ่ายค้านในการตรวจสอบ การทำงานของ รัฐบาล ว่าพรรคฝ่ายค้านแต่ละพรรค เน้นที่ตนเองให้ความสำคัญที่แตกต่างกันไปซึ่งพรรคก้าวไกลเรื่องกระบวนการยุติธรรมก็สำคัญ  เรื่องการจัดการ ความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงข้อเสนอเรื่อง นิรโทษกรรม ทางการเมืองและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นนโยบายทางการเมืองที่เราจะต้องติดตามและผลักดันอย่างต่อเนื่องแน่นอน

"ส่วนเรื่องอื่นๆพรรคก้าวไกลก็มีการเสนอในหลายเรื่องครอบคลุมทุกมิติเพราะเป็นการทำงานของกลุ่มนโยบายต่างๆในพรรคที่มีความรอบด้านในเรื่องเศรษฐกิจเรื่องดิจิทัลืวอลเล็ต ก็ติดตาม เรื่องนโยบายซอฟพาวเวอร์ก็เป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาลก็ต้องติดตามซึ่งเท่าที่เห็น บอกว่าจะได้รับงบประมาณ 5,000 ล้านบาท  แต่งบประมาณส่วนใหญ่ยังเห็นไปใช้กับงบประมาณในการจัดอีเวนท์รวมถึงงบอบรมสัมมนา ซึ่งเท่าที่มีข้อมูลเบื้องต้นกลายเป็นการเอางบอบรมสัมมนา ที่มีอยู่ตามแผนเดิมอยู่แล้วมาเปลี่ยนปัดฝุ่นใหม่เปลี่ยนปก ซึ่งอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในสิ่งที่คาดหวังว่าจะอัพสกิวหรือรีสกิวประชาชนเพื่อให้มีทักษะในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์"นายชัยธวัชกล่าวและว่า 

นอกจากนี้ ยังมีการติดตามเรื่องค่าไฟ ซึ่งคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมีการทบทวนพูดคุยกับเอกชนที่เป็นคู่สัญญารวมถึงการทำสัญญาใหม่ๆเกี่ยวกับพลังงานพลังงานสะอาด 5000 เมกะวัตต์ที่ได้มีการทยอยเซ็นไปแล้วด้วย 

นายชัยธวัช ยังกล่าวอีกว่า เปิดปีใหม่ขึ้นมาการทำงานร่วมกันของฝ่ายค้านจะเต็มตัวและเป็นทางการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางเป้าหมาย แผนงานในการผลักดันร่วมกัน  ขณะที่ความเป็นเอกภาพของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่หลายคนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจมีความเป็นไปได้ที่จะพลิกขั้วไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหากมีการปรับ ครม.ทำให้ฝ่ายค้านเหลือคนไม่มากในการทำงานนั้น  นายชัยธวัช กล่าวว่าอย่าเพิ่งไปกังวลล่วงหน้า เอาปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อน อนาคตทางการเมืองจะเกิดอะไรขึ้นก็ปรับตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตนคิดว่าวันนี้ยังคงเป็นพรรคฝ่ายค้านร่วมกัน พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ก็ต้องทำงานโดยเคารพและให้เกียรติกับทุกพรรค

"ยังไงก็ต้องเคารพกัน มันไม่มีปัญหาหรอก ผมยกตัวอย่างถ้าเราจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ข้อมูลของแต่ละพรรคเป็นความลับอยู่แล้ว ดังนั้นไม่กระทบอะไร เป็นเรื่องของแต่ละพรรค เพียงแต่ต้องตัดสินใจร่วมกันว่าต้องอภิปรายหรือไม่ เมื่อไหร่ ผมคิดว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่เป็นเอกภาพ 100% หมายความว่าอาจจะไม่ได้เห็นร่วมกันทุกเรื่อง แต่มีเรื่องที่เห็นร่วมกัน แล้วสามารถเป็นเนื้อหา เป็นเงื่อนไขที่เราวางแผนทำงานร่วมกันได้ ส่วนที่เห็นต่างกัน ก็แยกทำคนละบทบาทได้" นายชัยธวัช กล่าว 

ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นไม่ได้อยู่ที่การให้เวลารัฐบาลทำงาน แต่อยู่ที่ข้อมูลข้อเท็จจริง ถ้าตรวจพบว่ามีการใช้อำนาจโดยมิชอบ หาผลประโยชน์หรือคอรัปชั่น หรือใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินเกิดความเสียหายรุนแรง เราก็พร้อมที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกเมื่อ  ซึ่งเรื่องนี้พรรคก้าวไกลยังไม่ได้พูดคุยอย่างเป็นทางการกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น ก็ยังมีเวลาที่จะพูดคุยกัน ซึ่งข้อมูลของแต่ละพรรคจะไม่มีการให้กันอยู่แล้ว ตนไม่แน่ใจข้อมูลพรรคอื่นเป็นอย่างไร แต่ของพรรคก้าวไกล สส.ที่ไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบเรื่องนั้นๆก็จะไม่ทราบ ถือว่าเป็นข้อมูลชั้นความลับ เป็นมาตรฐานการทำงานของเรา 

 "สำหรับพรรคก้าวไกลนโยบายเราเป็นแบบนี้ เอาข้อเท็จจริงเป็นตัวตั้ง เพราะเราไม่ได้อยากอภิปรายแบบใช้โวหาร หรือเป็นการอาศัยการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อต่อรองผลประโยชน์กัน เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหาเป็นหลัก และขึ้นอยู่กับการไปคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นเช่นเดียวกับการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ด้วย หากในช่วงต้นปีหน้าไตรมาสแรก การบริหารรัฐบาลมีปัญหามากจริงๆ ก็อาจจะมีการเสนอให้เปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติเพื่อที่จะสะท้อนการทำงานของรัฐบาล " นายชัยธวัช กล่าว 

สำหรับเรื่องของข้อมูลที่จะใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เพียงพอ แต่ถ้าไตรมาสแรกรัฐบาลทำงานมีปัญหาจริงๆ พรรคร่วมฝ่ายค้านอาจเสนอเปิดอภิปราย อย่างไรก็ตามก็ยังต้องหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นด้วย หากการบริหารแย่จริงๆ ก็คงเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็คงอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ 

"เป็นเรื่องปกติที่เสียงฝ่ายค้านไม่สามารถที่จะชนะในสภาได้อยู่แล้ว แต่ในทางการเมืองในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่จบแค่เสียงโหวตในสภาเท่านั้น แต่จะถูกพิพากษาโดยสังคม ซึ่งจะส่งผลต่อรัฐบาลอย่างแท้จริงว่าถ้ารัฐบาลถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วไม่สามารถตอบคำถามใดๆได้จนกระทบกับความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างรุนแรง แม้จะชนะเสียงโหวตในสภาแต่สุดท้ายก็จะจบด้วยการยุบสภา หรืออย่างน้อยก็ปรับ ครม.ฉะนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพในการอภิปราย ในการเก็บข้อมูลเป็นหลัก จึงไม่ได้กังวลเรื่องเสียงเพราะอยู่ที่คุณภาพ" นายชัยธวัชกล่าว

เมื่อถามว่าจะให้คะแนนการทำงานพรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ตลอดปีที่ผ่านมาอย่างไร  นายชัยธวัช กล่าวว่าช่วงสมัยที่ผ่านมาต้องบอกว่ายังไม่เห็นบทบาทของฝ่ายค้านชัดเจนนัก เพราะช่วงแรกเสียเวลาไปเยอะกับการเลือกนายกรัฐมนตรีกว่าจะมีรัฐบาล และมีวาระสำคัญแค่เรื่องการแถลงนโยบายในสมัยประชุมที่แล้ว เรื่องอื่นไม่มีเลยเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้เตรียมร่างกฎหมายไว้ พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ค่อยมีการผลักดันร่างกฎหมาย ฝ่ายค้านจึงยังไม่มีโอกาสทำงานมากนัก ส่วนคณะกรรมาธิการชุดต่างๆกว่าจะตั้งได้ก็ล่าช้า ฉะนั้นเรื่องการให้คะแนนคงต้องให้ประชาชนเป็นคนให้คะแนน แต่บทบาทไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านจะมีความเข้มข้นชัดเจนมากยิ่งขึ้นคือในสมัยประชุมนี้ 

ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นฝ่ายค้านแต่ค้านไม่สุดเพราะอาจจะมีความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยอยู่นั้น นายชัยธวัช ชี้แจงว่า ขอให้รอพิสูจน์จากการปฏิบัติ ยืนยันว่าเราไม่มีลับลมคมใน ไม่มีวาระซ่อนเร้น พรรคก้าวไกลยังคงทำงานอย่างตรงไปตรงมาว่ากันด้วยเหตุผล 

