วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

"พี่ศรี"ทำดีโวยแทนพระสงฆ์! ถามรบ.หมดเงินเยียวยาช่วงโควิดแล้วหรือ


วันที่ 1 กันยายน 2563 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีมาตรการเยียวยาคนไทยผู้ได้รับผลกระทบในแนวทาง "เราไม่ทิ้งกัน" ทั้งผู้มีอาชีพอิสระ เกษตรกร ผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม เป็นเวลา 3 เดือน รวมถึงเงินช่วยเหลือเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ขวบ การให้สิ้นเชื่อทั้งปลอดดอกเบี้ยและดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งการเยียวยากลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุและผู้พิการนั้น

 อย่างไรก็ตาม สมาคมฯได้รับการร้องขอจากพระสงฆ์จำนวนมาก ในส่วนของพระสงฆ์กว่า 2.5 แสนรูป โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ต่างเฝ้ารอคอยฟังข่าวด้วยความสงบนิ่งมาเป็นเวลานาน ว่าเมื่อไรรัฐบาลจะพิจารณาให้การช่วยเหลือตามสมควร โดยก่อนหน้านี้นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้เสนอเยียวยาพระสงฆ์รูปละ 60 บาทต่อวัน เพื่อสนับสนุนค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายอื่นๆภายในวัด โดยจะส่งเงินให้ทางวัดเป็นผู้บริหาร ซึ่งจะให้ทั้งหมด 91 วัน ย้อนหลังตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน          

ทั้งนี้ มาตรการเยียวยาพระสงฆ์ 2.5 แสนรูป ที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากประชาชนทำบุญที่วัดน้อยลง และผลกระทบจากมาตรการงดเว้นกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา โดยให้มีการจ่ายเงินเยียวยาพระสงฆ์ เช่นเดียวกับมาตรการเยียวยาพระสงฆ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่สามารถออกบิณฑบาตได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ โดยที่คณะรัฐมนตรี ปี 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติจ่ายเงินค่าบิณฑบาตและค่าอาหารพระวันละ 100 บาทต่อรูป ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงจะใช้โมเดลนี้ แต่จะลดจำนวนเงินลงเหลือเพียงวันละ 60 บาทต่อรูป โดยจะโอนเงินให้วัดไปบริหารจัดการเองตามจำนวนพระที่มี เพื่อใช้จ่ายเป็นค่าอาหารหรือค่าใช้จ่ายภายในวัด

"กระทั่งบัดนี้กว่า 5 เดือนไปแล้ว มาตรการเยียวยาพระสงฆ์กลับเงียบหายไปกับการตกกระป๋องของรัฐมนตรีหน้าเดิม แล้วเปลี่ยนรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน จนมีข่าวลือกันอย่างหนาหูว่ารัฐบาลถังแตก หมดเงินคงคลังไปแล้ว มาตรการหรือคำสัญญาต่างๆที่เคยสร้างภาพสวยหรูไว้ก่อนหน้านี้ เป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น ใช่หรือไม่"  นายศรีสุวรรณ กล่าว          

นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า พระสงฆ์ทั่วประเทศท่านมีศีลวัฒน์ประจำตน ไม่อาจออกมาเดินขบวน ร้องแร่แห่กระเฌอ เดินถ่ายรูปชูสามนิ้ว เพื่อเอาไปอวดกันในโลกโซเชียลได้ ดังนั้นหากรัฐบาลยังคงมีศีล มีธรรม อยู่บ้าง พระท่านขอบิณฑบาตได้โปรดเร่งดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาพระสงฆ์ทั่วประเทศที่ต้องเผชิญกับโควิด-19 ให้สำเร็จโดยเร็วเถิด จะได้บุญมหาศาลช่วยต่ออายุรัฐบาลต่อไปได้ เพราะถ้าหลอกประชาชน นะหลอกได้ แต่ถ้าหลอกพระสงฆ์องค์เจ้า ระวังบาปกรรมจะทำให้หมดสิ้นอำนาจไปโดยไม่รู้ตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายศรีสุวรรณก็ได้ออกมาแสดงความเห็นให้รัฐบาลช่วยเหลือคณะสงฆ์บ้างเพราะพระก็เดือดร้อนเหมือนกัน จนกระทั้งอดีตรัฐมนตรีที่ดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำเรื่องเข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดยมอบให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หารือกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวแต่เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั้งนายศรีสุวรรณออกมาแสดงความเห็นในครั้งนี้อีกครั้ง

"หมอระวี"ย้ำต้องแบน 3 สารพิษ จี้ "เฉลิมชัย"อย่ากลับลำ!!



เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคการเกษตร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เตรียมทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทบทวนมติการยกเลิกการใช้ สารพาราควอตและสารคลอร์ไพริฟอส อีกครั้ง ว่า จากการศึกษาของกรรมาธิการวิสามัญ เรื่องแบน 3 สารพิษ ซึ่งมีตัวแทนจากทุกพรรคการเมือง ได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2562 เห็นด้วยกับการให้แบนสารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ทันที และกำหนดให้เกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ และที่สำคัญคือมติของกรรมาธิการได้ผ่านการเห็นชอบของสภาฯด้วยแล้ว แสดงให้เห็นว่า สภาเห็นชอบการแบน3สารพิษนี้ชัดเจนแล้ว

"นายเฉลิมชัย และคณะกรรมการวัตถุอันตราย ควรจะต้องยืนยันการแบน 3 สารพิษ โดยกระทรวงเกษตรต้องดูแล เยียวยา และให้คำแนะนำในการปรับตัวกับเกษตรกรที่คุ้นเคยกับการใช้ 3 สารพิษนี้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกสักระยะหนึ่ง จึงจะสามารถปรับตัวได้" นพ.ระวี กล่าว

16 ก.ย.ได้ฤกษ์! ม.สงฆ์ "มจร" เปิด "ศูนย์ไกล่เกลี่ย" หวังมีส่วนร่วมแก้สังคมขัดแย้ง



วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2563 พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ท่ามกลางการยื้อแย่งแข่งขันในกระแสยุคดิจิทัลที่ถูกกระตุ้นด้วยความ "ไว เร็ว แรง"  จึงทำให้ผู้คนจำนวนมากเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ในหลายสถานการณ์ที่หาทางออกไม่ได้ จึงนำไปสู่ความรุนแรงด้วยการด่าทอ ทำร้าย เอาเปรียบ ความเหลื่อมล้ำ การแบ่งปันทรัพยากร และการบังคับใช้กฏหมายที่ไม่ทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม

จึงหลายเป็นตัวแปรที่กระตุ้นให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยพระราชปริยัติกวี,ศ.ดร. อธิการบดี ได้สั่งการเป็นนโยบายให้วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ และหลักสูตรปริญญาโทและเอก สาขาสันติศึกษา ทั้งภาคภาษาและอินเตอร์ ได้ผนึกกำลังกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ได้จัดตั้ง "ศูนย์ไกล่เกลี่ย" ภายใต้พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้แพิพาท 2562




"โดยในวันที่ 16 กันยายน 2563 เวลา 08:30 น.  จะเป็นพิธีเปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยอย่างเป็นทางการ ณ อาคารพระพรหมบัณฑิต ชั้น 3 โดยมีพระราชปริยัติกวี อธิการบดี  นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มาร่วมพิธีเปิดศูนย์ ทั้งนี้ ในงานดังกล่าว มหาวิทยาลัย โดยอธิการบดี จะร่วมลงนามความร่วมมือกับตำรวจโทพงศ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม  กระทรวงยุติธรรมด้วย"  พระมหาหรรษา กล่าวและว่า 

นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 16-20 กันยายน 2563 มหาจุฬาฯ ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะได้จัดอบรมผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท จำนวน 50 รูป/คน เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562  เมื่อขึ้นทะเบียนแล้ว อธิการบดีได้มีนโยบายให้ผู้ไกล่เกลี่ยได้จัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในวิทยาเขต และ วิทยาลัยสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดต่างๆ กว่า 40 จังหวัด เพื่อช่วยเสริมสร้างสังคมสันติสุขในชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงต่อไป

กมธ.ดีอีเอสจัดถกเห็น "AI"พลิกวิกฤต รีสตาร์ทประเทศไทยหลังยุคโควิด-19



กมธ.ดีอีเอส จัดสัมมนา "เทคโนโลยีดิจิทัลพลิกวิกฤต รีสตาร์ทประเทศไทยในยุค โควิด-19"  ขณะที่ "กัลยา"ชี้เทคโนโลยีต่างๆมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันเพราะโลกเปลี่ยนไป "เศรษฐ์พงค์"หวังปชช.ได้ข้อมูลนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 31 สิงหาคม 2563  ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ คณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา "เทคโนโลยีดิจิทัลพลิกวิกฤต รีสตาร์ทประเทศไทยในยุค COVID-19"

พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวรายงานว่า ขณะนี้ประเทศไทยและทั่วโลกมีการระบาดโควิด-19  ซึ่งกระทบกับด้านเศรษฐกิจ สังคม และทำให้การใช้ชีวิตของประชาชนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และมีการคาดการณ์ว่าการระบาดจะทำให้ชีวิตของทุกคนเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ดังนั้นการใช้ชีวิตวิถีใหม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า กมธ.ดีอีเอส ในฐานะที่มีหน้าที่กำกับด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี ได้เล็งเห็นความสำคัญในการนำความรู้เผยแพร่ให้ประชาชนเพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อินเตอร์เน็ตชุมชน ข้อมูลการเดินทาง ข้อมูลด้านสาธารณสุข ดังนั้นกมธ.ดีอีเอสจึงได้จัดสัมมนานี้ขึ้น เพื่อหวังว่าจะมีประโยชน์ทำให้ทุกคนจะสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวเปิดสัมมนา ว่า เราทราบกันดีถึงวิกฤตโควิด-19 ทำให้ทุกคนได้รับผลกระทบ ชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง วันนี้เทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และเทคโนโลยีต่างๆในวันนี้ มีการพัฒนารุดหน้าไปมาก โดยเฉพาะด้านดิจิทัล ที่ทุกประเทศยอมรับว่า จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมอย่างเห็นได้ชัด เราจะเห็นได้ว่ารอบตัวเรามีเทคโนโลยีที่เข้ามาตอบสนองการดำรงชีวิต และสามารถนำมาพัฒนาประเทศให้เข้มเแข็งได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และยังรวมถึงการเสริมสร้างอาชีพในยุคโลกใหม่ ตนหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้ทุกท่านจะได้มีความรู้นำไปพัฒนาทักษะชีวิต และสร้างศักยภาพอันเข้มแข็งเพื่อนำไปพัฒนาสังคมได้ต่อไป

