วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

จีนเชิญ 'พปชร.' ประชุมความร่วมมือ พรรคอาเซียน-พรรคคอมมิวนิสต์จีน




วันที่ 1 มิ.ย. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 29 พ.ค. - 5 มิ.ย. พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีหนังสือเชิญผู้แทนพรรคการเมืองของชาติสมาชิกอาเซียน รวมถึงติมอร์เลสเต เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนในระดับพรรคการเมือง ณ นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และมหานครฉงชิ่ง ในส่วนประเทศไทยพรรคพลังประชารัฐได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ โดยมีกรรมการบริหารพรรค 3 คน ได้แก่ ดร.ชาญกฤช เดชวิทักษ์ นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์ รวมทั้งตนเองไปร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์



นายสุรพร กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่มีการประชุมแลกเปลี่ยนในเวทีนี้ เป็นการต่อยอดจากเวทีประชุมสายแถบและเส้นทางระดับผู้นำซึ่งนายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง ได้หารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้เป็นการกระชับและสานต่อความร่วมมือทั้งในด้านเศรษฐกิจการค้า สังคมวัฒนธรรม และการเมือง โดยได้รับเกียรติจาก มร.Sun dawei(ซุน ต้าเว่ย) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำกว่างซี ให้การต้อนรับคณะผู้แทนพรรคการเมืองอย่างสมเกียรติ ในโอกาสนี้ ดร.ชาญกฤช ได้เป็นตัวแทนของพรรคการเมืองอาเซียน กล่าวสุนทรพจน์ถึงความร่วมมือระหว่างจีนและอาเซียนที่แน่นแฟ้นในทุกมิติ พร้อมทั้งขอบคุณในไมตรีจิตของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจโดยไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง

นายสุรพร เปิดเผยด้วยว่า ผู้แทนของทางการจีนได้นำคณะไปดูความสำเร็จในการแก้ปัญหาความยากจนในนครหนานหนิง โดยการพัฒนาสิทธิขั้นพื้นฐานให้ประชาชนเข้าถึง การนำอาสาสมัครมาร่วมพัฒนาอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อย การพัฒนาระบบเกษตรกรรมสมัยใหม่โดยนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่ประเทศไทยโดยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ดำเนินนโยบายลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชนทุกกลุ่มและเป็นนโยบายหลักของพรรคพลังประชารัฐที่ใช้หาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนี้คณะผู้แทนพรรคการเมืองยังจะได้เดินทางไปยังมหานครฉงชิ่ง เมืองที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขนส่งไปยังภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟไปยุโรป เอเชียตะวันออก และลงมาอาเซียน  

แนะวิธีหาอุปกรณ์ทำเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียงตามธรรมชาติต้นทุน 0 บาท


สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=EseEyN06K2M เป็นการหาอุปกรณ์ในการทำเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียงที่หาได้ตามธรรมชาติจากวัสดุที่เหลือใช้ โดยไม่ต้องลงทุนแม้แต่บาทเดียว 


แนะวิธีขยายพันธุ์ตำลึงประทังชีวิตตามแนวเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียง


สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wxPSjGK7dMQ ทั้งนี้การขยายพันธุ์ตำลึงนั้นนอกจากเมล็ดแล้วเถาก็สามารถขยายพันธุ์ได้ สร้างรายได้งาม 

เจ้าคุณสวีเดนนิมนต์เชิญผู้ร่วมประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐฯร่วมงานสันติภาพโลกที่สวีเดน



เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2562 พระวิเทศปุญญาภรณ์หรือเจ้าคุณสวีเดน เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม โบเดน ประเทศสวีเดน ได้เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม 2562  ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2562 ซึ่งมีวัดศรัทธาธรรม เมืองซานอันตินิโอ มลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพ โดยมีระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร เป็นประธาน ซึ่งมีพระธรรมทูตทูตจากประเทศสหรัฐอเมริกาและจากประเทศต่างๆ ทั้ง 4 ทวีปรวมทั้งสิ้น 350 รูป และผู้แทนจากสถานทูตไทยรวมถึงจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเข้าร่วมประชุมด้วย 




       
เจ้าคุณสวีเดนได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการจัดงานสันติภาพโลกที่ประเทศสวีเดนในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 และได้กราบนิมนต์และเชิญทุกรูป/คนเข้าร่วม และได้แจ้งว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมงานในครั้งนี้ต้องเดินทางถึงประเทศสวีเดนในวันที่ 29 มิถุนายน และเข้าพักโรงแรมในวันที่ 30 มิถุนายน เวลา 15.00-20.00 โดยงานสันติภาพโลกและงานมอบรางวัลและเลี้ยงฉลอง จัดขึ้นที่ Stockholm City Hall คือศาลาว่าการกรุงสตอกโฮล์ม สวีเดน  
     
"นอกจากการมอบรางวัลแล้วในงานมีการแสดงนานาชาติและการแสดงเพื่อเทิดพระเกียรติ และระหว่างวันที่ 1-3 กรกฎาคม 2562 คณะจากทั่วโลกจะลงเรือเพื่อเดินทางไปทัศนศึกษาที่เมืองทาลิน เมืองมรดกโลกที่ประเทศเอสโตเนีย และจะมีกิจกรรมเดินสันติภาพโลกในเมืองทาลินด้วย เสร็จแล้วคณะจะเดินทางลงเรือกลับถึงสตอกโฮล์ม วันที่ 3กรกฎาคม 2562 เวลา 11.00 น." เจ้าคุณสวีเดน กล่าวและว่า

การเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ทุกรูป/คนจะได้พักที่โรงแรมและและเรื่อ โดยสามารถสมัครและขอข้อมูลทางไลน์ abc2561หรือ www.worldpeacesweden.com

พระมหาสุเทพ สุวฑฺฒโน (เหลาทอง) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เสนอบทความเรื่อง "กลยุทธ์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสายต่างประเทศ" จากการวิจัยพบว่ากลยุทธ์หลักซึ่งพระพุทธเจ้าใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในช่วงเริ่มต้นประกาศพระศาสนา คือ เจาะจงกลุ่มเป้าหมายจากชนชั้นนาและชนชั้นปกครอง เพื่อจูงใจและดึงดูดให้ชาวเมืองจานวนมากสนใจพระพุทธศาสนา การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสายต่างประเทศ เป็นไปตามหลักอัตถะ 3 ประการ คือ 

1) ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ในชาตินี้ 2) สัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ในชาติหน้า และ 3) ปรมัตถประโยชน์ ประโยชน์อย่างยิ่ง ส่วนกลยุทธ์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสายต่างประเทศ วิเคราะห์จากจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค ปัญหาและอุปสรรคในการเผยแผ่ และข้อมูลจากการสัมภาษณ์ มาบูรณาการเป็นกลยุทธ์ 2 ระดับ คือ กลยุทธ์ระดับหน่วยงานและกลยุทธ์ระดับบุคคล กลยุทธ์ระดับหน่วยงาน ได้แก่ 

1) กาหนดเป้าหมายหลักและแนวทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ชัดเจนและประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง 2) จัดทาฐานข้อมูลของวัดในต่างประเทศและพระธรรมทูตสายต่างประเทศที่เป็นปัจจุบัน 3) สร้างฐานข้อมูลกลางในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของประเทศต่าง ๆ 

4) จัดทาฐานข้อมูลเกี่ยวกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาสองภาษา เช่น ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หรือภาษาบาลีและภาษาอังกฤษ และกลยุทธ์ระดับบุคคลหรือกลยุทธ์สาหรับพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ได้แก่ 


1) รู้เขารู้เรา ด้วยการวิเคราะห์ตนเอง ประเทศที่จะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา และแนวโน้มการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอนาคต และ 2) พัฒนาตนเองด้านความรู้ในพระพุทธศาสนา ทั้งปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ โดยเฉพาะด้านการสอนกรรมฐาน ด้านจริยวัตร และด้านภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่น

ชทพ.เอาด้วยแก้รธน.! 'นิกร'ยุปชช.เข้าชื่อขอ แนะสูตร 'กุญแจฝ่าค่ายกล 7ดาว'


 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงข้อเสนอของพรรคการเมืองที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล กรณีที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ว่า ในฐานะที่พรรคชาติไทยซึ่งมีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ และมีประสบการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีฉบับปี 2540 ทำสำเร็จมาแล้ว ทั้งนี้ครั้งนั้นการแก้ไขเป็นเรื่องยาก แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ยากกว่าเป็น 3 เท่า เพราะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับค่ายกล 7ดาว คงแก้ไม่ได้หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภา รวมทุกพรรคการเมือง องค์กรอิสระทุกแห่ง ดังนั้นต้องได้รับความเห็นเป็นเอกฉันท์จากทุกฝ่าย ตนมองว่าเงื่อนไขที่จะนำไปสู่แก้รัฐธรรมนูญได้ต้องใช้การประณีประนอมร่วมกัน จะเอาทั้งหมดไม่ได้ และพิจารณาร่วมกันว่าจะแก้ไขประเด็นใด เช่น การคำนวณคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้องหารือร่วมกันและตั้งคณะกรรมการเพื่อให้คนยอมรับ ซึ่งตนได้พูดคุยกับแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมไปเบื้องต้นแล้ว

เมื่อถามว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯ​จะแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เกิดในยุคคสช. นายนิกร กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีบทเฉพาะกาลอีก3 ปี ต้องค่อยแก้เท่าที่จำเป็น เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้วางรากไว้ลึก จึงต้องค่อยๆโค่น อย่ากินรวบคำเดียว​ นอกจากนั้นต้องพิจารณาในรายละเอียดให้ถี่ถ้วน ซึ่งอาจยึดโมเดลของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2540 ด้วยการใช้ความเห็นร่วมกันของทุกฝ่าย รวมถึงต้องให้ประชาชนเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญ และใช้ความปรองดองที่ยิ่งกว่าเป็นความปรองดอง ถึงจะสำเร็จได้ ส่วนใครจะเป็นผู้เสนอเรื่องนี้นั้น ตนมองว่าควรให้ประชาชนเป็นผู้เสนอจะดีที่สุด ผ่านการเข้าชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ จำนวน 50,000 รายชื่อ เพื่อเป็นกุญแจปลดล็อคเงื่อนไขที่สำคัญ เมื่อประชาชนสนับสนุน เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองจะร่วมสนับสนุน รวมถึงพรรคฝั่งรัฐบาลเช่นกัน ขณะที่รายละเอียดนั้นต้องเปิดช่องให้รัฐธรรมนูญสามารถแก้ไขได้ตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะของโลกปัจจุบัน

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องเร่งด่วน ดังนั้นไม่ว่าใครจะเสนอแก้ไข สำคัญคือ ต้องทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของประชาชน ให้ประชาชนยอมรับ และให้การสนับสนุนแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อประชาชนเสนอเรื่องผมเชื่อว่านักการเมืองทุกฝ่ายจะเอาด้วย รวมถึงรัฐบาล แต่การแก้ไขในรายละเอียดต้องเริ่มจากการแก้ไขทีละประเด็น ไม่ใช่เสนอแก้ไขทั้งฉบับในคราวเดียว เพราะเมื่อแก้ไขทั้งฉบับ อาจเกิดความกลัวขึ้นได้ รวมถึงอาจเป็นประเด็นที่นำไปสู่ความขัดแย้ง เช่น แก้ไขเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือแก้ไขเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ส่วนโมเดลของการแก้ไขในชั้นรัฐสภานั้นต้องตั้งกรรมการร่วมขึ้นพิจารณา และให้บุคคลภายนอกร่วมด้วย เช่น กรรมการองค์กรอิสระ” นายนิกร กล่าว