"เพียงแต่วันนี้ในฐานะเป็นพรรคฝ่ายค้านไม่ได้มองว่าพรรคฝ่ายค้านจะต้องค้านทุกเรื่อง  อะไรที่รัฐบาลพูด รัฐบาลเสนอ เราจะต้องแสดงความคิดเห็นตรงกันข้าม ถ้าเรื่องไหนเป็นประโยชน์เราก็พร้อมสนับสนุน ผลักดันหรือเห็นว่าเป็นประโยชน์หรือเห็นว่าเป็นประโยชน์แต่คิดว่าดีกว่านี้ได้ ก็จะเสนอแนะ ฉะนั้นการทำงานของพรรคฝ่ายค้านเองเราอยากจะมีทั้งสองด้านคือตรวจสอบสมดุลที่ต้องทำงานอย่างเต็มที่ ว่ากันไปตามเนื้อหา ไม่ต้องเกรงใจใคร แต่อีกด้านหนึ่งอยากจะเห็นบรรยากาศการทำงานในสภาที่สามารถร่วมไม้ร่วมมือโดยไม่แบ่งปักแบ่งฝ่ายทางการเมือง อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ก็น่าจะให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ในอนาคต หวังว่าจะมีผลงานการทำงานร่วมกันของสภา โดยไม่แบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย " นายชัยธวัช กล่าว

"ธรรมกาย" มอบอาหารแห้งแก่อำเภอคลองหลวง หนุนศูนย์ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2567



วัดพระธรรมกาย มูลนิธิธรรมกาย และคณะศิษยานุศิษย์ฯ มอบอาหารแห้ง แก่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อสนับสนุนศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2567 

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2566    เวลา 10.30 น. ณ ศาลามหาทานบารมี โรงครัวฯ วัดพระธรรมกาย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี  พระครูสังฆรักษ์ รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พร้อมด้วยผู้แทนมูลนิธิธรรมกาย และนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้ร่วมกันส่งมอบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วย จำนวน 1,000 ชิ้น และขนมขบเคี้ยว จำนวน 1,000 ชิ้น ให้แก่คุณนพดล พลซื่อ นายอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วย พันตำรวจโทกวินเวทย์ วิริยะสิริภักดี รองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อสนับสนุน และส่งมอบกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ จุดบริการประชาชน จุดตรวจหลัก และด่านชุมชนในเขต อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่ออำนวยความสะดวก และความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2567 เป็นสาธารณสงเคราะห์

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้ดำเนินงานตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2567 ซึ่งอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดให้มีจุดบริการประชาชน จุดตรวจหลัก และด่านชุมชนในเขตอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่ออำนวยความสะดวก และความปลอดภัยในการเดินทางแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2567 รวมทั้งสิ้น 13 แห่ง.


วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566

รมว.แรงงานจัดส่งข้าวสาร - ถุงยังชีพ กว่า 3,000 กิโลกรัมช่วยน้ำท่วม 3 จังหวัดชายแดนใต้


 

รมว.แรงงาน "พิพัฒน์"  ห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานภาคใต้น้ำท่วม โดยปลัดแรงงาน "ไพโรจน์" รับลูก จัดส่งข้าวสาร - ถุงยังชีพ กว่า 3,000 กิโลกรัม เร่งช่วยเหลือในพื้นที่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2566  นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดฝนตกหนักน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ระหว่างวันที่ 22 - 30 ธ.ค.66 ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ซึ่งจากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวมีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวม 34 อำเภอ 196 ตำบล 1,324 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 109,282 ครัวเรือน ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือของกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.66 หลังจากที่ผมและคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเพื่อเยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับผลกระทบและมอบถุงยังชีพ จำนวน 1,050 ถุง พร้อมกับผมได้มอบหมายให้นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เตรียมอาหารเพื่อมอบข้าวกล่องให้ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี จำนวน 1,400 ชุดแล้วนั้น และในวันนี้ผมได้รับรายงานจากนายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ว่า กระทรวงแรงงานยังได้จัดส่งข้าวสารถุงละ 5 กิโลกรัม อีกจำนวน 600 ถุง และถุงยังชีพที่บรรจุข้าวสาร อาหารแห้ง และเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 120 ถุง รวมทั้งสิ้น 720 ถุง ซึ่งเดินทางออกจากกระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.66 โดยลำเลียงไปยังจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อมอบให้กับพี่น้องผู้แรงงานซึ่งประสบอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนด้านการดำรงชีพและเป็นขวัญกำลังใจให้ในเบื้องต้นแล้ว

ด้าน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง มีความห่วงใยถึงพี่น้องผู้ใช้แรงงาน และประชาชนที่ประสบอุทกภัยจึงได้ลงพื้นที่ไปเยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับผลกระทบและมอบถุงยังชีพด้วยตนเอง และในวันนี้ผมได้รับรายงานจากแรงงานปัตตานี ยะลา และนราธิวาสว่า แต่ละจังหวัดได้รับข้าวสารและถุงยังชีพที่ลำเลียงไปจากกระทรวงแรงงานจำนวนทั้งสิ้น 720 ถุง แบ่งเป็นข้าวสารจังหวัดละ 200 ถุง และถุงยังชีพจังหวัดละ 40 ถุง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครแรงงาน และบัณฑิตแรงงานนำไปแจกจ่ายให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ นอกจากนั้น ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน บัณฑิตแรงงานและอาสาสมัครแรงงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชน โดยสนับสนุนช่วยขนย้ายสิ่งของ รถยนต์ ยานพาหนะ และประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยและมอบถุงยังชีพ อาหาร และน้ำดื่มแก่ผู้ประสบภัย ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนต์และอุปกรณ์ทางการเกษตรภายหลังน้ำลด รวมทั้งทำการสำรวจบ้านเรือนที่เสียหายทั้งหลังและเสียหายบางส่วน เพื่อที่จะทำการซ่อมแซมและสร้างบ้านพักให้ใหม่อีกด้วย

ทั้งนี้ ลูกจ้าง นายจ้าง และประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนและต้องการขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ หรือสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506


“พวงเพ็ชร” ชวนรับน้ำมนต์ประทานจากสังฆราช และสวดมนต์ข้ามปีพุทธมณฑลจัดใหญ่


เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2566   นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 รัฐบาลมีกำหนดจัดกิจกรรมยิ่งใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขให้กับประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ รวมถึงกิจกรรมเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัวสำหรับผู้นับถือศาสนาพุทธ โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ในชื่อ “สวดมนต์ข้ามปี วิถีไทย วิถีพุทธ วิถีพอเพียง” ณ บริเวณลานหน้าองค์พระประธานพุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยมีกิจกรรมตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ไปจนถึงช่วงเข้าวันใหม่ วันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งประชาชนจะได้ร่วมพิธี ดังนี้ 



1. พิธีเจริญจิตตภาวนา รับฟังการบรรยายธรรม โดยพระรันตสุธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดไร่ขิง จ.นครปฐม พระสุธีวชิรปฏิภาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และพระมหาอดิศักดิ์ อธิปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดบรมสถล (วัดดอน) กรุงเทพมหานคร 

2. พิธีเจริญพระพุทธมนต์บูชาพระพุทธรูปประจำวันเกิด 

3. พิธีสวดมนต์ข้ามปี วิถีพุทธ วิถีพอเพียง รับศีล รับพร เข้าสู่ปีใหม่ด้วยใจเบิกบาน

4. การปฏิบัติธรรมข้ามปี ณ สำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 1 มกราคม 2567 



นอกจากนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยังได้รับพระเมตตาจาก สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานการ์ดพระคติธรรมอำนวยพรปีใหม่ 2567 จำนวน 5000 แผ่น มอบให้กับประชาชนทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด และยังทรงประทานน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ร่วมพิธีในกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี นอกจากนี้ยังประทานไฟพระกฤษ์เพื่อนำจุดเทียนชัยในการประกอบพิธีอีกด้วย

“กิจกรรมการสวดมนต์ข้ามปี เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้น้อมนำหลักธรรมคำสอน มายึดถือ ปฏิบัติ ต้อนรับปีใหม่ด้วยความสุขใจ ซึ่งมีวัดทุกวัดทั่วราชอาณาจักร และวัดไทยในต่างประเทศ ได้ร่วมจัดกิจกรรมนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดกิจกรรมทางศาสนาอื่น เช่น “อารามอร่าม 10 วัด” ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยจะเปิดไฟส่องสว่าง ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนได้เข้าเยี่ยมชมความสวยงามและศิลปกรรมอันทรงคุณค่าในยามค่ำคืน ที่วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร, วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร, วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร, วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร, วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร, วัดราชนัดดาราม วรวิหาร, วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร, วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร และวัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร จึงอยากขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมดังกล่าว เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่นี้ค่ะ“ นางพวงเพ็ชร กล่าว


วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2566

โลกทึ่งคนไทย ขาบ-สุทธิพงษ์ คว้าที่ 1 ออสการ์อาหารโลกถึง 3 รางวัล เป็นของขวัญให้คนไทยทั้งประเทศ



ในช่วงปลายปี 2566 ประเทศไทยได้รับข่าวดีในระดับโลก เมื่อขาบ- สุทธิพงษ์ สุริยะ ฟู้ดสไตลิสต์ ชื่อดังของเมืองไทย เข้ารับราง 3 วัลเกียรติยศชนะเลิศอันดับ 1 ของโลก บนเวทีประกวดรางวัลออสการ์อาหารโลก (Gourmand Award) ประจำปี 2023 ณ กรุงริยาร์ด ประเทศซาอุดิอารเบีย “ SAUDE FEAST FOOD FESTIVAL-Taste the culture ในประเภทสาขาดังต่อไปนี้ 

1. อาหารพื้นถิ่นภูมิภาคอีสาน E-SAN Gastronomy คว้ารางวัลเกียรติยศชนะเลิศอันดับที่ 1 ของโลก ในประเภทสาขา DESIGN in the World

2. อาหารพื้นถิ่นภูมิภาคอีสาน E-SAN Gastronomy คว้ารางวัลเกียรติยศชนะเลิศอันดับที่ 1 ของโลก ในประเภทสาขา FOOD STYLING in the World 

3. อาหารไทย THAI FOOD and TRAvEL with chef Nikky คว้ารางวัลเกียรติยศชนะเลิศอันดับที่ 1 ของโลก ในประเภทสาขา Women CHEF in the World 

ผมขอขอบพระคุณ ทุกกำลังใจและแรงเชียร์ของคนไทยทั่วโลก ที่สนับสนุนและส่งเสริมจนประสบผลสำเร็จในครั้งนี้ คว้ารางวัลเกียรติยศชนะเลิศอันดับที่ 1 ของโลกมาได้เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้มาเกินความควาดหมาย คว้าถึง 3 รางวัลด้วยกัน 

ขอตอกย้ำว่า SOFT POWER อาหารของประเทศไทย มีทั้งอาหารพื้นถิ่นภุมิภาคไทย และอาหารไทย ทั้ง 2 ประเภทคือความดีงามของบรรพบุรุษไทย 

สำหรับขาบ-นายสุทธิพงษ์ ฟู้ดสไตลิสต์ คนดัง เคยได้รับ รางวัลออสการ์อาหารโลก ‘กูร์มอง อวอร์ต’ ประจำปี 2565 มาแล้ว แต่ในปีนี้เขาได้รับถึง 3 รางวัล โดยเขากล่าวถึงความรู้สึกว่า ขอขอบพระคุณ ทุกกำลังใจและแรงเชียร์ของคนไทยทั่วโลก ที่สนับสนุนและส่งเสริมจนประสบผลสำเร็จในครั้งนี้ โดยการคว้ารางวัลเกียรติยศชนะเลิศอันดับที่ 1 ของโลกถึง 3 รางวัล นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเกินความคาดหมาย ตนขอย้ำว่า  SOFT POW\ER อาหารของประเทศไทย มีทั้งอาหารพื้นถิ่นภูมิภาคไทย และอาหารไทย ทั้ง 2 ประเภทคือความดีงามของบรรพบุรุษไทย รางวัลในครั้งนี้ จึงเป็นของคนไทยทั้งประเทศ


กาญจนบุรี "ส่งรัก ส่งความสุข วันขึ้นปีใหม่" เชิญชวนสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" แบ่งปันส่งมอบความสุข


 

กาญจนบุรี "ส่งรัก ส่งความสุข วันขึ้นปีใหม่" เชิญชวนสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" แบ่งปันส่งมอบความสุขจากผู้นำสู่ชุมชน     น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรม World Soil Day ภายใต้แนวคิด ดินดี น้ำดี ชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน 

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2566   ร้อยโท ทศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า จังหวัดกาญจนบุรีได้จัดกิจกรรมร่วมส่งมอบความสุขวันขึ้นปีใหม่ ด้วยการเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" ร่วมปลูกพืชผักสวนครัวและสมุนไพร แบ่งปันส่งมอบผลผลิตที่ได้สู่ชุมชน ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมจับมือผู้นำทำเป็นต้นแบบ ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นำโดย รศ.ดร.พญ.เรวิกา ไชยโกมินทร์ ประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกาญจนบุรี นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นางรัชนี โพธิสัตยา พัฒนาการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วย สมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกิจกรรม

ร้อยโท ทศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า จังหวัดกาญจนบุรีร่วมกับชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกาญจนบุรี สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดกาญจนบุรี และหน่วยงานต่าง ๆ ในการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องร่วมกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกาญจนบุรีร่วมเป็นผู้นำในการหนุนเสริมแนวทางการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชนในจังหวัดกาญจนบุรีร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ และผู้นำชุมชนในการขับเคลื่อน โดยมี “สวนครัวผู้ว่ากาญจน์ สร้างอาหารเพื่อชุมชน บริเวณข้างศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี” เป็นพื้นที่ต้นแบบที่สำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานและการแบ่งปันผลผลิตให้แก่ชุมชน ด้วยการปลูกผัก จำนวนกว่า 30 ชนิด อาทิเช่น พริก มะเขือ โหระพา กะเพรา ผักแพว ยี่หร่า ตั้งโอ๋ ผักกาดขาว ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว กวางตุ้ง ถั่วฝักยาว สาระแหน่ มะเขือเทศ แมงลัก ตะไคร้ ข้าวโพด เป็นต้น

"เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2567 นี้ เราทุกคนจึงจัดกิจกรรมร่วมส่งมอบความสุขวันขึ้นปีใหม่ ด้วยการเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" ร่วมปลูกพืชผักสวนครัวและสมุนไพร อาทิ ถั่วฝักยาวสีม่วงสิรินธร พริก มะเขือ กระชาย และอื่น ๆ กว่า 30 ชนิด ภายใต้แนวคิด "ผู้นำต้องทำก่อน" เพื่อเป็นต้นแบบให้กับส่วนราชการและประชาชน โดยมีประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกาญจนบุรี เป็นกำลังสำคัญในการทำให้พี่น้องประชาชนได้เห็นเป็นตัวอย่าง เริ่มตั้งแต่ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัด ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ตลอดจนที่ตั้งของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ขยายผลไปสู่ที่ตั้งส่วนราชการต่าง ๆ ในพื้นที่แต่ละอำเภอ พื้นที่สาธารณะของชุมชนในจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมแจกจ่ายผลผลิตและเมล็ดพันธุ์ผักที่ได้ให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ช่วยลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ในครัวเรือน” ร้อยโท ทศพลฯ กล่าวในช่วงต้น

ร้อยโท ทศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมจัดกระเช้าพันธุ์ผักสวนครัวปลอดสารพิษ มอบเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่ 2567 เพื่อชุมชนและคนที่เรารัก เป็นของขวัญแทนหัวใจ สร้างสุขภาพพลานามัยที่ดีให้กับคนที่เรารักและคนในชุมชนทุกคนไปพร้อมกัน สอดคล้องกับเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืนร่วมกับสหประชาชาติประจำประเทศไทย "76 จังหวัด 76 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนา เพื่อความเท่าเทียม เพื่อความยั่งยืน “โลกนี้เพื่อเรา”" ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน ต่อยอดสู่การจัดการทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า รวมไปถึงปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์และปกป้องดิน น้ำ ป่า สอดคล้องกับกิจกรรมวันดินโลกประจำปี 2566 ของกระทรวงมหาดไทย ภายใต้แนวคิด ดินดี น้ำดี ชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน (Sustainable soil and water for better life) สร้างความสามัคคีของคนในชุมชน ให้สามารถพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ พร้อมนำแนวคิด Change for Good ซึ่งภาครัฐจะต้องเป็นตัวกระตุ้นทำให้ชุมชนเกิดการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ต่อยอดองค์ความรู้สู่การพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเกิดความรักความสามัคคีในพื้นที่อีกด้วย 

"ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมวันดินโลก (World Soil Day) ของกระทรวงมหาดไทย ภายใต้แนวคิด ดินดี น้ำดี ชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การจัดการทรัพยากรดินและน้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อส่งต่อความยั่งยืนและความอุดมสมบูรณ์ของโลกเราไปยังลูกหลานของเราต่อไป เพียงเริ่มต้นด้วยการสร้างความมั่นคงทางอาหาร การจัดการขยะ ไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือขยะที่มีกลิ่นเหม็นลงไปในแหล่งน้ำสาธารณะ รวมถึงการลดใช้สารเคมี ที่ส่งผลกระทบต่อจุลินทรีย์ และสิ่งมีชีวิตในดินที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของเรา" ร้อยโท ทศพลฯ กล่าวในช่วงท้าย

 

#WorldSoilDay #วันดินโลก 

#UN #FAO #GlobalSoilPartnership #MOI 

#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข

#SoilandWaterasourceoflife 

#SustainableSoilandWaterforbetterlife

#ดินดีน้ำดีชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน  

#SDGsforAll #ChangeforGood

 


แห่เที่ยวถ้ำนาคาภูลังกาบึงกาฬแน่น ! ทางจังหวัดเปิดศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567



เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2566  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวจังหวัดบึงกาฬที่เดินทางกลับภูมิลำเนาเยี่ยมญาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รุ่งเช้าได้ไปเที่ยวถ้ำนาคา  ภูลังกา  อำเภอบึงโขงหลง กันอย่างเนืองแน่น สร้างรายได้ให้กับพื้นที่ 

ขณะเดียวกันวันที่ 29 ธ.ค. 2566 ก่อนหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ บรรยากาศที่บริเวณตลาดนัดไทย-ลาว ในเขตเทศบาลเมืองบึงกาฬ ซึ่งตลาดนัดแห่งนี้มักเรียกกันว่าตลาดลาว แต่จริงๆ มีทั้งคนไทยและคน สปป.ลาว นำสินค้ามาวางจำหน่ายกันอย่างคับคั่ง เปิดบริการในวันอังคาร และศุกร์ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 12.00 น. มีจุดเด่นที่สำคัญ คือ การนำสินค้าหายาก ได้แก่ ของป่าหายาก จากฝั่งสปป.ลาว และพืชผักปลอดสารพิษของจังหวัดบึงกาฬ มาวางจำหน่าย ภายใน “ตลาดนัดไทย-ลาว” ตั้งอยู่บนถนนริมบึงใหญ่ มีระยะทางของตลาดประมาณ 500 เมตร จะมีสินค้าวางขายตั้งแต่ของป่า ของหายากจากฝั่งลาวแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พืช ผัก กบ เขียด และปลาในแม่น้ำโขง ซึ่งนอกจากอาหารการกินแล้ว ก็จะมีเสื้อผ้า ของใช้วางขาย เลือกช้อปกันเพลิน ๆ ทั้งชาวไทย ชาวลาว พร้อมชมวิวริมแม่น้ำโขงในยามเช้า

โดยวันนี้ถือว่าเป็นนัดสุดท้ายส่งท้ายปี พ่อค้าแม่ค้า หลายร้านจัดโปรโมชั่น ทั้งลดราคา ทั้งของแถม ให้กับชาวไทย ชาวลาว ชาวพม่า ที่มาเดินจับจ่ายใช้สอด โดยได้รับความสนใจจากประชาชนทยอยเดินทางมาเลือกซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมาก สร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่อย่างคึกคักในช่วงปีใหม่

ที่บริเวณหน้าวัดสามัคคีอุปถัมภ์ (วัดภูกระแต) อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ นายนคร ศิริปริญญานันท์ รอง.ผวจ.บึงกาฬ เป็นประธานในการเปิดศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ของ จ.บึงกาฬ ภายใต้แนวคิด “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ซึ่งจะให้บริการประชาชนในช่วง 7 วัน ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 - 4 มกราคม 2567 โดยมีนายสมจิตร สุภาษิต ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงบึงกาฬ ในนามตัวแทนศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

สำหรับศูนย์อำนวยความสะดวกปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ของจังหวัดบึงกาฬ เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายและมาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 เพื่อเป้าหมายในการลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต โดยศูนย์ฯ จะให้บริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้เดินทางอย่างสะดวกปลอดภัย โดยให้บริการที่จอดพักรถ บริการน้ำดื่ม เครื่องดื่ม กาแฟ แจกแผ่นพับ แผนที่ แนะนำข้อมูลทางหลวง และรับประสานความช่วยเหลือ พร้อมชุดเคลื่อนที่เร็วตลอด 24 ชั่วโมง ตามจุดบริการทั้ง 7 จุดในเขตพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ได้แก่ ที่ศูนย์ประสานงานแขวงทางหลวงบึงกาฬ, จุดบริการทั่วไทย (หน้าแขวงทางหลวงบึงกาฬ), หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หมวดทางหลวงบึงกาฬ, หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หมวดทางหลวงศรีวิไล, หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หมวดทางหลวงเซกา, หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หมวดทางหลวงบ้านม่วง และจุดบริการกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยว หมวดทางหลวงศรีวิไล

นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผวจ.บึงกาฬ กล่าวว่า อีกไม่กี่วันจะถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกๆปี ซึ่งสถิติของประเทศไทย มักจะเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 7 วันอันตราย อยากฝากถึงพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ก่อนจะขับรถขอให้เตรียมตัวก่อนสตาร์ทรถทุกครั้ง ขับรถอย่างมีสติ ขับรถอย่างมีวินัย ขับรถอย่างมีน้ำใจ สำหรับจังหวัดบึงกาฬของเราได้มีการเตรียมพร้อมมาตรการตั้งแต่ในเรื่องของคน ถนน การใช้ยานพาหนะ การบังคับใช้กฎหมาย เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนทุกท่าน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุให้ได้มากที่สุด ฝากถึงพ่อแม่พี่น้องทุกท่านครับขอให้ทุกท่านร่วมมือไปพร้อมๆกัน ภาคราชการ ภาคเอกชน รวมถึงทุกท่านมาร่วมมือกัน แล้วมาร่วมฉลองปีใหม่อย่างมีความสุขไปด้วยกัน

หนองคายคึกคัก นักท่องเที่ยวไทย-ลาวแห่ทะลักด่านข้ามโขง

บรรยากาศการทำบุญและท่องเที่ยววันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จังหวัดหนองคายคึกคักตั้งแต่เช้า มีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวลาว รวมไปนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้เดินทางมาทำบุญไหว้พระและท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัดหนองคายกันเป็นจำนวนมากโดยส่วนใหญ่เดินทางกันมาเป็นครอบครัวและเป็นกลุ่ม มาทำบุญไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลรับปีใหม่ 2567 และท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว

โดยเฉพาะที่วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ซึ่งเป็นวัดที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส พระคู่บ้านคู่เมือง พระพุทธรูปที่เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้ภายในวัดโพธิ์ชัยคึกคักไปด้วยชาวไทยและชาวลาว ตลอดทั้งวัน มีทั้งเดินทางมาไหว้หลวงพ่อพระใส , ถวายสังฆทาน , ทำบุญหล่อหลวงพ่อพระใสจำลอง และทำบุญซื้อที่ดินให้วัด ก่อนเดินทางกลับยังได้เช่าบูชาหลวงพ่อพระใส เพื่อนำไปบูชาและฝากญาติพี่น้องเพื่อความเป็นสิริมงคล

ซึ่งในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2567 จังหวัดหนองคาย ร่วมกับวัดโพธิ์ชัยพระอาราหลวง จะได้จัดให้มีพิธีสวดมนต์ข้ามปีส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่ 2567 ที่วัดโพธิ์ชัยพระอารามหลวง แห่งนี้ด้วย ส่วนที่ด่านสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย มีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางเข้า ออกจำนวนมาก ทางตรวจคนเข้าเมืองหนองคายและเจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้มงวดตรวจบุคคลและยานพาหนะ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกเพื่อบริการเต็มที่

นายพัฒนพงศ์ ตันติวัฒนกุลชัย หัวหน้าฝ่ายบริการ ศุลกากรที่ 1 สำนักศุลกากรหนองคาย กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรหนองคาย ที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำด่านพรมแดน ได้เน้นย้ำในการป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย ทั้งการลักลอบนำเข้าส่งออกสิ่งของผิดกฎหมาย โดยเฉพาะยาเสพติดและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ สินค้าลักลอบหนีภาษีศุลกากร รวมถึงการนำคนต่างด้าวลักลอบเข้าออกประเทศ

หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที และในช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมเพื่อให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าออกประเทศในช่วงนี้เพื่อให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และบริการที่ประทับใจ


 



