วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

"บิ๊กป้อม"เรียกถกกก.นโยบายป่าไม้แห่งชาติเตรียมรับมือควันภาคเหนือ



พล.อ.ประวิตรเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติเตรียมรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ เพื่อลดความเดือดร้อนประชาชน สั่งใช้เทคโนโลยีช่วยงานป่าไม้ทุกมิติ  ทส. รับปฏิบัติทันที


วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์  ผู้ช่วยโฆษกรองนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่าวันนี้เวลา 1000 พล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติครั้งที่3/ 2562 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ป่าไม้ของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2516 ถึง 2557 พบว่า แนวโน้มโดยเฉลี่ยของพื้นที่ป่าไม้ลดลง แต่ภายหลังปี 2558 ถึง 2561 พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยกลับมีแนวโน้มโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นโดยปี 2561 มีพื้นที่ป่าไม้ร้อยละ 31.68 ของพื้นที่ประเทศ แต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดคือร้อยละ 40 ดังนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้พยายามขับเคลื่อนและผลักดันยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟูมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างเหมาะสม ยั่งยืนโดยมีการดำเนินการด้านต่างๆ 



ได้แก่ด้านการป้องกันรักษาป่า,ด้านการฟื้นฟูป่าและพื้นที่สีเขียว,ด้านการสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า,ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในงานป่าไม้ ได้แก่ การนำระบบพิทักษ์ไพร มาใช้ในการปฏิบัติภารกิจ,การใช้อากาศยานไร้คนขับเพื่องานป่าไม้,การใช้กล้องตรวจจับความร้อนในเวลากลางคืนและการใช้กล้องดักจับถ่ายภาพ 
เป็นต้น

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือร่วมกันเรื่องสำคัญ ได้แก่ นโยบายการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือปี 2563ซึ่งมีการกำหนดหน้าที่ของแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องไว้อย่างชัดเจนแล้ว สำหรับการแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมาย รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญและมีแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบกลุ่มต่างๆเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแล้ว

พล.อ.ประวิตร  ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์หมอกควัน ตามที่ได้สั่งการแล้วให้เป็นรูปธรรม  ขอให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน ทั้งภาคประชาชน  จิตอาสา และให้ ทส. เร่งรัดจัดทำอนุบัญญัติหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทรัพยากรป่าไม้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อีกทั้งต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยงานด้านป่าไม้ในทุกมิติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้นและสร้างการรับรู้ความเข้าใจประชาชนทราบควบคู่กันไปด้วย


รมช.พาณิชย์​สั่งใช้แต้มต่อ FTA ดันผลิตภัณฑ์​โคนมไทยบุกตลาดสิงคโปร์​




 "วีรศักดิ์" เผยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศนำสหกรณ์โคนม และผู้ประกอบการนมโคแปรรูปไทย เข้าร่วมงานแสดงสินค้า​ที่สิงคโปร์​ กรุยทางใช้ FTA เป็นใบเบิกทางขยายตลาดสินค้ผลิตภัณฑ์​โคนมไทยเจาะกลุ่มผู้บริโภค​ที่มีกำลังซื้อสูง 

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562  นายวีร​ศักดิ์​ หวัง​ศุภกิจ​โกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ความคืบหน้า​ในการดำเนินนโยบายขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยโดยใช้ประโยชน์​จากข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรี หรือ FTA ล่าสุดกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้นำคณะสหกรณ์โคนม และผู้ประกอบการนมโคแปรรูปที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ "จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดต่างประเทศด้วย FTA" จำนวน 13 ราย เข้าร่วมชมงานแสดงสินค้า​อาหาร Food Japan ซึ่งงาน Food Japan ดังกล่าว ถือเป็นเป็นงานแสดงสินค้าญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์​ 

โดยผู้ประกอบการ​ที่นำสินค้ามาแสดงในงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสหกรณ์ที่มีการรวมตัวเข้มแข็ง นำเสนอสินค้าพื้นถิ่นของแต่ละชุมชน โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตร หรือสินค้าอาหาร และเครื่องดื่ม ที่มีความหลากหลาย ที่สำคัญ​คือมีการใช้นวัตกรรมในกระบวนการผลิต เช่น ผักและผลไม้ออแกนิกส์ ชาเขียวฮาลาล ชีสผสมผลไม้ หรือข้าวสีน้ำตาล (Brown Rice) ที่นำมาผ่านขั้นตอนทำให้กลายเป็นวัตถุดิบที่ในการผลิตสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ผงชงดื่มเพื่อสุขภาพ และสาเก เป็นต้น ซึ่งการทึ่กระทรวงพาณิชย์​ไทย โดยกรม​เจรจา​การค้า​ระหว่าง​ประเทศ​ ได้นำตัวแทนสหกรณ์​และผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมชมงาน Food Japan ในครั้งนี้ ก็เป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ทั้งในด้านการผลิตสินค้า การนำ นวัตกรรม​มาใส่ในตัวผลิตภัณฑ์​ รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์​ ที่สวยงามทันสมัย ดึงดูดให้ผู้บริโภคสนใจในสินค้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการและตัวแทนสหกรณ์​ไทย ยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับบริษัทที่นำสินค้ามาจัดแสดงในงานดังกล่าว ทำให้ได้รับประสบการณ์​ใหม่ๆ เกี่ยวกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ให้มีความน่าสนใจ สามารถดึงจุดเด่นของสินค้ามานำเสนอต่อผู้บริโภคได้ ขณะเดียวกัน​ ยังได้รับทราบแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือ เทรนด์ทางการค้า ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและสหกรณ์​โคนมไทยเป็นอย่างมาก



ทั้งนี้ ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีอำนาจการซื้อสูง บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพและมีความหลากหลาย และเป็นศูนย์กลางการค้าที่สามารถกระจายสินค้าของไทยไปยังตลาดโลกได้ โดยในช่วงปี 2559-2561 มูลค่าส่งออกนมโคแปรรูปของไทยในภาพรวม มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ช่วง 8 เดือนแรก ของปี 2562 มีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 1,238 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.4 สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ โยเกิร์ต บัตเตอร์มิลค์ นมและครีม ตลาดหลักเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น กัมพูชา (ขยายตัวร้อยละ 17) ฟิลิปปินส์ (ขยายตัวร้อยละ 14) และสิงคโปร์ (ขยายตัวร้อยละ 8) รวมทั้งฮ่องกงและจีน เป็นต้น

"จุรินทร์-เฉลิมชัย" kick off!จ่ายเงินประกันยางทั่วประเทศ




"จุรินทร์-เฉลิมชัย" kick off! จ่ายเงินช่วยประกันรายได้ชาวสวนยาง kick off ส่วนต่างยางพารา วันนี้ทั่วประเทศ 

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562  เวลา 8.30-9.30น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ร่วมกับการยางแห่งประเทศไทย  ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ชี้แจงการจ่ายเงินวันแรก โครงการ ประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง  นายจุรินทร์ กล่าวว่า ถือโอกาส สวัสดีพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศที่มาประชุมกันอยู่ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะแห่งนี้ และก็ชาวสวนยางทั่วทั้งประเทศอีกครั้ง วันนี้เป็นวันแรกที่มีการจ่ายเงินส่วนต่างไปถึงมือเกษตรกรชาวสวนยางทุกคนตามนโยบายประกันรายได้เกษตรกรของรัฐบาล 

โดยนโยบายประกันรายได้ไม่ใช่นโยบายประกันราคาหลายคนยังเข้าใจสับสนที่บอกว่าไม่ใช่เพราะว่าราคานั้นประกันไม่ได้เพราะมันจะขัดกับหลักการขององค์การการค้าโลก WTO ราคาจึงต้องเป็นไปตามกลไกตลาดนั้นก็คือขึ้นอยู่กับผลผลิตถ้าผลผลิตมากความต้องการใช้น้อยราคาก็ต่ำถ้าผลผลิตน้อยความต้องการใช้มากราคาก็สูงขึ้นอดีต และที่ผ่านมาก่อนมีรัฐบาลนี้เกษตรกรชาวสวนยางจะมีรายได้ทางเดียวคือรายได้จากการขายยางตามราคาตลาดซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาเพราะราคายางทั่วโลกตกต่ำและเพราะมีผลกระทบกับประเทศไทยด้วยทำให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้น้อยลงตรงนี้จึงเป็นที่มาของโยบายรัฐบาลชุดนี้  ที่ได้จัดให้มาโครงการประกันรายได้ขึ้นมา จากนี้ไปเกษตรกรจะมีรายได้ทางที่สองด้วย ก็คือรายได้จากเงินส่วนต่างที่รัฐบาลนี้จะจ่ายให้กับชาวสวนยางทั่วประเทศ ในหนึ่งปีฤดูกาลผลิตเราจะโอนให้ทุกสองเดือน และจะดำเนินการไปเรื่อยเรื่อยตราบเท่าที่ยังมีรัฐบาลชุดนี้ 



การคำนวณการประกันรายได้ให้เอารายได้ที่ประกันเป็นตัวตั้ง รัฐบาลชุดนี้ประกันรายได้ ยางแผ่นดิบคุณภาพดีที่กิโลกรัมละ 60 บาท และน้ำยางสด 57 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วยที่ 23 บาทต่อกิโลกรัม โดยยางแผนดิบที่กิโลกรัมละ 60 บาทเป็นตัวตั้งแล้วเอาราคาตลาดเป็นตัวลบ เราประกันรายได้ให้ชาวสวนยางหัวละไม่เกิน 25 ไร่ขึ้นอยู่กับผลผลิตของพี่น้องว่าได้กี่กิโลกรัม และจะเป็นเงินส่วนต่างที่พี่น้องได้รับซึ่งพี่น้องผลิตยางแผ่นดิบชั้นสามประกันรายได้กิโลละ 60 บาทนั้นถ้าพี่น้องมีสวนยาง 25 ไร่พอดี พี่น้องจะได้รับเงินส่วนต่าง 10,515 บาทและในหนึ่งฤดูกาลผลิตจะโอนให้ทุกสองเดือนโดยเงินงวดต่อไป 10,515 บาท สวนยางก้อนถ้วยกรณี 25 ไร่ได้รับ 6,810 บาท และรัฐบาลจะโอนให้ทุกสองเดือนโดยงวดแรกคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 งวดต่อไป วันที่ 1 มกราคม 2563 และงวดต่อไปงวดที่3 วันที่ 1 มีนาคม 2563 

และดำเนินการไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่จะมีรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ถือว่าโยบายประกันรายได้ชาวสวนยางเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อวุฒิสภาและเป็นคำมั่นสัญญาต่อพี่น้องประชาชนชาวสวนยางทั้งประเทศไว้แล้ว เราใช้เวลาแค่ 98 วันก็โอนเงินส่วนต่างได้ทำได้ไวและทำได้จริง 

"สำหรับเกษตรกรบัตรสีชมพูมีสิทธิ์ได้เงินส่วนต่างหรือไม่ ผมถามท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัยตอบว่าได้ครับโดยขออย่างเดียวคือขอให้ปลูกจริง แจ้งจริงว่าปลูกชนิดไหน กี่ไร่ ไม่ใช่ทำยางก้อนถ้วยแต่ไปแจ้งทำยางแผ่นดิบอันนี้ไม่ได้เพราะเงินส่วนต่างไม่เท่ากัน การยางฯจะเข้าไปตรวจสวนจากนั้น ธกส.จะโอนเงินส่วนต่างเข้าบัญชีพี่น้องประชาชน ทำให้พี่น้องมีเงินเข้ากระเป๋าสองด้าน ด้านที่หนึ่งคือการขายได้ตามราคาตลาด และเงินส่วนต่างเข้ากระเป๋าขวา ทำให้มีรายได้สองกระเป๋าและรัฐบาลชุดนี้ยังมีนโยบายเสริมที่ต้องดึงให้ราคายางในประเทศสูงขึ้นด้วย" นายจุรินทร์ กล่าว 

ประการแรก คือ อีก 1 เดือนหน้าพาพี่น้องประชาชนสู่การประเมินสวนยางยั่งยืนคือการที่จะเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนเกษตรกรชาวสวนยางไม่ต้องพึ่งพาต้นยางอย่างเดียวในพื้นที่แต่เปิดโอกาสให้ปลูกพืชแซม นี่คือนโยบายประการที่หนึ่ง ประการที่สอง จะเพิ่มการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น โดย ส่งเสริมให้มีการลงทุนอุตสาหกรรมยางเพื่อมาผลิต ผลิตผลในประเทศมากขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีข่าวดีที่ภาคตะวันออก คือจะมีการตั้งโรงงานขยายการผลิตอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท จะทำยางพาราจะใช้ยางในประเทศมากขึ้น ขายดียิ่งขึ้น