นายนิกร กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 แม้จะผ่านการทำประชามติ แต่ก็ขาดการยอมรับจากประชาชน ดังนั้นหากจะขับเคลื่อนการแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จต้องเริ่มจากการยอมรับจากประชาชนก่อน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เพราะหลังจากแก้ไขแล้วเสร็จ ต้องนำกลับไปให้ประชาชนลงประชามติอีกครั้ง​ ส่วนการแก้ไขแล้วเสร็จจะต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่หรือไม่นั้น ตนมองว่าเป็นภาพของมุมการเมืองจนเกินไป ดังนั้นเป็นประเด็นที่ต้องตัดสินใจในภายหลัง โดยไม่ตั้งธงตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอาชนะคะคานกัน หรือเป็นฝ่ายผู้แพ้ หรือผู้ชนะ เพราะผลดีที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ใช่ประโยชน์ที่จะเกิดกับฝ่ายใดเท่านั้น หรือ เป็นประเด็นที่นำไปหาเสียงกับประชาชนได้ ดังนั้นผมเชื่อว่ารัฐบาลจะสนับสนุนด้วย และหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จในรัฐบาล พอหลังการเลือกตั้ง ต้องให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นสามารถดำเนินการได้ต่อ” นายนิกร กล่าว

รายข่าวจากพรรคชาติไทยพัฒนา แจ้งว่า ระหว่างที่แกนนำพรรคพลังประชารัฐ พูดคุยเพื่อเทียบเชิญพรรคชาติไทยพัฒนาเข้าร่วมรัฐบาลนั้นได้ยกประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาหารือ เนื่องจากพรรคชาติไทยพัฒนาได้สอบถามความคิดเห็นถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากหัวหน้าและแกนนำของพรรคพลังประชารัฐว่ามีแนวทางอย่างไร พร้อมกับเสนอแนะข้อคิดเห็นว่า พรรคชาติไทยพัฒนาเห็นว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากพบว่ารัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติ แต่ขาดการยอมรับจากประชาชนในวงกว้าง และหลายประเด็นมีปัญหาในทางปฏิบัติ จำเป็นต้องแก้ไข ซึ่งแกนนำพรรคพลังประชารัฐ รับข้อเสนอดังกล่าวไปหารือภายในพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง

'ชวน'เผย 5 มิ.ย.! นัดประชุมรัฐสภาโหวตเลือกนายกฯ


วันที่ 31 พ.ค.2562 นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังรับพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า เมื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งก็จะเริ่มปฏิบัติงานในภาระหน้าที่ประธานสภาฯและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)ในทันที โดยในวันพรุ่งนี้ เลขาธิการรัฐสภา จะส่งหนังสือเรียนสมาชิกส.ส.เพื่อแจ้งวาระการประชุมใน วันที่ 5 มิถุนายนนี้ โดยในการประชุม ช่วงเช้า 09.00 น. จะเป็นการ ปฏิญาณตนของส.ส.ใหม่และส.ส.ที่ป่วยจากครั้งที่ผ่านมาจำนวน 4 คน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเวลา 11.00 น. 

"และหลังจากนั้นจะประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี โดยตนได้คุยกับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา แล้วในเรื่องดังกล่าว โดยได้มีการเตรียมความพร้อมและยืนยันใช้สถานที่เดิม หอประชุมใหญ่ ทีโอที แจ้งวัฒนะ เนื่องจากมีความพร้อมมากที่สุด" นายชวน กล่าว 

'ก.ล.ต.–กสม.'ร่วม MOU ส่งเสริมการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนสู่ความยั่งยืน



ก.ล.ต. และ กสม. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนประกอบธุรกิจ ที่ส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน พร้อมจัดสัมมนาเรื่อง “สิทธิมนุษยชน: ปัจจัยขับเคลื่อนความสามารถ ในการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนไทยสู่ความยั่งยืน” ตามหลักการชี้แนะ เรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ขององค์การสหประชาชาติ (UNGPs) เชิญวิทยากรที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ด้านการเคารพสิทธิมนุษยชน  

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และนายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีการลงนามข่อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมและสนับสนุนองค์ความรู้ให้บริษัทจดทะเบียนและผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ตระหนักถึงการประกอบธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน โดยให้ความสำคัญกับการนำหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UNGPs) ซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกไปปรับใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละธุรกิจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง



นายวัส กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า กิจกรรมในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ กสม. ในการเผยแพร่หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีความรู้ความเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เนื่องจากเห็นว่าการปฏิบัติตามหลักการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยป้องกันและบรรเทาปัญหาผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการประกอบธุรกิจ เป็นการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ ตามหน้าที่และอำนาจของ กสม. ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 

นายวัส กล่าวต่อว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้แสดงให้เห็นว่าการประกอบธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงสิทธิและผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากมาย และในที่สุดแล้วปัญหาดังกล่าวจะย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเอง นอกจากนี้ การประกอบธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้คนอาจส่งผลเสียต่อประเทศในภาพรวมด้วย เพราะการประกอบธุรกิจดังกล่าวมักทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา ความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ได้จากการประกอบธุรกิจในลักษณะนี้จึงไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน 

"สำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับและพัฒนาตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กสม. จึงเห็นว่าแนวทางการดำเนินงานของ ก.ล.ต. มีความสอดคล้องกับหลักการชี้แนะฯ ของสหประชาชาติอยู่แล้วในหลายส่วน หากภาครัฐจะสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนของไทยคำนึงถึงมิติสิทธิมนุษยชน ซึ่งนับวันจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการทำธุรกิจกับต่างประเทศ จะช่วยส่งผลดีทั้งต่อการทำธุรกิจเองและต่อการพัฒนาประเทศดังนั้น กสม. และ ก.ล.ต. จึงเห็นพ้องกันว่าทั้งสองหน่วยงานควรมีความร่วมมือกันส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยในตลาดทุนเคารพสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น" ประธาน กสม.ระบุ   

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า  ก.ล.ต. มีบทบาทในการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียน บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนโดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล รับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม การลงนามใน MOU
กับ กสม. และการจัดสัมมนาในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ก.ล.ต. ที่จะส่งเสริม ให้ภาคธุรกิจในตลาดทุนนำหลักการชี้แนะเรื่องสิทธิมนุษยชนไปบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายขององค์กร และปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีการติดตามความคืบหน้า นอกจากนี้ ก.ล.ต. จะส่งเสริมการหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าวในเวทีระหว่างประเทศ และเผยแพร่การดำเนินงานของประเทศไทยให้ต่างประเทศได้ทราบ รวมถึงการมีส่วนร่วมของ ก.ล.ต. ในเรื่องนี้ และความคืบหน้าต่าง ๆ ต่อไป 

นอกจากนี้ ก.ล.ต. กสม. และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาในหัวข้อ “สิทธิมนุษยชน: ปัจจัยขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียนไทยสู่ความยั่งยืน” ตามหลักการชี้แนะ เรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศร่วมถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้ลงทุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการดำเนินธุรกิจ ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเคารพสิทธิมนุษยชน เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับมาตรฐานตลาดทุนไทยเติบโตด้วยความยั่งยืน

พิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง'ปธ.-รอง'สภาฯและวุฒิสภา



พิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ประธาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธาน รองประธานวุฒิสภา 'ชวน'เผย  5 มิ.ย.โหวตเลือกนายกฯ

วันที่ 31 พ.ค.2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขณะที่โปรดเกล้าฯ ให้ นายสุชาติ ตันเจริญ และนายศุภชัย โพธิ์สุ เป็นรองประธานรัฐสภา ความว่า 
          
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมพ.ศ.2562 เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเมื่อวันที่ 26  พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้
          
1. นายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร๒. นายสุชาติ ตันเจริญ เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง๓. นายศุภชัย โพธิ์สุ เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง
          
จึงแต่งตั้งให้ผู้มีนามดังกล่าวเป็นประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามความในมาตรา 116 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปประกาศ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 เป็นปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน
          
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี

พร้อมกันนี้ยังเผยแพร่ประกาศแต่งตั้งประธานและรองประธานวุฒิสภา ใจความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่วุฒิสภาได้ลงมติเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2562 เลือกสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นประธานและรองประธานวุฒิสภา ดังนี้
          
1.นายพรเพชร วิชิตชลชัย เป็นประธานวุฒิสภา
          
2.พลเอก สิงห์ศึก สิงห์ไพร เป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง
          
3.นายศุภชัย สมเจริญ เป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่สอง

จึงแต่งตั้งให้ผู้มีนามดังกล่าวเป็นประธานและรองประธานวุฒิสภา ตามความในมาตรา 116 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้เวลา 15.15 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) พร้อมด้วยรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ประธาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ประธาน รองประธานวุฒิสภา ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล ไปยังรัฐสภา เกียกกาย และอาคารสุขประพฤติ ถนนประชาชื่น ตามลำดับ ต่อจากนั้นนายชวนพร้อมด้วยนายสุชาติและนายศุภชัยประกอบพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ตามด้วยนายพรเพชรพร้อมด้วยรองประธานวุฒสภาทั้งสองคนประกอบพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง

ทั้งนี้นายชวนได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ปรึกษาหารือกับนายพรเพชรได้ข้อสรุปว่าจะมีการประชุม ส.ส. ร่วม ส.ว. เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ที่ศูนย์การประชุม บ.ทีโอที 

'จุรินทร์'ย้ำชัดต้องแก้รธน.! 1 ใน 2 เงื่อนไขร่วม 'พปชร.'




เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 31 พ.ค.2562  ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าประชาธิปัตย์จะร่วมรัฐบาลหรือไม่ว่า ต้องเริ่มต้นที่พรรคพลังประชารัฐก่อน ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นขั้วหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้นับหนึ่งที่ประชาธิปัตย์ ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดทราบตรงกันว่าพลังประชารัฐมาเชิญประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล แต่ที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเลื่อนการประชุมออกไปเป็นเพราะพลังประชารัฐต้องใช้เวลาในการทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นหนึ่งเดียวเสียก่อน จึงต้องให้เวลา แต่สำหรับการทำหน้าที่ของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอยู่แล้ว โดยจะต้องนัดประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ต้องถามท่านว่าจะนัดประชุมเมื่อไหร่ ถือเป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการ 

เมื่อถามว่าการที่นายชวนเป็นประธานสภาแล้วจะผูกมัดว่าประชาธิปัตย์ต้องเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า การที่พรรคไหนจะเสนอชื่อใครเป็นนายกอย่างไรก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละพรรคการเมืองที่จะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งในส่วนของประชาธิปัตย์ยังไม่ได้มีการประชุมกันว่าจะเสนอใครเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะคงต้องนับหนึ่งที่พลังประชารัฐก่อนว่ามีความเห็นอย่างไร แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งความคืบหน้าใด ๆ จากพรรคพลังประชารัฐ

เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐออกมาระบุว่าจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีก่อนค่อยมาจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีและนโยบาย นายจุรินทร์ กล่าวว่า ก็สุดแล้วแต่พลังประชารัฐ เพราะต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ประชาธิปัตย์ป็นพรรคขนาดกลางมีแค่ 53 เสียง ก็ต้องเข้าใจสถานภาพของตัวเองว่าอยู่ในฐานะไหน และเรื่องนี้ยังไม่เคยคุยกันว่าจะต้องโหวตนายกก่อนค่อยจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะข้อเท็จจริงคือ พลังประชารัฐมาเชิญประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาล ซึ่งเดิมคิดว่าทุกอย่างจะยุติตามที่ได้พูดคุยกันแล้ว แต่เนื่องจากกิดปัญหาความไม่ลงตัว

"ก็ต้องขอพูดตรง ๆ ว่าเป็นปัญหาในส่วนของพลังประชารัฐ จึงเป็นที่มาที่พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องเลื่อนการประชุมออกไป ตอนนี้ก็ต้องให้เวลาพลังประชารัฐในการคลี่คลายสถานการณ์ต่าง ๆ และตัดสินใจ ส่วนจะตัดสินใจอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์เราเคารพการตัดสินใจของเขา ทั้งนี้พรรคไม่ได้กำหนดว่าพลังประชารัฐจะต้องให้คำตอบกับประชาธิปัตย์เมื่อไหร่" นายจุรินทร์ กล่าว