‘สุวัจน์’ ย้ำดิจิทัลวอลเล็ตหาเสียงไว้แล้วก็ต้องทำ ชมรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี



‘สุวัจน์’ ชมรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แนะนายกฯใช้ประสบการณ์ธุรกิจ-ความได้เปรียบผลักดันบริหารงาน ชงปี 67 รบ.ต้องหารายได้ให้ประเทศ-ปชช. ย้ำดิจิทัลวอลเล็ตหาเสียงไว้แล้วก็ต้องทำ

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2566  นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า(ชพก.) ประเมินผลการทำงานของรัฐบาล 3 เดือนว่า รัฐบาลพยายามทำงานในสิ่งที่สัญญากับประชาชนไว้ตอนเลือกตั้ง โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้า เช่น เศรษฐกิจระยะสั้น การตรึงราคาค่าไฟ ค่าน้ำมัน หนี้นอกและในระบบเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนให้ดี มองว่ารัฐบาลทำได้ดี แต่สำหรับปีหน้าคงต้องโฟกัสเรื่องของรายได้ประเทศและรายได้ประชาชน รัฐบาลไปเชิญชวนการลงทุนไว้มาก แต่เราจะได้เงินได้งานเพิ่มขึ้นมา จากการลงทุนที่ไปเชิญชวนอย่างไร หรือการส่งออกที่ติดลบ ปีหน้าจะหาตลาดเพื่อการส่งออก นำรายได้เข้าประเทศ หรือการท่องเที่ยวปีนี้มีนักท่องเที่ยว 27 ล้านคน ปีหน้าทำอย่างไรให้ได้ 40 ล้านคน ถ้าทำได้เราก็กลับมาอยู่จุดเดิมก่อนเกิดโควิด-19

นายสุวัจน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังควรทำอะไรที่ถาวรให้กับประเทศ เช่น การปรับโครงสร้างต่างๆ ได้แก่ พลังงาน ตอนนี้รัฐบาลแก้ปัญหาค่าไฟเฉพาะหน้า แต่ถ้าปรับโครงสร้างทั้งการผลิตและการใช้พลังงานหมุนเวียน การหาแหล่งก๊าซเป็นของตัวเองจะเป็นเรื่องที่ถาวรและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน การปรับโครงสร้างภาคการเกษตร  อุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังเปลี่ยนป็นรถยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น EEC แลนด์บริดจ์ รถไฟฟ้าความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ จะต่อยอดอย่างไร แต่รัฐบาลต้องระวังเรื่องตัวเลขหนี้สาธารณะในขณะนี้ 62% แม้ยังไม่ทราบว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่ถ้าเกิดขึ้นก็อาจจะทำให้ตัวเลขหนี้สาธรณะสูงขึ้นถึง 65-66% หนี้ภาคประชาชนตอนนี้กว่า 90% รัฐบาลต้องระมัดระวังและสร้างเสถียรภาพทางการคลังเพื่อให้เกิดความมั่นใจ หากนโยบายการผลักดันนโยบายการหารายได้ชัดเจน จีดีพีก็จะโต หนี้ต่างๆ จะลดลง ตลาดหุ้นก็จะกลับมาคึกคัก

นอกจากนี้ นายสุวัจน์ ยังกล่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และน่าจะเพิ่มจีดีพีได้อีกประมาณครึ่งเปอร์เซ็นต์ ปีหน้าจีดีพีอาจจะอยู่ที่ประมาณ 3% แต่ถ้ามีนโยบายนี้ก็อาจจะเพิ่มเป็น 3.5% และขอย้ำว่าสิ่งที่ต้องควบคุมหนี้สาธารณะตอนนี้ห้าแสนล้านบาท หากมีการกู้เงินเพิ่มอีกก็จะทำให้สูงกว่า 62% แม้ไม่เกิน 70% แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ก็จะมอง ดังนั้นรัฐบาลต้องหามาตรการหารายได้เพิ่มให้กับประเทศในระยะยาวควบคู่กันไป การท่องเที่ยวดีขึ้น การส่งออกดีขึ้น การปรับโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้บาลานซ์ตัวเลขที่ทำให้เกิดความมั่นใจเสถียรภาพการคลังของประเทศ แต่มองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงินถึงห้าแสนล้านบาทย่อมมีความรุนแรงที่ทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นได้ และถ้าติดเรื่องข้อกฎหมายคิดว่ารัฐบาลต้องมีมาตรการสำรองที่เทียบเคียงได้กับดิจิทัลวอลเล็ต

“ดิจิทัลวอลเล็ตบอกประชาชนไว้ก็ต้องทำและก็เป็นนโยบายของรัฐบาล เพียงแต่ต้องมีความรอบคอบในเรื่องของความถูกต้องของขั้นตอนต่างๆ คือ การตีความทางกฎหมายของกฤษฎีกา แต่โดยภาพรวมก็มีผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ เพียงแต่ว่าระมัดระวังที่มาและหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยังมีเสถียรภาพในด้านการคลังอยู่” นายสุวัจน์ กล่าว

เมื่อถามถึง  คำแนะนำแก่นายกรัฐมนตรี นายสุวัจน์ กล่าวว่า เวลาไม่รอท่า ตอนนี้นายกรัฐมนตรีต้องโฟกัสในการหารายได้ ใช้ประสบการณ์ในทางธุรกิจ ความได้เปรียบและเสถียรภาพทางการเมือง ผลักดันให้งานเรียบร้อย เพราะปีหน้าจะเป็นปีที่ท้าทายในเรื่องเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามปัจจัยต่างๆ ก็เป็นใจเพราะส่งออกปีนี้ติดลบ แต่ปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น ดอกเบี้ยขาลง เงินเฟ้อลดลง ดังนั้นเศรษฐกิจไทยโดยพื้นฐานย่อมจะต้องดีขึ้น ตัวเลขการส่งออกที่ติดลบปีหน้าก็ต้องเป็นบวก นักท่องเที่ยวก็ต้องเพิ่มขึ้น และถ้ามีการลงทุนเพิ่มก็จะยิ่งขับเคลื่อนจีดีพี หนี้ต่างๆจะเบาลง

ส่วนเรื่องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีของพรรคแกนนำ  นายสุวัจน์ กล่าวว่า  น่าจะยังไม่มีอะไร เพราะ สว. ยังอยู่ ดังนั้นการเปลี่ยนตัวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย อะไรยากๆ คงไม่ทำในช่วงนี้และไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น



พ่อเมืองนครพนมเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ ภายใต้โครงการ "บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง"


ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ ตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารภายใต้โครงการ "บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" พร้อมเชิญชวนร่วมขับเคลื่อนกิจกรรม World Soil Day ภายใต้แนวคิด ดินดี น้ำดี ชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน 

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566     นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน โดยตนพร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นายสมลักษณ์ ยกน้อยวงษ์ ปลัดจังหวัดนครพนม หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ร่วมเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ ตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” เพื่อสร้างต้นแบบการขยายความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในการยกระดับพัฒนาพื้นที่ 1 อำเภอ 1 โครงการสำคัญ (Flagship Project) ณ ศูนย์การเรียนรู้การปลูกผักสวนครัวอำเภอศรีสงคราม เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ณ ที่ว่าการอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ภูมิศักดิ์ ขำปู่ นายอำเภอศรีสงคราม นายพิทักษ์ศิลป์ แก้วอุ่นเรือน พัฒนาการอำเภอศรีสงคราม นางสาวขนิจฐา ชัยบิล นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ พร้อมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ร่วมอำนวยความสะดวก เป็นผู้ให้ข้อมูลและร่วมต้อนรับคณะในครั้งนี้ 



นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า อำเภอศรีสงครามโดยนายอำเภอศรีสงครามได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย ส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ เครือข่ายกลุ่มองค์กร จากพื้นที่ 9 ตำบลของอำเภอศรีสงคราม บูรณาการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างการรับรู้ พัฒนาคนเพื่อให้คนไปพัฒนาพื้นที่ ต่อยอดสู่การจัดการทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า รวมไปถึงปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์และปกป้องดิน น้ำ ป่า สอดคล้องกับกิจกรรมวันดินโลกประจำปี 2566 ของกระทรวงมหาดไทย ภายใต้แนวคิด ดินดี น้ำดี ชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน (Sustainable soil and water for better life) สร้างความสามัคคีของคนในชุมชน ให้สามารถพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ สู่การรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนน้อมนำต้นแบบการสร้างความมั่นคงทางอาหารตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้โครงการ "บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง" และ โครงการ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ดำเนินการปลูกผักสวนครัวและพืชสมุนไพร สู่ธนาคารพันธุกรรมพืช พร้อมนำแนวคิด Change for Good มาใช้ โดยได้ร่วมกันปรับบริเวณพื้นที่รกร้างว่างเปล่าของที่ว่าการอำเภอศรีสงคราม สู่การสร้างแปลงผักสวนครัวต้นแบบของการสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน โดยในพื้นที่แปลงดังกล่าว มีการปลูกผักสวนครัว จำนวน 9 จุด อีกทั้งยังเป็นการปรับภูมิทัศน์ และพัฒนาสภาพพื้นที่ของที่ว่าการอำเภอศรีสงครามให้มีความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย และพัฒนาสถานที่ราชการให้มีความเหมาะสมพร้อมที่จะต้อนรับและให้บริการพี่น้องประชาชน 