สำหรับภาคราชการจากนี้ไปการยางจะนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อรายงานให้รัฐมนตรีทราบว่า ที่เคยสัญญาว่าจะนำยางไปทำถนนไปทำสนามกีฬา ทำไปแล้วมากน้อยอย่างไรเพื่อกระตุ้นการใช้ยางภายในประเทศ เราจะได้ราคายางที่ดีขึ้น และกระทรวงพาณิชย์ กำลังดำเนินการที่จะทำอย่างไรให้ยางไทยส่งออกไปตลาดต่างประเทศมากขึ้นภายใต้โดยนโยบายตนและรัฐมนตรีเฉลิม ชัยศรีอ่อน จะให้ฑูตพาณิชย์ทั่วโลก จะต้องช่วยขายยางให้พี่น้องเกษตรกร 

"และที่สำคัญไปผมอินเดียมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเราสามารถพานักลงทุนไปเปิดตลาดยางที่อินเดียได้สำเร็จขายยางได้ 100,000 ตัน นำเงินเข้าประเทศ 9,000 กว่าล้านบาท จากนี้ไปอีกไม่กี่วันกลางเดือนพฤศจิกายนหลังประชุมอาเซียน ผมขออนุญาตท่านเฉลิมชัยไปบุกตลาดยางที่ตุรกีและเยอรมัน และมั่นใจว่าจะมีข่าวดีให้กับพี่น้อง สุดท้ายนี้มันใจว่าการสั่งการของท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัยบวกการยางอีกไม่กี่วันข้างหน้าเราจะมีข่าวดีให้เกษตรกรชาวสวนยาง เราจะขายยางในปริมาณที่มากมายทีเดียว จะแถลงข่าวให้ทราบเมื่อได้เซ็นสัญญาไม่เกินกลางเดือนขอแสดงความยินดีกับเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศที่จะได้รับเงินส่วนต่างครั้งแรกในประวัติศาสตร์  และทำให้ผมและท่านเฉลิมชัยสามารถทำนโยบายประกันรายได้ชาวสวนยังทำได้ไว้ทำได้จริง" นายจุรินทร์ ประกาศ ท่ามกลางเสียงปรบมือของเกษตรกร 

ทางด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายในส่วนของการประกันรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรในพืชห้าชนิดข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารามันสำปะหลัง ข้าวโพด ซึ่งณวันนี้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่นโยบายจนกระทั่งถึงวันนี้เป็นระยะเวลา 98 วันที่รัฐบาลชุดนี้ทำได้ไวทำได้จริงคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 อนุมัติโครงการประกันรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางระยะที่หนึ่งซึ่งนับจากวันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ที่ชาวสวนยางได้รับเงินจากการประกันรายได้ใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 16 วันในการให้พี่น้องเกษตรกรได้รับเงินส่วนต่างที่เป็นการประกันรายได้ช่วยครองชีพของพี่น้องชาวเกษตรกรชาวสวน ซึ่งเป็นพืชลำดับที่ 3 ที่ชาวเกษตรกรได้รับจากโครงการประกันรายได้

วันนี้ถือเป็นวันที่พี่น้องเกษตรกรได้จดจำจารึกไว้วันหนึ่งว่าสิ่งที่เราได้สัญญาไว้กับพี่น้องในการที่จะประกันรายได้เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเราสามารถทำตามคำพูดและดำเนินการจนกระทั่งเงินมาถึงมือพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางได้ สำหรับหลักเกณฑ์ของการคือเอาเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทยก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2512 และเปิดโอกาสให้พี่น้องตามหลักเกณฑ์ที่การยางแห่งประเทศไทยกำหนดคือยังอายุเจ็ดปีขึ้นไปและเปิดน่ากินแล้วรายละไม่เกิน 25 ไร่ได้ทั้งเอกสารบัตรสีเขียวและบัตรสีชมพูทั้งสิ้น จำนวน 1,711,252 ราย พื้นที่สวนยางรวม 17,201,391 ไร่ หรือประมาณ 86% ของพื้นที่ทั้งหมด ปริมาณยางที่จะประกันรายได้ (ยางแห้ง) 240 กิโลกรัม/ไร่/ปี หรือ 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ระยะเวลาดำเนินการ (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) ระยะเวลาประกันรายได้ 6 เดือน (ตุลาคม 2562 – มีนาคม 2563) จ่ายเงินชดเชย 2 เดือน 1 ครั้ง

โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรชาวสวนยาง งวดที่ 1 จ่ายระหว่าง วันที่ 1 – 15 พ.ย. 62, งวดที่ 2 จ่ายระหว่างวันที่ 1 – 15 ม.ค. 63 และงวดที่ 3 จ่ายระหว่างวันที่ 1 – 15 มี.ค. 63 โดยแบ่งสัดส่วนรายได้เจ้าของสวนร้อยละ 60 และคนกรีดร้อยละ 40  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่อาคารเอศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะเต็มไปด้วยตัวแทนของเกษตรกรจากทุกภาคร่วม 1000 คน พร้อมเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เจ้าหน้าที่การยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์  พร้อมผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงาน  ในโครงการนี้ได้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวีเพื่อแจ้งเกษตรกรสวนยางพาราทั่วประเทศพร้อมกันซึ่งเงินส่วนต่างนั้นจะเริ่มต้นจ่ายวันที่ 1 พฤศจิกายนจนกระทั่งถึง 15 พฤศจิกายน รอบแรกเนื่องจากว่าจะต้องมีการตรวจสอบบัญชีอย่างถูกต้องทุกบัญชี

"อุเทน"วอนศาลทบทวนตัดสินคดีล้มประชุมอาเซียนฯปี52 ของจำเลยบางราย



"อุเทน"วอนศาลทบทวนตัดสินคดีล้มประชุมอาเซียนฯปี52 ของจำเลยบางราย  หลังปรากฏ "พยานสำคัญ" ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดให้การเท็จ ส่งผลให้คำเบิกความที่กล่าวหาผู้บริสุทธิ์ควรตกไปด้วย เชียร์ "ประยุทธ์" หาแนวทางให้ความเป็นธรรมแบบไม่เลือกสีเสื้อ วางหมุดแรกสร้างความปรองดอง

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงกรณีที่ 3 จำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 ได้กลับคำให้การและรับสารภาพ ส่งผลให้ศาลฎีกานัดฟังคำสั่งใหม่ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ ในขณะที่จำเลยบางส่วนต้องคำพิพากษาจำคุก 4 ปีโดยไม่รอลงโทษไปแล้วว่า เข้าใจว่าเป็นแนวทางการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมของ 3 จำเลยดังกล่าว ที่หวังได้รับการลงโทษสถานเบา ซึ่งก็ถือว่าศาลได้ให้ความเมตตารับฟังคำร้องไว้เบื้องต้น และนัดรับฟังคำพิพากษาใหม่ อย่างไรก็ดีภายใต้ความเคารพในคำพิพากษาของศาล และไม่เป็นการล่วงละเมิดขอบเขตอำนาจศาล ตนอยากขอวิงวอนองค์คณะผู้พิพากษาได้ให้ความเมตตาแก่จำเลยในคดีเดียวกันนี้กับรายอื่นๆในส่วนที่ต้องคำพิพากษาจำคุกไปแล้ว 

เพราะขณะนี้ได้ปรากฏมีข้อเท็จจริงใหม่ จากการที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยและพิพากษาโดยอ้างอิงคำเบิกความของพยานสำคัญ คือ พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย (สารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธร (สภ.) ขลุง จ.จันทบุรี ในขณะนั้นเกิดเหตุเมื่อปี 2552) จึงตัดสินลงโทษจำเลยดังกล่าว แต่ต่อมา พ.ต.ท.ศราวุธ ถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จ โดยยอมรับสารภาพว่า ถูกผู้บังคับบัญชาบังคับให้ให้การเท็จปรักปรำจำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนซัมมิท จนถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น คือ จำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 12,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.61 และยังอยู่ในชั้นฎีกาคดี

"เมื่อ พ.ต.ท.ศราวุธ สารภาพว่าให้การเท็จเพราะถูกบังคับ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าผู้ต้องหาชุดดังกล่าวมีความผิด ตามถ้อยคำเบิกความของ พ.ต.ท.ศราวุธ ที่ผูกพันคำพิพากษาจำเลยในคดีล้มการประชุมอาเซียนปี 2552 บางราย จึงไม่ควรรับฟัง และควรที่จะตกไป" นายอุเทน กล่าวและว่า 

โดยเฉพาะรายของ นายศักดา นพสิทธิ์ ที่เดินทางไปตามนัดหมายศาลเพียงคนเดียวเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก่อนถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษพัทยา ตามโทษ 4 ปีตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซึ่งเจ้าตัวยืนยันและพยายามต่อสู้ในชั้นศาลว่า ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการชุมนุมของ นปช. เพราะขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารและโฆษกพรรคเพื่อไทย อีกทั้งยังไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมหรือบุกเข้าโรงแรมที่ใช้จัดประชุมในวันที่ 11 เม.ย.52 แต่อย่างใด ส่วนในวันที่ 10 เม.ย.ที่ได้เข้าไปอยู่ในสถานที่ชุมนุม แค่ไปติดตามสถานการณ์ ในฐานะที่เป็นคนที่เกิดและโตใน จ.ชลบุรี เท่านั้น แต่ในคำพิพากษาส่วนของนายศักดา ระบุว่า พ.ต.ท.ศราวุธ ให้การว่าเห็นนายศักดาปราศรัยอยู่บนรถขยายเสียงในวันที่ 11 เม.ย.ด้วย ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ทำให้นายศักดาต้องโทษ ส่งผลให้ครอบครัวและลูกเล็กได้รับความลำบาก เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวที่เป็นเสาหลักต้องโทษถูกจำคุก

"ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีพยานเท็จในคดีนี้นั้น ผมได้พยายามประสานผ่านฝ่ายต่างๆไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา นายกฯ) แล้วอย่างน้อยๆ 3 ครั้ง เพื่อแสวงหาช่องทางช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ยังไม่รับการตอบสนอง ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ฝากเรื่องผ่านรัฐมนตรีท่านหนึ่งในรัฐบาลปัจจุบันไปอีกครั้ง ก็หวังว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะรับฟังและแสวงหาแนวทางพิสูจน์ข้อเท็จจริง อันจะเป็นหมุดหมายแรกในการสร้างบรรยากาศความปรองดอง ที่ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกกลุ่ม ทุกสีเสื้อ" นายอุเทน กล่าว


3 พ.ย.62 บุญทอดกฐินวัดรางหมัน เจ้าภาพกองกฐินรับเหรียญเม็ดแตงอายุยืน ปัจจัยสมทบทุนสร้างวิหารอายุยืน



วัดประชาราษฎร์บำรุง หรือ "วัดรางหมัน"ต.รางพิกุล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม มีพระเถราจารย์ชื่อดัง "หลวงปู่แผ้ว ปวโร" ได้รับการขนานนามว่า "เทพเจ้าแห่งเมืองกำแพงแสน" เป็นพระเถระผู้ถือครองเพศบรรพชิตแบบเรียบง่าย สมถะ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย 




ท่านไม่มีตำแหน่งทางปกครองคณะสงฆ์ ด้วยไม่มีความปรารถนาในลาภยศตำแหน่งใดๆ เป็นที่เลื่อมใสของคนจำนวนมาก โดยท่านออกต้อนรับญาติโยมที่มาทำบุญทุกวันๆละ 2 ช่วงเวลาคือ ช่วงเช้า 06.30-07.00 น. ช่วงกลางวัน 10.30-11.00 น. แสดงธรรมให้กับญาติโยม ขณะนี้ทางวัดกำลังก่อสร้างวิหารขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปต่างๆมากมาย โดยเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาเข้ากราบไหว้ได้แล้ว หากแล้วเสร็จจะนับเป็นสถานที่ที่งดงามมากอีกแห่งหนึ่ง

ทั้งนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 ต.ค. 2562 หลวงปู่แผ้วได้อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยว วาระพิเศษ แซยิด วัตถุมงคลฉลองอายุครบ 8 รอบ 96 ปี รุ่น "เจ้าสัว" "รุ่นเจริญพร" และรุ่น"แซยิดอายุยืน"





1.เหรียญแซยิดอายุยืน  เหรียญเจริญพร เหรียญเจ้าสัว เพื่อสมทบสร้างอาคาร ร.พ อนุสรณ์ 96 ปี  ซื้อเครื่องมือแพทย์ร.พ.กำแพงแสน