ด้านนายมนศักดิ์ โซ่เจริญธรรม ผอ.ฝ่ายเดตาโซลูชันส์ภาครัฐ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) บรรยายหัวข้อ "Government Data Solution : Connecting Data , Connecting Governmemt" ว่า ในอนาคตระบบดิจิทัลต่างๆ จะมีการพัฒนาที่ไปไกลมาก ระบบ AI จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น รวมทั้งระบบการนำทางต่างๆจะละเอียดมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของผู้คน เช่น คนตาบอดที่จะมีระบบการนำทางที่เข้ามาช่วยเหลือ ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้หลายประเทศ หลายบริษัทมีการลงทุนสร้างดาวเทียม สร้างโปรแกรมต่างๆ ซึ่งหากใครทำได้ละเอียดก็จะเป็นที่นิยมและมีคนใช้มาก ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะเป็นผลดีกับผู้บริโภค 

นายภาคภูมิ ไตรพัฒน์ ผู้ชำนาญด้านการบริการจัดการชื่อโดเมนและการอภิบาลอินเตอร์เน็ต จากมูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย บรรยายหัวข้อ "อนาคตบรอดแบรนด์เพื่อชุมชน" ว่า การที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต่างๆสามารถใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้เป็นสิ่งสำคัญ และการลดช่องว่างของการใช้อินเตอร์เน็ตจะทำให้ประชาชนมีศักยภาพมากขึ้น เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีต่างๆนั้นเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งประเทศไทยนั้นเราควรมีการพัฒนาโดเมนและอีเมล์ ที่เป็นของประเทศไทยเราเอง โดยเป็นภาษาไทย เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน ทั้งนี้การสร้างโครงข่ายให้ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลจะทำให้ประเทศเจริญแบบก้าวกระโดด เพราะประชาชนจะได้ความรู้ทางด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ดังนั้นการพัฒนาอินเตอร์เน็ตจะเป็นการลดช่องว่างระหว่างคนชนบทกับคนเมืองได้เป็นอย่างมาก



 

 

"บิ๊กตู่"ตาสว่าง! เห็นคุณ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ช่วยไทยข้ามผ่านวิกฤตโควิด-19


 


"บิ๊กตู่"ตาสว่าง! เห็นคุณ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ช่วยไทยข้ามผ่านวิกฤตโควิด-19  เตรียมต่อยอดด้วย "BCG"โมเดล หวังบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563  เวลา 09.30 น. ณ ห้องเอสแคป ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา Global Compact Network Thailand และกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "วิถีคิดผู้นำในสถานการณ์วิกฤต ประสบการณ์จากสถานการณ์โควิด-19" โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้

ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan: NAP) เมื่อปี 2562 โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวให้ความสำคัญกับ 3 เสาหลัก คือ คุ้มครอง เคารพ และเยียวยา ซึ่งขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ภายในประเทศ รวมถึงสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยที่มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน หวังว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเคารพในศักดิ์ศรีของไทย

สำหรับหัวข้อ "วิถีคิดผู้นำในสถานการณ์วิกฤต ประสบการณ์จากโควิด-19"  วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตระดับโลกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้ต้องปรับตัวทั้งในการใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจให้เป็นไปในรูปแบบ "New Normal"  หรือ "วิถีปกติใหม่"  ดังนั้น ผู้นำในทุกองค์กร รวมทั้งภาครัฐบาลจึงต้องพร้อมปรับตัวเพื่อก้าวเข้าสู่โลกใหม่ด้วย รัฐบาลเองก็จะเร่งปรับปรุงวิธีการทำงานให้เป็นแบบ New Normal ผนึกกำลัง นำทุกภาคส่วน และทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และมีบทบาท เพื่อร่วมวางอนาคตของประเทศไทย ทุกภาคส่วนจะต้องรวมพลังกันเพื่อ "รวมไทยสร้างชาติ"  ท่ามกลางวิกฤตนี้ "เราจะต้องรอด และวันหน้า เราต้องเข็มแข็งกว่าเดิม"  พวกเราคนไทยจะฝ่าฟันไปด้วยกัน เพราะเราและโลกมีเป้าหมายที่ชัดเจนรออยู่ข้างหน้า นั่นก็คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ หรือ SDGs ซึ่งเราจะต้องบรรลุให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030 หรือปี 2573

รัฐบาลได้จัดตั้ง "คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน"  ทำหน้าที่ ติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือเยียวยา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาของประชาชนในระดับพื้นที่ และรัฐบาลจะเปิดให้มีการประเมินผลงานภาครัฐ ให้ทุกคนสามารถประเมินผล การทำงานของรัฐว่าสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่เขาคาดหวังหรือไม่ รวมทั้ง การทำงานเชิงรุก กำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริง และมีประสิทธิภาพสูงสุด

วิกฤตการณ์โควิด-19 ตอกย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยโชคดีที่มี "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"  เป็นแนวทางการพัฒนาประเทศ 

ทั้งนี้ มี 3 ประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการฟื้นตัวจากวิกฤต 1. ระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง จัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขอย่างเหมาะสม มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมทั่วไป 2. เตรียมรับมือกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหานี้ และบรรเทาผลกระทบแก่ประชาชนโดยจัดเป็นปัญหาเร่งด่วน 3. เป็นโอกาสที่จะนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลง และวางแผนเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน 

โดยรัฐบาลไทยกำลังขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "Bio-Circular-Green Economy"  หรือ "BCG"  คือเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว มีแนวทางสำคัญ คือ "การน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน"  "สร้างความเข้มแข็งจากภายในเชื่อมไทยสู่โลก"  และ "เดินหน้าไปโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"  โดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนอย่างน้อย 5 มิติ ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสาธารณสุข ความมั่นคงทางพลังงาน หลักประกันการมีงานทำ และความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

สิ่งที่ทำให้มั่นใจว่า ประเทศไทยจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วภายหลังวิกฤตโควิด-19 คือ ความร่วมแรงร่วมใจอย่างเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยทุกคน ความร่วมมืออย่างดียิ่งจากมิตรประเทศ และองค์ความรู้และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ทั้งนี้ ภายใต้การดำเนินการตามมาตรการทั้งหมดของไทย ทำให้ไทยได้รับคำชื่นชมจากสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลก รวมถึงได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ ว่าสามารถบริหารจัดการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดและฟื้นตัวจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยานการประกาศเจตนารมณ์ขององค์กรสมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ให้คำมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้วิถีใหม่

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

"พปชร."โยนกลอง! โวย 2 รมต.เคลียร์กันให้ชัด ปม"พาราควอต" ชี้เกษตรกรสับสน




วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ รับข้อร้องเรียนจาก สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย และจะจัดทำหนังสือยกเลิกการแบนสารพาราควอตถึงคณะกรรมการวัตถุอันตราย แต่ น.ส. มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่เห็นด้วยกับนายเฉลิมชัย ว่า เรื่องนี้ทำให้เกษตรกรสับสนว่ารัฐบาลจะเอายังไงกันแน่ รมว.ว่าอย่างหนึ่ง ส่วนรมช. ก็จะเอาอีกอย่างหนึ่ง คนที่เดือดร้อนคือพี่น้องเกษตรกร ที่ผ่านมาการยกเลิกสารพาราควอต ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว การที่เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.2563 หากมีใครครอบครองจะต้องโทษจำคุกถึง 10 ปี ปรับเงิน 1 ล้านบาท ถือเป็นโทษที่รุนแรงมากกว่าคดียาเสพติดเสียอีก นอกจากนี้ยังมีการห้ามนำเข้า ข้าวสาลีและถั่วเหลือง จากประเทศที่ใช้สารพาราควอต หรือจะต้องปลอดจากสารพาราควอต แบบ 100 % ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิตในหลายอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน แม้ที่ผ่านมาจะมีการผ่อนผันบ้างแต่หลายสิ่งที่ประกาศออกมาก็ไม่มีความชัดเจนเลย


"วันนี้ทั้ง 2 ท่านต้องไปคุยกันให้ชัดว่าจะเอายังไง อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพราะประชาชนเขาเดือดร้อน ก่อนหน้านี้ยืนยันหนักแน่นว่าจะแบน พอมีโดนด่ามากๆก็เริ่มเปลี่ยนใจ นายเฉลิมชัยและน.ส.มนัญญา ต้องเอาให้ชัดๆ อย่าเอาดีใส่ตัวแล้วเอาชั่วใส่คนอื่น วันนี้เกษตรกรต้องการความชัดเจน จะได้เตรียมตัวรับมือกันถูก ผมแนะนำว่าหากท่านแก้ปัญหาไม่ได้ก็ลาออกไป แล้วให้คนที่เขามีความสามารถเข้ามาทำงานแทนจะดีกว่า" นายสัมฤทธิ์ กล่าว

"สารี" ลั่นต้องยกเลิกพาราควอต ชวนเครือข่ายผู้บริโภคท้าชน"เฉลิมชัย"



ยังหวัง ปชป.มีที่ยืนในสังคม หลังเคยโวหาเสียงผลักดันเกษตรอินทรีย์

วันที่ 31 ส.ค.2563 นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าตนรู้สึกสะท้อนใจที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจเลือกข้างบริษัทสารเคมีและจะเดินหน้าทบทวนการยกเลิกพาราควอต ของคณะกรรมการการวัตถุอันตราย

"อยากให้รัฐมนตรีเกษตร คิดทบทวนให้ดีที่ออกมาหนุนการยกเลิกการแบนสารพิษ เพราะที่ผ่านมา นโยบายพรรคประชาธิปัตย์และกระทรวงพาณิชย์ที่พรรคดูแลอยู่ก็เน้นนโยบายเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหาเสียง ทีมเศรษฐกิจของพรรคชูนโยบายแบนสามสารพิษ พวกเรายังอยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์มีที่เหยียบที่ยืนในสังคมไทย มิใช่ผิดคำพูดตลอดกาล"

ทั้งนี้ มูลนิธิจะรณรงค์และประสานงานองค์กรผู้บริโภคทุกภูมิภาคให้เดินหน้าการยกเลิกสารเคมีอันตรายทั้งสามตัวให้ได้ โดยจะร่วมมือกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคเหนือ เก็บตัวอย่างน้ำปู๋มาทดสอบ

การตกค้างของพาราควอตในกบหนอง ปูนา หอยกาบน้ำจืด และปลากะมัง ได้รับการยืนยันโดยข้อมูลของ ผศ.ดร.นพดล กิตนะ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พบพาราควอตตกค้างในตัวอย่างปูนาระหว่าง 24- 56 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม พบในกบหนอง 17.6- 1,233.8 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม พบในปลากะมัง 6.1-12.5 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม และพบในหอยกาบน้ำจืด 3.5-7.7 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม 

สำหรับน้ำปู๋ซึ่งนิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น น้ำพริกน้ำปู แกงหน่อไม้ ตำส้มโอ ตำกระท้อน เป็นต้น นั้นพบว่าบางชนิดมีพาราควอต สูงถึง 200 เท่าจากมาตรฐานที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดไว้ไม่เกิน 5 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม

 ส่วนการที่มีผู้นำข้อมูลของ "ฉลาดซื้อ"  ไปอ้างว่าไม่พบพาราควอตในปูนานั้น ขอยืนยันว่าศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อไม่เคยทดสอบปูนาหรือน้ำปู๋ ที่ผ่านมาเป็นการสุ่มตัวอย่างปูดองเค็ม (ที่ใช้ในการทำส้มตำ) จำนวน 16 ตัวอย่าง จากตลาดสด 14 แห่ง ระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม 2561 ในพื้นกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไม่ใช่การทดสอบน้ำปู๋หรือปูนาจากพื้นที่ภาคเหนือแต่อย่างใด

 

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2563

“ลดาวัลลิ์”ชูธนาคารน้ำใต้ดินนโยบายน้ำมั่นคง

 


“ลดาวัลลิ์”ชูนโยบายสร้างความมั่นคงด้านน้ำ แนะชาวกาฬสินธุ์สู้ภัยแล้งด้วยธนาคารน้ำใต้ดิน พร้อมช่วยทวงคืนอิสรภาพการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีตามหลักการเดิมที่ได้ริเริ่มไว้


วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2563 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานฯและผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเสมอภาค  ลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเขาวง ของนายรัฐวัสส์ จรัสอภิรักษ์ โอกาสนึ้ได้พบปะเกษตรกรจากอำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์และอำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์เมื่อช่วงเช้า วันที่ 29 สิงหาคมนี้เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทำให้ทราบว่าเป็นพื้นที่ประสบภัยแล้งมาตลอดและความช่วยเหลือจากภาครัฐยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ควรปรับปรุงกระบวนการขุดลอกแหล่งน้ำให้ได้ผลอย่างแท้จริงแก้ปัญหาขุดลอกแล้วยังไร้น้ำ กลายเป็นห้วยแล้ง สระแล้งมากมาย


นางลดาวัลลิ์จึงได้ขี้แจงนโยบายของว่าที่พรรคเสมอภาคที่กำหนดโครงการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำไว้หลายวิธี ที่สำคัญที่สุดคือโครงการเก็บน้ำไว้ใต้ดินหรือธนาคารน้ำใต้ดิน จึงแนะนำการทำธนาคารน้ำใต้ดินร่วมกับการทำแก้มลิงบนหน้าดินแก่เกษตรกรชาวกาฬสินธุ์ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งให้เก็บน้ำได้อย่างแท้จริง ข้อดีของธนาคารน้ำใต้ดินคือสามารถกักเก็บน้ำฝนไว้ใต้ดิน น้ำจะไม่ระเหยเพราะความร้อนเหมือนน้ำในบ่อบนผิวดิน  ทำให้ในหน้าแล้งยังมีน้ำเพียงพอสำหรับทำการเกษตร   


ในช่วงบ่ายนางลดาวัลลิ์และทีมเสมอภาค ได้พบปะประชาชนหลายอาขีพจาก 15 อำเภอในจังหวัดกาฬสินธุ์ มีตัวแทนกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดกาฬสินธุ์ได้บอกเล่าถึงอุปสรรคปัญหาการบริหารจัดการกองทุนที่ย้ายจากสำนักนายกรัฐมนตรีไปอยู่ภายใต้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ทำให้กลุ่มสตรีต้องจำยอมรับโครงการที่คิดโดยข้าราชการแม้ไม่สนองความต้องการของสตรีก็ตาม เพราะถ้าไม่รับก็จะไม่จัดสรรงบประมาณให้ ซึ่งเป็นความอึดอัดใจของกลุ่มสตรีทั่วประเทศแต่ไม่รู้จะแจ้งให้ใครมาข่วยแก้ไขให้ได้ รู้สึกดีใจเมื่อมาพบนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ซึ่งเป็นผู้คิดริเริ่มก่อตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีตั้งแต่ปี 2548 ด้วยทุนประเดิมจากรัฐบาล 780 ล้านบาท และได้กลายมาเป็นนโยบายรัฐบาลปี 2544 ด้วยทุนที่เพิ่มขึ้นเป็น 7,800 ล้านบาท จึงขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้สตรีทั่วประเทศด้วย ซึ่งนางลดาวัลลิ์ ได้ชี้แจงว่า ตั้งแต่ปี 3548 ตนวางแผนดำเนินการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไว้ 3 ระยะ คือระยะแรกนำร่อง 780 ล้านบาทตั้งกองทุนไว้ระดับตำบลๆละ 100,000บาท สำหรับ 7,800 ตำบล/ชุมชน ระยะที่สองคือ 7,800 ล้านบาทสำหรับ 78,000 หมู่บ้าน/ชุมชน และระยะที่สามคือ 78,000 ล้านบาทสำหรับ 78,000 หมู่บ้าน/ชุมชนๆละ 1,000,000 บาทอยู่คู่กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ


“หลักการที่คิดไว้ตั้งแต่ต้นคือ การให้ สตรีบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีด้วยตนเอง ให้ข้าราชการทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเท่านั้นไม่ควรเข้ามาครอบงำการตัดสินใจแทนสตรี  วิธีนี้จะเป็นการพัฒนาบทบาทและศักยภาพการเป็นผู้นำของสตรีให้มีความรู้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ ในแต่ละโครงการแต่ละกิจกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของสตรีไทยให้มีความก้าวหน้า ทันสมัย และยกระดับสตรีไทยให้เก่งในด้านทำธุรกิจการค้าขาย การลงทุนและการส่งออก สตรีจะพึ่งตนเองได้ สตรีจะมีบทบาทร่วมพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างเข้มแข็ง จึงขอเชิญชวนสตรีไทยทุกหมู่บ้านทุกชุมชน มารวมพลังกันให้แน่นแฟ้นเพื่อแก้ไขทุกอุปสรรคปัญหาของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีของพวกเราให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติโดยรวม ไม่ใช่ประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง” นางลดาวัลลิ์กล่าว

ศาลอาญาพระโขนงเปิดอบรม "โมเดลไกล่เกลี่ยแนวพุทธ"



 แก่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศาลอาญาพระโขนงกว่า 50 รูป/คน พร้อมตั้งคณาจารย์ที่เป็นพระภิกษุหลักสูตรสันติศึกษา มจร ร่วมเป็นผู้ไกล่เกลี่ย 4 รูป


เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2563 ที่ศาลอาญาพระโขนง กรุงเทพมหานคร พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) รับนิมนต์จาก ดร.เชวง ชูศิริ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาพระโขนง เป็นวิทยากรนำเสนอกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามแนวพุทธให้แก่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศาลอาญาพระโขนง จำนวนกว่า 50 รูป/คน  

พระมหาหรรษากล่าวว่า กระบวนการไกล่เกลี่ยแนวพุทธมีจุดเด่นที่เน้นให้ผู้ไกล่เกลี่ยได้ไกล่เกลี่ยกับตัวเอง เพือจัดการความขัดแย้งเพื่อให้เกิดสันติภาพของตัวเองให้ได้ก่อน หลังจากนั้น จึงเข้าเริ่มต้นสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างคู่ความทั้งโจทย์และจำเลยที่กำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง

 


"กระบวนการไกล่เกลี่ยแนวพุทธจึงเริ่มต้นจากพัฒนา และฟื้นฟูสติของคู่ความ เพื่อให้เกิดการตื่นรู้  และเท่าทันพร้อมทั้งจัดการอารมณ์ (Emotion Management) ทั้งชอบไม่ชอบ และโกรธเกลียดระหว่างกันในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง" พระมหาหรรษา กล่าวและว่า 

ก่อนเริ่มการไกล่เกลี่ยจึงมีการสวดมนต์และแผ่เมตตาร่วมกันระหว่างคู่ความก่อน เมื่ออารมณ์เย็นลงจะทำให้คู่ความฟังกันมากขึ้น จนสามารถค้นหาความต้องการที่แท้จริง จนพบทางออกแล้วนำไปสู้การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามผ่านการขอโทษจากหัวใจ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาพระโขนงได้แต่งตั้งคณาจารย์ที่เป็นพระภิกษุจากหลักสูตรสันติศึกษา มจร ประกอบด้วยพระมหาหรรษา พระมหาดวงเด่น ฐิตญาโณ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท และพระมหาวีรศักดิ์ อภินนฺทเวที  ขณะนี้ได้ช่วยทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคู่ความสำเร็จไปแล้วเกือบ 10 คดี นับเป็นศาลแรกที่แต่งตั้งพระภิกษุเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยคดีอาญาในศาล 


 

พระอาจารย์"ม.สงฆ์มจร" ชี้แนะเทคนิคการสอนสำคัญกว่าเทคโนโลยี



ยันเป้าหมายการสอนคือ คิดได้ ปฏิบัติเป็น ไม่ใช่จดจำนำไปทำข้อสอบ มาตรฐานการสอนมิใช่ของครูหากแต่เป็นมาตรฐาการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนต่างกัน


เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563ที่ผ่านมา พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ,ผศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  จัดกิจกรรมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการสอนศีลธรรมในโรงเรียน จัดโดยคณะสงฆ์ภาค 2  ร่วมกับ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ที่วัดถ้ำกระบอก อำเภอพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ในหัวข้อ "จิตวิทยาการเรียนการสอนแนวใหม่ : การใช้สติและสมาธิเป็นฐาน"  

พระปลัดสรวิชญ์ กล่าวว่า ครูพระสอนศีลธรรมต้องเป็นต้นแบบของการสอนที่มีสติและสมาธิเป็นฐาน เพราะสิ่งที่เราสอนมีเป้าหมายเพื่อให้เด็กทุกคน คิดได้ ปฏิบัติเป็น ไม่ใช่จดจำนำไปทำข้อสอบ "เทคนิคการสอนจึงสำคัญกว่าเทคโนโลยี"  เราบอกว่าเรามีมาตรฐานในการสอน จัดทำแผนการสอนดี สื่อการสอนเด่น เป็นไปตามเวลาและขั้นตอน ทั้งหมด แต่ทำไหมนักเรียนไม่เข้าใจหรือไม่สนใจในการเรียน คำตอบ "มาตรฐานของใคร"  นักเรียน 10 คน มีมาตรฐานความรู้เท่ากันหรือไม่ การสอนแต่ละครั้งควรใส่ใจความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนให้มาก มาตรฐานการสอนมิใช่ของครูหากแต่เป็นมาตรฐาการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละกันต่างหาก เพราะเราไม่ใช่พนักงานสอน ที่จะสอนวิชาตามเวลาจบแล้วก็คือจบ เราต้องเติมจิตวิญญาณความเป็นครูเข้าไปด้วยและต้อง "มองเห็นเด็กทุกคนเป็นอนาคตของสังคม"   