เมื่อถามว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีงวดเข้ามาแล้ว การตั้งรัฐบาลควรเสร็จก่อนเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับพรรคพลังประชารัฐที่เป็นแกนนำจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะตัดสินใจอย่างไร ตนตอบแทนไม่ได้ แต่ในส่วนของพรรคหากไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองอื่นก็มีมติของตัวเองได้อยู่แล้ว แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับพรรคอื่น โดยเฉพาะพลังประชารัฐก็ต้องรอว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร ส่วนพรรคจะมีมติแยกระหว่างการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกับการร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ในการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างไร ประชาธิปัตย์อยู่ในสถานะไหน เพราะขณะนี้ยังอยู่ในสถานะของความเป็นประชาธิปัตย์ เรายังไม่ได้พิจารณาตัดสินใจว่าจะร่วมรัฐบาลหรือไม่อย่างไร ถ้าถึงวันนั้นพรรคก็ต้องมีมติอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจในสภาผู้แทนราษฎร พรรคก็ต้องมีการประชุมร่วมกันโดยเฉพาะการตัดสินใจว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับการตอบรับการร่วมรัฐบาลอาจไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตอบล่วงหน้าไม่ได้ แต่ได้พูดคุยเบื้องต้นในเรื่องเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะประชาธิปัตย์มองว่าเป็นเรื่องสำคัญหากจะตัดสินใจร่วมงานกับพลังประชารัฐ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องพาประเทศเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นได้ ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ ไม่หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาโอกาสที่ประเทศจะเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นมันริบหรี่ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ทำยากมาก ไม่ใช่แค่ใช้เสียงข้างมากในรัฐสภาเท่านั้น แต่กำหนดเงื่อนไขว่าให้ใช้เสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่งของรัฐสภาคือสองสภารวมกันแล้ว ต้องมีฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และยังต้องได้เสียงสว.หนึ่งในสามด้วย ดังนั้นจึงเกือบจะปิดประตูในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงคือ แก้รัฐธรรมนูญด้วยวิธีไม่ปกติ ซึ่งเราไม่ประสงค์ให้เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาว่าำทำไมพรรคต้องยื่นเงื่อนไขเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ว่าถ้าร่วมรัฐบาล รัฐบาลต้องเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญในนามรัฐบาลหรือกำหนดเป็นนโยบาย เพราะจะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า นอกจากนั้นก็มีการเสนอเรื่องนโยบายที่ประชาธิปัตย์หาเสียงไว้กับประชาชนว่าถ้าจะฟื้นเศรษฐกิจต้องนับหนึ่งจากเศรษฐกิจฐานราก คือนโยบายประกันรายได้เกษตรกรของพรรคต้องได้รับการพิจารณาบรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาล ทั้งหมดจะต้องอยู่ที่พรรคแกนนำว่าจะตอบรับข้อเสนอนี้หรือไม่ ซึ่งเงื่อนไหขทั้งสองข้อมีความสำคัญต่อการตัดสินใจว่าจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ จึงต้องรอคำตอบจากพลังประชารัฐก่อนว่าจะรับข้อเสนอของพรรคหรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

'ธนาธร'ลุยงานนอกสภาแล้ว เปิดเวทีฟังปัญหาชาวประมง


วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 ที่ตลาดมั่นคงมหาชัย จ.สมุทรสาคร นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเวทีรับฟังปัญหาของชาวประมงในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โดยเป็นบทบาทในฐานะผู้แทนราษฎรนอกสภาครั้งแรก ตามที่นายธนาธรได้เคยกล่าวไว้ว่าจะเดินหน้าทำงานนอกสภา หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ มีตัวแทนชาวประมง ผู้ประกอบการประมง สมาคมประมง และตัวแทนจากหอการค้าจังหวัด มาร่วมสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น โดยตัวแทนผู้ประกอบการส่วนหนึ่งสะท้อนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นโดยหลักแล้วมาจากการบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่ของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าสิ่งที่เป็นกฎหมายสากลชาวประมงเองก็ต้องให้ความเคารพและมีการปรับตัว แต่วันนี้ ประเทศไทยกำลังทำเกินกว่าที่กฎหมายสากลกำหนดไว้ หลายครอบครัวไม่สามารถทำประมงได้ทั้งๆที่เป็นอาชีพที่ยึดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ปัจจุบันยังมีเรือประมงอีกหลายลำที่ไม่สามารถออกเรือได้ หรือขาดแรงงานที่จะมาทำประมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนชาวประมงส่วนใหญ่เห็นร่วมกันว่า ต้องการให้มีการแก้ไขกฎหมาย โดยทางฝั่งชาวประมงเองก็พร้อมที่จะยอมรับกฎหมายที่สมเหตุสมผล เช่น การกำหนดเขตจับสัตว์น้ำ การกำหนดความถี่ของอวน เป็นต้น ส่วนเรื่องของแรงงาน เห็นว่าควรต้องมีการปรับมาตรการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังเห็นว่าควรจะมีการเยียวยาชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนฟื้นฟูการทำประมง โดยให้เป็นไปตามหลักกฎหมายสากลที่ถูกต้อง โดยยอมรับว่าชาวประมงเองก็ต้องมีการปรับตัว เพื่อรักษาทรัพยากรทางทะเลให้สัตว์น้ำมีปริมาณที่มากอยู่

หลังการรับฟังความคิดเห็น นายธนาธร กล่าวกับตัวแทนชาวประมงและประชาชนที่มาร่วมเวทีในวันนี้ โดยระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้กำลังส่งผลกระทบอย่างเป็นวงกว้างไปถึงทุกภาคส่วน ตั้งแต่เรือประมงไปจนถึงห้องเย็นและผู้ค้าในตลาด แต่การจะบอกว่าหลักการ IUU ซึ่งรัฐนำมาบังคับใช้ผิดไปทั้งหมดก็ไม่ใช่ เพราะการทำประมงในประเทศไทยในอดีตก็มีปัญหาจริงๆ ตั้งแต่เครื่องมือการจับสัตว์น้ำที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล ไปจนถึงการละเมิดสิทธิแรงงาน ต้องยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจริง  แต่ทว่าการบังคับใช้กฎหมายนี้ในปัจจุบันเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาล คสช.ที่ไม่มีฝ่ายค้าน ไม่เคยมีการรับฟังปัญหาจากชาวประมง ที่ผ่านมามีแต่การรับฟังปัญหาจากทุนขนาดใหญ่ที่ผูกขาดการส่งออกปลาทูน่า ซึ่งได้รับผลกระทบจากการออกใบส้มของสหภาพยุโรปไปด้วย ดังนั้น การออกมาตรการบังคับใช้ดังกล่าว จึงกลายเป็นมาตรการบังคับใช้กฎหมายต่อชาวประมงขนาดกลางและขนาดย่อย เพื่อให้ทุนขนาดใหญ่สามารถส่งออกได้ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก

“ถ้าเป็นบรรยากาศประชาธิปไตยปกติ พ.ร.บ.ประมงตัวนี้ผ่านไม่ได้ เพราะเรามีผู้แทนในสภาที่ประชาชนสามารถมาหา มาสะท้อนปัญหา ไปเสนอปัญหาไปคัดค้านรายละเอียดในสภาได้ แต่ 5 ปีที่ผ่านมาเราไม่มีผู้แทน การชุมนุมก็ถูกสั่งห้าม มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ ส่วนหนทางการแก้ปัญหานั้น แม้กฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันจะมีปัญหา แต่การแก้ไขก็ยังคงต้องรักษาหลักการสำคัญ 3 ประการเอาไว้อยู่ คือประการแรก ทรัพยากรทางทะเลจะต้องได้รับการรักษาไว้ให้ยั่งยืน จะไปใช้หมดไม่ได้ ประการที่สอง ทรัพยากรชายฝั่งก็ต้องรักษาไว้ และประการที่สาม สิทธิมนุษยชนของแรงงานต้องรักษาไว้ด้วย ต้องปฏิบัติต่อแรงงานไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างด้าวอย่างให้เกียรติ มีศักดิ์ศรี” นายธนาธรกล่าว

หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่เราต้องทำคือการไปดูในรายมาตรา จะแก้ไขในเรื่องไหน สิ่งที่เราสัญญาได้ คือเรามีความตั้งใจที่จะเอา พ.ร.บ.ประมง 2560 และกฎหมายลูกอื่นๆไปแก้ไขหรือร่างใหม่ให้เหมาะสม โดยมีการรับฟังความคิดเห็นจากชาวประมงและผู้เชี่ยวชาญ เรื่องต่อมาคือการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายที่เกินกว่าเหตุ และการนำเอากองทัพออกจากการจัดการประมง นี่คือเรื่องของพลเรือน นี่คือสิ่งที่เราจะทำ แต่เราไม่ขอลงรายละเอียด เพราะธนาธรไม่ใช่ชาวประมง เราต้องเอาชาวประมง เอาผู้เชี่ยวชาญ เอานักวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาคุยกันว่าจะต้องแก้ไขตรงไหน เพื่อให้การทำประมงเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพสูงสุดและยังคงทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำฟื้นฟูตัวเองได้อย่างยั้งยืน

เซียมซีใบที่ ๑ เขียนเป็นในสุดท้าย....'เจ้าคุณธงชัย'ตั้งจิตอธิฐาน

  
เซียมซีใบที่ ๑ เขียนเป็นในสุดท้าย.... ในจำนวน ๑๐๐ ใบ โดยเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตฯ พร้อมได้ภาวนา และตั้งจิตอธิฐานให้ด้วยว่า "ให้ผู้ที่มาเสี่ยงได้คำทำนายที่ตรงใจผู้เสี่ยงทาย" 

วันที่ ๒๗-๒๙ กรกฏาคม ๒๕๖๑ ผมได้นำไปถวายให้เป็นสมบัติของ วัดนาผา ต.กองควาย อ.เมือง จ.น่าน พร้อมจะนำพระพุทธรูป หน้าตัก ๒๐ นิ้ว จำนวน ๕ องค์ ซึ่งเป็นพระที่ "หมอประเสริฐ" คนจอมขมังเวทย์แห่งเมืองนนทบุรี นั่งสวดมนต์มากว่า ๓๐ ปี

"๑ เดียวในโลก!"  ที่สุดแห่งเซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย ที่สุดแห่งหมอดู ๑๐๐ คนเขียน

เซีบมซี ๑๐๐ คำทำนาย จาก ๑๐๐ พระเกจิ (หมอดู โหร ร่างทรง) ครบ ๑๐๐ ใบ แล้ว 

เมื่อ ๑๑ - ๑๒ - ๑๓ เมษายน ได้ไปถวาย หลวงพี่ปลั้ก เจ้าอาวาสวัดนาผา อ.เมือง จ.น่าน ให้อุ่นใจ

ไป จ. น่านคราวนั้นไปซื้อไผ่ฮก (ไผ่ยักษ์) เพื่อมาทำกระบอกเซียมซี และจะขึ้นไปถวายอีกครั้ง

ตลอด ๓ ปี ที่ผ่านมา ผมตะเวรเดินสาย กลาง เหนือ อีสาน ใต้ เพื่อรวบรวมคำทำนายจากหมอดูชื่อดังในจังหวัดนั้นๆ

ใน กทม. เช่น เจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตร เจ้าคุณพรหมฯ พระพุทธทำนาย พระมหาสุคนธ์ วัดพลับ พระมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่ ฯลฯ เรียกว่าจังหวัดไหนหมอดูดังเอาให้เขียนทุกท่าน

ที่สำคัญผมได้ให้แต่ละคนเขียนด้วยลายมือท่านเอง และเขียนให้เฉพาะวัดนาผา ต. กองควาย อ.เมือง จ .น่าน เท่านั้น