2.เหรียญเม็ดแตงอายุยืน หรียญเจ้าภาพกองกฐิน ปัจจัยสมทบทุนสร้างวิหารอายุยืน

3.เหรียญเจริญพร ครบ 8 เหรียญรางวัลงานประกวดพระเครื่อง

เหรียญเจ้าสัว อายุครบ 8 รอบ จัดพิธีพุทธาภิเษก 3 วาระ คือ  วาระแรก พิธีพุทธาภิเษกเหรียญนำฤกษ์ต้นแบบ ณ กุฏิร่มเย็น

วาระที่ 2 ในวันพิธีไหว้ครูครบ 8 รอบ อายุ 96 ปี และ

วาระที่ 3 ครบไตรมาส ในวันพฤหัสบดี ที่ 10 ต.ค. 2562 ณ กุฏิหลวงปู่แผ้ว วัดรางหมัน

เหรียญเจ้าสัว อายุครบ 8 รอบ จัดสร้างขึ้นเพื่อสมทบทุนสร้างอาคารโรงพยาบาลอนุสรณ์ 96 ปี และซื้อคุรุภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ มอบเป็นเป็นสาธารณประโยชน์โรงพยาบาลกำแพง แสน จ.นครปฐม

ส่วนเหรียญเจริญพร ครบ 8 รอบจะนำไปเป็นรางวัลงานประกวดพระเครื่อง พระบูชา แบะเหรียญพระคณาจารย์ท้องถิ่น ในวันที่ 1 ธ.ค. 2562 ณ วัดราษฎร์บำรุงธรรม (วัดรางหมัน) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 

เหรียญเม็ดแตง รุ่น"แซยิด อายุยืน"ทางวัดรางหมันจะนำมาเป็นวัตถุมงคลที่ระลึกแก่ผู้ร่วมเป็นเจ้าภาพกองกฐิน ปัจจัยสมทบทุนสร้างวิหารอายุยืน และกุฏิร่มเย็น โดยจะจัดงานทอดกฐินในวันอาทิตย์ ที่ 3 พ.ย. 2562 (ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 12)

กำหนดการ เวลา 10.30 น. ทอดกฐินสามัคคีเวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ ณ วิหารอายุยืน 

สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าภาพกฐินกองละ 1,500 บาท รับเหรียญเงิน 1 เหรียญ เจ้าภาพกองละ 1,000 บาท รับเหรียญชนวน 1 เหรียญ เจ้าภาพกองละ 500 บาท รับเหรียญฝาบาตร 1 เหรียญ เจ้าภาพกองละ 100 บาท รับเหรียญทองแดง 1 เหรียญ

ผู้ที่สนใจวัตถุมงคล สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดประชาราษฎร์บำรุง (วัดรางหมัน) และศูนย์จองพระเครื่อง รุ่นเจ้าสัวหลวงปู่แผ้ว ปวโร คุณปริญญา บัวศรี โทร. 086-757-7280, ID LINE : 0867577280 ติดตามความเคลื่อนไหวทาง Facebook Fanpage : วัตถุมงคลหลวงปู่แผ้ว ปวโร วัดรางหมัน

กมธ.กฎหมายสภาฯเปิดเวที มอ.ปัตตานี "ช่อ" แฉคนกรุงเทพฯไม่เห็นโอกาสศก.ฮาลาล




"ปิยบุตร-พรรณิการ์" นำเปิดเวทีเสวนา "กมธ.กฎหมาย พบประชาชน" - ด้านปชช.ในพื้น ร้องยกเลิกกฎหมายพิเศษ 3 จังหวัดชายแดนใต้ "ช่อ"แฉคนกรุงเทพฯไม่เห็นโอกาสศก.ฮาลาล

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562  ที่หอประชุมอิหม่าม อัล-นาวาวีย์ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานกรรมมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วย นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่และรองประธานกรรมาธิการ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ โฆษกกรรมาธิการ นายนิรมิต สุจารี ส.ส.พรรคเพื่อไทย โฆษกกรรมาธิการ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.พรรคประชาชาติ เลขานุการคณะกรรมาธิการ นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นคณะกรรมาธิการ และนางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมเสวนาเปิดเวทีรับฟังปัญหาด้านกฎหมายรวมถึงสิทธิมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยมีผศ.กุสุมา กูใหญ่ และอสมา มังกรชัย อาจารย์มอ.ปัตตานี เป็นผู้ดำเนินรายการ

ในเวทีเสวนาครั้งนี้นายปิยบุตร เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ของสภาผู้แทนราษฏร วันนี้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสเดินทางมามอ.ปัตตานี เรากลับมาสู่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา มีสภาผู้แทนราษฏรเกิดขึ้น มีการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญขึ้นมา 35 คณะ ขอบเขตอำนาจหน้าที่ 3 เรื่องใหญ่ๆของคณะกรรมาธิการนี้คือ ทำหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและเรื่องของสิทธิมนุษยชน ในวาระที่ตนได้รับโอกาสเข้ามาเป็นประธานคณะกรรมาธิการก็ตั้งใจเอาไว้ว่า จะใช้กลไกลของคณะกรรมาธิการสามัญชุดนี้ขับเคลื่อนใน 3 ประเด็นดังกล่าวให้เกิดผลอย่างมากที่สุด เพราะเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การปกครองของคณะคสช. ประเทศไทยมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย มีประกาศคำสั่งของคสช. เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีเนื้อหาขัดต่อหลักนิติรัฐและนิติธรรม และตลอด 5 ปีของคสช. ก็มีปัญหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคอาเซียน แต่ในระยะหลัง เมื่อเกิดรัฐประหาร สิทธิมนุษยชนก็ลดน้อยถอยลงทุกที 

"คณะกรรมาธิการที่มาในวันนี้ต่างเป็นผู้แทนของราษฏร ราษฏรเป็นผู้เลือกขึ้นมา ดังนั้นพันธกิจที่สำคัญก็คือ เป็นตัวแทน เป็นปากเป็นเสียงให้แก่ประชาชน ดังนั้นการเดินทางมาของคณะกรรมาธิการชุดนี้ จึงเป็นบทบาทที่สำคัญของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร เราต้องการเดินทางมารับฟังปัญหาที่ประชาชนประสบพบเจอ เราใช้คำว่ากรรมาธิการพบประชาชน เพราะตั้งใจว่าคณะกรรมาธิการชุดนี้ จะเดินทางไปทุกๆภาคของประเทศไทย เพื่อจะได้เข้าถึงปัญหาของประชาชนให้ได้มากที่สุด ภายใต้บรรยากาศที่ประเทศกำลังรื้อฟื้นประชาธิปไตยกลับมา ในอดีตที่ผ่านมาประชาชนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ที่อาจกังวลใจว่า หากแสดงออกอาจจะถูกดำเนินคดีต่างๆ แต่ในตอนนี้ระบบเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ผมคิดว่าการเปิดเวทีเสวนาแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างน้อยก็เป็นการสื่อสารภายใต้สภาวการณ์ปกติที่ทุกท่านมีสิทธิเสรีภาพในการพูด ในการแสดงออกได้อย่างเท่าเทียม ภายใต้รัฐธรรมนูญ" ปิยบุตร กล่าว 

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ตนเลือก มอ.ปัตตานี เป็นที่แรกในการเดินสายพบประชาชนของคณะกรรมาธิการชุดนี้ เพราะในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า มีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีปัญหาเรื่องการใช้อำนาจของรัฐตามกฎหมายพิเศษ กฎหมายความมั่นคงต่างๆ ดังนั้นเราจึงเลือกที่นี่เป็นที่แห่งแรก เพราะเชื่อได้ว่าจะได้รับเสียงสะท้อนจากพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปผลักดันในประเด็นต่างๆในชั้นสภาผู้แทนราษฏรต่อไป

ด้านน.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความทับซ้อนกันเป็นอย่างมาก ปัญหาความรุนแรงที่เห็นได้ชัดเจน คือการซ้อม การทรมาน การกักคน 7 วัน ต่อเนื่องยาวนาน 30 วัน หรือแม้แต่การอุ้มหาย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่าในพื้นที่อื่นๆ รวมถึงความไม่ไว้วางใจกันระหว่างประชาชนในพื้นที่กับเจ้าหน้าที่รัฐ นี่คือสิ่งที่เห็นได้ชัด แต่ปัญหาที่ทับไปอีกชั้นหนึ่งก็คือ การพรากสิทธิที่จะเติบโตตามศักยภาพของพื้นที่ ตนมาแต่ละครั้งไม่ได้ไปพบแต่ผู้ที่สูญเสีย ผู้ที่บาดเจ็บ หรือญาติผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังได้ไปรับรู้ถึงความอุดมสมบูรณ์ คามสวยงามและศักยภาพในพื้นที่ 





"คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่มอง 3 จังหวัดชายแดนใต้โดยคิดถึงแต่ปัญหาเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว ชายหาดหรืออุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเติบโตได้แค่ไหนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ นี่คือสิ่งที่ถูกกดทับภายใต้ปัญหาความรุนแรง นี่คือความสูญเสียที่ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่เป็นการสูญเสียของประเทศ เรามีความจำเป็นต้องสื่อสารออกไปให้คนทั้งประเทศเห็น วันนี้ตนมีความเชื่อส่วนตัวว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาชายแดนใต้ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งที่เวลาล่วงเลยมากว่า 15 ปี เป็นเพราะว่าคนในประเทศไทยไม่ได้มองว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็น 'ปัญหาของเรา' แต่มองว่าเป็น 'ปัญหาของคุณ' ตราบใดที่ไม่สามารถทำให้คนไทยทั้งประเทศเห็นว่า จังหวัดชายแดนใต้คือพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่ดี มีอาหารที่อร่อย มีคนที่น่ารัก ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในพื้นที่ได้ เราต้องทำให้คนทั้งประเทศเห็นว่า คุณกำลังสูญเสียอะไรบ้างในปัญหาชายแดนภาคใต้ และเราทุกคนจำเป็นต้องแก้ปัญหาร่วมกัน"น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการเสวนา ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมถาม-ตอบ ถึงปัญหาด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน โดยผู้เข้าร่วมรับฟังเสวนาท่านหนึ่งได้สะท้อนปัญหาว่า การมีกฎหมายพิเศษในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวปัญหาทำให้ประชาชนเดือดร้อน ขอเรียกร้องและขอความอนุเคราะห์ผ่านคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ไปยังผู้มีอำนาจ ขอให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษในพื้นที่ เนื่องจากหากคนใดคนหนึ่งในครอบครัวถูกตัดสินจากกฎหมายพิเศษ คนครอบครัวนั้นก็เดือดร้อนตามไปด้วย ดังนั้นการถูกตัดสินจากกฎหมายพิเศษ คือการตัดสินชะตาชีวิตของครอบครัวนั้นๆไปด้วย

นอกจากนี้ ในเวทียังมีการยื่นข้อร้องเรียนต่างๆอีกหลายปัญหาเช่นการเวนคืนพื้นที่ทำกินชาวบ้านเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำลำพญา จ.ยะลา การร้องเรียนเรื่องการที่กอ.รมน. ขอให้ประชาชนในสามจังหวัดลงทะเบียนซิมการ์ดแบบสองแชะ มิฉะนั้นจะถูกตัดสัญญาณหลังวันที่ 31 ตุลาคม รวมถึงการร้องเรียนเรื่องการเก็บดีเอ็นเอของประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และการร้องเรียนสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดในเรือนจำกลางปัตตานี

"ยุทธพล"แถลงจับลักลอบ"นาก-ชะนีมือขาว"พรากจากศพแม่



"ยุทธพล"แถลงข่าว"หน่วยพญาเสือ"จับกุมดำเนินคดีเครือข่ายลักลอบค้าสัตว์ป่าคุ้มครองรายใหญ่ พบ "นาก-ชะนีมือขาว" ถูกพรากจากศพแม่



วันที่ 31 ตุลาคม​ 2562​ นายยุทธพล อังกินันทน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงข่าวการจับกุม-ดำเนินคดี ผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าคุ้มครองในภาคใต้ โดยหน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า "หน่วยพญาเสือ" ปฏิบัติการร่วมกับสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปราบที่ 4 (ภาคใต้) และอีกหลายหน่วยงาน ได้ของกลางเป็นนากเล็กเล็บสั้นจำนวน 17 ตัว ซากนากเล็กเล็บสั้น 1 ตัว นาอาย 1 ตัว และชะนีมือขาว 1 ตัว 