ท่ามกลางของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโลกพระสงฆ์จะอยู่อย่างไรในสังคมไทย บทบาทพระสงฆ์ที่เคยเป็นที่พึ่งทางจิตใจและสติปัญญาถูกปรับเปลี่ยนเป็นผู้นำศาสนพิธีอย่างเดียว ในอดีตพระสงฆ์ได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธาในภูมิธรรมและภูมิสติปัญญา สามารถเป็นผู้นำทั้งด้านจิตใจและปัญญาแก่ประชาชนได้ เพราะการศึกษาของสังคมไทยในอดีตยังไม่กว้างขวาง ยังอยู่ในการดูแลของพระสงฆ์ แต่พอมีการส่งประชาชนไทยไปศึกษาในต่างประเทศมากขึ้น คนไทยที่จบการศึกษาจากต่างประเทศก็นำเอารูปแบบและระบบการจัดการศึกษาแบบตะวันตกเข้ามาใช้ในสังคมไทย การศึกษาของประชาชนจึงมีรูปแบบใหม่และมีการพัฒนาอย่างต่อเนี่อง ขณะที่ระบบการศึกษาของพระสงฆ์ยังไม่มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงทั้งด้านหลักสูตรและรูปแบบการจัดการศึกษา 

"สำหรับตัวแปรสำคัญทำให้เกิดความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อพระสงฆ์ในปัจจุบันก็คือ พระสงฆ์มีระดับการศึกษาทางโลกมากขึ้น เป็นแบบอย่างด้านการศึกษาให้กับประชาชน พระสงฆ์ได้กลับมาทำบทบาททางด้านผู้นำทางด้านจิตใจ สติปัญญาและพัฒนาสังคมเหมือนอดีตที่ผ่านมา เราต้องกราบขอบพระคุณพระมหาเถระที่ได้วางรากฐานการศึกษาระดับอุดมศึกาของคณะสงฆ์ไว้เป็นอย่างดี" พระปลัดสรวิชญ์ กล่าว


"ดร.สุเมธ"เตือนสติคนไทย! ไม่มีหุ่นยนต์ตัวใดผลิตข้าวให้เรากินได้ 


ความเห็นของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ที่เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวพร้อมกล่าวปาฐกถา "ชุมชนเข้มแข็ง สังคมก้าวหน้า ร่วมพัฒนาอย่างยั่งยืน"  ตามที่เครือข่ายพันธมิตร 11 องค์กรได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เอสซีจี เพื่อนชุมชน บมจ.พีทีทีโกลบอล เคมิคอล(GC) กลุ่มบ.ดาวประเทศไทย กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บมจ.วีนิไทย บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ร้านภัทรพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.)และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ร่วมแถลงข่าว "ผนึกกำลัง Big Brothers …นำชุมชนสู่กิจการเพื่อสังคมปีที่ 4 " เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563ที่ผ่านมา 

ดร.สุเมธกล่าวว่า โครงการนี้ตั้งแต่ปีแรกจนถึงสู่ปีที่ 4 เครือข่ายที่ร่วมเป็นพี่เลี้ยง ในการผลักดันการพัฒนาชุมชนในรูปแบบกิจการเพื่อสังคม(Social Enterprise :SE ) ที่จะขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ถามว่าพอใจหรือยัง ผมคิดและอยากเสนอว่าไม่น่าจะจำกัดเฉพาะแค่ 11 รายนี้แต่อยากเห็นเป็น 110 ราย เป็น 1,100 รายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อยากฝากไว้ อย่าไปคิดว่าเราใช้ส่วนเกินของเราไปช่วยคนที่อ่อนแอกว่าหรือชุมชนที่อยู่อย่างยากไร้ถ้าคิดเช่นนั้นเราอาจจะไม่เข้าใจสถานะการใช้ชีวิตของเราก็ได้ เพราะชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงงานหรือกิจกรรมที่ลงทุนใหญ่โต ชีวิตไม่ว่าอยู่ระดับไหน ไม่ว่าเราจะมี Robot สักกี่ตัว AI ก้าวหน้าไปแค่ไหนก็ตาม ผลสุดท้ายเราก็ต้องกลับมานั่งอยู่หน้าจานข้าวอยู่ดี” ดร.สุเมธกล่าว

ดร.สุเมธกล่าวย้ำเตือนสติต่อว่า เมื่อวันนั้นมี ข้าว น้ำตาล ผัก เนื้อต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้มาจากการพัฒนาเมืองใหญ่ทุกอย่างที่เลี้ยงดูชีวิตเรามาจาก “ชุมชน” เขาเป็นผู้มีพระคุณ ถ้าชุมชนหยุดผลิต เขาล้มละลายเมื่อไหร่ เราก็สูญสิ้นสลายชัดเจนที่สุด ทีนี้เข้าใจหรือยัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านใช้เวลา 8 เดือนต่อปีเป็นเวลา 70 ปีเพื่ออยู่กับชุมชนโดยเฉพาะในชุมชนชนบท เพราะคนเมืองใหญ่ไม่ว่าโตเกียว นิวยอร์ค ที่ไหนก็แล้วแต่บริโภคแล้วก็ถ่ายออกเป็นขยะไม่ได้ผลิตอะไรเลย

AI แอพลิเคชั่น ทำให้เราสะดวกขึ้นแต่ไม่ได้เลี้ยงดูชีวิตเรา โควิด-19 ชัดเจนเลยระบบกระบวนการผลิตหยุดหมด วัตถุดิบไม่ถูกส่งเข้าโรงงาน ต่อให้เงินสด เครดิต เดินไปในห้างร้าน ชั้นสินค้าก็ว่างเปล่า แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่มีอะไรขายแย่งชิงกัน ปัญหาใหญ่วันนี้ทรัพยากรหร่อยหรอ แต่การบริโภคมากขึ้น ด้วยประชากรไทยและโลกเพิ่มขึ้นมากโดยคาดกันว่าโลกในอีก 30 ปีข้างหน้าประชากรจะไปสู่ระดับ 9,000 ล้านคนจากวันนี้ 7,400 ล้านคน

สงครามเกิดขึ้นทุกมุมโลก ลองคิดดูว่าความขัดแย้งด้านการเมือง ศาสนา แต่จริงๆคือแย่งชิงทรัพยากรเพราะในบ้านตัวเองหมด มีเงินแต่ไม่มีอาหาร สภาพความจริงต้องกลับไปสู่อาหารการกิน ไม่มี Robot หรือหุ่นยนต์ไหนปลูกข้าวให้เรากินได้ ดังนั้น Social Enterprise :SE ไม่ใช่มารยาทของธุรกิจที่ต้องทำให้ดูดีแต่ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของเราและให้ธุรกิจอยู่รอด ถ้าโรงงานจะยิ่งใหญ่แค่ไหน วัตถุดิบก็มาจากพื้นที่ที่เจ้าของเป็นชุมชน ไม่เลี้ยงดูเขาใครจะป้อนวัตถุดิบมาให้ และขณะเดียวกันเขาเหล่านี้ก็เป็นลูกค้าเราอีก ดังนั้นจึงต้องเลี้ยงดูเขา ซึ่งไม่ใช่แค่ SE แต่ต้อง Social Responsibillity คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่ 11 รายทุกคนต้องรับผิดชอบ

"เราเจอวิกฤติและต่อไปก็ไม่รู้จะเจออะไรอีก วันนี้อย่าไปนึกถึงกำไรสูงสุด ตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียงเข้าใจหรือยัง เข้าใจซะก่อนที่จะสายเกินไป วันนี้ชาวบ้านเขาต้องการอะไร เรามีความรู้ต้องเข้าไปช่วย แผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 8 รัฐบาลเองวันนี้ก็เอามาใช้คือ คำว่าประชารัฐ รัฐ กับประชา ต้องเดินไปด้วยกัน ซึ่งประชาก็คือ Big Brother ทั้งหลายด้วย เราต้องไปช่วยเขาบริหารน้ำ บริหารทรัพยากร นี่คือทางรอดของไทยและของโลกและเป็นกระแสที่ยั่งยืน ผลิตแล้วตลาดก็สำคัญ ร้าน7-11 ช่วยเพิ่มสินค้าสำหรับชุมชนจะได้ไหม" ดร.สุเมธกล่าว

สรุปแล้ว "ชุมชน" คือ "รากแก้ว" อย่าไปเรียกว่ารากหญ้า ดอกไม้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ดอกสวยแค่ไหน วันใดที่รากขาด ต้นไม้ก็อยู่ไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น ชุมชน จะต้องแข็งแรงเพื่ออยุงต้นไม้ทั้งต้น คือประเทศชาติให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อให้มีพื้นที่ให้ลูกหลานอยู่อย่างมีความสุขต่อไป

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2563



ศึกษาศาสตร์ มรภ.จันทรเกษม เสริมสร้างจิตวิญญาณความเป็นครู เพื่อการตื่นรู้สู่ความเป็นครูวิชาชีพ อาจารย์ ม.สงฆ์ มจร นำนักศึกษาประกาศเจตจำนงค์ ความเป็นครูในศตวรรษที่ 21  


คำว่า "ครู"  เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์และมีศักศรี เราจะใช้คำนี้ รักษาตัวและหัวใจเพื่อยึดมั่นในจิตวิญญาณและอุดมการณ์ของความเป็นครู  โดยระหว่างวันที่  24–28 สิงหาคม 2563  ที่ห้องประชุมชั้น 2 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม   กรุงเทพมหานาคร ได้จัดโครงการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู สู่การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21  มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม  ให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบกาณ์ด้านต่างๆ 


พร้อมด้วยคุณลักษณ์ที่พึ่งประสงค์ ตามพระราโชบายด้านการศึกาและคุณลักษณะครูในศตวรรษที่ 21 โดยมีนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และคณะสังคมศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 และ 2 เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 979 คน  ในการจัดกิจกรรมเป็นการบรรยายให้ความรู้แก่นักศึกษาด้านการปรับตัว ปรับใจนักศึกษายุคใหม่ ใส่ใจคุณธรรม นำสู่การเสริมสร้างจิตวิญญาณความเป็นครู

 

พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ,ผศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนแนว คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) กล่าวว่า จากข่าวในปัจจุบันพบว่า ครู ทำผิดจรรยาบรรณวิชาชีพครูมากขึ้น เช่น การทำอนาจารเด็ก ข่มขืนนักเรียน ลงโทษนักเรียนไม่มีเหตุผล ขาดสติ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพขณะเดียวกันทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและศรัทธาของผู้ปกครอง สังคมที่มีต่อครูอีกส่วนหนึ่ง การที่จะป้องกันหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมหรือการกระทำของครูในปัจจุบันซึ่งเกิดจากปัจจัยส่วนบุคคล และสังคมสิ่งแวดล้อมทางเศรษกิจ สังคม ทำให้ครูขาดการตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่และจิตวิญญาณของความเป็นครูซึ่งหากเรามองในแง่ของการป้องกันปัญหาในอนาคต 


จำเป็นจะต้องสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่และจิตวิญญาญของครูให้มีการตื่นรู้มากยิ่งขึ้น โดยการสร้าง สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับบาทบาทและความรับผิดชอบของครูที่มีสถาบันการศึกษาและสังคม มีหิริโอตัปปะ เกิดความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปหรือผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ เป็นธรรมะที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะหากผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครูไม่ละอายต่อการกระทำผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ไม่เกรงกลัวต่อผลของการกระทำนั้นๆ บุคคลนั้นก็สามารถทำสิ่งที่เลวร้ายเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง นักเรียน ชุมชน และสังคมส่วนร่วมได้ทุกอย่าง ฉะนั้น บุคคลที่จะทำหน้าที่เป็นครูที่ดีได้นั้น จำเป็นจะต้องมีธรรมทั้งสองข้อนี้ปกป้องคุ้มครอง เรียกได้ว่า เป็นธรรมโลกบาล หรือ ธรรมะที่คุ้มครองโลก ซึ่งสามารถสรุปเป็นแนวสังเขปได้ดังนี้

1.ครูต้องมีความละอายแก่ใจในการทำบาป (หิริ) หรือสิ่งที่ผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ศีลธรรมอันดีงามของสังคม ตลอดทั้งกฏหมายบ้านเมือง  หากบุคคลสามารถพัฒนาหิริจนเกิดขึ้นในจิตใจกลายเป็นนิสัยในการดำเนินชีวิต ก็สามารถควบคุมอารมณ์ยับหยั่งตัวเองไม่ให้ความชั่ว กิเลส ตัณหาเข้ามาครอบงำจิตใจได้ เพราะบุคคลเกิดความละอายที่จะคิด พูด และกระทำ ความชั่วเหล่านั้น  ถามว่า ทำอย่างไรจะทำให้บุคคลเกิดความละอายแก่ใจได้? 