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
มี ๑๐๐ คาถามงคล ๑๐๐ สุภาษิตล้านนา ๑๐๐ ยันต์ ๑๐๐ วิธีทำบุญ และ ๑๐๐ เลขมงคล

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
เป็นเซียมซีเขียนขึ้นด้วยความตั้งใจ ความรัก ความศรัทธา และ เพื่อเป็นที่ระลึก ถึง

"เขาคนนี้ เขาคนโน้น เขาคนน้าน เขาคนน่าน ใครบางคน และ เพื่อใครอีกหลายๆคน"

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
ใบแรกเขียน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (วันคล้ายวันเกิดของใครบางคน)

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
ใบที่ ๒ เขียนเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ วันที่เขาคนนั้นจากไป

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
ใบสุดท้ายผมตั้งใจว่า จะเชียนในันที่ "เขาคนนั้นกลับมา" แต่ผมคิดว่า "ก่อนที่เขาจะกลับมาผมจะจากไปก่อน"

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
ผมขับรถเดินทางไปให้หมอดูแต่ละคนเขียนทุกๆ ใบ ด้วยลายมีตนเองทั้งหมด

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
ทุกใบจะถูกอธินฐานจิต ๑๐๐ ครั้ง เพื่อให้ได้คำทำนายที่เป็นคำตอบโดนใจ

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
เซียมซี ๑ ใบ ใช้เวลาเดินทางไปเขียนโดยเฉลี่ย ๒-๓ วัน ๑๐๐ ใบ ใช้เวลาเขียน ๒๐๐ -๓๐๐ วัน

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
เซียมซี ๑ ใบ ใช้เวลาเดินทางไปเขียนโดยเฉลี่ย ๑,๐๐๐ กม. เชียมซี ๑๐๐ ใบ ต้องเดินทาง ๑๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
เซียมซี ๑ ใบ ใช้เงินใช้จ่ายเดินทางไปเขียนโดยเฉลี่ย ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท เซียมซี ๑๐๐ ใบ ใช้เงินประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ๓๐๐,๐๐๐ บาท

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...

เซียมซี ๑ ใบ ใช้เวลาเดินทางไปเขียนโดยเฉลี่ย ๒-๓ วัน

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
ทุกๆ ใบที่เขียนจะให้คนเขียนตั้งจิตอธิฐานเพื่อความเป็นศิริมงคล เมื่อใครเสี่ยงได้ใบนั้นๆ

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...

ณ วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เขียนได้ใบที่ ๙๖ เหลืออกเพียง ๔ ใบเท่านั้น จะครบ ๑๐๐ ใบ

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...

ใบล่าสุดในที่ ๒๖ เขียนโดย "พระอาจารย์มี" พระรูปหนึ่งที่สร้างวัดอยู่ ณ กลางเทือกเขาภูพาน ชื่อ วัดพระบาทน้ำทิพย์ ท่านเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ฤาษี ลิงดำครับ

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...

กำชับหมอดูทุกท่านว่า "ในรอบ ๑๐ นี้ อย่าเขียนให้ใครอีกเลยนะครับ แม้กระทั้งตัวผมเองด้วยครับ"

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย...
ใครที่เสี่ยงเซียมซีขุดนี้ ต้องสวดมนต์ บริกรรมคาถาบทที่ตัวเองถนัด เท่าจำนวนอายุผู้นั้น

เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย.... 
จาก ๑๐๐ หมอดู แห่งวัดนาผา ต่อไปจะมีคำพูดที่ว่า...

"ถ้าใครไปน่านแล้วไม่ได้เสี่ยงเซียมซี เซียมซี ๑๐๐ คำทำนาย จาก ๑๐๐ พระเกจิ ถือว่าไปไม่ถึงน่านครับ"

Cr.เพจ พระองค์ครู ไตรเทพ ไกรงู

'ไพศาล'ซัด'ขบวนการขายชาติ' กีดกันใช้'พืชกัญชา'รักษาโรค

         


เมื่อวันที่ 31 พ.ค.นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ต้องขอสะกิด หมอบางคนของโรงพยาบาลบางแห่ง ที่จงใจปล่อยข่าวเป็นระยะว่า การใช้ยากัญชา เกินขนาด ทำให้มีคนไข้ ต้องไปห้องฉุกเฉินนั้น ก็อยากจะถามแทนเครือข่ายผู้ป่วยมะเร็งว่า โรงพยาบาลของท่านหรือตัวท่านเองเคยรักษาแล้วมีคนตายกี่คน? และคนที่ตายโดยท่านเป็นผู้รักษานั้น ตายเพราะใช้ยากัญชากี่คน ตายเพราะการรักษาของท่านกี่คน บอกประชาชนหน่อย และต่อไปนี้ถ้าโรงพยาบาลไหนหรือหมอคนไหนมา บิดเบือนเรื่องการใช้ยากัญชา ประชาชนและเครือข่ายรณรงค์เสรีกัญชาก็ต้องช่วยกันถามเช่นนี้
          
"ขบวนการขายชาติ กล่าวหากีดกันขัดขวางข่มขู่คนป่วยมะเร็งและญาติพี่น้องรวมทั้งผู้ป่วยสารพัดโรคที่ต้องการใช้ยานาโน แม้กระทั่งข่มขู่แพทย์แผนไทยและแพทย์ที่ใช้ยาน้ำมันกัญชาว่าเป็นยาเสพติด แต่ขณะเดียวกันจ้องจะยกสิทธิบัตรและพันธุ์พืชกัญชา กัญชงและกระท่อม ซึ่งเป็นทรัพย์สินแผ่นดินที่ล้ำค่าของชาติและประชาชน ให้แก่ต่างชาติและนายทุนผูกขาด และจ้องที่จะนำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งที่คนไทยก็ปลูกได้ปลูกเป็นและเราก็มีพันธุ์กัญชาดีที่สุดในโลกมีภูมิอากาศและดินที่เหมาะสมมากที่สุดในโลก ถ้าเป็นยาเสพติดแล้วทำไมต้องยกสิทธิให้ต่างชาติ? ถ้าเป็นยาเสพติดแล้วทำไมจะนำเข้ามาจากต่างประเทศมาขายคนไทยแพงๆว่ะ!"นายไพศาล ระบุ

สมเด็จพระสังฆราชประทานวรธรรมคติ ที่ประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา

 

สมเด็จพระสังฆราชประทานวรธรรมคติ ที่ประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา ย้ำเตือนพระธรรมทูตทั่วโลก ยึดมั่นในขันติธรรมหนึ่งในหลักโอวาทปาติโมกข์ แผ่ธรรมเสริมสันติสุขแก่ชาวโลก พระพรหมวชิรญาณเผยมอบ 'มจร' ออกแบบพัฒนาเน้นเรียนออนไลน์เพิ่มทักษะยุคดิจิทัล


วันที่ 30 พฤษภาคม 2562 ตามเวลาท้องถิ่น ที่วัดสัทธาธรรม มลรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา พระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดการประชุมสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 43/2562 โดยมีพระธรรมทูตในประเทศสหรัฐอเมริกา และพระธรรมทูตจากทั่วโลกกว่า 350 รูป เข้าร่วม

ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานวรธรรมคติ เพื่อกระตุ้นการทำงานของพระธรรมทูตโดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า "การทำงานพระธรรมทูตเพื่อเสริมสร้างสังคมโลกให้เกิดสันติสุขนั้น ย่อมเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาและอุปสรรคในการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีความคิดและความเชื่อที่แตกต่าง ฉะนั้น จึงขอให้พระธรรมทูตยึดมั่นในหลักโอวาทปาติโมกข์ที่พระองค์ได้ตรัสว่า ความอดทนคือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง ซึ่งจะทำให้ชาวโลกได้รับประโยชน์จากหลักธรรมคำสอนของพุทธองค์"

พระพรหมวชิรญาณ ได้ย้ำว่า เจตนารมณ์ในการจัดตั้งสมัชชาสงฆ์ไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อแสวงหาแนวทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้าไปช่วยคลี่คลายปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติศาสนกิจของพระธรรมทูตในประเทศสหรัฐอเมริกา องค์กรนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์ แต่ออกแบบมาเพื่อให้เอื้อต่อการทำงานของพระธรรมทูต อย่างไรก็ตามปัญหาและอุปสรรคสำคัญของพระธรรมทูต คือ  ทักษะการใช้ภาษา และความเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศ และชุมชนต่างๆ ที่พระธรรมทูตออกไปเผยแผ่ ด้วยเหตุนี้ จึงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เพื่อเข้ามาทำหน้าออกแบบการพัฒนาและฝึกอบรมพระธรรมทูต 

พระราชปริยัติกวี,ศ.ดร. อธิการบดี มจร ได้นำเสนอว่า  ในโอกาสที่เรามี พรบ.การศึกษาของตัวเองนั้น ขอให้สมัชชาสงฆ์ไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดวางโครงสร้างและแนวทางการการทำงานเพื่อพัฒนาการศึกษาด้านปริยัติธรรม และบาลีในประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะที่การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เพราะหากสามารถวางรากฐานการศึกษาสำเร็จ จะทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นระบบมากยิ่งขึ้น 

อธิการบดี มจร กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ มหาจุฬาฯ ได้ตั้งวิทยาลัยพระธรรมทูตขึ้นมาเพื่อตอบสนองการพัฒนาศักยภาพการทำงาน และการพัฒนาพระธรรมทูตให้สามารถตอบโจทย์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาระดับโลกได้อย้างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

"มหาจุฬาฯได้จัดวางนโยบายให้วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ ได้ทำหน้าที่ในการจัดการเรียนการสอนในลักษณะการเรียนแบบออนไลน์ โดยการเปิดพื้นที่ให้มีการระดับประกาศนียบัตร และวุฒิบัตรหลักสูตรสติ และสมาธิ ซึ่งชาวโลกกำลังให้ความสนใจเพิ่มสูงขึ้นมาก และ มจร มีศักยภาพด้านนี้ ทั้งนี้วัดต่างๆ สามารถเป็นช่องทางในดึงกลุ่มคนต่างๆ เข้ามาศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติร่วมกัน" พระราชปริยัติกวี กล่าว

ขณะที่เดียวกันที่ประชุมได้กระตุ้นให้มีการพัฒนาพระธรรมทูตอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ความต้องการของชาวโลก แล้วออกแบบหลักสูตรเพื่อพัฒนาพระธรรมทูตให้สอดรับกับความต้องการของชาวโลก ทั้งนี้ที่ประชุมได้เน้นว่าควรพัฒนาพระธรรมทูตให้มีทักษะการสอนสติและสมาธิอย่างเข้าใจและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียว ทักษะที่สำคัญที่ต้องพัฒนาร่วมคือ ทักษะการสื่อสารทางภาษา และการเข้าใจวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการเผลแผ่พระพุทธศาสนาในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น

Animal Farm ฉบับ ชูวิทย์




วันที่ 30 พ.ค.2562   เพจ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความว่า  Animal Farm ฉบับ ชูวิทย์

ท่านนายกฯลุงตู่ อุตส่าห์แนะนำให้เด็กไทยอ่านหนังสือเรื่อง Animal Farm ของนักเขียนชาวอังกฤษ นามปากกา จอร์จ ออร์เวลล์

ผมเลยถือโอกาสเอามาใช้กับการเมืองไทยยุคปัจจุบัน ให้เข้าสมัยนิยม หวังว่าจอร์จแกคงไม่ว่า เพราะแกเขียนไว้นมนานแล้ว เป็นแนวเสียดสีการเมือง แต่เรื่องบังเอิญไปตรงกับไทยอย่างเหลือเชื่อ

แอนนิมอล ฟาร์ม ฉบับชูวิทย์ เริ่มจากเจ้าของฟาร์มเป็นชาวไร่ที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่สนใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ ออกแนวโหด ชอบสั่งการ และขี้บ่น พร่ำบอกแต่ว่า ทำงานฟาร์มเป็นงานที่เหนื่อยยากแสนสาหัส หากไม่จำเป็นไม่อยากทำ ที่ทนทำอยู่ทุกวันนี้เพราะเห็นแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายในฟาร์ม ที่มีทั้ง หมู หมา กา ไก่

เจ้าของฟาร์มสัตว์บอกว่าเวทนา ถือว่าทำบุญทำทานให้ ไม่ได้ต้องการทำเป็นอาชีพแต่อย่างใด เพราะแต่ก่อนมีอาชีพอื่นที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีกว่านี้แยะ อุตส่าห์เสียสละมาทำฟาร์มสัตว์ “ให้เข้าใจกันด้วยสิ ปัดโธ่!”