จากกรณีที่มีการโพสต์ภาพและข้อความ เสนอขายนากเล็กเล็บสั้น และ ชะนีมือขาว บนเฟซบุ๊ก หน่วยพญาเสือ จึงได้ลงพื้นที่จ.สงขลาและพัทลุง เพื่อสืบหาข้อมูล ติดต่อขอซื้อสัตว์ป่าจนทราบที่อยู่อาศัยของ นายวุฒินันต์ แสงแก้ว อายุ 27 ปี ผู้ต้องสงสัย จึงได้สนธิกำลังเข้าจับกุม โดนระหว่างการจับกุม นายวุฒินันต์ได้รับโทรศัพท์จากนาย เอกรัฐ วงษ์สวัสดิ์ อายุ 62 ปี ตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ สั่งให้นำนากไปส่งจำนวน 10 ตัว จึงขยายผลจับกุมเพิ่ม และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.พัทลุง ดำเนินคดีต่อไป 

นายยุทธพล กล่าวว่า ตนขอวิงวอนทั้งผู้ค้าและผู้ซื้อให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย โดยเฉพาะผู้ซื้อ ขอให้ใช้วิจารณญานและศึกษาข้อมูลและกฏหมายให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะมีโทษปรับหลักล้านบาท อย่าเพียงแค่เสพสื่อทางโซเชียลมีเดีย แล้วเห็นความน่ารักของสัตว์ป่าจนอยากครอบครองโดยไม่สนใจข้อกฏหมาย เพราะส่วนใหญ่สัตว์ป่าที่ถูกนำมาเข้าสู่กระบวนการค้าสัตว์ป่า ล้วนถูกพรากมาโดยการยิงแม่ให้ตาย แล้วได้ลูกมาขายต่อ ส่วนด้านผู้ค้าที่ทำผิดกฏหมายมาหลายครั้งหลายคราว ต่อไปจะไม่มีการผ่อนผันและจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด  โดยระหว่างนี้ สัตว์ของกลาง จะถูกนำไปอนุบาลรักษาสุขภาพ อย่างดีที่สุด เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรง รอวันปล่อยคืนสู่ป่าที่เป็นบ้านที่แท้จริง ตามนโยบายของ รมว.ทส.ต่อไป

"พิพัฒน์"พัฒนาสำนักวัดเขาอ้อพัทลุง เป็นแหล่งท่องเที่ยวว่าน-สมุนไพรใต้



รมว.พิพัฒน์ ลงพื้นที่สำนักวัดเขาอ้อ จ.พัทลุง เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์กลางการศึกษาเชิงอนุรักษ์ว่านและพืชสมุนไพรในพื้นที่ภาคใต้

วันที่ 31 ตุลาคม​ 2562​ นายพิพัฒน์​ รัช​กิจ​ประการ​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ เป็น​ประธาน​เปิดการประชุมหารือเรื่อง กำหนดยุทธศาสตร์ สำนักวัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์กลางการศึกษาเชิงอนุรักษ์ว่านและพืชสมุนไพรในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีนายคณนาถ หมื่นหนู โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คณะ​ผู้บริหาร​ฯ​ นางสาวศรอนงค์ สงสมพันธ์ นายอำเภอควนขนุน นายสุกษม อามระดิษ เลขานุการสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย นายเอกระพีร์ สุขกุลพิพัฒน์ รองประธานชมรมอนุรักษ์ว่านและพืชสมุนไพรวัดเขาอ้อ นายอนั้นต์ มณีประสิทธิ์ กำนันตำบลมะกอกเหนือและประธานกรรมการวัดเขาอ้อ  ให้การต้อนรับ นำชม และรายงานความคืบหน้าของโครงการ ณ วัดเขาอ้อ ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง

โดยที่ประชุม​ได้จัดทำข้อเสนอต่อรัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ ดังนี้
  
1.โครงการมหกรรมการท่องเที่ยวเมือง​สมุนไพรไสยเวทย์ 560 ปี สำนักเขาอ้อ ส่งเสริมสนับสนุนจุดเด่นวัดเขาอ้อ ด้านอนุรักษ์พืชสมุนไพร การใช้สมุนไพรเพื่อไสยเวช เพิ่มช่องทางการเพิ่มมูลค่าสมุนไพร รวมถึงเรื่องเล่าตำนานความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นจุดขายวัดเขาอ้อ ที่มีคุณค่า และสร้างกระแสนิยมให้กับนักท่องเที่ยว
  
2.โครงการพัฒนาโครงสร้างสำคัญบริเวณวัดเขาอ้อ สนับสนุนการพัฒนาปรับภูมิทัศน์ โครงสร้างสำคัญบริเวณวัดเขาอ้อ ตามความเรียกร้องของนักท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวก มองเห็นภูมิทัศน์ที่ชัดเจน เช่น โครงการก่อสร้างบันไดคอนกรีตขึ้นจุดชมวิวยอดเขาอ้อ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณรอบวัดเขาอ้อ โครงการก่อสร้างอาคารบริการนักท่องเที่ยว จำหน่ายผลิต​ภัณฑ์ชุมชนและบริการสมุนไพรเพื่อสุขภาพ พร้อมอุปกรณ์แปรรูปสมุนไพร โครงการคลินิกแพทย์แผนไทยวัดเขาอ้อ โครงการศูนย์เรียนรู้แปลงสมุนไพรพร้อมดูแล
  
3.โครงการพัทลุงเมืองสมุนไพร ส่งเสริมจังหวัดพัทลุงและวัดเขาอ้อให้มีจุดเด่นในการอนุรักษ์พืชสมุนไพร​ และการใช้สมุนไพรเพื่อบำบัดรักษา

รมว.พิพัฒน์ กล่าวว่า วันนี้มาลงพื้นที่ ณ วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เพื่อประชุมหารือการส่งเสริมมหกรรมการท่องเที่ยวเมืองสมุนไพรไสยเวทย์ 910 ปี สำนักเขาอ้อ ซึ่งเป็นจุดเด่นของวัด อาทิ ด้านการอนุรักษ์พืชสมุนไพร การใช้สมุนไพร นับเป็นการเพิ่มช่องทางการเพิ่มมูลค่าสมุนไพร รวมถึงสามารถเล่าขานตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของวัดให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้รับทราบ ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันต่อไป


"อนุดิษฐ์"รับเรื่องเกษตรกร แก้ไขปัญหาหนี้สินและหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ




เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่รัฐสภา เกียกกาย กลุ่มเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย นำโดย นางปิ่นแก้ว แก้วสุกแท้ เกษตรกรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้ายื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคร่วมพรรคค้านทั้ง 7 พรรค ผ่าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) และ ส.ส.กทม.พร้อมด้วยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. เชียงใหม่และนาย ชูวิทย์ กุ่ย พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส. อุบลราชานี เป็นตัวแทนรับหนังสือเพื่อขอให้ช่วยผลักดันให้พรรคฝ่ายค้านสนับสนุนให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของเกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกิน โครงการที่รัฐเข้าไปเสริมสร้างแล้วล้มเหลว และแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งกรรมการกองทุนฯ ที่มีวาระเพียง 2 ปี ไม่มีความต่อเนื่องในการทำงานขอให้เพิ่มเป็น 4 ปี แม้ที่ผ่านมาจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายคณะแต่การแก้ปัญหาไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นกลุ่มเครือข่ายฯ เห็นว่าจำเป็นต้องตรากฎหมายเพื่อกำหนดทิศทางและเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรนั้น ในอดีตกองทุนฟื้นฟูถือเป็นเรื่องสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร แต่ พ.ร.บ.ปัจจุบัน กลับทำให้เกษตรกรเดือดร้อน โดยเฉพาะการกำหนดเงื่อนไขให้เกษตรกรต้องมีหลักทรัพย์ถึงจะได้รับการฟื้นฟู ทำให้การแก้ไขหนี้สินเกษตรกรมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าจะนำหนังสือทั้ง 7 ฉบับ ส่งให้ถึงมือหัวหน้าพรรคร่วมพรรคค้านทั้ง 7 พรรค และขอให้มั่นใจว่า สิ่งใดที่เป็นความทุกข์ของเกษตรกร เราจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ให้กฎหมายฉบับดังกล่าวผ่านการพิจารณาของสภาฯ


"อธิบดี พช."ลงพื้นที่ติดตามโครงการ"หมู่บ้านคนรักษ์ช้าง" หวังลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง



เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนในพี้นที่ โอกาสนี้ได้ร่วมพบปะผู้นำชุมชน และชาวบ้านเพื่อสอบถามข้อมูลและรับทราบผลกระทบจากช้างกับชาวบ้าน ณ พื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบลทรายขาว จังหวัดจันทบุรี ทั้งนี้ปัญหาระหว่างคนกับช้างในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีมีมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจังหวัดจันทบุรี เป็นพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ข้าวโพด และพืชอื่นๆ ที่เป็นอาหารช้าง โดยช้างจะออกจากป่ามากินพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านเกิดความเสียหายมูลค่าหลายล้านบาท



อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานพัฒนาชุมชน กล่าวว่า ตามคำสั่งคณะกรรมการดำเนินงานการจัดการปัญหาเพื่อการร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนและช้าง โดยมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นประธานคณะกรรมการฯ กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานที่มีบุคลากรทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนในหมู่บ้าน ตำบล ได้ร่วมเป็นคณะทำงานในการจัดการปัญหาคนกับช้างเพื่อให้เกิดความสมดุล และอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีปัญหา เช่น ปลูกพืชที่ช้างไม่กิน การปลูกต้นไม้เป็นแนวกันช้าง เพื่อป้องกันช้างเข้ามาทำลายพืชผักสวนครัวของชาวบ้าน โดยมอบหมายให้พัฒนาการจังหวัด และทีมงาน พช. ร่วมดำเนินการในพื้นที่ ด้วยการจัดกิจกรรมรณรงค์ และแนะนำชาวบ้านทำอาชีพเสริมนอกจากการปลูกพืช ผัก ผลไม้ เพื่อเป็นรายได้เสริมอีกช่องทางหนึ่ง เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลไม้ การจักสาน และอาชีพอื่นๆ ที่สามารใช้วัสดุในพื้นที่ โดยเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป 

อธิบดี พช.กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ "หมู่บ้านคนรักษ์ช้าง" มุ่งหวังที่จะป้องกัน แก้ไขปัญหาช้างป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 183 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 5 จังหวัดป่ารอยต่อภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี และจังหวัดสระแก้ว เพื่อตอบสนองการขับเคลื่อนภารกิจตามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือโครงการฟื้นฟูแหล่งอาหารช้างป่าพื้นที่ป่าตะวันออก โดยการสร้างองค์ความรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนและช้างในระดับหมู่บ้าน ท่านจะได้เข้าใจพฤติกรรมของช้าง การปฏิบัติต่อช้าง การลดปัญหาความขัดแย้งกับช้าง ซึ่งผู้นำหมู่บ้านที่ประสบปัญหาจากช้างป่า จะได้นำองค์ความรู้นั้นไปขยายผลต่อในระดับหมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาตามที่คณะทำงานพัฒนาชุมชนมุ่งหวังให้ชาวบ้านในพื้นที่รู้จักช้าง เข้าใจช้าง รักษ์ช้าง และสามารถอยู่ร่วมกันกับช้างได้อย่างสมดุลโดยแท้จริง

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562

"จุรินทร์"โชว์ 13 ความสำเร็จของไทยบนเวทีรมต.ศก.อาเซียน



"จุรินทร์"นำสรุป 13 เรื่อง เป็นผลความสำเร็จประเทศไทย ในฐานะประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน มั่นใจคืบหน้าและสำเร็จทั้งหมด 

วันที่ 31 ตุลาคม 2562 เวลา 10.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สนฐานะประธานการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 18 เปิดเผยผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 18 ว่า ประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ไทยผลักดันในฐานะประธานอาเซียน (Priority Economic Deliverables) ในคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนยินดีกับความสำเร็จและรับทราบความคืบหน้า Priority Economic Deliverables โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นถือเป็นการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดสุดท้ายที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพซึ่งตนทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ถัดจากนี้ก็เป็นการประชุม ASEAN SUMMIT ที่ท่านนายกฯ(พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ) จะต้องเป็นประธานแล้ว