“นอกจากนี้ อำเภอศรีสงคราม และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ต่างพร้อมใจกันมุ่งมั่นขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อ โดยเริ่มจาก “ผู้นำต้องทำก่อน” ปลูกผักภายในบ้านพักนายอำเภอ ขยายผลสู่การใช้พื้นที่ว่างสร้างคลังอาหาร ในบริเวณที่ว่าการอำเภอศรีสงคราม ประกอบด้วยการปลูกผักสวนครัว และพืชสมุนไพร เพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลการใช้พื้นที่ว่างเปล่าสาธารณะให้เกิดประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งจะก่อให้เกิดการแบ่งปันตามหลักบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง ทำให้พี่น้องประชาชน พอกิน พออยู่ พอใช้ และพอร่มเย็น มีผลผลิตเหลือก็นำไปแปรรูป เก็บไว้ใช้ ขาย แบ่งปัน และสร้างเครือข่าย อันจะนำมาซึ่งการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับครอบครัว และชุมชน เกิดการลดรายจ่าย สร้างรายได้ระยะสั้น ทั้งในระดับครัวเรือนและระดับกลุ่มอาชีพ ซึ่งช่วยให้รอดพ้นวิกฤตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด สู่การบรรลุเป้าหมายที่ 2 ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร ยกระดับโภชนาการ ส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ” นายวันชัยฯ กล่าวเพิ่มเติม

 นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดนครพนมให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรม “น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่ปฏิบัติการปลูกผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร” ส่งเสริมกิจกรรมพื้นที่ว่าง สร้างอาหาร สานพลังความต่อเนื่องในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและยา โดยรณรงค์ให้ทุกครัวเรือนสร้างคลังอาหารและคลังยา มีพืชพันธุ์อย่างน้อย 10 ชนิด ปลูกพืช สมุนไพร ทำให้ทุกหมู่บ้าน เป็นศูนย์แบ่งปันเมล็ดพันธุ์และต้นกล้า รวมถึงส่งเสริมให้ครัวเรือนเลี้ยงปศุสัตว์ และสัตว์น้ำอีกด้วย นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่มีการขับเคลื่อนควบคู่ไปด้วย คือ การส่งเสริมให้มีการคัดแยกขยะ จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ในการสร้างทักษะวิถีชีวิตใหม่ เยาวชนไทยสร้าง Soft Power 1 ครัวเรือน 1 Soft Power เกิดชุมชนท้องถิ่นจัดการและพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่สำคัญภาครัฐจะต้องเป็นตัวกระตุ้นทำให้ชุมชนเกิดการรวมกลุ่มและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ต่อยอดองค์ความรู้สู่การพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเกิดความรักความสามัคคีในพื้นที่อีกด้วย 

"ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมวันดินโลกของกระทรวงมหาดไทย ภายใต้แนวคิด ดินดี น้ำดี ชีวีมีสุข อย่างยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การจัดการทรัพยากรดินและน้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อส่งต่อความยั่งยืนและความอุดมสมบูรณ์ของโลกเราไปยังลูกหลานของเราต่อไป เพียงเริ่มต้นด้วยการสร้างความมั่นคงทางอาหาร การจัดการขยะ ไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือขยะที่มีกลิ่นเหม็นลงไปในแหล่งน้ำสาธารณะ รวมถึงการลดใช้สารเคมี ที่ส่งผลกระทบต่อจุลินทรีย์ และสิ่งมีชีวิตในดินที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของเรา" นายวันชัยฯ กล่าวทิ้งท้าย

 

#WorldSoilDay #วันดินโลก 

#UN #FAO #GlobalSoilPartnership #MOI 

#กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข

#SoilandWaterasourceoflife 

#SustainableSoilandWaterforbetterlife

#ดินดีน้ำดีชีวีมีสุขอย่างยั่งยืน  

#SDGsforAll #ChangeforGood

 


สุดยอด 10 ชาวพุทธต้นแบบแห่งปี 2566



การยกย่องชาวพุทธต้นแบบ ของเว็บไซต์ “thebuddh” น่าเป็นสื่อมวลชน สื่อแรกที่ยกย่องบุคคลที่คิดว่าควรเป็นต้นแบบให้กับชาวพุทธทั่วไป ที่ควรนำไปเป็นแบบอย่างในการนำหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเข็มทิศนำทางชีวิต การทำงานรับใช้พระพุทธศาสนา รวมทั้งอุทิศตนเพื่อคณะสงฆ์ ทั้งสละทรัพย์สินเพื่อทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาและสังคมประเทศชาติ การยกย่องชาวพุทธต้นแบบประจำปีนี้เป็นปีที่ 2 ของเว็บไซต์ “thebuddh” เมื่อปี 2565 มีชาวพุทธต้นแบบแห่งปีจำนวน 10 ท่าน อาทิ ดร.นิยม เวชกามา ,นายสุทธพงษ์ จุลเจริญ,นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส,นายอนันต์ชัย ไชยเดช,ดร.บรรจบ บรรณรุจิ เป็นต้น การยกย่องบุคคลชาวพุทธต้นแบบของกองบรรณาธิการ “thebuddh” ปีนี้เน้นบุคคลต้นแบบที่สังคมรู้จักและอยู่เบื้องหลังกิจการพระพุทธศาสนา ทั้งที่ปรากฎอยู่ตามสื่อและไม่ปรากฎ แต่ทุกคนคือ “ชาวพุทธ” ที่ยึดมั่นอยู่ในอุดมการณ์อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาตามความเชื่อของตนเอง ซึ่งชาวพุทธที่ควรเป็นต้นแบบหลายคนอาจไม่ปรากฎอยู่ในการยกย่องประจำปีนี้ นั่นถือว่าเป็นความ “บกพร่อง” ของกองบรรณาธิการ และหรืออาจมีชาวพุทธบางท่านที่คิดว่าอาจมีบุคคลไม่สมควรเป็นชาวพุทธต้นแบบ อันนั่นกองบรรณาธิการ ขอน้อมรับคำติด้วยหัวใจที่ "รับผิด" ต่อความคิดอันหลากหลายในสังคมชาวพุทธ ซึ่งถือว่าเป็นความสวยงามในหมู่ชาวพุทธแบบพวกเรา สำหรับชาวพุทธต้นแบบประจำปี2566 จำนวน 10 ท่าน มีผลงานบางส่วนและนามปรากฎดังต่อไปนี้ 

1.พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล


 พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล อายุ 59 ปี มีชื่อเล่นว่า "ต่อ" เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2507 ที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นน้องชายของ พลอากาศเอก สถิตย์พงศ์ สุขวิมล เลขาธิการพระราชวัง จบการศึกษาชั้นมัธยม ที่โรงเรียนโยธินบูรณะ และระดับปริญญาตรี ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นสิงห์แดง หลังเรียนจบ เข้าทำงานเป็นพนักงาน บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ ทำอยู่ได้ 7 ปี ก็ลาออก เดินหน้าทำตามความฝันตั้งแต่วัยเด็กที่อยากเป็นตำรวจ ตลอดการรับราชการ พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ ได้รับฉายา ทั้ง
“มือปราบสายธรรมะ” และ “โรโบคอปสายบุญ” ที่บรรดาสื่อมวลชนสายอาชญากรรม ต่างขนานนามให้ เนื่องจากเป็นนายตำรวจที่ใช้หลักธรรมในการทำงาน บ่อยครั้งจะเห็น พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ เดินสายปฎิบัติธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ และเข้ากราบสักการะพระเถระผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ด้วยบทบาทดังกล่าว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น “ชาวพุทธต้นแบบ”แห่งปี   