คำตอบ คือ หิริ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการฝึกฝนพัฒนาตนให้มีค่านิยมที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคม ในสมัยโบราณจะอบรมเลี้ยงดูลูกหลานให้มีความเกรงกลัวต่อบาป ด้วยการยกเรื่องราว เหตุการณ์เกี่ยวกับบุคคลที่กระทำผิดศีล ผลที่เกิดขึ้นในชีวิตหลังความตายก็จะตกนรก พบกับยมบาล ถูกทำโทษในอเวจีขุมต่างๆ  ทำให้คนเกิดความเกรงกลัวต่อการกระทำนั้นๆ  สำหรับคนในปัจจุบันอาจจะไม่เชื่อถือเรื่องราวเหล่านี้ก็ต้องเพิ่มเติมการอธิบายผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นวิทยาศาสตร์หรือสิ่งที่จับต้องได้เพื่อให้เกิดการตระหนักถึงผลเสียที่เกิดขึ้นจากการกระทำหากบุคคลไม่ละอายแก่ใจในการกระทำผิดกฏระเบียบ จารีตประเพณีหรือกฏหมายของบ้านเมือง   สำหรับพฤติกรรมของผู้ที่ขาดหิริ มีลักษณะอย่างไร? ผู้ที่ขาดหิริ คือผู้ที่ไม่มีความละอายใจต่อบาปการดำเนินชีวิตก็จะมีพฤติกรรมในการคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ได้ทุกเวลา ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น          


2. ครูต้องมีความเกรงกลัวต่อบาป (โอตัปปะ) มิใช่กลัวเฉพาะกฏหมายเท่านั้น เพราะบางกรณีจะพบว่า บุคคลที่กระทำความผิดกฏหมายแต่จะไม่กลัวกฏแห่งกรรม  ผู้ที่ทำผิดกฏหมายก็จะพยายามช่องโหว่ทของกฏหมายเพื่อให้ตนเองพ้นจากความผิด โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เหมาะสม ฉะนั้นสังคมจะต้องมีมาตรการในการสร้างค่านิยมยกย่องคนดี ตำนิหรือลงโทษผู้กระทำความผิดและปฏิเสธการใช้เงินหรืออำนาจในการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ขณะเดียวกันหากครูมีจิตวิญญาณตื่นรู้มีสติและสมาธิในการประกอบวิชาชีพสามารถ โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป เกิดขึ้นทุกๆ ลมหายใจเข้าออก ยึดมั่นและมั่นคงอยู่กับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ดำเนินชีวิตอยู่บนหลักประกันชีวิตและสังคม (ศีล 5 ) เข้าใจในกฎแห่งกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 


รู้ว่าเมื่อทำกรรมดีย่อมได้รับผลดีเป็นเครื่องตอบแทน หากทำกรรมช่วงย่อมรับรับผลชั่วเป็นเครื่องตอบแทนในชาติปัจจุบัน หรือ เชื่อว่าทั้งกรรมชั่วและกรรมดีย่อมส่งผลให้ผู้ที่ประกอบกรรมนั้น ได้รับในชาตินี้และชาติต่อ ๆไป หากครูเป็นผู้มีคุณธรรมข้อนี้จะไม่กล้าทำความชั่ว เกรงกลัวต่อบาป ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ก็จะกระทำแต่กรรมดี มีจิตเมตตากรุณาช่วยเหลือผู้อื่น เรียกได้ว่าดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาณ ใช้มีสติปัญญารักษาตนให้พ้นภัยได้


"จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับพฤติกรรมของครูในทางที่เสียหายในปัจจุบัน ทำให้เราต้องกลับมาพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูที่มีการตื่นรู้ มีสติและสมาธิเป็นฐานในการฝึกฝนอบรมให้เป็นวิถีชีวิต โดยเฉพาะการอยู่กับลมหายใจอย่างรู้เท่าทั้น เราเกิดมาบนโลกนี้มีอะไรที่เป็นเพื่อนที่แท้จริงบ้าง ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนกระทั้งคลอดออกมาและมีชีวิตรอดอยู่ในสังคมนี้ ไม่มีอะไรที่อยู่เคียงข้างเราที่แท้จริงนอกจาก "ลมหายใจ" ลมหายใจเท่านั้นที่จะบอกเราว่า เราทุกข์ หรือ เรามีความสุขกับทำงาน ตอนนี้เรามีกายและใจที่จะต้องเรียนรู้อยู่กับการเปลี่ยนแปลงทุกๆ วินาที ทุกๆ ลมหายใจเข้าออก กาย เปรียบเสมือน บ้านและใจเปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน การอยู่ในบ้านกับนอกบ้านทำให้เราได้รับความทุกข์และความสุขต่างกัน นอกบ้านมีเรื่องราวมากมายที่เข้ามาในชีวิตเรา  แต่เมื่อไรที่เรากลับมาอยู่ที่บ้านของเรา เราจะรู้สึกอบอุ่นและเย็นลง ฉะนั้น ความเป็นครูของเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อไรก็ตามที่เราเอาเรื่องราวต่างๆ เข้ามาวุ่ยวายในบ้านเราหรือในการทำหน้าที่ความเป็นครู จะทำให้เราสูญเสียจิตวิญาณความเป็นครูทันที เราจะต้องมีความละอายและเกรงกลัวต่อการทำบาป โดยฝึกฝนปฏิบัติตามตามคุณสมบัติครูวิถีพุทธ 7 ประการ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น  "ครู" เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์และมีศักศรี เราจะใช้คำนี้ รักษาตัวและหัวใจเพื่อยึดมั่นในจิตวิญญาณและอุดมการณ์ของความเป็นครู" พระปลัดสรวิชญ์ กล่าว

 

ต้นกล้า‘"ไทอาหม-ผาเก’" งอกใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา

  


ต้นกล้า‘ไทอาหม-ผาเก’งอกใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา หวังนำพระพุทธศาสนาเจริญในรัฐอัสสัม : สำราญ สมพงษ์ นิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร รายงาน


เนื่องในโอกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 5 รอบ 60  พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2558 ที่ผ่าน คนไทยได้กิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน ในจำนวนนั้นมีกิจกรรมที่คนไทยพุทธทั่วโลกนำบุตรหลานทั้งชายและหญิงบวชสามเณรและบวชศีลจาริณีหรือบวชชีพราหมณ์ถวายเป็นพระราชกุศลตามวัดต่างๆ ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมจึงเป็นโอกาสนำบุตรหลานเข้าวัดด้วยและกิจกรรมดังกล่าวได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้


นอกจากจะมีการบวชตามวัดในประเทศไทยแล้ว มีบางส่วนถือโอกาสนำพาบุตรหลานไปบวชที่เจดีย์พุทธคยาอันเป็นการสื่อเข้าใกล้พระพุทธเจ้าด้วย พร้อมกันนี้ได้เห็นภาพการบวชสามเณรของบุตรหลานที่เป็นคนเชื้อสายเดียวกับคนไทย(บางส่วน)ด้วย


              วันที่ 18 เม.ย.2558 เฟซบุ๊ก"วัดไทยพุทธคยา 935 งานเผยแผ่พระธรรมทูตอินเดีย-เนปาล"ได้โพสต์ภาพและข้อความโดยสรุปว่า "พระเทพโพธิวิเทศ(วีรยทฺโธ)หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสาย อินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา มอบหมายให้ พระครูนิมิตธรรมภินันท์(หลวงพ่อบุญเลิศ) เป็นอุปัชฌาย์บวชสามเณรภาคฤดูร้อนชาวอัสสัม  โครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อนชาวอินเดียรัฐอัสสัม ของพระอาจารย์สิริชัย ที่ได้มีการจัดบวชมาเป็นเวลาหลายปี ในแต่ละปีจะมีเด็กๆชาวอัสสัมมาของบวชหลายรูป


              ในปีนี้มีเด็กมาขอบวช 51 คน แต่อีก 4 คน มาไม่ทันบวชเพราะรถไฟไม่ยอมวิ่งจึงทำให้ไม่ได้เข้าบวชในครั้งนี้ ทำให้เด็กที่ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ 47 รูป และจะปฏิบัติธรรมระหว่างวันที่ 18  เมษายน-17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 โดยทางวัดไทยพุทธคยาจะดูแลน้ำปานะและอาหารเช้าที่อู่น้ำทุกวัน  โดยมีพระธรรมวังสะชาวรัฐอัสสัม พระภิกษุที่ประจำที่วัดไทยพุทธคยาเป็นพระพี่เลี้ยง


              ชาวอัสสัมนั้นคือคนไทอาหมและไทผาเกที่เดิมเป็นคนไทที่อพยพมาจากอาณาจักรเมาหลวงทางตอนใต้ของประเทศจีนข้ามเทือกเขาปาดไก่มาอยู่บริเวณแม่น้ำดาวผี ซึ่งปัจจุบันก็คือแม่น้ำพรหมบุตรของอินเดียนั่นเองก ษัตริย์พระองค์แรกคือพระเจ้าเสือก่าฟ้ามีชีวิตอยู่ในช่วง 700 ปีก่อนซึ่งตรงกับช่วงสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในยุคสุโขทัย"


              ได้ติดตามการเคลื่อนไหวคนไทที่รัฐอัสสัมมาระยะหนึ่งทางเฟซบุ๊กและเมื่อตอนที่เดินทางไปแสวงบุญตามสังเวชนียสถาน  4 ตำบลกับคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร ได้สัมผัสกับพระที่เป็นคนไท  ทำให้รู้สึกว่าคนไทที่รัฐอัสสัมมีความสัมพันธ์กับอินเดียมากกว่าประเทศไทย โดยมีคนไทที่รัฐอัสสัมเข้ามาบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดในประเทศอินเดียหลายรูปและได้พยายามที่จะรื้อพื้นพระพุทธศาสนาในรัฐอัสสัม


              และเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 ที่ผ่านมา องค์ทะไล ลามะผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตได้เดินทางไปที่รัฐอัสสัมประเทศอินเดีย โดยประทับที่เมืองกุวาหตี (Guwhati) เป็นเวลา 5 วัน ร่วมงานเทศกาลศิลปะชาวธิเบต เพราะรัฐอัสสัมนี้มีคนชาติพันธุ์ไทหรือไตอาศรัยอยู่คือชาวไทอาหมมากพอสมควร นั่นก็แสดงว่าองค์ทะไล ลามะให้ความสำคัญกับรัฐอัสสัม  ทั้งนี้สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.komchadluek.net/detail/20140206/178351/ทะไลลามะเยือนถิ่นไทอาหมแนะสู้แบบสันติวิธี.html


              ขณะนี้คนไทอาหมกำลังรื้อฟื้นภาษาไทอาหมขึ้นมาใหม่เพราะว่าไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว  ซึ่งภาษาไทอาหมนั้นมีรากศัพท์ส่วนใหญ่ก็คล้ายกับคำไทย ขณะที่คนไทพาเกยังคงรักษาภาษาของต้นอยู่จนถึงทุกวันนี้ 


 การที่มีบุตรหลานคนไทที่รัฐอัสสัมเข้ามาบวชเช่นนี้คงจะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญงอกงามในรัฐอัสสัมอย่างแน่นอน เพราะสามเณรคือหน่อเนื้อเหล่ากอ "ผู้สงบ สันติ"


https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/204918


 

"ดร.สุเมธ"เตือนสติคนไทย! ไม่มีหุ่นยนต์ตัวใดผลิตข้าวให้เรากินได้

 "ดร.สุเมธ"เตือนสติคนไทย! ไม่มีหุ่นยนต์ตัวใดผลิตข้าวให้เรากินได้จี้ทุกฝ่ายดูแล"ชุมชน"มุ่งศก.พอเพียงรับมือทุกวิกฤติ

 

วันที่ 28 สิงหาคม 2563  เครือข่ายพันธมิตร 11 องค์กรได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เอสซีจี เพื่อนชุมชน บมจ.พีทีทีโกลบอล เคมิคอล(GC) กลุ่มบ.ดาวประเทศไทย กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บมจ.วีนิไทย บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ร้านภัทรพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.)และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ร่วมแถลงข่าว”ผนึกกำลัง Big Brothers …นำชุมชนสู่กิจการเพื่อสังคมปีที่ 4 “โดยมีดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ประธานในพิธีแถลงข่าวพร้อมกล่าวปาฐกถา “ชุมชนเข้มแข็ง สังคมก้าวหน้า ร่วมพัฒนาอย่างยั่งยืน”

          “ โครงการนี้ตั้งแต่ปีแรกจนถึงสู่ปีที่ 4 เครือข่ายที่ร่วมเป็นพี่เลี้ยง ในการผลักดันการพัฒนาชุมชนในรูปแบบกิจการเพื่อสังคม(Social Enterprise :SE ) ที่จะขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ถามว่าพอใจหรือยัง ผมคิดและอยากเสนอว่าไม่น่าจะจำกัดเฉพาะแค่ 11 รายนี้แต่อยากเห็นเป็น 110 ราย เป็น 1,100 รายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อยากฝากไว้ อย่าไปคิดว่าเราใช้ส่วนเกินของเราไปช่วยคนที่อ่อนแอกว่าหรือชุมชนที่อยู่อย่างยากไร้ถ้าคิดเช่นนั้นเราอาจจะไม่เข้าใจสถานะการใช้ชีวิตของเราก็ได้ เพราะชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงงานหรือกิจกรรมที่ลงทุนใหญ่โต ชีวิตไม่ว่าอยู่ระดับไหน ไม่ว่าเราจะมี Robot สักกี่ตัว AI ก้าวหน้าไปแค่ไหนก็ตาม ผลสุดท้ายเราก็ต้องกลับมานั่งอยู่หน้าจานข้าวอยู่ดี” ดร.สุเมธกล่าว

          ดร.สุเมธกล่าวย้ำเตือนสติต่อว่า เมื่อวันนั้นมี ข้าว น้ำตาล ผัก เนื้อต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้มาจากการพัฒนาเมืองใหญ่ทุกอย่างที่เลี้ยงดูชีวิตเรามาจาก “ชุมชน” เขาเป็นผู้มีพระคุณ ถ้าชุมชนหยุดผลิต เขาล้มละลายเมื่อไหร่ เราก็สูญสิ้นสลายชัดเจนที่สุด ทีนี้เข้าใจหรือยัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านใช้เวลา 8 เดือนต่อปีเป็นเวลา 70 ปีเพื่ออยู่กับชุมชนโดยเฉพาะในชุมชนชนบท เพราะคนเมืองใหญ่ไม่ว่าโตเกียว นิวยอร์ค ที่ไหนก็แล้วแต่บริโภคแล้วก็ถ่ายออกเป็นขยะไม่ได้ผลิตอะไรเลย

          AI แอพลิเคชั่น ทำให้เราสะดวกขึ้นแต่ไม่ได้เลี้ยงดูชีวิตเรา โควิด-19 ชัดเจนเลยระบบกระบวนการผลิตหยุดหมด วัตถุดิบไม่ถูกส่งเข้าโรงงาน ต่อให้เงินสด เครดิต เดินไปในห้างร้าน ชั้นสินค้าก็ว่างเปล่า แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่มีอะไรขายแย่งชิงกัน ปัญหาใหญ่วันนี้ทรัพยากรหร่อยหรอ แต่การบริโภคมากขึ้น ด้วยประชากรไทยและโลกเพิ่มขึ้นมากโดยคาดกันว่าโลกในอีก 30 ปีข้างหน้าประชากรจะไปสู่ระดับ 9,000 ล้านคนจากวันนี้ 7,400 ล้านคน

          สงครามเกิดขึ้นทุกมุมโลก ลองคิดดูว่าความขัดแย้งด้านการเมือง ศาสนา แต่จริงๆคือแย่งชิงทรัพยากรเพราะในบ้านตัวเองหมด มีเงินแต่ไม่มีอาหาร สภาพความจริงต้องกลับไปสู่อาหารการกิน ไม่มี Robot หรือหุ่นยนต์ไหนปลูกข้าวให้เรากินได้ ดังนั้น Social Enterprise :SE ไม่ใช่มารยาทของธุรกิจที่ต้องทำให้ดูดีแต่ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของเราและให้ธุรกิจอยู่รอด ถ้าโรงงานจะยิ่งใหญ่แค่ไหน วัตถุดิบก็มาจากพื้นที่ที่เจ้าของเป็นชุมชน ไม่เลี้ยงดูเขาใครจะป้อนวัตถุดิบมาให้ และขณะเดียวกันเขาเหล่านี้ก็เป็นลูกค้าเราอีก ดังนั้นจึงต้องเลี้ยงดูเขา ซึ่งไม่ใช่แค่ SE แต่ต้อง Social Responsibillity คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่ 11 รายทุกคนต้องรับผิดชอบ

          “เราเจอวิกฤติและต่อไปก็ไม่รู้จะเจออะไรอีก วันนี้อย่าไปนึกถึงกำไรสูงสุด ตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียงเข้าใจหรือยัง เข้าใจซะก่อนที่จะสายเกินไป วันนี้ชาวบ้านเขาต้องการอะไร เรามีความรู้ต้องเข้าไปช่วย แผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 8 รัฐบาลเองวันนี้ก็เอามาใช้คือ คำว่าประชารัฐ รัฐ กับประชา ต้องเดินไปด้วยกัน ซึ่งประชาก็คือ Big Brother ทั้งหลายด้วย เราต้องไปช่วยเขาบริหารน้ำ บริหารทรัพยากร นี่คือทางรอดของไทยและของโลกและเป็นกระแสที่ยั่งยืน ผลิตแล้วตลาดก็สำคัญ ร้าน7-11 ช่วยเพิ่มสินค้าสำหรับชุมชนจะได้ไหม“ดร.สุเมธกล่าว

          สรุปแล้ว "ชุมชน"คือ “รากแก้ว “ อย่าไปเรียกว่ารากหญ้า ดอกไม้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ดอกสวยแค่ไหน วันใดที่รากขาด ต้นไม้ก็อยู่ไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น ชุมชน จะต้องแข็งแรงเพื่ออยุงต้นไม้ทั้งต้น คือประเทศชาติให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อให้มีพื้นที่ให้ลูกหลานอยู่อย่างมีความสุขต่อไป

          นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ.ได้ร่วมมือกับพันธมิตรรวม 11 องค์กรนำโดย กสอ.และวช. ดำเนินโครงการ Big Brother เพื่อผลักดันการพัฒนาชุมชนรูปแบบ SE ด้วยการเป็นพี่เลี้ยงเพื่อช่วยชุมชนให้มีกิจการที่สร้างรายได้จากการผลิตหรือจัดจำหน่ายสินค้าและบริการของชุมชน ปีนี้เครือข่ายเตรียมเปิดตลาดปันสุข จัดจำหน่ายสินค้า 3 ครั้งได้แก่ ครั้งที่1 ระหว่างวันที่ 21-24 ก.ย. 63 ครั้งที่ 2 ระหว่าง 11-16 พ.ย. ณ เซ็นทรัลพลาซา ระยอง ส่วนครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 24-29 พ.ย. ณ เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีชเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

          “กฟผ.ได้ส่งเสริมชุมชนรอบโรงไฟฟ้าและเขื่อนของกฟผ. ซึ่งสามารถต่อยอดจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนหลายแห่ง จนทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเป็นที่ได้รับความนิยม พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ชุมชนในรูปแบบออนไลน์ Facebook Fanpage ตลาดนัดเอนจี้ ของดีทั่วไทย อีกด้วย”นายพัฒนากล่าว

          นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดี กสอ. กล่าวว่า กสอ.ได้รับความร่วมมือหลายหน่วยงานที่ได้เข้ามาช่วยกันต่อยอดองค์ความรู้ด้วยการนำจุดแข็งของแต่ละองค์กรมาให้ความรู้และโอกาสชุมชนผลิตต่อยอดสู่ธุรกิจ SE ซึ่งเราได้เริ่มต้นตั้ง 12 ก.ค. 2560 จนสู่ปีที่ 4 โดยวันนี้(28 ส.ค.)ก็มีสินค้าตัวอย่างมาออกบูธที่กฟผ.เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง โดยต่อไปจะมีการขยายเครือข่ายพันธมิตรให้มากขึ้น