การประชุมครั้งสุดท้ายสำหรับที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งนี้ ถือเป็นการสรุปผลความสำเร็จของประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้ สำหรับด้านเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นหนึ่งในสามเสาหลัก 1 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการที่จะผลักดันประเด็นสำคัญใน 3 หัวข้อใหญ่ คือ หัวข้อที่ 1 ก็คือในเรื่องของการเตรียมการรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หัวข้อที่ 2 การเชื่อมโยง หัวข้อที่ 3 การเดินหน้าไปด้วยกันไปสู่ความยั่งยืน ซึ่ง 3 หัวข้อนี้เป็นหัวข้อใหญ่และภายใต้ 3 หัวข้อนี้จะแปลงออกไปเป็นประเด็นสำคัญสำคัญทั้งหมด 13 ประเด็นด้วยกัน 

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ซึ่งทั้ง 13 ประเด็นนั้นขอเรียนให้ได้รับทราบว่ามีความคืบหน้าและมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จครบทั้ง 13 ประเด็นภายในสิ้นปีนี้ในขณะที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและเป็นประธานที่ประชุมอาเซียน สำหรับปีต่อไปเป็นหน้าที่ของประเทศเวียดนามและต้องรอดูต่อไปว่าเวียดนามจะกำหนดประเด็นในการผลักดันเรื่องอะไรต่อไป

อย่างไรก็ตามสำหรับ 13 ประเด็นในรายละเอียดนั้นขออนุญาตเรียนให้ทราบว่าประกอบด้วย 
1 .แผนงานด้านดิจิตอลของอาเซียน 
2 .แผนงานในการส่งเสริมนวัตกรรมอาเซียน
3 .การเตรียมการสำหรับการพัฒนาแรงงานเพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 คือเรื่องของการใช้แรงงานพัฒนาแรงงานคนเพื่อรองรับการใช้เครื่องจักรการใช้นวัตกรรมใหม่ในการผลิต
4.การเดินหน้าไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 
5 .การเตรียมการที่จะนำ SME ไปสู่เศรษฐกิจดิจิตอล เช่น การค้าออนไลน์ เป็นต้น
6 .การดำเนินการในเรื่อง ASEAN Single Window การนำเข้าส่งออกระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันที่ต้องมี อำนวยความสะดวกโดยใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์ และไม่ซ้ำซ้อนทำให้การส่งออกระหว่างการคล่องตัวยิ่งขึ้น
7.เรื่องการผลักดันให้มีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นค้าขายระหว่างกันในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมแล้วอย่างน้อยสามคู่ คือ ระหว่างไทยฟิลิปปินส์ ระหว่างไทยอินโดนีเซีย และระหว่างไทยกับมาเลเซีย ภายใต้ความร่วมมือของแบงค์ชาติของเรากับธนาคารพาณิชย์ของสามประเทศ
8.ก็คือการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระบบที่เรียกว่า PPP  
9 .การร่วมมือกันระหว่างอาเซียนในการส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงอาหาร คือ การใช้อาหารส่งเสริมการท่องเที่ยว
10 .คือการแสดงเจตจำนงค์ร่วมกันผลักดันให้ RCEP ซึ่งอาเซียนเป็นศูนย์กลางของ RCEPจบภายในสิ้นปีนี้
11 .ในเรื่องของการผลักดันเครือข่าย IUU ของอาเซียน คือ การทำประมงอาเซียนที่มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างความยั่งยืน 
12 .เรื่องการส่งเสริมตลาดทุนของอาเซียนในประเทศต่างๆเพื่อเมื่อจะรับบริษัทเข้าไปจดทะเบียนโดยคำนึงถึงเป้าหมายของบริษัทนั้นนั้นที่มุ่งเน้นความยังยืนเช่น สิ่งแวดล้อมเป็นต้น 
13 .ประเด็นสุดท้าย คือ การผลักดันให้มีการลงนาม ศูนย์พลังงานอาเซียนระหว่าง มหาวิทยาลัยต่างๆในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงชีวภาพ

ทั้ง 13 ประเด็นใน 13 หัวข้อใหญ่ที่ประเทศไทยได้กำหนดเป็นเป้าหมายร่วมกันในฐานะประธานอาเซียนนี้ขอเรียนว่าเรามั่นใจว่าสิ้นปีนี้ จะสามารถผลักดันไปสู่ความสำเร็จครบทั้ง 13 หัวข้อ

ส่วนการลงนามวันนี้ (พิธีสารกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน) เป็นการลงนามในพิธีสารกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งเป็นการปรับปรุงกลไกระงับข้อผิดพลาดที่เราใช้มา 10 กว่าปีมาแล้วตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งการปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาทเที่ยวนี้ จะทำให้เกิดความชัดเจนในขั้นตอนกระบวนการต่างๆเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกอาเซียนเช่นการระบุชัดเจน ในเรื่องขั้นตอนระยะเวลาฟ้องร้องว่าใช้ระยะเวลากี่วันการพิจารณาคดีจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นในช่วงระยะเวลาเท่าไร อย่างไร และมีการเพิ่มกลไกทางเลือกให้คู่พิพาทเลือกได้ เช่น อาจไม่ต้องไปสู่คณะลูกขุนแต่ใช้อนุญาโตตุลาการได้เป็นต้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้สำนักเลขาธิการอาเซียนสามารถให้คำปรึกษาด้านกฎหมายกับผู้พิพาทรวมทั้งประเทศที่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความสนับสนุนช่วยเหลือ เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา ก็จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษในเรื่องข้อกฎหมายแนวทางการปฏิบัติต่างๆนี่คือพิธีสารที่จะมีการลงนามในเรื่องของกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียนหลักใหญ่จะล้อกับหลักการของ WTO ที่ใช้กัน

ดร.วันดีนำ"SPCG"ผงาดกรุงปารีส ยันรบ.หนุนพลังงานแสงอาทิตย์ มีแผนติดตั้งถึง 12,275 MW ปี 2037



ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SPCG บรรยายงาน  OECD Forum on Green Finance and Investment ครั้งที่ 6 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2562 โชว์พัฒนาการพลังงานแสงอาทิตย์ไทย ยันรัฐบาลมีแผนสนับสนุนติดตั้ง ถึง 12,275 MW ในปี 2037

ระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2562 ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้รับเกียรติจากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ( Organization Economics Corporation Development ) ร่วมประชุมและร่วมเวทีเสวนา โดยเฉพาะหัวข้อเสวนาเรื่อง Clean Energy Finance and Investment Mobilization in Emerging Market โดยมี Ms.Cecilia Tam,Team Leader , Clean Energy Finance and investment Mobilaization of OECD เป็นผู้ดำเนินการเสวนา ได้กล่าวว่า การให้การสนับสนุนทางแนวคิดการกำหนดนโยบายและการเงินแก่กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ในการขับเคลื่อนการใช้พลังงานสอาด นับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุน ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย 

ดร.วันดี กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความงดงามทางธรรมชาติ มีวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี มีแหล่งทองเที่ยวมากมาย คนไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวถึงปีละ กว่า 40 ล้านคน จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาท่องเที่ยวเมืองไทยนอกจากนี้ยังเป็นประเทศผู้นำในเรื่องการพัฒนา เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงาน จากปี 2009 มีพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งใช้เพียง 2 MW แต่ในปี 2019 มีการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ถึง 4,000 MW และรัฐบาลมีแผนสนับสนุนให้มีการติดตั้ง ถึง 12,275 MW ในปี 2037 ทั้งนี้ไม่นับสวมการลงทุนเองในภาคเอกชน นับได้ว่าเป็นแบบอย่างของประเทศในกลุ่ม Asean ที่รัฐบาลให้ความสำคัญสำคัญในการออกนโยบาย มีการจัดทำแผนการใช้พลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบในอีก 20 ปีในอนาคต โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทนในอัตราส่วนกว่า 30% ของการใช้พลังงานรวม SPCG เป็นผู้บุกเบิกการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เมื่อปี 2010 และจากความสำเร็จของการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เชิงพาณิชย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศไทย การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นที่ยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานที่สร้างความมั่นคงให้กับประเทศ

Mr.Tim Gould จาก IEA กล่าวว่า การมีพลังงานใช้อย่างพอเพียงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่การรักษาสิ่งแวดล้อมก็มีความสำคัญยิ่งเช่นเดียวกัน ดังนี้การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การนำพลังงานหมุนเวียน มาใช้เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันจึงมีประเทศที่กำลังพัฒนา อาทิ อินเดีย เวียดนาม หันมาผลักด้นกสรใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมอย่างมาก

Mr.Ole Thonke ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากประเทศเดนมาร์ก กล่าวว่า ประเทศเดนมาร์กในปัจจุบันมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เพียง 0.6% และสนับสนุนให้ใช้พลังงานลมเพื่อลดการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมัน ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ

Mr.Voung Thanh Long Executive Vice President,Bank for Investment and Development of Vietnam (BIDV) กล่าวว่าเวียดนามเป็นประเทศสวยงามกล่าวว่าประเทศเวียดนามเริ่มสนับสนุน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอาทิ พลังลม พลังงานแสงอาทิตย์ แต่มีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจในการลงทุนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

Mr.Reynold Hermansjah from PT Infrastructure Finance ประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า สถาบันการเงินในประเทศ
 ให้การสนับสนุนเงินลงทุนในด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และรัฐบาลเริ่มให้ความสำคัญนำพลังงานทดแทนมาใช้ในพื้นที่เหมาะสม

"บิ๊กตู่"เผยนายกฯแคนนาดาโทรแจ้ง ร่วมประชุมอาเซียนไม่ได้



"บิ๊กตู่"เผยนายกฯแคนนาดาโทรแจ้ง ร่วมประชุมอาเซียนไม่ได้  รองโฆษกเพื่อไทยซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังปธน.สหรัฐฯปฎิเสธคำเชิญเข้าประชุมอาเซียน


วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนนาดา ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับตนโดยระบุว่าติดปัญหาภายในประเทศทำให้ไม่สามารถเข้าร่วม ประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพได้ แต่จะมีผู้แทนมาร่วมประชุม แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างเราและแคนนาดา และแคนนาดากับอาเซียนด้วย
          
เมื่อถามถึงการยกเลิกการประชุมเอเปคประจำปี 2019 ที่ประเทศชิลี พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ประเทศชิลี แจ้งเรื่องดังกล่าวเข้ามาแล้ว มีการประท้วงและข้อนข้างมีความรุนแรงเกิดขึ้นด้วย เขาขอเลื่อนไปก่อน 

ทั้งนี้เมื่อเวลา 08.30 น. ตามเวลาของประเทศไทย นายจัสติน ทรูโด ได้โทรศัพท์ถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยพลตรี อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ได้สรุปสาระสำคัญของการสนทนาทางโทรศัพท์ ดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทักทาย นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา พร้อมกับแสดงความยินดีในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาชนะการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา พร้อมขอบคุณที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาได้ให้ความสนใจและความสำคัญกับอาเซียน และโทรศัพท์มาสนทนาด้วยตนเองในวันนี้  

นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่ารู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้ เนื่องจากมีภารกิจสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีแคนาดา แต่เข้าใจถึงภารกิจของนายกรัฐมนตรีแคนาดาในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมแสดงความชื่นชมเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทยที่ได้ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นอย่างดี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเพิ่งได้พบหารือกับเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เพื่ออำลาในโอกาสพ้นวาระ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (29 ต.ค. 2562)

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาลแคนาดาอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย – แคนาดาทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค โดยเฉพาะความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา ซึ่งนายกรัฐมนตรีแคนาดาเองได้ยืนยันที่จะร่วมมือกับไทยเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจและการค้าการลงทุน พร้อมกับฝากนายกรัฐมนตรีทักทายผู้นำจากประเทศต่างๆ ที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2562 ที่จะถึงนี้

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึง ทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทย-แคนาดาในอนาคต โดยประสงค์ให้แคนาดาพิจารณาความร่วมมือในรูปแบบ Thailand +1 ตลอดจนความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคมากขึ้น เช่น การเข้าเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) และโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) โดยผู้นำทั้งสองต่างหวังที่จะได้พบและหารือกันในโอกาสต่อไป

รองโฆษกเพื่อไทยซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังปธน.สหรัฐฯปฎิเสธคำเชิญเข้าประชุมอาเซียน

ขณะที่น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น และ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาปฎิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEAN Summit 2019 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพว่า เป็นการหักดิบความสัมพันธ์การต่างประเทศระหว่างไทย และ สหรัฐฯ 

น.ส. สรัสนันท์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า  การที่นายโดนัล ทรัมป์ เซ็นระงับสิทธิทางภาษีนำเข้า GSPนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยหลายร้อยรายการอย่างมีนัยยะสำคัญ และต่อด้วยการปฎิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEAN Summit 2019 ที่เป็นเจ้าภาพ เป็นการบ่งบอกถึงสัญญาณที่ทางสหรัฐฯไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเทศไทยเหมือนเคย ถือว่าเป็นการหักดิบความสัมพันธ์การต่างประเทศ 