วิธีการทำฟาร์มของแก คือ ให้สัตว์ทำในสิ่งที่ผิดธรรมชาติ หากสัตว์ตัวไหนไม่เชื่อฟัง จะถูกจับใส่กรงขังเดี่ยว ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน

หากแกโมโห ก็จะเอากะลาเคาะโป๊กๆ ออกเสียงขู่เป็นเลขว่า “สี่สี่“ พวกสัตว์ทั้งหลายก็จะกรูแตกตื่นวิ่งหนีกระเจิงไปตัวละทิศตัวละทาง บรรดาสิงสาราสัตว์ก็กลัวจนขี้หดตดหาย กลายเป็นสัตว์เชื่องเหมือนลูกหมา

สัตว์ประเภทแรกที่รีบเข้ามาคลอเคลียเอาใจคือ “ม้า” ที่เคยช่วยเปิดทางให้เจ้าของฟาร์มเข้ามายึดฟาร์มไปจากเจ้าของเดิม

ม้าตัวนี้เป็นม้าสีดำ อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของฟาร์ม เป็นสัตว์ที่มักคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ โอ้อวดถึงความรู้ ความสามารถ เพราะถือว่าเคยเป็นผู้นำฝูงในฟาร์มชนชั้นสูงมาก่อน

เมื่อกระจายฝูงออกมา ม้าตัวนี้ก็ทำตัวเป็นจ่าฝูงเรียกร้อง “ชุมนุมมวลมหาสัตว์“ จนกระทั่งเจ้าของฟาร์มสังเกตุเห็นว่า น่าจะถือโอกาสนี้เข้าปกครองสัตว์ด้วยวิธีการที่เจ้าของฟาร์มสมัยก่อนเคยทำ แต่เป็นระบบใหม่ถอดด้ามที่คำนึงถึงผลผลิตล้วนๆ ไม่สนใจคุณภาพ ชนิดที่ซีพีงงว่าทำได้ยังไง?

เจ้าของฟาร์มปกครองมาได้ราว 5 ปี บรรดาสัตว์ต่างๆเริ่มไม่พอใจ เพราะถูกจำกัดเสรีภาพของสัตว์ ต้องอยู่ในกรง พอแกอารมณ์ดีก็ลูบหัวปลอบว่า “ใจเย็นๆ เดี๋ยวแต่งเพลงให้สัตว์ฟัง” ทั้งๆ ที่สัตว์ไม่อยากฟัง เพราะหิวไส้จะขาด จะให้มาฟังเพลงอะไรซ้ำๆกรอกหูอยู่ตลอดเวลา?

เจ้าของฟาร์มชักติดใจในผลประกอบการ จึงแต่งตั้ง “หมู” ที่เป็นสัตว์เฉลียวฉลาดแกมโกง ออกกฎต่างๆ ร่วมวางแผนกันกับ “หมูอาวุโส” ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน ในที่สุดได้ออก “กฎ” ที่คิดว่าสัตว์อื่นๆ ไม่สามารถอ้าปากหืออือได้

โดยเฉพาะกับสัตว์ปีกอย่าง “พญาระกา” ที่เป็นสัตว์พิเศษ มีปีก นึกอยากจะบินไปไหนก็ได้ แม้ว่าทำผิด ก็ถือโอกาสบินหนีไปเขตดินแดนอื่นเสีย เจ้าของฟาร์มทำอะไรไม่ได้

หมูอ้างกับสัตว์อื่นๆ ว่าที่ต้องทำตามกฎใหม่เพราะสัตว์ทุกตัวจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีเสรีภาพ เดินวิ่งไปไหนก็ได้ ตามที่เจ้าของฟาร์มเคยสัญญาเอาไว้

เหล่าฝูงสัตว์ต่างก็กระตือรือร้น ตีปีกบ้าง ร้องกันเจี๊ยวจ๊าวบ้าง ที่จะได้อยู่ในกฎใหม่ที่เจ้าของฟาร์มเปิดโอกาส หลังจากฟาร์มทรุดโทรมเหม็นเน่ามากว่า 5 ปี ทำให้สัตว์หลายชนิดเป็นโรคติดต่อตายไปเป็นอันมาก ส่วนที่เหลือก็เฉาเป็นง่อย เช่น เป็ดหางแดง

แต่เมื่อได้เห็นกฎใหม่ที่หมูออกมาแล้ว สัตว์อื่นๆถึงกับอุทานว่า “ไอ้สัตว์!” ด้วยความงุนงงงุ่นง่าน

มีสัตว์อยู่ชนิดเดียวที่แอบหัวเราะชอบใจเหลือหลาย นั่นคือ “งูเห่า” เพราะมีโอกาสขยายพันธุ์ได้แน่นอน ตามกฎใหม่นี้

ส่วนสัตว์อื่นๆ ต้องจำใจทำตามกฎใหม่ของเจ้าของฟาร์มอย่างเคร่งครัด ไม่งั้นไม่รอด

หมูยังออกแบบการขยายพันธุ์เพิ่มอีก 250 ตัว ไว้เป็นเชื้อความฉลาดแกมโกง เพื่อหวังใช้วิธี “ผสมเทียม” คัดเพศได้ตามใจชอบ แถมเจ้าของฟาร์มควบคุมด้วยตัวเอง ไม่มีโอกาสพลาดให้เชื้อแปลกปลอมหลงแฝงเข้ามาเป็นอันขาด

หลังจากการจัดกฎใหม่เสร็จสิ้น ปรากฎว่ามีความพยายามต่อรองของสัตว์กับเจ้าของฟาร์ม เรื่องไม่น่าเกิดก็มาเกิดขึ้นได้ โดยมี “ม้ากับลา” ที่ผูกขาติดกันไม่ยอมไปไหน เพราะถือว่าดั้งเดิมเคยอยู่เป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาก่อน

แต่ม้าก็คือม้า มีนิสัยเหมือนเดิม คิดว่าตัวเองฉลาดเสียเหลือทน หลงตัวเอง ชอบเอาหน้า ทั้งที่ตอนนี้ขาหน้าหัก บางตัวก็ยอมสยบ คิดว่าอดอยากมานานหลายปี แต่อดต่อรองไม่ได้ ตามประสาสัตว์ที่คิดถึงแต่เรื่องทำให้ท้องอิ่ม บางตัวก็ยังพยศ คิดว่าเอาตัวรอดได้ จนถึงขนาดเปิดฉากทะเลาะเบาะแว้ง ไล่ให้ออกจากฝูงกันเอง

ส่วนลาก็ยังเป็นลาวันยันค่ำ หวังอาศัยม้าเพื่อต่อรองกับเจ้าของฟาร์ม ทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าของฟาร์มเป็นคนถืออำนาจ ไม่ชอบทำตามใจใคร คิดว่าเมื่อตัวเองเป็นคน จะไปให้สัตว์มาต่อรองได้ยังไงกันวะ?

มันผิดวิสัยธรรมชาติของชนชั้นปกครอง “มนุษย์ต้องปกครองสัตว์”

สัตว์อื่นๆ เริ่มรู้ตัว จึงทำเหมือนม้ากับลาบ้าง เจ้าของฟาร์มเริ่มคิดได้ว่า ไม่น่าไปลงทุนทำฟาร์มใหม่ให้เสียเวลา เลี้ยงเหมือนเดิมดีอยู่แล้ว ต้องขู่ ต้องเฆี่ยน ให้เชื่อฟังถึงเอาอยู่

กฎที่กำแพงจึงเหลืออยู่ข้อเดียว คือ “เจ้าของฟาร์มต้องอยู่รอดเสมอ”

สัตว์อื่นๆ อย่าได้สะเออะมีปากเสียง ไปเดิน 2 ขาใส่สูทเหมือนคนไม่ได้เด็ดขาด

สัตว์ต้องอยู่อย่างสัตว์เท่านั้น ไอ้สัตว์

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ฮาทั้งงานเลี้ยงสาธิตจุฬาฯ! 'อภิสิทธิ์'ชวน'ชัชชาติ'ร่วมตั้งรัฐบาล


วันที่ 30 พ.ค.2562  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการส่งต่อคลิปงานรวมสาธิตจุฬาฯ รุ่น 15 -19  ซึ่งมีศิษย์เก่าที่เป็นนักการเมืองดังอย่างไปร่วมอย่างเช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นส.ส.บัญชีราชชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ศิษย์เก่า รุ่น 15) นายชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (ศิษย์เก่า รุ่น 19 )  โดยมี เป๊ะ กนิษฐ์ สารสิน นายกสมาคมศิษย์เก่า เป็นพิธีกร

ภาพภายในคลิปเป็นช่วงเวลาที่ เป๊ะ กนิษฐ์ เชิญ นายชัชชาติ และนายอภิสิทธิ์ ขึ้นมาแนะนำตัวและพูดคุยระหว่างนั้น นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ได้มีการจูงมือนายชัชชาติ พร้อมพูดว่า ไป…ไปแหละ เราไปจัดตั้งรัฐบาลกัน ซึ่งเรียกเสียงฮาให้เล่าบรรดาเพื่อนๆ และน้องที่ร่วมภายในงานเป็นอย่างดี

ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า เป็นคลิปเก่าตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเป็นการแซวกันเล่นๆเฉยๆ ไม่ใช่การทาบทามจัดตั้งรัฐบาลขั้วที่ 3 ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ถามกลับว่า "สังคมไม่มีอารมณ์ขันกันเลยหรอ"


มาแล้ว!'พปชร.'ยกขบวนขันหมากถึง'ชาติไทยพัฒนา'




วันที่ 30 พ.ค.2562 ที่พรรคชาติไทยพัฒนา  ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับบรรยากาศที่พรรคในช่วงเช้า มี สื่อมวลชนจากหลายสำนักได้มาปักหลักรอรายงานข่าว แกนนำพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เดินทางมาส่งเทียบเชิญพร้อมเจรจากับน.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ถึงการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ โดยมี น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา  นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค นายวราวุธ ประธานนโยบาย และยุทธศาสตร์พรรค นายธีระ วงศ์สมุทร ประธานคณะกรรมการดำเนินกิจกรรมของพรรคและนิกร จำนง  ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา  เดินทางเข้ามายังที่ทำการพรรคเพื่อรอให้การต้อนรับตั้งแต่ช่วงเช้า

ต่อมาเวลา 10.10 น. ทางด้านพรรคพปชร. นำโดยนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พร้อมแกนนำพรรค อาทินายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล  ได้เดินทางมาถึงพรรคชาติไทยพัฒนา โดยมีแกนนำพรรคชาติไทยรอให้การต้อนรับ จากนั้นได้ขึ้นไปห้องประชุมชั้น 4 ของอาคารที่ทำการพรรค เพื่อร่วมกันพูดคุย ทั้งนี้ภายหลังการหารือจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามทันทีที่แกนนำพลังประชารัฐเดินทางมาถึง นายประภัตร ได้จับมือทักทายกับทุกคน โดยนายสนธิรัตน์ พูดกับนายประภัตรว่า เดินทางมาตามสัญญาแล้วนะ ขณะที่นายประภัตร ได้ทักทายทุกคนที่เดินทางมา โดยเฉพาะเพื่อน ส.ส.เก่าอย่างนายสุริยะ และนายสมศักดิ์ ที่เดินเข้ามาโอบกอด ซึ่งผู้สื่อข่าวได้แซวนายสมศักดิ์ ว่า ท่านว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะมาส่งเทียบเชิญนายประภัตร ให้ไปเป็นว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือไม่  นายสมศักดิ์ หันมากล่าวกับผู้สื่อข่าวพร้อมอมยิ้ม และโอบไหล่นายประภัตรแล้ว พร้อมกับพูดว่า คนนี้ต้องไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี

พาณิชย์เร่งส่งเสริม SMEs สู่การค้าออนไลน์แบบมือโปร



วันที่ 30 พ.ค.2562 นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในยุคการตลาด 4.0 เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ การซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กในระดับท้องถิ่น ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด คือ คนใช้เวลากับ Mobile Internet มากขึ้น การพัฒนาของ e-Payment และการพัฒนาด้าน Logistic
          
ดังนั้น การทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีทั้งความรู้และความเข้าใจในเรื่องของเทคนิคการตลาด รู้จักเครื่องมือที่จะช่วยประหยัดต้นทุน ประหยัดเวลา การมีพาร์ทเนอร์ที่ดี จึงถือเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จ
          
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า จากแนวทางของรัฐบาลที่มุ่งยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีและธุรกิจชุมชนในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชิงพาณิชย์และระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ มาช่วยพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ดังนั้น การจัดหาทางแก้ปัญหาที่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจออนไลน์ในยุคดิจิทัล คือ การคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นหลัก วิเคราะห์ทำความเข้าใจว่าจะเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างไร และมอบประสบการณ์แก่ผู้บริโภคในช่องทางดิจิทัลให้ดีมากยิ่งขึ้น
          
ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย เป็น 3 ส่วน คือ 1.แผนพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจทั่วประเทศ จำนวน 1,000 ราย ในลักษณะศูนย์รวม e-Commerce เคลื่อนที่ทั่วไทย (Local Online Mobile Hub) ในรูปแบบ Academic Event โดยจะเริ่มกิจกรรมในเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2562
          
2.แผนสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างฐานการเติบโตที่ยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ อาทิ การจัดกิจกรรมเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อส่งเสริมการตลาดธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ระหว่างผู้ผลิต ผู้แทนจำหน่าย ค้าส่ง ค้าปลีก และผู้บริโภค การให้ความรู้ในการบริหารจัดการการสนับสนุนด้านทรัพยากรและเงินทุน การจัดกิจกรรมคัดสรรผลิตภัณฑ์ OTOP Select เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ และต่อยอดสร้างช่องทางการตลาด เป็นต้น
          
3. การพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ดิจิทัลเพื่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และโลจิสติกส์สมัยใหม่ โดยการคัดเลือกและพัฒนาชุมชนในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัด (อุดรธานี นครราชสีมา สุพรรณบุรี พัทลุง และเชียงราย) เพื่อผลักดันสินค้าชุมชนเข้าสู่ระบบการค้าออนไลน์ตามแนวคิดพื้นที่ชนบทในชุมชนที่ห่างไกล ตามโมเดลหมู่บ้านเถาเป่า (Taobao Village) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตลอดจนพัฒนาให้ผู้ประกอบธุรกิจใช้ e-Commerce เป็นช่องทางในการขยายตลาด และขายสินค้าใน e-Marketplace ที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีระบบการขนส่ง และระบบการชำระเงินที่มีความน่าเชื่อถือ
          
นายวุฒิไกร กล่าวด้วยว่า การตลาดยุคปัจจุบันเป็นยุคของ Social Media Marketing ผู้ประกอบธุรกิจต้องรู้จักพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา การมีกลยุทธ์ในการทำตลาดที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ รวมถึงต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลของลูกค้าในระบบการตลาดที่ทำเป็นอัตโนมัติ เพื่อต่อยอดความสำเร็จด้วยรูปแบบการตลาดที่ตอบโจทย์โดนใจผู้บริโภคยุคใหม่ให้ได้ ยุค Marketing Evolution for People

นายกอบต.หนองหลวงหนองคาย ส่งเสริมกีฬาพัฒนาคนสุขภาพดีถ้วนหน้า


“กีฬาสร้างคน คนสร้างชาติ” และ “เยาวชนในวันนี้คือกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ” นายก อบต.หนองหลวง จ.หนองคาย เน้นพัฒนาคน กีฬา ส่งเสริมเด็กและเยาวชน ประชาชน ชาว ต.หนองหลวง สุขภาพดีถ้วนหน้า



วันที่ 30 พ.ค.2562 นางสมัย ชนาราษฎร์ นายก อบต.หนองหลวง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองหลวง กล่าวว่า ตำบลหนองหลวง อำเภอเฝ้าไร่ จังหวัดหนองคาย มีจำนวน 20 หมู่บ้านประชากรทั้งสิ้น  จำนวน 14,908 คน แยกเป็นชาย 7,512 คน หญิง7,424 คน มีความหนาแน่นเฉลี่ย  245.74  คนต่อตารางกิโลเมตร (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2559) มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มมีความลาดเอียงเล็กน้อย มีหน้าดินตื้นเขินมีดินลูกรังปะปนเป็นบางส่วน ลักษณะหมู่บ้านตั้งอยู่เป็นกลุ่มๆ ระยะห่างกันโดยเฉลี่ย 2 กิโลเมตร เมื่อตนได้รับการเลือกตั้งให้ดำรวงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองหลวง สิ่งที่ต้องทำในพื้นที่ขนาดใหญ่ในหลายๆด้านที่ตนดำเนินงานคือการพัฒนาคน โดยเฉพาะเรื่องกีฬา และเรื่องเด็กและเยาวชน โดยทุกกิจกรรมที่ผ่านมา มี นายเจริญจิต สืบสาววงศ์ นายอำเภอเฝ้าไร่ หัวหน้าส่วนราชการอำเภอเฝ้าไร่ ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลหนองหลวง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหนองหลวง สมาชิกสภาจังหวัดเขตอำเภอเฝ้าไร่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ อบต.หนองหลวง และชาวตำบลหนองหลวง เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก นายยุทธนา ศรีตะบุตร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคาย นายอาทิตย์ ศรีตะบุตร อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดหนองคาย

กิจกรรมที่สำคัญเกี่ยวกับเด็ก อบต.หนองหลวง ดำเนินจัดต่อเนื่องทุกปี อาทิ การทำบุญตักบาตร เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ โดยทุกคนที่มาร่วมในกิจกรรมในงานต่างพร้อมใจกันสวมชุดไทย เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนในการอนุรักษ์ ประเพณี วัฒนธรรม การแต่งกายแบบไทย สำหรับตนแล้ว เด็กเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่ายิ่ง ต้องจำเป็นได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ เพื่อจะได้เติบโตเป็นพลเมืองที่ดี และมีคุณภาพ ซึ่งตนอยากให้เห็นถึงความสำคัญของเด็ก และเยาวชน อบต.หนองหลวง จึงได้จัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เด็ก และเยาวชนได้รับความสนุกสนาน รื่นเริง กล้าแสดงออกในทางสร้างสรรค์ ตระหนักในสิทธิหน้าที่ มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และสังคม เพื่อมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ ห่างไกลยาเสพติด โดยในทุกปีที่จัดงานภายในงานจะไม่มีพลาสติกและโฟม เพื่อเป็นการณรงค์ให้เด็กและเยาวชนนำไปเป็นแบบอย่างที่ดีในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นายกองค์การส่วนตำบลหนองหลวง กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมวันเด็กในทุกปี ตนได้กำชับให้ทุกฝ่ายไม่ให้ให้มีโฟม หรือพลาสติกภายในงานเด็ดขาด เพื่อให้เป็นไปตามโครงการ “ตำบลปลอดถังขยะ หน้าบ้านสดใส ไร้ถังขยะ” ซึ่งชาวตำบลหนองหลวงได้ทำมาแล้วหลายปี และชาวตำบลหนองหลวงได้ร่วมกันประกาศว่าจะเป็นหมู่บ้าน ตำบล ปลอดถังขยะ เพราะเมื่อทำแล้วจะเกิดประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนอย่างมากมาย อีกทั้งที่ทิ้งขยะในตำบลก็ไม่เพียงพอ มีแค่เพียง 8 ไร่เท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมีการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เพื่อนำไปขาย, ทำขยะรีไซเคิล สร้างรายได้, ทำปุ๋ยชีวภาพ และจัดทำโครงการฌาปนกิจขยะ เมื่อสมาชิกเสียชีวิตแล้วจะได้รับเงิน จำนวน 14,340 บาททั้งนี้เพื่อต้องการช่วยประเทศชาติให้มีความเจริญรุ่งเรือง สวยงามสะอาดตา ให้สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยว เมื่อเราไม่มีขยะอยู่หน้าบ้าน เราก็จะมีสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ เพื่อให้เป็น หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด ปลอดขยะอย่างแท้จริง “ No Foam No Plastic ไม่มีขยะ เพราะพวกเราจะไม่ใช้พลาสติก ไม่ใช้โฟม ตามสโลแกน ลดการใช้ถุง นุ่งผ้าซิ่น หิ้วปิ่นโต ไปยังสถานที่ต่างๆ 

นางสมัย  กล่าวต่อว่า กิจกรรมทางด้านกีฬาที่สำคัญ ที่ อบต.หนองหลวง จัดเป็นประจำทุกปี คือ การแข่งขันกีฬา “สามสร้าง” ต้านภัยยาเสพติด ที่ อบจ.หนองคาย ร่วมกับ อบต.หนองหลวง จัดขึ้น มีตัวแทนนักกีฬาจากหมู่บ้านต่างๆ รวมทั้งกองเชียร์ ทั้ง 20 หมู่บ้านเข้าร่วมทำการแข่งขัน ทั้งนี้ เพื่อให้ความสำคัญกับประชาชน เด็ก เยาวชนและนักกีฬา ในการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ด้วยการออกกำลังกาย เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง เป็นการส่งเสริมการฝึกทักษะการเล่นกีฬาให้กับเยาวชนในพื้นที่ให้มีการพัฒนาในการเล่นกีฬาทุกๆ ประเภทตามความเหมาะสม ซึ่งเยาวชนเหล่านี้จะไม่ได้หมกมุ่นกับยาเสพติด เป็นการปลูกฝังให้เยาวชนเป็นผู้มีวินัย มีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และเกิดความสามัคคีในชุมชน หมู่บ้าน และตำบล นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ บทบาทหน้าที่ของอบต.หนองหลวง เพื่อให้เป็นองค์กรท้องถิ่นในการพัฒนาตำบล พัฒนาเด็ก เยาวชน และประชาชนให้มีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมอีกด้วย

“กีฬาสร้างคน คนสร้างชาติ” และ “เยาวชนในวันนี้คือกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ” เป็นคำกล่าวที่แสดงให้เห็นว่า ทั้ง “เยาวชน” และ “กีฬา” ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ หากเราสามารถปลูกฝังและพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถ ควบคู่ไปกับการมีสุขภาวะที่ดี ประเทศชาติก็จะสามารถก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคง ตนจึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนในตำบลหนองหลวงมีการพัฒนาในทุกด้านอย่างยั่งยืน” นางสมัย   กล่าว 

'ชูวิทย์'โพสต์'เริ่มยึกยัก ออกอาการ'




วันที่ 29 พ.ค.2562  เพจ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความว่า “เริ่มยึกยัก ออกอาการ”

หลังแกนนำพรรคพลังประชารัฐพลาดท่า เทหมดหน้าตักให้พรรคร่วม พอหงายไพ่ หายงง ถึงรู้ว่า ”ได้ไม่คุ้มเสีย”

จึงออกอาการ งานนี้ไม่จบง่ายๆ ขันหมากเป็นหม้ายกลางทาง เพราะหลังจากถวายกระทรวงเกรดเอเซ่นให้พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ ไปแทบหมดโต๊ะ เหลือเศษกระทรวงเล็กโยนให้ไปแบ่งกันเองในพรรคอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรี ทำท่าจะเหนื่อยฟรี

กระทรวง (ใหญ่) ที่อยากได้ กลับไม่ได้ กระทรวง (เล็ก) ที่ไม่อยากได้ กลับได้

บรรดากลุ่มก๊วนพรรคพลังประชารัฐ จึงเริ่มร้องกระจองอแงว่า ไปยกให้เขาหมดได้อย่างไร? จะไปเหลืออะไรไว้ให้ทำมาหากิน?