ที่มา: https://mgronline.com

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

คกก.EdPEx แนะ "IBSC มจร" เพิ่มความเป็นเลิศ ด้วยนวัตกรรมพุทธดิจิทัล ส่งมอบปัญญาสู่ชาวโลก


เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2563 ที่วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ(IBSC) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา คณะกรรมการประเมินวิทยาลัยฯ ตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ หรือ EdPEx (Education Criteria for Performance Excellence) นำโดย ผศ.ดร.เสาวลักษณ์ สุขประเสริฐ ประธานกรรมการ และกรรมการสองท่านประกอบด้วยอาจารย์วรวุฒิ แจ้งศุภนิมิต และ รศ.ดร.อนันต์ มุ่งวัฒนา ที่มหาวิทยาลัย มจร แต่งตั้งได้เข้ามาทำหน้าที่ประเมินการบริหารจัดการวิทยาลัยตามเกณฑ์ EdPEx 


ผศ.ดร.เสาวลักษณ์ กล่าวว่า "โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฉะนั้นวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติตามกรอบการประเมินแบบ EdPEx ควรปรับวิสัยทัศน์ และแผนกลยุทธ์ให้สอดรับวิถีความเป็นไปของโลก และความต้องการของผู้เข้ามารับบริการซึ่งกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์กทั้งกำลังโหยหาความสุขและความมั่นคงทางใจ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง"

ในขณะที่อาจารย์วรวุฒิ กล่าวเสริมว่า "IBSC มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพราะประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก  เป็นเวทีที่ชาวพุทธโลกโลกทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยานได้มาพบปะแลกเปลี่ยนผ่านกิจกรรมนานาชาติ ฉะนั้น IBSC จะต้องเร่งสร้างนวัตกรรมที่เป็นพุทธดิจิทัลเพื่อส่งมอบพุทธปัญญาให้แก่ชาวโลกซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์และพยายามหาทางรอดในขณะนี้"

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร กล่าวว่า วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร เป็นหน่วยงานจัดการศึกษาแห่งแรกของมหาจุฬาฯ ที่เข้ารับการประเมินคุณภาพแบบ EdPEx  และคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย เช่น จุฬาฯ และมหิดล ก็ได้ใช้เครื่องมือประเมินคุณภาพแบบ EdPEx เช่นกัน เพราะเหมาะที่จะนำองค์กรก้าวไปสู่การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้านการจัดการศึกษาในสังคมโลกที่กำลังผันผวนและเปลี่ยนแปลงไป

ผู้แทน "ม.สงฆ์ มจร" มอบเจลป้องโควิด "ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ" แก่ "ครม."



"วิษณุ"รับมอบเจล"ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ" จากผู้แทนม.สงฆ์ "มจร"   มอบให้ ครม. และหน่วยงานภายในทำเนียบรัฐบาล ใช้ดูแลสุขอนามัยป้องกันโควิด-19

เมื่อเวลา 12.55 น. เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2563   ที่ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับมอบเจลแอลกอฮอล์  "ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ" ขนาด 50 มิลลิลิตร จำนวน 1,000 หลอดและสติ๊กเกอร์ "ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ" จำนวน 400 ชิ้น จากนางแก้วเก้า เผอิญโชค ประธานมูลนิธิ คิดดี ทำดี พูดดี นางชัยลดา ตันติเวชกุล และผศ.ดร.กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะผู้แทนมหาวิทยาลัยที่ทำงานร่วมโครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติ เพื่อนำไปมอบต่อให้กับคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานภายในทำเนียบรัฐบาล ในการใช้ดูแลสุขอนามัยและป้องกันโรคโควิด-19          

โอกาสนี้นายวิษณุกล่าวว่า ในนามของรัฐบาลขอขอบคุณมูลนิธิคิดดี ทำดี พูดดี โครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รวมทั้งเครือสหพัฒน์ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนโครงการฯ ที่ได้นำเจลแอลกอฮอล์และสติ๊กเกอร์มามอบให้ในวันนี้ โดยจะได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแจกจ่ายให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีภารกิจในการติดต่อกับประชาชน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้เจลแอลกอฮอล์ ส่วนสติ๊กเกอร์ก็สามารถนำไปติดที่รถและสถานที่ทั่วไปได้ ซึ่งจะได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์และตามกุศลเจตนาต่อไป

นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า ตนนั้นถือว่า เป็นศิษย์ มจร  เพราะเคยได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชารัฐประสานศาสตร์ รวมทั้งเคยเป็นประธานสร้างหอพระไตรปิฏกที่มหาวิทยาลัยด้วย 

ผุดนวัตกรรม AI สร้างงานใหม่ยกคุณภาพชีวิตคนพิการทางการเห็น



สสส.- มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม-มูลนิธิธรรมิกชนฯ ชูศักยภาพคนพิการทางการเห็น เสริมทักษะจำเป็นช่วยให้ไม่ตกงานยุคดิจิทัล เน้น “รู้เท่าทันเทคโนโลยี มีทักษะภาษาต่างประเทศ ทำงานเป็นทีมได้” เพิ่มโอกาสจ้างงาน ผุดนวัตกรรม AI สร้างงานใหม่ พร้อมลงนาม MOU ผลิตหนังสือเสียง 1หมื่นเล่ม

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม นายธรรม จตุนาม รองประธานกรรมการ มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางสาวเมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทวัลแคน โคอะลิชั่น โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรซ์ ร่วมกันแถลงข่าว “ถอดรหัสศักยภาพคนพิการทางการมองเห็น สู่…โอกาสการจ้างงาน” และมีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการผลิตหนังสือเสียง 10,000 เล่ม ระหว่าง มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัทบริษัทวัลแคน โคอะลิชั่น โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรซ์

นางภรณี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีคนพิการร้อยละ 3.08 ของประชากรทั้งหมด ในจำนวนนี้มีคนพิการที่เรียนจบชั้นอุดมศึกษาร้อยละ 1.04 เกินครึ่งเป็นคนพิการทางการมองเห็น ซึ่งได้รับการจ้างงานน้อยกว่าคนพิการประเภทอื่น ๆ สสส. จึงสนับสนุนโครงการสำรวจลักษณะงาน ทักษะที่จำเป็นในการทำงาน และการช่วยเหลือที่สมเหตุสมผลต่อผู้พิการทางการเห็น โดยมีวัตถุประสงค์สำรวจอาชีพและทักษะที่เหมาะกับคนพิการทางการเห็น ในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ ยุคAI ซึ่งทักษะที่จำเป็น ได้แก่ 1.ทักษะที่ต้องใช้ความรู้ (Hard Skill) เช่น การใช้สื่ออินเทอเน็ต ทักษะภาษาต่างประเทศ ฯ 2. ทักษะทางสังคม (Soft Skill) เช่น ยอมรับตนเองในระดับดีมาก มีสุขภาพจิตอยู่ในเกณฑ์ดี และ3. ทักษะสนับสนุน (Support skill) เช่น ปรับตัวเข้ากับองค์กรได้ดี เข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ได้รวดเร็ว

​“คนพิการทางการเห็นโดดเด่นเรื่องการฟัง พูด อ่าน พิมพ์สัมผัส และถอดเทปได้ดี ดังนั้น งานที่ทำได้ 1.งานที่ใช้การสื่อสาร เช่น ประสานงาน ประชาสัมพันธ์ 2. งานที่ใช้ความรู้/ทักษะเฉพาะ เช่น งานด้านกฎหมาย งานด้านภาษา 3. งานธุรการ เช่น จดบันทึก เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ 4. งานที่ใช้เทคโนโลยี เช่น ผลิตสื่อ ฐานข้อมูล 5. งานบริการและงานนันทนาการ เช่น สร้างความบันเทิง งานให้บริการ และ 6. งานที่ใช้ประสาทสัมผัสอื่น เช่น ผู้เชี่ยวชาญในบริษัทน้ำหอม นอกจากนี้ สสส. ยังสนับสนุนเรื่องการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำโดยสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของคนพิการและสถานประกอบการ การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการผ่านการมีส่วนร่วมในชุมชน รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและการมีส่วนร่วมในสังคม ทั้งกิจกรรมวิ่งด้วยกัน  ดูหนังด้วยกัน เป็นต้น” นางภรณี กล่าว 

นายอภิชาติ กล่าวว่า โครงการจ้างงานกระแสหลัก Inclusive workplace หรือ IW ทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการจ้างงานบัณฑิตและเยาวชนที่พิการ ทำหน้าที่ออกแบบ พัฒนา ส่งเสริม สนับสนุน ให้เตรียมความพร้อมก่อนเข้าทำงานจริง แบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1.สร้างและพัฒนากระบวนการประสานงานและส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน 2.ส่งเสริมความพร้อมในการทำงานกับบัณฑิตพิการ 3.ส่งเสริมให้นักศึกษาพิการได้ฝึกงาน 4.สนับสนุนทุนอาชีพแก่ครอบครัวเยาวชนพิการให้เข้าถึงการศึกษา ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2556 

นายธรรม กล่าวว่า โครงการห้องสมุดเบญญาลัย มีเป้าหมายให้คนพิการทางการเห็นมีงานทำในยุค AI โดยจะต้องส่งเสริมด้านการศึกษา อาชีพ ฟื้นฟูสมรรถภาพเต็มที่ ผ่านระบบห้องสมุดออนไลน์ แพลตฟอร์มนี้สามารถใช้ได้ทุกคนในการเพิ่มทักษะด้านต่าง ๆ เพื่อสะท้อนความเสมอภาคในสังคม เพราะความรู้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ย่อมสามารถสร้างความเท่าเทียมกันในสิทธิของมนุษย์

​นางสาวเมธาวี กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการผลิตหนังสือเสียง 10,000 เล่มทำขึ้นมาเพื่อคนพิการวัยทำงานกว่า 3แสนคน ที่กำลังว่างงานและต้องพึ่งพาสวัสดิการของรัฐ ให้มีทักษะเท่าทันอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ ที่กำลังขาดแคลนแรงงานด้านจัดเตรียมข้อมูล (Data Labelling)  ในฐานะบริษัทพัฒนาด้านนี้ จึงมองเห็นโอกาสที่จะทำให้ผู้พิการมีทักษะด้านนี้ผ่านแพลตฟอร์มและหลักสูตรออนไลน์ เพื่อสร้างโอกาสการทำงานรูปแบบใหม่ ผ่านความถนัดของผู้พิการทางการเห็น

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

สาธุ! ทหารไทยศิษย์เก่าม.สงฆ์"มจร" นำทหารสหรัฐนั่งสมาธิทุกวัน


เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2563  ร.อ.สมญา มาลาศรี อนุศาสนาจารย์ทหารกองประจำการกองทัพบก ประเทศอเมริกา โพสต์ข้อความและภาพผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัว "Somya Malasri" ความว่า "ร้อยเอกอเล็กเเซนเด้อ เอนก นำพาทหารร่วมสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฝึกโยคะ และแผ่เมตตา ทุกๆอาทิตย์ ที่ค่ายฟอร์ทเบ็นนิ่ง รัฐจอเจียร์ ร.อ. เอนก จบ พธ.บ.รุ่น 46 จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  และ จบ M.DIV ที่ UWEST, CA. เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของศิษย์ มจร" 