2.นายจิรชัย มูลทองโร่ย

 นายจิรชัย มูลทองโร่ย อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ตลอดชีวิตรับราชการนายจิรชัย มูลทองโร่ย ถือว่าเป็นข้าราชการที่ดีของประชาชนและเป็นแบบอย่างที่ให้กับข้าราชการที่ควรนำเอาไปเป็นแบบอย่างในการใช้หลักธรรมะจนประสบความสำเร็จนทั้งในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว เป็นชาวพุทธที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลและในธรรม ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์อย่างต่อเนื่อง ใช้ชีวิตด้วยหลักพอเพียง มีความเคารพและศรัทธาทั้งในสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีหรือ “สมเด็จธงชัย” และ พระธรรมวชิรเมธี “เจ้าคุณมีชัย” แห่งวัดหงษ์รัตนาราม และมีความใกล้ชิดกับพระเถระอีกหลายรูป ด้วยเหตุนี้ นายจิรชัย มูลทองโร่ย จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น “ชาวพุทธต้นแบบ” แห่งปี   

3.ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์


ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์ ผู้ก่อตั้ง บจก.เนเจอร์กิฟ เริ่มต้นจากชีวิตวัยเด็กในสลัมแออัด เหมือนลูกคนจีนในรุ่นเสื่อผืนหมอนใบทั่วไป นั่นคือ ขยัน อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัดสุดๆ และทำงานกันทั้งครอบครัว ต้องหาบขนม ไอติมแท่ง เรียงเบอร์ ตระเวนเร่ขายตามตรอกซอกซอย เขาจึงใช้การศึกษาเป็นบัตรผ่านเพื่อหนีไปจากความจน ดิ้นรนจนจบวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบธุรกิจหลายประเภททั้งบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ไฟฟ้า ขายเครื่องฟอกอากาศ พิมพ์ตำราหนังสือ โรงงานน้ำตาล นำเข้าเรือขุดแร่จากต่างประเทศ เครื่องทำน้ำร้อนจากแผงโซลาร์เซลล์ สวนป่า ปลูกไร่แก้วมังกร ล้วนประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ธุรกิจเจ๊งไม่เป็นท่า โดนโกงสารพัด เป็นหนี้สินหลายสิบล้านบาท ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์เนเจอร์กิฟโด่งดังเป็นที่นิยมของลูกค้าจำนวนมากทั่วประเทศ ฐานะครอบครัวจ่างใจมนต์เข้าขั้นมหาเศรษฐี แต่ ดร.กฤษฎา ยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนเดิม และมุ่งมั่นเดินสายทำบุญไปทั่วทุกหนแห่ง และแต่ละแห่งมูลค่านับล้านบาท ปีหนึ่งเดินสายทำบุญหลายสิบล้านบาท ทั้งวัด มูลนิธิ และสถานสงเคราะห์เด็กและคนชรา รวมทั้งโรงพยาบาล ด้วยเหตุนี้ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์ จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น “ชาวพุทธต้นแบบ” แห่งปี   
4.ดร.สุนันทา ลีเลิศพันธ์



 ดร.สุนันทา ลีเลิศพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท ดอกบัวคู่ จำกัด ผู้ผลิตยาสีฟันสมุนไพรที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 40 ปี ดร.สุนันทา เริ่มกิจการยาสมุนไพรเมื่อปี 2516 ในชื่อ "ชัยบุญกิจ" แต่ติดข้อกฎหมายด้านอาหารและยา จึงพลิกแพลงสมุนไพรเป็นยาสีฟัน เพื่อแก้ปัญหาในช่องปากที่ตัวเองก็ประสบอยู่ หลังล้มลุกคลุกคลานสู้ชีวิตผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง พัฒนายาสีฟันมีจุดเด่นคือดำแต่ดี แก้ปัญหาช่องปากหายสนิท ในที่สุดก็ออกมาเป็นยาสีฟันสมุนไพร ตรา “ดอกบัวคู่” ในปี 2520 ดร.สุนันทา ลีเลิศพันธ์  เป็นนักธุรกิจสายบุญ มักจะเป็นผู้ให้ ช่วยเหลือคนที่ลำบาก อาทิเช่น บริจาคทานให้ผู้สูงอายุ ที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ภูมิลำเนาของนายบุญกิจ ลีเลศพันธุ์ ผู้เป็นสามีซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว และ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา บ้านเกิดของ ดร. สุนันทา มาเป็นระยะเวลานานร่วม 30 ปีติดต่อกัน การสร้างอาคารเรียนโรงเรียนซินเซิง การมอบทุนการศึกษาให้บุตรพนักงานที่เรียนดีแต่ยากจน ทนุบำรุงศาสนา สร้างโบสถ์วิหารหลายต่อหลายวัด แจกอาหารในเทศกาลสำคัญ การนิมนต์พระมาเทศนาธรรม ที่ลานบุญของบริษัท ให้พนักงานและญาติธรรม เป็นประจำทุกเดือน การให้พนักงานรักบ้านเกิด โครงการ CSR มอบทุนและสิ่งของให้โรงเรียนในท้องถิ่นของตนเอง เป็นประจำทุกเดือน การจัดงานวิ่ง เป็นประจำทุกปี กว่าสิบปี นำรายได้ถวายมูลนิธิชัยพัฒนา-และสภากาชาดไทย และอื่น ๆ อีกมายมาย ล่าสุดมีข่าวในสังคมใหญ่ ดร.สุนันทา ลีเลิศพันธ์แจกเงินผู้สูงอายุกว่า 5,000 คน ที่บ้านเกิดจังหวัดนครราชสีมา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 78 ปี ในวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ด้วยเหตุนี้ ดร.สุนันทา ลีเลิศพันธ์ จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น "ชาวพุทธต้นแบบ" แห่งปี   

5.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ


แม่ทศพรเกิดที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม บวชชีที่วัดเขาอิติสุคโต อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากนั้นไปพักอาศัยที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ภายใต้ร่มบารมีของ “สมเด็จพระพุทธชินวงศ์” อดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลาง แม่ชีทศพรถือว่าเป็นผู้ร่วมบูรณะวัดพิชยญาติการามอย่างแท้จริง หลังสิ้นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ แม่ชีทศพรอาศัยฐานศรัทธาของพุทธศาสนิกชนออกมาช่วยกิจการการงานของคณะสงฆ์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการตั้งโรงครัว การบริจาคข้าวสาร - น้ำปานะ ตามสำนักเรียนบาลี วิทยาลัยสงฆ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งบริจาคเงินเพื่อสาธารณะสงเคราะห์อื่น ๆ ให้กับทั้งหน่วยงานภาครัฐ มูลนิธิและองค์กรภาคประชาชน  การอุทิศตนเพื่อกิจการพระพุทธศาสนา เพื่อคณะสงฆ์อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น "ชาวพุทธต้นแบบ" แห่งปี   

6.อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์


 อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เกิดปีพุทธศักราช 2469 ปัจจุบันอายุ  97 ปี เป็นบุตรีของ หลวงบริหารวนเขตต์ (ฉัตร ชูเกียรติ) และนางบริหารวนเขตต์ (เจริญ ปุณณสันถาร) สถานที่ จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มต้นศึกษาพระอภิธรรมที่พุทธสมาคม กับ อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ อาจารย์บุญมี เมธางกูร คุณพระชาญบรรณกิจ คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต เริ่มต้นเผยแผ่ธรรมะตั้งแต่ปี 2499 ทั้งบรรยายธรรมที่สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ และทัณฑสถานหญิง คลองเปรม บรรยายพระอภิธรรมที่ศูนย์ค้นคว้าทางพระพุทธศาสนา และสมาคมสังเคราะห์ทางจิต ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหารบรรยาย “แนวทางเจริญวิปัสสนา” ที่ตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ บรรยาย “แนวทางเจริญวิปัสสนา” มหามกุฎราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร บรรยายพระอภิธรรมแก่ชมรมพุทธศาสตร์ของสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โรงเรียนนายเรืออากามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น รวมทั้งหน่วยงานราชการหลายแห่ง นอกจากนี้ยังได้ร่วมสนทนาธรรมและตอบปัญหาธรรมแก่ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดและต่างประเทศ ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเปิดเว็บไซต์ "บ้านธรรมะ" อบรมพุทธศาสนิกชนทุกวันอาทิตย์ ณ  ซอยเจริญนคร 78 แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา "แนวคำสอน" ของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับความสนใจ และถูกวิพากษ์และวิจารณ์อย่างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มพระสงฆ์ เนื่องจากคำสอนและคำอภิปรายอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ยึดพระไตรปฎิฏกอย่างเข้มข้น จนถูกมองว่า"ไกลจากโลกความจริง" แนวคิดสอนไม่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน เป็นคนสอนที่ "สุดโต่ง" แต่คำสอนของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ยังมีผู้คนจำนวนมากเห็นด้วย  แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมชาวพุทธ อย่างกว้างขวางแต่ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ก็ยังยึดมั่นพระไตรปิฎกและแนวคำสอนของตนยังมั่นคง โดยไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่มากระทบจากวิถีคิดของคนเองแต่ประการใด ด้วยเหตุนี้ อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น "ชาวพุทธต้นแบบ" แห่งปี   