แม้การเซ็นระงับสิทธิทางภาษีนำเข้า GSP กับประเทศไทยนั้น อาจมาจากหลายๆปัจจัย เช่น นโยบาย America First ที่มุ่งเน้นการปรับดุลการค้าที่ขาดดุลมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี แต่ก็อาจมาจากจุดยืนด้านการต่างประเทศ ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์แลดูให้ความสำคัญกับประเทศจีนเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นโครงการเมกะโปรเจค ที่เอื้อแก่กลุ่มเจ้าสัว และรัฐบาลจีน หรือการปล่อยให้ Alibaba เข้ามาทำกิจการอย่างง่ายดายโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบอื่นๆ  ส่งผลให้อุตสาหกรรมไทยขนาดเล็ก หลายพันบริษัท ต้องประสบสภาวะขาดทุน ซึ่งสวนทางกับรัฐบาลที่เคยพูดว่า ให้ความสำคัญกับการสร้างธุรกิจ ecommerce แต่ที่สำคัญกว่ารัฐบาลไทยดูท่าจะไม่มีแนวทางรองรับกับผลกระทบที่กำลังจะตามมาเป็นระลอกจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ”

น.ส.สรัสนันท์  กล่าวด้วยว่า ดังนั้นการที่นายโดนัล ทรัมป์ เลือกที่จะไม่มาร่วมการประชุม ซึ่งต่างกับทุกๆครั้งที่ผู้นำสูงสุดของประเทศจะต้องมาร่วมเอง แต่เลือกที่จะส่ง นายโรเบิร์ต โอบราเอน ซึ่งเป็นผู้ช่วยด้านความมั่นคง ในฐานะทูตแต่งตั้งพิเศษพร้อมรัฐมนตรีการพาณิชย์ เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกากำลังใช้ไม้แข็งกับรัฐบาลไทย

"เทวัญ"ร่วมแถลง! สอบธรรมศึกษาวิถีพุทธปี2562 กว่า 2 ล้านคนเข้าร่วม


  
"เทวัญ"ร่วมแถลง! "90 ปีสอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ"  ปี2562 กว่า 2 ล้านคนร่วมสอบ

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562  ที่อาคารหอสมุดพระพุทธศาสนามหาสิรินาถ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) พุทธมณฑล จ.นครปฐม มหาเถรสมาคม(มส.) โดยสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง และรัฐบาล โดยพศ. ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดน่าน แถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษาประจำปีการศึกษา2562 “90ปี สอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ”



ในการนี้มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ กรรมการ มส. ในฐานะแม่กองธรรมสนามหลวง นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ รอง ผอ. รักษาราชการแทน ผอ.พศ. ทั้งนี้มีพระเทพเวที,รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และรักษาการเจ้าคณะภาค 6 พร้อมผู้แทนคณะสงฆ์จังหวัดน่านร่วมเวทีด้วย

นายเทวัญ กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบให้ พศ. ร่วมกับคณะสงฆ์ โดยสำนักงานแม่กองธรรมฯ จัดโครงการเปิดสอบธรรมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2562 เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้เยาวชน ข้าราชการ และประชาชน ได้ดำรงชีวิตและประกอบหน้าที่การงาน โดยยึดหลักคุณธรรมและศีลธรรม ซึ่งคือ หลักธรรมาภิบาล และได้ศึกษาเรียนรู้หลักวิชาการพุทธศาสนาในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชน เพื่อจะได้น้อมนำหลักธรรมที่ได้ศึกษาแล้วนั้นไปพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

ด้านนายณรงค์ กล่าวว่า การเปิดสอบธรรมศึกษา มีขึ้นครั้งแรก เมื่อปี 2472 ซึ่งการจัดสอบธรรมศึกษาในปี 2562 ได้เข้าสู่ปีที่ 90 แล้ว ซึ่งจะมีการจัดพิธีเปิดสอบในสนามสอบกลาง ในวันที่ 29 พ.ย. ที่วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน อ.ภูเพียง จ.น่าน พร้อมกันกับสนามสอบธรรมศึกษาจำนวนกว่า 6,000 แห่ง ทั่วประเทศ โดยมีผู้สมัครสอบธรรมศึกษารวมกว่า 2 ล้านคน 

Cr.เพจPrayoon Chothivaro

"ปิยบุตร"ลุยใต้เข้า"ค่ายอิงคยุทธ"! "กอ.รมน.ภาค4"แจง"กำลังพล-งบฯ



"ปิยบุตร" นำคณะ "กมธ.กฎหมายฯ" ลุยพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ เก็บข้อมูลแก้ปัญหาละเมิดสิทธิ - เข้า "ค่ายอิงคยุทธ"  เชิญ กอ.รมน.ภาค4 ชี้แจง ปมกำลังพล - งบประมาณ- การเสียชีวิต "อับดุลเลาะ อีซอมูซอ" 
    

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 คณะกรรมาธิการ​กฎหมาย การยุติธรรม​และสิทธิมนุษยชน​ นำโดย นายปิยบุตร​ แสงกนกกุล เลขาธิการ​พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธาน​กรรมาธิการ พร้อมคณะ อาทิ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่และรองประธานคณะกรรมาธิการ​ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ​พรรคอนาคตใหม่และโฆษกคณะกรรมาธิการ​ ศึกษาดูงานและตรวจเยี่ยมการแก้ไขปัญหา​เกี่ยวกับการละเมิดกฎหมาย​และสิทธิมนุษยชน​ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน​ใต้ และบางส่วนของจังหวัดสงขลา​ ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม​ โดยในช่วงเช้าของวันแรก ได้เข้าตรวจเยี่ยมห้องกักด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา​ และร่วมแลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อรับฟังสภาพปัญหา​ผู้หลบหนีเข้าเมือง ที่มีสถานะผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา​และชาวอุยกูร์​ 
    
นายปิยยุตร กล่าวว่า วัตถุประสงค์​ของ กมธ. นอกจากจะเดินทางมาเพื่อสอบถามข้อมูลแล้ว ก็อยากจะให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ​ได้สะท้อนกลับมาด้วย ว่าเจ้าหน้าที่มีปัญหาในเรื่องงบประมาณ​ หรือกฎหมายข้อบังคับต่างๆ ที่ทำให้ทำงานไม่สะดวกหรือไม่ ด้วยระบบราชการภายในทำให้การเสนอเรื่องขึ้นไปอาจจะไม่สะดวกและล่าช้า สามารถฝากเรื่องผ่านมายังคณะกรรมาธิการ​กฎหมาย​ฯนี้ได้ ซึ่งตนจะช่วยผลักดันในช่องทางต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน​เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ฟังปัญหา จนท.- ผู้ถูกกักขัง ด่าน "สะเดา" 
     
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสะเดา เสนอว่า การกักขังไว้ที่ศูนย์​กักขังคนเข้าเมืองสะเดา อาจทำให้มีแรงจูงใจในการหลบหนีมากกว่ากักขังในที่อื่น เพราะหากผู้ถูกกักขังสามารถหลบนี้ได้จากศูนย์กักขังสะเดา จะดูกลมกลืนกับคนในพื้นที่ ทำให้ยากต่อการตามจับ แต่ถ้ากักขังไว้ที่อื่น หากผู้ถูกกักขังหลบหนีได้ จะดูแปลกตากับคนในพื้นที่นั้นทันที ทำให้ผู้ต้องกักจะไม่มีแรงจูงใจในการหลบหนี โดยในระหว่างที่คณะกรรมาธิการ​ได้เข้าเยี่ยมผู้ต้องกัก ได้สอบถามข้อมูลจากผู้ถูกกักโดยผู้อพยพชาวอุยกูร์​รายหนึ่งเล่าว่าติดอยู่ในศูนย์กักขังนี้เป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ซึ่งขณะนี้​ก็ยังไม่ทราบว่าโดนกักในคดีหรือข้อหาอะไร อีกทั้งยังขอว่าต้องการจะไปประเทศที่ 3 ซึ่งระบุว่าเป็นประเทศตุรกี หรือ มาเลเซีย​ก็ได้ แต่จะไม่ยอมถูกส่งไปประเทศจีน 


สำหรับศูนย์กักคนเข้าเมืองสะเดา แบ่งเป็น 2 อาคาร โดยอาคารที่ 1 เป็นที่กักขังระยะยาว เป็นบุคคล​ไร้สัญชาติ​(ตุรกี)​13 ราย ชาวเมียนมา(โรฮิงญา)​ 11 ราย ชาวเมียนมา(อิสลาม)​ 10 ราย รวมผู้ต้องกักระยะยาวทิ้งสิ้น 34 ราย โดยผู้ที่ถูกกักขังนานสุดเป็นระยะเวลากว่า 6 ปี ส่วนอาคารที่สอง เป็นอาคารแรกรับ/หมุนเวียน มีผู้ต้องกักชายชาวโรฮิงญา​ 115 ราย หญิง 18 ราย เด็กผู้ชาย 19 ราย เด็กผู้หญิง​ 8 ราย รวม 160 ราย และหากรวมสองอาคาร มีผู้อพยพรอการส่งตัวไปประเทศที่ 3 ที่ศูนย์​กักคนเข้าเมืองสะเดาทิ้งสิ้น 194 ราย

เข้าค่าย "อิงคยุทธ" เค้นปมใช้งบ - การเสียชีวิต "อีซอมูซอ" 
   
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น ในช่วงบ่าย คณะกรรมาธิการเดินทางไปยังศูนย์​ซักถามหน่วยข่าวกรองทางทหารส่วนหน้า จังหวัดชายแดนใต้ และกรมทหารพรานที่ 43 ค่ายอิงคยุทธ​บริหาร จ.ปัตตานี​ เพื่อศึกษาดูงานและตรวจเยี่ยมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยมี พล.ต.กฤษดา พงษ์สามารถ รองแม่ทัพภาค 4​ และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภาค 4 ส่วนหน้า ให้การต้อนรับ  กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจงแนวทางการทำงานและเปิดโอกาส​ได้ซักถาม 
   
โดย น.ส.พรรณิการ์ ได้ซักถาม 4 ประเด็นเป็นที่ต้องสงสัย คือ 1.หลักการใช้กำลังและข้อสงสัยถึงมาตราการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ 2.จากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพ​งานข่าวกรอง ซึ่งมีการจัดสรรงบส่วนนี้โดยตรง กว่า 900 ล้านบาทซึ่งมากกว่างบประมาณจังหวัดของ 3 จังหวัดชายแดนใต้รวมกัน จะใช้งบไปพัฒนาในส่วนใดบ้าง 3.กรณีนายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ที่เสียชีวิตขณะถูกคุมตัวในศูนย์ซักถามค่ายอิงคยุทธ เหตุใดจึงไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดก่อนหรือหลังเหตุการณ์​ 4.สถิติการเสียชีวิตของประชาชน ขณะที่อยู่ในระหว่างควบคุมตัวที่ศูนย์​มีจำนวนเท่าใด





เปิดเวทีครั้งแรก "กมธ.กฎหมายฯ พบประชาชน" 
   
ด้าน นายทหาร จาก กอ.รมน.ภาค 4 ได้ตอบข้อซักถามว่า 1.จากที่เห็นตามหน้าข่าวต่างๆ ในการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เห็นว่าขบวนรถของทหารมีจำนวนหลายคัน ใช้บุคคลากรเกินกว่าเหตุหรือไม่ อยากชี้แจงว่าการทำงานจะแบ่งเป็นชุดๆ ทีมอีโอดีชุดหนึ่ง ชุดเคลียร์​พื้นที่​ ชุดพิสูจน์​หลักฐาน​ ชุดสนับสนุน​ หากรวมทุกชุดจะดูว่ามีจำนวนมาก แต่การทำงานก็หน้าที่ใครหน้าที่มัน 2.งบเพิ่มประสิทธิภาพ​หน่วยงานข่าวกรองนั้น เป็นงบของงานข่าวกรองทั่วประเทศ ซึ่ง กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้าใช้เป็นโครงการนำร่องเพียงเท่านั้น 3.ขณะที่นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ถูกควบคุมตัวนั้น อยู่ในศูนย์​ซักถามแห่งใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน แต่งบการติดกล้องวงจรปิดนั้นอยู่คนละส่วนกัน ซึ่งขณะนั้นได้ติดตั้ง แต่มีปัญหาที่มุมกล้องเป็นมุมอับ ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและระบบไฟขัดข้อง 4.สถิติการเสียชีวิตของผู้ที่อยู่ระหว่างถูกควบคุมในศูนย์​ซักถาม นับตั้งแต่ปี 2547 - ปัจจุบัน​ มีจำนวน 5 ราย เสียชีวิตในศูนย์ 2 ราย และเสียชีวิตนอกศูนย์ 3 ราย
   