หากยอมตั้งแต่ต้น ต่อไปคงถูกสองพรรคนี้ "ขี่คอทำงาน" ต้องคอย “โอ๋” เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะเงื่อนไขมาเป็นแพ็คคู่ ผิดใจไปหนึ่งพรรคมีหวังได้ล้มทั้งกระดาน ถูกขู่เช้าเย็นไม่เห็นหัว บอกว่า “จัดรัฐบาลได้เพราะกู“

แถมพรรคประชาธิปัตย์ยังเรื่องมากไม่หยุด ต้องไม่ให้เสียหน้า เอาเรื่อง “การแก้รัฐธรรมนูญ” มาเป็นข้ออ้าง เงื่อนไขบังหน้า เคยบอกเล่าเก้าสิบให้ฟังมาแล้ว เพราะรู้ใจพรรคนี้ดีตั้งแต่หัวหน้ายันภารโรง

มันผิดจากที่ผมพูดไว้ซะเมื่อไหร่? ตำแหน่งก็เอา หน้าก็ไม่ยอมเสีย สันดานนี้แก้ไม่หายเสียที แม้ว่าจะ "ปรับปรุงใหญ่" เปลี่ยนหัวหน้าพรรคก็แล้ว กรรมการบริหารใหม่ก็แล้ว แต่ที่ยังคงไม่เปลี่ยน คือ นิสัยยังเหมือนเดิม

ส่วนพรรคร่วมอื่น เรื่องชักลามไปกันใหญ่ เกิดหมั่นไส้ว่าสองพรรคนี้ได้มากเกิน ตัวเองได้น้อย ส่งเสียงโล้งเล้งว่า

“อั๊วก็ยังไม่ได้ตกลง เพราะเมื่อคืนเตี่ยมาเข้าฝันว่า อย่าเพิ่งรีบ”

ลางชักไม่ดีตั้งแต่ต้น ออกอาการพังตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ไม่ต้องดูตอนจบว่าจะอนาถขนาดไหน อาจจะเร็วกว่า 6 เดือน อย่างที่ผมเคยบอกไว้ด้วยซ้ำ

เผลอๆเป็น ”สภา 30 วัน” ให้ได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

อัศจรรย์! เกศากลายเป็นพระธาตุ หลวงปู่สูนย์ จันทสุวัณโณ วัดอิสระธรรม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร



อัฐิและเกศาเป็นพระธาตุ มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ของ นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนหนังสือ ตามหาความจริงวิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม และถอดกฎ พบกรรมทฤษฎี ธรรมประยุกต์ อธิบายว่า

ในพุทธศาสนาของเราทั่วทั้งสากลจักรวาลทั้งหมดนี้ ที่รวมสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทุกอย่างนั้น แบ่งออกได้เป็นปรมัตถ์สัจจะหรือความจริงสูงสุดได้ ๒ อย่างเท่านั้น คือ



อย่างแรกเรียกสังขตธรรม คือ ธรรมชาติที่เกิดจากการปรุงแต่ง ซึ่งแยกได้เป็น ๒ ส่วน คือ รูป กับ นาม

ทั้งนี้ถ้าถามว่ารูปกับนามคืออะไร ก็ตอบว่าทั้งหมดทั้งปวงในจักรวาลทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตนั้นคือรูปกับนามทั้งสิ้น

ทั้งนี้ หากขยายความโดยโยงกับวิทยาศาสตร์ก็ได้ว่า รูป คือ สสารและพลังงานทุกอย่างทางวิทยาศาสตร์ ส่วน นาม คือ จิต และ เจตสิกในพุทธศาสนา



ในขณะที่ความจริงสูงสุดอีกอย่างหนึ่งก็ คือ อสังขตธรรม คือ ธรรมชาติ ที่ไม่มีการปรุงแต่ง ซึ่งธรรมชาตินี้ก็คือสภาวะนิพพานนั่นเอง ธาตุต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ ที่มีในโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่น

คาร์บอน (C) ที่มีในต้นไม้ในถ่านไม้ ถ่านหิน แต่จากระยะเวลาที่ธาตุคาร์บอนเหล่านี้ ได้รับพลังงานจากแรงอัดพลังงานจากความร้อน ฯลฯ นับแสนๆ นับล้านๆ ปีก็ทำให้ธาตุคาร์บอนที่เริ่มแรกเป็นไม้หรือถ่านไม้ธรรมดา กลายเป็นเพชรไปในที่สุดได้เหมือนกัน

นอกจากนี้แล้ว พวกพลอยต่างๆ ที่มีคุณภาพไม่ดีนักก็อาจเอามาเผาให้พลังงานความร้อนเข้าไปพลอยก็จะมีสีสวยนั้น มีความแข็งขึ้นได้เช่นกัน

โดยสรุปก็คือ มนุษย์สามารถเอาพลังงานทางวิทยาศาสตร์นั้น มาใส่เพิ่มเข้าไปในธาตุต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพให้วัตถุธาตุนั้น มีสีสวยขึ้นแข็งขึ้น หรือเปลี่ยนสภาพไปได้ เช่น จากถ่านเป็นเพชร

“พลังจิตของพระอรหันต์นั้นสูงกว่าพลังงานทางโลกที่มนุษย์ทำได้นับล้านๆ เท่า และพลังงานนี้จะโดยจงใจหรือไม่จงใจผู้เขียนก็ไม่ทราบได้

แต่พลังงานนี้สามารถทำให้กระดูกหรืออวัยวะส่วนใดของพระอรหันต์ก็ตาม แปรสภาพเป็นธาตุที่แข็ง มีสีสดใส แวววาว เป็นสภาพที่เราเรียกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ตามที่เราเห็นกันในปัจจุบัน” นายโอฬารกล่าว

พร้อมกันนี้ นายโอฬารยังอธิบายต่อว่า ขบวนการก็อาจอธิบายได้เช่นเดียวกับธรรมชาติ ได้สร้างเพชรและพลอยต่างๆ ให้เกิดขึ้นในโลกนี้ แต่ขบวนการทางโลกใช้พลังงานทีละน้อย สะสมกันนับล้านๆ ปี แต่พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุต่างๆ นั้นใช้ระยะเวลาสั้นๆ แต่ใช้พลังงานจากจิตของผู้บรรลุนิพพานแล้ว

ซึ่งสูงเป็นล้านๆ เท่าของพลังงานธรรมชาติ ซึ่งก็สามารถเปลี่ยนธาตุธรรมดาให้เป็นธาตุพิเศษ มีความแข็ง แวววาว และมีสีสันต่างๆ ตามลักษณะของพระธาตุทั่วไป ที่เราพบเห็นในปัจจุบันนั้นเอง ก็เป็นคำอธิบายในกรอบกว้างๆ ทางวิทยาศาสตร์ว่าพระธาตุต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีอัฐิพระอริยสงฆ์ในยุคปัจจุบัน ที่สามารถแปรเป็นพระธาตุนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายรูป แต่ละรูปก็มีลักษณะของพระธาตุจำนวนมากมาย ทรงไว้ด้วยความน่าอัศจรรย์ใจ เช่น

หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร (พรหมา พรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน หรือครูบาเจ้าพรหมจักรได้ดับขันธ์ (มรณภาพ) ในท่านั่งสมาธิภานา เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ เวลา ๐๖.๐๐ น.อายุ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา หลังจากพระราชทานเพลิงเสร็จสิ้นแล้วได้เก็บอัฐิ ปรากฏว่าอัฐิของครูบาเจ้าพรหมจักรได้กลายเป็นพระธาตุ มีวรรณะสีต่างๆ หลายสี

ทั้งนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญวิเวก ต.บ้านป่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พระอริยะสำคัญสายพระอาจารย์มั่น และเป็นสหายร่วมธุดงค์ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้เคยกล่าวไว้ว่า

"อำนาจตบะที่อริยบุคคลได้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเพื่อขัดเกลากิเลสนั้น มิได้แผดเผาชำระล้างเฉพาะกิเลสเท่านั้น หากแต่ได้แผดเผา ชำระล้าง ซักฟอกกระดูกในร่างกายให้กลายเป็นพระธาตุไปด้วยในขณะเดียวกัน"

ส่วนกรณีของธาตุของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถร ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร

เมื่อถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว อัฐิขององค์หลวงปู่ได้ถูกแบ่งแจกไปตามจังหวัดต่างๆ และประชาชนได้เถ้าอังคารไป ยังที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุไปหมด

แม้แต่เส้นผมของท่านที่มีผู้เก็บไปบูชาในที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุนั้น หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยอธิบายไว้ว่า

"อัฐิพระอรหันต์ก็ดี ของสามัญชนก็ดี ต่างก็เป็นธาตุดินเช่นเดียวกันการที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ขึ้นอยู่กับใจหรือจิตเป็นสำคัญ อำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิตเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องโสมมต่างๆ อำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุไปได้

ต่อัฐิหรือกระดูกสามัญชนทั่วไป แม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน แต่จิตสามัญชนทั่วไปเต็มไปด้วยกิเลส จิตไม่มีอำนาจและคุณภาพที่จะซักฟอกธาตุขันธ์ของตนให้บริสุทธิ์ได้

อัฐิจึงจำต้องเป็นสามัญธาตุไปตามวิสัยจิตของคนมีกิเลส จะเรียกไปตามภูมิของจิตภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยธาตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงไม่ผิด เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน ดังนั้น อัฐิจึงจำเป็นต้องต่างกันอยู่ดี"

พระผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ของที่เกี่ยวเนื่องกับสังขารท่านเช่น ผม เล็บ หรือกระดูกจะสามารถแปรเป็นพระธาตุได้ ในหลายกรณีพบว่าในส่วนของเกศานั้นมักแปรสภาพได้ตั้งแต่สมัยที่บุคคลท่านนั้นยังมีชีวิตอยู่

การแปรสภาพของเส้นผมตลอดจนส่วนอื่นๆนั้นเป็นระดับของบุคคลที่บรรลุธรรมชั้นพระอนาคามีและพระอรหันต์ ทั้งนี้ต้องเป็นพระอริยะเจ้าที่ชำนาญในฌานหรือเป็นที่รักของเหล่าเทวดา

บางท่านอาจตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ให้ธาตุของตนเป็นพระธาตุเพื่อเป็นที่สักการะของมนุษย์และเทวดาเป็นไปเพื่อให้เกิดกุศลทำให้ผู้กราบไหว้ได้บุญเป็นทุนไปสู่สุคติภพ

ลักษณะพระธาตุจากเส้นเกศา มีหลากหลายลักษณะเช่นเป็นเม็ดดั่งก้อนกรวด เป็นแก้วใส เป็นสีขาวดั่งมะลิ มีความเชื่อกันว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อแผดเผากิเลสนั้นอำนาจจากทั้งทางด้านสมถะฌานและอำนาจจากการพิจารณาของปัญญานั้น

นอกจากจะซักฟอกจิตให้บริสุทธิ์แล้วยังมีอานุภาพซักฟอกและแปรสังขารร่างกายให้เป็นธาตุหรือพระธาตุได้ด้วย ยิ่งท่านใดที่ผ่านการเพ่งพิจารณาสังขารมามากและทรงสังขารให้พลังจิตซักฟอกธาตุขันธ์ยิ่งทำให้เส้นผมหรือเล็บของท่านกลายเป็นพระธาตุได้ง่าย