7.ดร.สำราญ สมพงษ์

 
ดร.สำราญ สมพงษ์ เป็นชาวพื้นเพจังหวัดศรีสะเกษ ชีวิตในวัยเด็กค่อนข้างติดขัดเนื่องจากฐานะทางบ้านยากจน จึงบวชเป็นสามเณรอาศัยร่มเงาพระพุทธศาสนาเป็นสถานที่ชุบชีวิตใหม่  และใน 2523  ได้เข้ามาศัยจำพรรษาอยู่ ณ วัดเทวราชกุญชร กรุงเทพมหานคร จนสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค ในปี 2534 เรียนจบป.ตรี เอกปรัชญา จาก มจร  พธ.บ.รุ่น 36 หลังจบได้ลาสิกขาในปี 2535 และเข้าทำงานเป็นนักข่าวที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจในปี 2536  เป็นักข่าวประจำทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข เนียบรัฐบาล  รัฐสภา ท้ายสุดดูแลเว็บไซต์ นสพ. คมชัดลึก ก่อนที่จะเออรี่ออกมาในปี 2559 ต่อมา ใน ปี 2560 เพื่อนชวนมาทำที่เว็บไซต์บ้านเมืองออนไลน์ และเรียนระดับปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มหาจุฬาฯ จบในปี 2563 ดร.สำราญ สมพงษ์ เป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่คอยเสนอข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของคณะสงฆ์และชาวพุทธมายังต่อเนื่อง เป็นคนใช้ชีวิตต้นแบบชาวพุทธที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ชาวพุทธพึงมี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกชนิด ใช้ชิวิตแบบสมถะ ยึดมั่นในวิถีแห่งเศรษฐพอเพียง ดร.สำราญ สมพงษ์ เคยเล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่ทำหน้าที่สื่อได้พยายามที่จะแทนคุณมหาจุฬาฯและพระพุทธศาสนามาตลอดและจนถึงปัจจุบัน ฐานะแม้นมีเงินน้อยก็เคยหยิบเงินล้าน มีบ้าน มีครอบครัว มีลูกจบปริญญาตรีทั้งสองคน ตั้งอยู่บนฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักธรรมในพระพุทธศาสนาได้ดีในระดับหนึ่งช่วยเหลือสังคมได้บ้าง คิดว่าชีวิตดร.มหาสำราญ สมพงษ์ ได้แทนคุณพระพุทธศาสนาและแผ่นดินแล้วและก็คงแทนคุณต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ด้วยเกียรติภูมิดังกล่าว ดร.สำราญ สมพงษ์  จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น "ชาวพุทธต้นแบบ" แห่งปี   

8.พลเอกธงชัย เกื้อสกุล


 
พลเอกธงชัย เกื้อสกุล เป็นชาวกรุงเทพมหานครโดยกำเนิด เป็นลูกชายอดีต “เปรียญธรรม” 5 ประโยค แห่งสำนักเรียนวัดสร้อยทอง อดีตเจ้ากรมกิจการพลเรือน ทหารบก และตำแหน่งสุดท้ายหัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำผุู้บังคับบัญชา มีความใกล้ชิดกับวัดและคณะสงฆ์มาตลอดชีวิตตั้งเด็กเยาว์วัยจนถึงปัจจุบันอายุเข้าเลข 82 แล้ว ที่ผ่านมาพลเอกธงชัย เกื้อสกุล ได้ชื่อว่า “นายพลนักปกป้องพระพุทธศาสนา” เริ่มทำกิจกรรมพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ยุค สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19  “เจ้าคุณระแบบ” อดีตพระธรรมเมธาภรณ์ พระนักต่อสู้ผู้เป็นตำนานแห่งชาวพุทธ แห่งวัดบวรนิเวศฯ จวบจนกระทั้งร่วมทำงานกับศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแห่งความสำเร็จกิจการการงานของคณะสงฆ์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องการจัดกิจการวันวิสาขบูชาในท้องสนามหลวง การเรียกร้องกระทรวงพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปัจจุบันคือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปัจจุบันพลเอกธงชัย เกื้อสกุล ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมผู้ทำคุณประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย มีความมใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่หลายรูป เช่น สมเด็จพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ปธ.กำกับนักงานพระธรรมทูตในต่างประเทศ หรือแม้กระทั้ง พระพรหมวชิราธิบดี เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ ผลงานโดดเด่นที่สร้างความเป็นตำนานคนดีแห่งชาวพุทธนอกจากตั้งอยู่ในศีลในธรรม ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว พลเอกธงชัย เกื้อสกุล ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผลงานโดดเด่นด้วยการเป็นผู้ริเริ่มตั้งรางวัล “เสาอโศกมหาราช” เพื่อมอบรางวัลให้กับผู้ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาทั้งพระภิกษุและคฤหัสถ์  นอกจากนี้ยังใช้ที่ดินของตนเองย่านงามวงศ์วานทำสถานที่ปฎิบัติธรรม อบรมนักเรียนนักศึกษาในนาม “บ้านเกื้อสกุล” ด้วย ด้วยเหตุนี้   พลเอกธงชัย เกื้อสกุล จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น "ชาวพุทธต้นแบบ" แห่งปี   

9.ดร.อุทิส ศิริวรรณ


 ดร.อุทิส ศิริวรรณ เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2511 บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี 2522 อาศัยอยู่วัดราชบูรณะ กรุงเทพ ฯ ต่อมาในปี 2533 เรียนจบเปรียญธรรม 9 ประโยคในขณะเป็นสามเณร ได้รับโปรดเกล้า ฯ อุปสมบทเป็น “นาคหลวง” ขณะเดียวกันปีเดียวกันนี้เรียนจบระดับปริญญาตรีจาก “มจร” และ “มสธ.” ด้วย ในยุคปี 2530 สามเณรอุทิส ศิริวรรณ ถือว่าเป็นไอดอลของสามเณรหลายหมื่นรูปในยุคนั้น เนื่องจากประสบความสำเร็จในชีวิตในสมณเพศค่อนข้างสูง ซ้ำหลายสำนักเรียนบาลีใช้หนังสือหลักสูตรการเรียนการสอนสามเณรอุทิส ศิริวรรณ ที่แต่งขึ้น ปัจจุบัน ดร.อุทิส ศิริวรรณ มีผลงานโดดเด่นในการระดมทุนอุปถัมภ์สามเณรสำนักเรียนบาลีวัดโมลีโกยารามหลายร้อยรูป ช่วยกิจการพระเถระผู้ใหญ่บางวัด และมีเพจส่วนตัว ซึ่งส่วนใหญ่ประชาสัมพันธ์ข่าวสารพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ซึ่งมีผู้ติดตามนับหมื่นคน ด้วยเหตุนี้   ดร.อุทิส ศิริวรรณจึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น "ชาวพุทธต้นแบบ" แห่งปี   

10.ดร.ณพลเดช มณีลังกา


  “ดร.ปิง”  หรือ ดร. ณพลเดช มณีลังกา ชื่อนี้ในแวดวงชาวพุทธอาจไม่คุ้นเคยมากนัก แต่ในอดีตชื่อเสียงนี้ในสังคม “วัดพระธรรมกาย” รู้จักกันดี “ดร.ปิง” ถือว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการประสานงานระหว่างคณะสงฆ์และรัฐบาล ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและทั้งในปัจจุบัน มีผลงานโดดเด่นทั้งเรื่องการล๊อบบี้ยิสต์การออกโฉนดที่ดินให้กับวัด เงินอุดหนุนงบประมาณตามพ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม,นิตยภัตพระสงฆ์และรวมทั้งประสานงานระหว่างคณะสงฆ์ผู้ใหญ่และรัฐบาล โดยเฉพาะมีความใกล้ชิดกับ “สมเด็จพระพุฒาจารย์” ประเภท เข้านอก ออกใน ได้ ปัจจุบัน ดร.ปิง เนื่องจากเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคเพื่อไทย จึงมีโอกาสช่วยกิจการคณะสงฆ์ได้หลายประการ โดยเฉพาะมีตำแหน่งทั้งในทำเนียบ รัฐสภา และกระทรวงการคลัง ด้วยผลงานดังกล่าวมานี้  ดร. ณพลเดช มณีลังกา จึงควรได้รับการยกย่องให้เป็น
"ชาวพุทธต้นแบบ" แห่งปี ที่มา https://thebuddh.com/?p=76352

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...