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นของการเดินทางมาเยือนชายแดนใต้วันแรก คณะกรรมาธิการ​กฎหมาย​ฯ ​ จัดกิจกรรม "กมธ.กฎหมาย​ฯ พบประชาชน" ครั้งที่ 1 เวลา 19.00-21.00 น. ที่ห้องประชุมอิหม่ามอัล-นาวาวีย์ วิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี​ จ.ปัตตานี

พช.จับมือ"ปอเต็กตึ้ง" เดินหน้าแก้จนมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ



"สุทธิพงษ์ จุลเจริญ" อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมมือกับ "ปอเต็กตึ้ง" เดินหน้าแก้จน มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับนายคุณสุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบวัสดุอุปกรณ์สนับสนุนการประกอบอาชีพครัวเรือนยากจนเป้าหมาย ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี จำนวน 14 ครัวเรือน โอกาสนี้นายพงษ์พัฒน์ วงศ์ตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยพัฒนาการจังหวัดจันทบุรี เป็นตัวแทนจังหวัดจันทบุรี ร่วมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ครัวเรือนยากจนด้วย  และมีนายอาจณรงค์ สัตยพานิช ผู้ตรวจราชการกรม(พช.) นายอุทัย ทองเดช ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน (พช.) นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ (กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิฯ)นายวุฒิชัย อภิวัฒนกุลชัย (ผู้จัดการมูลนิธิฯ) นายพินัย ศรีพนาสณฑ์ (รักษาการผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์/หัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์) คณะผู้บริหารจากหน่วยงาน เข้าร่วมเป็นเกียรติฯ ณ เทศบาลหนองตาคง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

อธิบดี พช. กล่าวว่า “การดำเนินงานแก้จน โดยการมอบวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือสนับสนุนการประกอบอาชีพในครั้งนี้ดำเนินการตามแนวทางประชารัฐ เป็นการพัฒนาแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน กับ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุนอาชีพแก่ครัวเรือนยากจนให้สามารถบริหารจัดการชีวิตได้อย่างเหมาะสม ด้วยกระบวนการบริหารจัดการครัวเรือนยากจนแบบบูรณาการ ชี้เป้าชีวิต จัดทำเข็มทิศชีวิต หรือแผนชีวิต บริหารจัดการชีวิต และดูแลชีวิต  ตลอดจนดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ การจัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 

โดยแนวทางของความร่วมมือได้กำหนดการดำเนินงานไว้คือ กรมการพัฒนาชุมชนสำรวจครัวเรือนยากจนเป้าหมายที่ต้องการอาชีพ จัดกลุ่มแยกประเภทอาชีพที่ต้องการขอรับการสนับสนุนองค์ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบอาชีพ วิเคราะห์ศักยภาพครัวเรือนยากจน เพื่อกำหนดครัวเรือนยากจนเป้าหมาย และแนวทางการสนับสนุน และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ครัวเรือนยากจนที่ผ่านการจัดกลุ่มมาแล้ว ต่อจากนั้นทั้งสองหน่วยงานจะดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และติดตามประเมินผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ และนำผลการประเมินมาพัฒนาช่วยเหลือคนยากจน และคนที่ด้อยโอกาสให้มีเครื่องมือ ในการประกอบอาชีพให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยู่ในสังคมอย่างมีความสุขต่อไป  

ทั้งนี้หลักจากการมอบเครื่องมือและอุปกรณ์ประกอบอาชีพในวันนี้ไปแล้ว กรมการพัฒนาชุมชนเองได้มอบหมายให้พัฒนากร ในพื้นที่คอยเป็นพี่เลี้ยงสอดส่องดูแล ให้ความช่วยเหลือหากมีปัญหาอุปสรรคและรายงานผลให้กรมฯทราบเป็นระยะ จนกว่าครัวเรือนนั้นจะหลุดพ้นจากความยากจน และกรมการพัฒนาชุมชน กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มีเป้าหมายที่จะดำเนินการมอบมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ให้กับครัวเรือนยากจนให้ครบทุกจังหวัด เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ให้ครัวเรือนเป้าหมายมีอาชีพมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในที่สุด” 


โดยการมอบวัสดุอุปกรณ์สนับสนุนการประกอบอาชีพครัวเรือนยากจนเป้าหมาย ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี สำรวจจากข้อมูล จปฐ.ปี 2561 เป็นครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยไม่ถึง 38,000 บาท/ปี และพร้อมที่จะประกอบอาชีพ ประกอบด้วย 14 ครัวเรือน ได้แก่ 

- ครัวเรือนที่ 1 นางแสลม เกตุสุวรรณอายุ และนายสมหมาย ประเสริฐการ  46  ปี  อาชีพค้าขายได้รับมอบอุปกรณ์ทำ ลูกชิ้นปิ้ง รถเข็น 1 คัน โตะพับขนาด 4 ฟุต 1 ชุด ตู้กระจกลูกชิ้น 1 ตู้ เตาปิ้งแบบใช้แก๊ส  1 ใบ ชุดเตาแก๊สปุ๊กลุ๊ก 7 กก.พร้อมเนื้อแก๊ส 1 ชุด

- ครัวเรือนที่ 2  นายบุญมี  ผลทิม  อายุ  69  ปี  อาชีพรับจ้าง ได้รับมอบอุปกรณ์ เผาถ่าน เตาเผ่าถ่าน ขนาด 200 ลิตร 3 เตา เลื่อยโซ่แบบใช้เครื่องยนต์ เครื่อง 1.5 1 ชุด

- ครัวเรือนที่ 3  นายเจีย  ศรีมงคล  อายุ 58  ปี  อาชีพค้าขาย ได้รับมอบอุปกรณ์ ตู้แช่น้ำดื่ม 4 ชั้น (ร้านโชว์ห่วย) 11 คิว สูง190ซม. 1 ตู้ ชั้นวางของ 1 ด้าน 2 ชุด

- ครัวเรือนที่  4  นายสมชาย  สุทธิ  อายุ  46 ปี  อาชีพรับจ้าง (ช่างไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ สว่านไฟฟ้า ขนาดกลาง makita 1 ชุด ลูกหมู มาคเทค 1 ชุด เซาะบางใบ 2 หุน makita 1 ชุด กบไฟฟ้าหน้า 3 มาคเทค 1 ชุด  เลื่อยไฟฟ้าตัดไม้ (ตัวเล็ก) 1 ชุด

- ครัวเรือนที่  5  นายสงัด  เศรษฐีธัญญาหาร  อายุ  63  ปี  อาชีพรับจ้าง (ช่างไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์ กบไฟฟ้าหน้า 5 นิ้ว 1 ตัว ลาวเตอร์ 1ตัว สว่านไฟฟ้า เจาะไม้ 4 หุน 1 ตัว เลื่อยไฟฟ้า 9 นิ้ว makita 1 ตัว

- ครัวเรือนที่  6  นางสาวสวย  อุทพันธ์ และ.นางหนู  อุทพันธ์ / นางสาวสวย อุทพันธ์ อายุ  37  ปี  อาชีพหัตถกรรมในครัวเรือน ได้รับมอบอุปกรณ์  เครื่องทอพรมเช็ดเท้า 1 ชุด

- ครัวเรือนที่ 7  นายสมควร  ทรัพย์คง  อายุ  43  ปีอาชีพรับจ้าง(ตัดไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์  เครื่องตัดหญ้า Honda 1เครื่อง เลื่อยไฟฟ้า Makita ขนาด 9  นิ้ว 1 อัน

- ครัวเรือน 8  นางบุญมี  สุขตะเดือน และนางบุญมี  สุขตะเดือน  อายุ  49  ปี  อาชีพหัตถกรรมในครัวเรือน ได้รับมอบอุปกรณ์  เครื่องทอพรมเช็ดเท้า 1 ชุด

- ครัวเรือนที่  9  นายทองดี   สิงห์คี  อายุ  74  ปี  อาชีพรับจ้าง (เผาถ่าน) ได้รับมอบอุปกรณ์  เตาเผาถ่าน 4 เตา รถเข็นของ 3 ล้อ 1 คัน เลื่อยตัดไม้ไฟฟ้า (ขนาดเล็ก) 1 ชุด

- ครัวเรือนที่  10  นางสาวสายน้ำผึ้ง  พึ่งประชา และนางถวิล  สุขถนอม อายุ  21  ปี  อาชีพค้าขาย (ไส้กรอกอีสาน) ได้รับมอบอุปกรณ์ เครื่องอัดไส้กรอก 15 L 1 ชุด เตาย่างไส้กรอก พร้อมตะแกรง 1 ชุด ร่มแม่ค้า เบอร์ 45 1 คัน

- ครัวเรือนที่  11  นายสมคิด  ทรัพย์คง  อายุ  68  ปี  อาชีพรับจ้าง(ตัดไม้) ได้รับมอบอุปกรณ์  เลื่อยบาร์โซ่ตัดกิ่ง ขนาด 12 นิ้ว แบบใช้น้ำมันขนาดกลาง  ยี่ห้อ Makita 2เครื่อง

- ครัวเรือนที่  12  นายประเทือง  ทานมัย  อายุ  67  ปี  อาชีพค้าขาย (ก๋วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่ง) ได้รับมอบอุปกรณ์  ตะกร้อลวกเส้น  สแตนเลส 1 อัน ตะแกรงลวด ลวกเส้น ด้ามไม้ 1 อัน หม้อก๋วยเตี๋ยว (ม้าลาย) เบอร์ 36 1 ใบ ตู้กระจก (อาหารตามสั่ง/ก๋วยเตี๋ยว) 1 ใบ ถังแช่น้ำแข็ง + ก๊อกน้ำ (ขนาด 40 ลิตร) 1 ใบ ถังแช่น้ำแข็ง (ขนาด 80 ลิตร) 1 ใบ เก้าอี้พลาสติก 12 ตัว โต๊ะพับ ขนาด 4 ฟุต 3 โต๊ะ ถังแก๊ส ปตท.15 กก. 1 ถัง ชุดเตาแก๊ส ครบชุด พร้อมขาเตาสี่เหลี่ยมกลาง 1 ชุด กะทะ เบอร์ 18 แบบอลูมิเนียมด้ามพลาสติกดำ 1 ใบ หม้อหุงข้าว ขนาด 5 ลิตร 1 ใบ

- ครัวเรือนที่  13  นายมานะ   คนฑาอายุ  53  ปี  อาชีพช่างซ่อมรถ  ได้รับมอบอุปกรณ์ ชุดหัวเชื่อมแก๊สสำหรับซ่อมรถจักรยานยนต์ 2 ชุด เครื่องปั๊มลมขนาดกลาง พร้อมถังลม (โรตารี่ 50 ลิตร 3 แรง) 1 ชุด ขาตั้งรถ 2 คู่

- ครัวเรือนที่  14  นายสุพรรณ  หอมหวนอายุ และนายสุพรรณ  หอมหวน 41  ปี  อาชีพช่างก่อสร้าง ได้รับมอบอุปกรณ์  สว่านโรตารี 3 ระบบ ขนาด 800 วัตต์ 1 ตัว ตู้เชื่อมไฟฟ้า ขนาด 300แอมป์ 1 ตัว เลื่อยวงเดือน ขนาด 7 นิ้ว (มาคเทค) 1 ตัว เครื่องหินเจียร ขนาด 4 นิ้ว  (มาคเทค) 1 ตัว เครื่องตัดไฟเบอร์ ขนาด 14 นิ้ว (มาคเทค) 1 ตัว แท่นตัดกระเบื้อง 28 นิ้ว 1 ตัว 

โดยผู้แทนที่ได้รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือประกอบอาชีพ ได้กล่าวแสดงความรู้สึกดีใจ และขอบคุณที่กรมการพัฒนาชุมชน และมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในครั้งนี้ เป็นการมอบโอกาสให้เขาได้มีช่องทางทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และอยากให้ทำโครงการดีๆอย่างนี้ไปยังครอบครัวอื่นที่ยังรอโอกาสจากสังคม

"อนุทิน"ชื่นชม "อสม.-อสต." ตากดูแลสุขภาพประชาชนแนวชายแดน



"อนุทิน"รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบปะ อสม.และอสต. จังหวัดตาก มอบนโยบายให้ อสม.กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ รวมพลังสร้างให้คนในประเทศแข็งแรง ส่งเสริมให้รักษ์สุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารถูกสุขลักษณะ  

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562  ที่ จ.ตาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ เยี่ยมติดตามการดำเนินงานสาธารณสุขพื้นที่ชายแดนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษานวมินทราชินี ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด และให้สัมภาษณ์ว่า อสม.เป็นกำลังสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นแก่ประชาชน สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันโรค ลดการเจ็บป่วย ด้วยเป้าหมายเดียวกัน คือช่วยให้ประชาชนสุขภาพดี โดย อสม.ทุกคนจะได้รับการพัฒนาศักยภาพให้เป็นหมอประจำบ้าน ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข สหวิชาชีพ และทีมหมอครอบครัว 

"ขอแรง อสม. 1 ล้านกว่าคนทั่วประเทศ รวมพลังสร้างให้คนในประเทศแข็งแรง  ส่งเสริมให้รักษ์สุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารถูกสุขลักษณะ จะช่วยลดการเจ็บป่วย ลดภาระงานเจ้าหน้าที่ ปัญหาสาธารณสุขของประเทศจะคลี่คลายลงได้" นายอนุทินกล่าว 

นายอนุทินกล่าวต่อว่า จ.ตาก เป็นพื้นที่ชายแดน ได้จัดการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) เพิ่มเติมขึ้น เพื่อเป็นเครือข่ายดำเนินการร่วมกันในพื้นที่ จับคู่ทำงานกับ อสม. แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารสุขภาพและป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดน ปัจจุบันมี อสต. 661 คน และมี อสม. 12,790 คน ทั้งหมดได้รับการอบรมเป็นผู้บริบาลผู้ป่วยในหมู่บ้าน (Care Giver) การอบรมช่วยพื้นคืนชีพ การอบรมการปฐมพยาบาล การอบรม อสม.นักจัดการ 4.0 และ อสม.หมอประจำบ้าน 
สำหรับสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษานวมินทราชินีแห่งนี้  เป็นสถานบริการสาธารณสุขที่ให้บริการประชาชนด้วยความสง่างามและสมพระเกียรติ ทั้งด้านสถานที่และการให้บริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานตามหลักวิชาการตามบริบทของพื้นที่ สนองงานในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เผยแพร่พระเกียรติคุณและกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติ ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งราชการ ท้องถิ่น เอกชน ประชาชนที่ได้ช่วยกันดูแลประชาชนในพื้นที่  7,396 คน

"สมคิด"ควง รมว.4กระทรวงขึ้นเหนือ เข็น"โครงการประชารัฐ" หวังเสริมความเข้มแข็งสังคมไทย



"สมคิด"ควง รมว.4กระทรวงขึ้นเหนือ มอบนโยบาย "ประชารัฐสร้างไทย พัฒนาล้านนา ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน" ที่ ม.แม่โจ้สันทราย หวังเสริมความเข้มแข็งสังคมไทย
  
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ตุลาคม 2562    ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบาย “ประชารัฐสร้างไทย พัฒนาล้านนา ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน” โดยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างเข้าถึงแบบครบวงจร มุ่งดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการฯ และเกษตรกร ผู้ประกอบการราย่อยให้หลุดพ้นความยากจน โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ และผู้บริหารแบงก์รัฐ ทั้งออมสิน ธ.ก.ส. เอสเอ็มอีแบงก์ และภาคีเครือข่ายสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีได้เน้นให้ทุกหน่วยงาน ร่วมกัน แก้ไขปัญหาความยากจนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเชื่อมั่นว่ามาตรการต่างๆที่ได้ออกมาอาทิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชิมช็อปใช้จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือภาคประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ก้าวเดินต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง



นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อดูแลรายย่อยในระยะสั้นให้มีกำลังซื้อผ่านหลายมาตรการ ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ส่งเงินเข้าบัญชีช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว 34,000 ล้านบาท โครงการชิมช้อปใช้ ทั้งเฟส 1 มีผู้ลงทะเบียน 10 ล้านคน และเฟส 2 ลงทะเบียนเกือบครบ 3 ล้านคน มีร้านค้ารายย่อยแห่งใหม่เข้าร่วมนับแสนราย เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนมนระบบเศรษฐกิจ ในส่วนของการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เมื่อลดค่าธรรมเนียมการโอน จดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 จะทำให้มีแรงซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นในช่วงปลายปี



นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ภาคเอกชนยื่นขอสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนยอดลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยมีกลุ่มชาวบ้านร่วมถือหุ้น เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในชุมชน ลดปัญหาการเผาซังข้าวโพด ทำให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และใช้ผลิตโรงไฟฟ้าชุมชน การส่งเสริมผลิตแก๊สหุงต้ม ใช้ในครัวเรือน การส่งเสริมติดตั้งโซล่าเซลล์ เพื่อการเกษตร ผ่านความร่วมมือทั้งกระทรวงพลังงาน อุตสาหกรรม ธ.ก.ส. ออมสิน คาดว่ามีเงินลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท 



ด้านนายสุริยะ จีงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสหากรรม กล่าวชี้แจงว่า เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีทุนในการประกอบธุรกิจ ขณะนี้มีวงเงินสินเชื่อ 3,000 ล้านบาท รองรับเกษตรแปรรูป วงเงินกู้ระยะสั้น 3 ปี วงเงินกู้ 3 ล้านบาทต่อราย และสินเชื่อวงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 เวลาเงินกู้ 7 ปี เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่ให้มีเงินทุนหมุนเวียน 

ร.อ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า หลายหน่วยงานรัฐได้มุ่งช่วยเหลือรายย่อยเกษตรกร เช่น การนำที่ดิน สปก. พื้นที่ 40 ล้านไร่ ที่มีอยู่พร้อมผลักดันนำมาจัดสรรให้กับเกษตรกรใช้ที่ดินทำกิน รัฐบาลพร้อมส่งเสริมบัตรสวัสดิการฯ เพื่อดูแลรายย่อยอย่างต่อเนื่อง 

ขณะที่ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ชี้แจงว่า ธนาคารออมสินขับเคลื่อนนโยบายรัฐ ผ่านยุทธศาสตร์ 3 สร้าง คือ 1.สร้างอาชีพ สร้างความรู้ 2.สร้างตลาด สร้างรายได้ และ 3.สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนรายย่อยในระดับฐานราก โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการฯ เข้าถึงการพัฒนาอาชีพ ได้ฝึกฝนและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ 

เชื่อมั่นว่าจะทำให้ประชาชนอาชีพนอกภาคเกษตรกรในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน สามารถข้ามเส้นความยากจนมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี คิดเป็น 33% และหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งมีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อปี คิดเป็น 1% พร้อมทั้งเตรียมสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการประชารัฐสร้างไทย เพื่อให้พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย และผู้มีรายได้น้อย ได้นำเงินไปเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ โดยใช้บุคคล หรือ บสย. เป็นหลักประกัน วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.50% ต่อเดือน (Flat Rate) ระยะผ่อนชำระเกิน 5 ปี (60 งวด) สามารถยื่นเรื่องขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งทั้งหมดจะมีศูนย์ยกระดับคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจฐานราก 17 ศูนย์ของธนาคารออมสิน ที่ครอบคลุม 8 จังหวัดภาคเหนือ จะให้การสนับสนุนทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การให้คำปรึกษาทางการเงิน และเป็นแหล่งข้อมูลด้านการท่องเที่ยวและสินค้าชุมชนด้วย รวมถึงเป็นศูนย์พัฒนาอาชีพด้วย โดยคาดว่าปีหน้าจะขยายเป็น 100 ศูนย์ทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในด้านต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรูปธรรม เชื่อมั่นว่า ด้วยการผลักดันนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ร่วมกับการประสานพลังประชารัฐของทุกภาคส่วน และภาคีเครือข่ายสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก จะทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ล้านนา 8 จังหวัดนำร่อง ประสบความสำเร็จสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่มีความกินดีอยู่ดี มีความสุข เพื่อสร้างพื้นฐานและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะขยายผลประชารัฐสร้างไทยไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศต่อไป

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธอส.ได้มอบสินเขื่อ "ประชารัฐ ทำให้คนไทยมี 'บ้าน' ได้จริง" ตามมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้แก่ลูกค้าที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อดังกล่าว ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ หอประชุมกาญจนาภิเษก ม.แม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562




16พันธมิตรโชวห่วยตบเท้าร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ติดปีกร้านค้าโชวห่วยไทย



"วีรศักดิ์  หวังศุภกิจโกศล" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือ 16 หน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคมการค้า ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ซัพพลายเออร์ สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา และผู้ให้บริการ Application ข่าวดี! ทุกฝ่ายพร้อมร่วมมือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงบพาณิชย์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาร้านค้าโชวห่วยไทยทั่วประเทศ
  
เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2562  นายวีรศักดิ์  หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเช้านี้ (วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562) ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเชิญหน่วยงานพันธมิตร 16 หน่วยงาน เข้ามาประชุมหารือแนวทางการพัฒนาร้านค้าโชวห่วยร่วมกัน  พร้อมทั้งกำหนดบทบาทและหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานพันธมิตรให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าใครจะต้องทำอะไรบ้าง เน้นให้เห็นเป็นรูปธรรมสามารถจับต้องได้ และนำไปปฏิบัติได้จริง โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้านประกอบด้วย 1) ด้านการปรับภาพลักษณ์ร้านค้า 2) ด้านส่งเสริมการตลาดและบริการเสริมเพิ่มรายได้ 3) ด้านส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและฐานข้อมูลเพื่อบริหารจัดการร้านค้า 



และ 4) ด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน  โดยสมาคมการค้าและซัพพลายเออร์ จะมาช่วยปรับภาพลักษณ์ร้านค้า ส่งเสริมการตลาดและบริการเสริมเพิ่มรายได้  สถาบันการศึกษาจะช่วยสร้างองค์ความรู้และสร้างทีมพี่เลี้ยงพัฒนาร้านค้า  สถาบันการเงินจะเข้ามาสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ส่วนสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและผู้ให้บริการ Application จะช่วยส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและฐานข้อมูลเพื่อบริหารจัดการร้านค้าให้มีประสิทธิภาพ  

นอกจากนี้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จะทำการเชื่อมโยงสินค้า SME สินค้า OTOP และสินค้าชุมชนจากท้องถิ่นเข้าไปจำหน่ายในร้านค้าโชวห่วยด้วย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการขาย เพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิตสินค้าชุมชนอีกทางหนึ่ง อันจะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืน บรรลุเป้าหมายตามแนวนโยบายของกระทรวงพาณิชย์และของรัฐบาลด้วย

“ร้านค้าโชวห่วย มีมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดของพวกเรา และอยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน เป็นธุรกิจพื้นฐานที่คนเริ่มหัดทำมาค้าขายต้องเคยทำ ก่อนที่จะขยายและแตกสาขาพัฒนาไปเป็นธุรกิจอื่นๆ  จากข้อมูลการสำรวจของ The Nielsen Company (Thailand) ว่าในปี 2562 มีร้านค้าปลีกโชวห่วยทั่วประเทศ จำนวน 443,123 ร้าน แบ่งสัดส่วนเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 34% ภาคกลาง 22% ภาคเหนือ 16% ภาคใต้ 15% และกรุงเทพและปริมณฑล 13% แสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของธุรกิจในส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นของไทยให้เข้มแข็ง แต่ด้วยสภาวะการตลาดของธุรกิจค้าส่งค้าปลีกไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านรูปแบบการแข่งขัน การตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้น ประกอบกับร้านค้าโชวห่วยเองยังขาดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่เป็นระบบ เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่มีการจัดทำบัญชีและภาษี ไม่มีทายาทรับช่วงต่อ ราคาสินค้าแข่งขันไม่ได้ เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน อีกทั้งไม่มีช่องทางรายได้อื่น ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับร้านค้าขนาดใหญ่ได้ ดังนั้น ร้านค้าโชวห่วยในท้องถิ่นจึงต้องปรับตัวด้วยการจัดร้านให้เป็นระบบ นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับรูปแบบการทำธุรกิจ เช่น เครื่อง POS มีโปรโมชั่นสนับสนุนจากซัพพลายเออร์ มีสินค้าชุมชนที่เป็นอัตลักษณ์ มีบริการเสริมเพิ่มรายได้ และขยายสู่ออนไลน์ จึงจะสามารถบริหารธุรกิจให้ Smart และเติบโตอย่างยั่งยืน”

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...