ธาตุที่เกิดจากการแปรของสังขารถือว่าเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ และถือว่าเป็นธาตุที่ได้ซึมซาบพลังบริสุทธิธรรมอันเกิดจากอำนาจทางด้านสมถะคืออำนาจจากฌาน ๑ถึงฌาน ๔

นอกจากทำให้สังขารเปลี่ยนแปลงยังทำให้ธาตุในส่วนนั้นๆ กลายเป็นวัตถุที่มีพลังเหนือโลก สามารถส่งรัศมีคุ้มครองหรือเสริมสร้างสิริมงคลแก่ผู้เลื่อมใสศรัทธาตลอดจนบ้านเรือนที่อยู่อาศัย

พระสายป่าสายปฏิบัติที่ มีเส้นเกศาพระธาตุ ในคุยปัจจันและสามารถพิสูจน์ได้ คือ หลวงปู่สูนย์ จันทสุวัณโณ วัดอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ ต.วาใหญ่ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร

หลวงปู่สูนย์ ปัจจุบันอายุ ๘๘ ปีแล้ว ท่านบวชมาตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี กับ “หลวงปู่สีลา อิสฺสโร” เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กอปรด้วยศีลและธรรม มีศีลาจารวัตรที่งดงาม เป็นพระที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่ มั่น ภูริทตฺโต พระบูรพาจารย์สายพระป่า

คราใดหลวงปู่สีลาไปพบหลวงปู่มั่น สามเณรสูนย์จะติดตามไปด้วยทุกครั้ง คำสอนที่หนึ่งที่หลวงปู่มั่นสอน คือ “ให้พิจารณา เนื้อหนังมังสา” เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็บวชเป็นพระภิกษุ

ระหว่างที่บวชท่านได้สนทนาธรรม และ ฝึกปฏิบัติธรรมกับกรรมฐานสายป่าหลายรูป โดยได้ยึดปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด เข้าพรรษาที่ ๕ จึงออกธุดงค์ไปตามสถนานที่ต่างๆ โดยท่านได้ไปปฏิบัติบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งของ จ.ปราจีนบุรี นานถึง ๑๓ ปี

เคยมีลูกศิษย์หลายคน ถามหลวงสูนย์ว่า “ระหว่างธุดงค์ในป่าได้พบเรื่องราวอะไรบ้าง”

หลวงสูนย์ บอกว่า การบำเพ็ญเพียรในป่า ในถ้ำ ได้พบเรื่องราวแปลกๆ ที่อัศจรรย์ ทั้งที่เล่าให้ฟังได้ และบางเรื่องก็เล่าให้ฟังไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการอวดอุตริมนุษย์ธรรม

ในกรณีมีคนใส่บาตรระว่างอยู่ในป่าลึก อยู่ในป่าลึก หรือไม่นั้น หลวงศูนย์ บอกว่า ระหว่างออกบิณฑบาตนั้น ต้องเดินก้มหน้า มองไปข้างหน้าไม่เกิน 3 ก้าว

อาจจะดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนทั่วๆ ไป ทั้งๆ ที่ในป่าไม่มีหมู่บ้านคน แต่มีหญิงชายแต่งตัวด้วยผ้ามัดหมี่มาใส่บาตรทุกๆ เช้า เป็นอย่างนี้เรื่อยมา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเหยหน้ามองใบหน้าผู้ที่มาใส่บาตรด้วยความสงสัย กลับกลายเป็นว่า อาหารที่ใส่บาตรนั้นหายไปด้วย จากนั้นเป็นต้นมาไม่เคยเกิดความสงสัยอีกเลย

นอกจากนี้แล้วยังเคย ปฏิบัตินั่งวิปัสสนากรรมฐานเป็นเวลา ๓ ปี ที่ถ้ำผาจรุย หรือ ถ้ำพระอภิรมย์ ตั้งอยู่ที่ ต.ป่าแงะ อ.ป่าแดด จ.เชียงราย ซึ่งถือว่าเป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์

ครั้งหนึ่งได้มีหญิงชายรูปร่างและหน้าตาดี แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองมาสนทนาธรรมด้วยประมาณ ๓๐ นาที จากนั้นก็ลากลับไป เป็นเรื่องแปลกเมื่อพ้นจากปากถ้ำหญิงชายรูปร่างและหน้าตาดี ก็ลอยหายไปในอากาศ

หลงจากธุดงค์ไปทั่วจึงงกลับมาอยู่กับหลวงปู่สีลา วัดอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ ต.วาใหญ่ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เพื่อช่วยให้เป็นสำนักปฏิบัติอบรมกรรมฐาน สอนศีลธรรมแก่ญาติโยม ให้รู้จักธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้ชาวบ้านเลิกนับถือผี แล้วหันมาเคารพนับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกสูงสุดแทน

จากประสบการณ์ตรงของหลวงปู่สูนย์ “ดาบธี ภาค ๗” บอกว่า โดยนิสัยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์มาตั้งแต่เด็ก และมักจะเกี่ยวข้องกับพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง เมื่อมาบรรจุเป็นตำรวจมักมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์กับผู้ต้องหามากมาย

ด้วยความสนใจเรื่องพระเครื่องและเครื่องรางของขลังมักจะขอดูทุกที เมื่อจบคดีก็จะหาเช่าพระเหล่านี้มาเก็บไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระสร้างใหม่ราคาไม่แพง บางรุ่นยังไม่หมดจากวัดด้วยซ้ำ

การเช่าวัตถุมงคลนั้นคนส่วนใหญ่หวังพึ่งพุทธคุณในองค์พระ แต่กว่าจะรู้ว่าพระนั้นมีพุทธคุณก็หมดจากวัดและมีราคาสูงแล้ว อย่างกรณีพระเครื่องของ หลวงปู่แผ้ว ปวโร วัดรางหมัน รวมทั้ง พระเครื่องของ พระครูภาวนาปัญญาดิลก หรือ หลวงปู่มหาเจิม ปัญญาพโล เจ้าอาวาสวัดสระมงคล อ. กำแพงแสน จ.นครปฐม เป็นพระใหม่ที่มีประสบการณ์สูงมาก

ทั้งนี้ “ดาบธี ภาค ๗” พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า "หลายคนอาจจะมองว่าพระใหม่ไม่จะมีพุทธคุณสู้พระเก่าได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมามีคดียิงกันนับสิบๆ คดี แต่คู่กรณีไม่เป็นอะไรเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าพระมีประสบการณ์รองรับจะไม่เช่าเก็บมาได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้จึงอยากแนะนำว่า อย่าดูถูกพุทธคุณพระสร้างใหม่ และพระใหม่ในวันนี้จะเป็นพระเก่าในวันหน้า พระเก่าที่เราเล่นอยู่ทุกวันนี้สมัยหนึ่งเคยเป็นพระใหม่มาก่อนทุกองค์ทุกรุ่น

สำหรับผู้ที่อยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์พระสร้างใหม่ โดยเฉพาะพระประสบการณ์พระขึ้น สน.ในเขต จ.นครปฐม และจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะพระเครื่องของ หลวงปู่สูนย์ รุ่นล่าสุด ประกอบด้วย เหรียญรูปไข่ พระพิมพ์มาเด็จรูปเหมือนหลวงปู่ศูนย์ และ พระปิดตา

“ดาบธี ภาค ๗” ยินดีให้ข้อมูล สามารถสอบถามได้ที่ โทร. ๐๘๓-๙๑๖-๒๔๒๒ และ ๐๘๒-๖๕๐-๓๓๙๑ 

'ไพศาล'เตือน'บิ๊กตู่'ถึงฝั่งอย่าแบกเรือไปด้วย



วันที่ 29 พ.ค.2562 นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol แสดงความเห็นทางการเมือง ระบุว่า “การพูดว่าจะยุบสภาโดยยังไม่ทันตั้งรัฐบาล การแสดงความเป็นเจ้าของอาณัติ ส.ว. 250 คน ไม่ทำให้บรรยากาศการเมืองในช่วงจัดตั้งรัฐบาลดีขึ้นเลย!”

“ลุงตู่นั่งเรือถึงฝั่ง แล้ว ควรต้องขึ้นจากเรือนั้น ขึ้นจากเรือแล้ว ก็ต้องไม่แบกเรือติดตัวไปด้วย จึงจะสามารถเดินทางไปยังที่หมายได้ดังปรารถนา”
          
“ป๋าเปรมเป็นนายกโดยไร้พรรค คอยสอดส่องว่าใครไม่ดี ใครโกง ก็ปลดออกไปแล้วตั้งคนดีมีฝีมือเข้ามาแทน จึงดำรงอยู่ยาวนาน และสร้างผลงานมากมาย! เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไร้พรรค จึงได้รับการสนับสนุนจากทุกพรรค เมื่อทุกพรรคสนับสนุนทำการสิ่งใดก็ ประสบความสำเร็จ”

"โอ๊ค"เย้ยปชป.! อย่าเป็นประชาธิปไตยแค่ชื่อพรรค

   
     
เมื่อวันที่ 29 พ.ค. นายพานทองแท้ ชินวัตร สมาชิกพรรคเพื่อไทย และบุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ระบุว่า “ชื่อนั้นสำคัญไฉน คนโบราณ ที่อยากจะให้ลูกหลาน มี #สามัญสำนึก ที่ดี ตามที่บรรพบุรุษมุ่งมั่นตั้งใจไว้ มักจะใช้ “กุศโลบาย” ในการตั้งชื่อ มีทั้งตั้งชื่อเป็น “สิริมงคล” และ ตั้งชื่อเพื่อ ”แก้เคล็ด” เราจึงมักได้ยินชื่อ.. นายรวย แต่ยากจน นายมี พึ่งขัดสน นายบุญ ใฝ่บาป นายมานะ เกียจคร้าน อยู่เสมอๆ”
          
“คนยังมีชื่อ ไม่ตรงกับ สันดานตัวเองได้ แล้วพรรคที่นิยามตัวเองมา 70 กว่าปี ว่าตัวมี “อุดมการณ์” ประชาธิปไตย และ มีอุดมการณ์ในการก่อตั้งพรรคฯ จะกระทำขัดอุดมการณ์ของตัวเองได้หรือไม่? หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนก่อน พูดไว้ชัดเจนว่า “การไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ และการไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจ คืออุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์” 

และพูดต่อไปอีกว่า “ไม่มีมติของพรรคการเมืองใด ขัดต่ออุดมการณ์ของพรรคตัวเอง” พูดปั๊บพอเลือกตั้งเสร็จก็ลาออกเหมือนเลือกตั้งครั้งก่อน แต่ครั้งนี้ออกแล้วออกเลย ไม่ยอมสมัครกลับมาเป็นหัวหน้าเหมือนเคย พรรคประชาธิปัตย์ กำลังจะมีมติออกมาว่า จะเข้าร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์หรือไม่? อาจเป็นเสียงสะท้อนได้ว่า พรรคเก่าแก่กว่า 70 ปี จะยิ่งแก่ก็ยิ่งขลังในบทบาทประชาธิปไตย หรือการสู้เพื่อประชาธิปไตย ได้เลือนหายตายจากพรรคการเมืองนี้ไปแล้ว

เนื่องจากผู้ยึดมั่นในประชาธิปไตย ไม่ควร #ตระบัดสัตย์ต่อประชาชน#ยอมจำนนต่อเผด็จการ #เสียสัจจะเพื่อร่วมสืบทอดอำนาจมติในครั้งนี้ อาจเป็นคำตอบว่า… ชื่อ “พรรคประชาธิปัตย์” คือ ชื่อที่เป็น ”สิริมงคล” ต่อระบอบประชาธิปไตยของไทย หรือ เป็นเพียงวิสัยทัศน์ที่ “บรรพบุรุษ” พรรคฯ คิดชื่อพรรคขึ้นมา เพื่อ “แก้เคล็ด” ให้กับสมาชิกพรรคฯใน 70 ปีข้างหน้า จะได้มีสามัญสำนึกถึง ”ประชาธิปไตย” กันบ้าง”

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...