ปัจจุบันนี้มีคนไทยที่เข้ารับราชการทหารที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหลายนาย สำหรับร.อ.สมญานั้นนับเป็นชาวพุทธไทยคนแรกที่เป็นทหารกองประจำการกองทัพบกสหรัฐอเมริกาในตำแหน่งอนุศาสนาจารย์(ครูสอนทหาร)  โดยเป็นคนบ้านนาศรีนวล ต.บุโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ บวชเป็นสามเณรและพระศึกษาพระธรรมวินัยภาษาบาลีจนสามารถจบปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยา(มจร) รุ่นเดียวกับพระมหาสมปอง ตาลปุตโต พระนักเทศน์ชื่อดัง เป็นพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สึกหาลาเพศเป็นทหารที่กองทัพสหรัฐอเมริกา และพัฒนาตัวเองมาโดยตลอดปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก

แย่แล้วโควิดส่งผลทั่วโลกปลูกผักกินเอง! "บิ๊กตู่"วอนคนไทยช่วยรัฐบาลคิดทางออก



เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2563 เวลา 09.00 น. ที่อาคารเอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9-12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวปาฐกถาพิเศษ และเป็นประธานในพิธีเปิดงาน "เกษตรสร้างชาติ ครั้งที่ 2 และรวมพลคนเกษตรสร้างชาติ"  โดยมีวัตถุประสงค์การจัดงานเพื่อมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เชื่อมโยงเศรษฐกิจมหภาครวมถึงสร้างโอกาสให้กับพี่น้องเกษตรกรพัฒนายกระดับสินค้าและแสดงศักยภาพผลิตสินค้าเกษตร เพื่อสินค้าเกษตรไทยพร้อมไปตลาดโลก   


 
จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราผูกติดกับเศรษฐกิจโลกซึ่งมีความผันผวนตลอดเวลาดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมของประเทศให้มีความทันสมัยการผลิตตรงกับความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตามประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตแหล่งผลิตอาหารของประชากรโลก ซึ่งปัจจุบันโลกอยู่ในช่วงการแข่งขันและมีความขัดแย้งพอสมควร ทุกประเทศก็มุ่งหวังที่จะผลิตสินค้าภายในประเทศโดยเฉพาะสินค้าด้านการเกษตร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบกลับมาที่ประเทศไทยในฐานะที่เราเป็นประเทศต้นทางผลิตพืชผลทางการเกษตร ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีการคิดและทบทวนกันใหม่สร้างความเข้าใจ ซึ่งเราต้องมารวมไทยสร้างชาติ       

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าปัจจุบันทุกประเทศได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานการณ์ด้านการเงินของประเทศก็มีปัญหาเพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันคิดว่าในวันข้างหน้าเราจะอยู่กันได้อย่างไร ต้องฝากให้ทุกคนช่วยกันคิด ดังนั้นการทำงานในที่ทำแค่กระทรวงเดียวจะต้องทำงานสอดประสานกัน การทำงานต้องคิดในกรอบกว้างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลข้าราชการกระทรวงต่างๆต้องคิดนอกกรอบ ถ้าคิดแต่จะทำเฉพาะในหน้าที่อะไรทำได้ก็ทำ อะไรทำไม่ได้ก็ไม่ทำเอาไว้ก่อน มันไม่ได้แล้วทุกอย่างจะไปไม่ได้เพราะเราทำงานเพื่ออนาคต ซึ่งมีทั้งวิกฤตและโอกาส 

"โคกหนองนาโมเดล" 1 ไร่ 1 แสนในแดนทัณฑสถาน

 


วันที่ 26 สิงหาคม 2563  ที่ทัณฑสถานเปิดบ้านนาวง ต.บ้านนา อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ซึ่งเป็นที่ทัณฑสถานเปิด ที่มีการฝึกอาชีพให้กับผู้ต้องขังก่อนคืนปล่อยคนดีสู่สังคม โดยผู้ต้องขังที่ได้รับการอภัยโทษและเหลือโทษสถานเบาเข้ามาฝึกอาชีพที่หลากหลายภายใต้กฎเกณฑ์ของทัณฑสถาน ไม่ว่าช่างไม้ ช่างปูน ช่างก่อสร้าง หรือการประกอบอาชีพเพื่อการเกษตรให้กับผู้ต้องขังนำไปใช้หลังจากออกพ้นโทษ โดยหนึ่งในนั้นโครงการฝึกอาชีพทางด้านการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ โคก หนอง นา โมเดล 1 ไร่ 1 แสน ในการจัดการพื้นที่ ซึ่งเหมาะสำหรับการเกษตร ที่อยู่พื้นที่กลางน้ำ ได้ทำการเกษตรผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้าน โดยให้ผู้ต้องขังเข้าปฎิบัติจริงเรียนรู้จริง จนทำให้ผู้ต้องขังได้มีความสุขกับการทำการเกษตร          

หนึงในผู้ต้องขัง กล่าวว่ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่เข้ามาเรียนรู้จากการปฎิบัติจริงโครงเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำรึทำให้เข้าใจถึงความพอเพียง และเข้าใจถึงสติอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งคิดว่าหลังพ้นโทษออกไป จะนำหลักการทำการเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ไปประยุคใช้เนื่องจากตนเองอาชีพเดิมคือการเกษตร แต่ขาดการเรียนรู้เป็นรากฐานเดิม          

ด้านนายธวัชวงศ์ ธรรมเพชร เจ้าพนักงานงานราชทัณฑ์ ชำนาญงาน ทัณฑสถานเปิดบ้านนาวง หัวหน้างานฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง กล่าวว่า โครงเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำรึ ที่ทัณฑสถานเปิดบ้านนาวง เป็นการนำปรัชญาทางด้านการเกษตรมาประยุคใช้ ในการฝึกอาชีพแก่ผู้ต้องขัง ได้เรียนรู้วิถีของการเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ โดยมีฐานการเรียนรู้ การปลูกพืช ปลูกผัก การเลี้ยงสัตว์ และการทำนา ซึ่งเมื่อพวกเขาพ้นโทษออกไปจะได้มีวิชาติดตัวและนำไปประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว          

นายธวัชวงศ์ ธรรมเพชร ยังกล่าวอีกว่า โครงเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำรึ ที่ทัณฑสถานเปิดบ้านนาวงนอกจากจะเป็นเหล่งเรียนรู้ทางด้านการเกษตรแก่ผู้ต้องขังแล้ว ในวันนี้ยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาศึกษาดูงาน เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ ตามแนวเกษตรพอเพียง อีกด้วย

กมธ.ศาสนาฯสภาฯนิมนต์"เจ้าคุณว.วชิร​เมธี" เทศน์"พุทธ​​กับ​การเยียวยา​วิกฤติ​โลก"



วันที่ 26 สิงหาคม 2563   นายเทพไท​ เสนพงษ์​  ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ​การศาสนา​ฯ สภาผู้แทนราษฎร​ ได้แถลงข่าวในการจัดงานวิชาการและปาฐกถา​ธรรม​ของสมาคม​บัน​ฑ​ิ​ต​ทางกฎหมาย​และ​พุทธศาสตร์​และขอเชิิญร่วมงานปาฐกถา​ธรรม​ในประเด็น"พระพุทธ​ศาสนา​กับ​การเยียวยา​วิกฤติ​โลก" โดยพระ​เมธี​ว​ชิ​โร​ดม​ (พระมหาวุฒิชัย วชิร​เมธี)  และปาฐกถา​นำในข้อ" การ​บังคับใช้​กฎ​หมา​ยเพื่อการรักษาพระธรรม​วินัย​"โดยศาสตรา​จารย์​พิเศษ​เดชอุดม​ ไกร​ฤทธิ์ ในวัน​เสาร์​ที่ 5 กันยายน ​2563​ เวลา​13.00-16.30​น. ที่อาคารเรียนรวมพุทธ​วิชชา​ลัย มหาวิทยาลัย​ราชภัฏ​พระนคร​  หลักสี่​ บางเขน​ กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อน​โครงการสัมมนาวิชาการในหมู่พระสงฆ์​สามเณรเรื่อง"กฎหมาย​ใกล้​สงฆ์" 




"ทราย เจริญปุระ" สอน "เพื่อไทย" ต้องปรับตัว หากยังหวังเสียงจากประชาชน



วันที่ 26 สิงหาคม 2563 "ทราย เจริญปุระ" นักแสดงสาวชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Inthira Charoenpura ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่ร่วมลงชื่อปิดสวิตช์ส.ว. ร่วมกับพรรคก้าวไกล โดยโพสต์ดังกล่าวระบุว่า          

พรรคเพื่อไทยพลาดติดๆ กัน 2 ครั้งนี่ ยากจริงๆ แล้วนะคะ อย่างน้อยควรทราบว่า ต้องมีคำอธิบายที่สมเหตุผล          

และฝ่ายเผด็จการจารีตเครือข่ายรัฐพีนลึกอย่ายิ้มกริ่มไปค่ะ นี่คือวิถีปกติของประชาธิปไตยที่คุณต้องหัดเรียนรู้ พรรคการเมืองไม่ใช่เทวดา ทำผิดจากความคาดหวังของประชาชน ประชาชนมีสิทธิตำหนิ ซึ่งถ้าพรรคการเมืองยังหวังเสียงจากประชาชนจะต้องปรับตัว          

แต่แม้ในท่ามกลางความขัดแย้ง ประชาชนก็ยังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เผด็จการจารีตเครือข่ายรัฐพันลึกต้องทำความเข้าใจให้มากขึ้น และคุณเองก็ต้องปรับตัว เพื่ออยู่ร่วมกันให้ได้ในโลกใหม่ที่ทุกคนจะมีความเป็นคนเท่าเทียมกัน

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563

"เสรีพิศุทธ์"ไม่เชื่อน้ำมนต์ ปชป. จมซื้อเรือดำน้ำ


วันที่ 26 ส.ค.2563 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤกติมิชอบ กล่าวถึงการซื้อเรือดำน้ำ ไม่ใช่เพียงแค่ซื้อเรือดำน้ำแล้วก็จบ แต่จะต้องมีกองเรือและกำลังเพิ่มเติมอีก รวมถึงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ประจำเรือ และยังต้องมีเรือคุ้มกันเรือดำน้ำ มันมากเกินไป และเมื่อกำหนดงบประมาณมาแล้วไม่ให้ก็อ้างไม่ได้อีก เพราะในเมื่อซื้อเรือมาแล้วและลำแรกไป และเรื่องนี้ตนก็เคยให้สัมภาษณ์เมื่อ 10 พฤษภาคม 2560 ก็ไม่สนใจ  ทั้งนี้เชื่อว่าเรื่องนี้ ส.ส.ในสภาคงจะไม่ยอม แต่หากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยยอมให้เรือดำน้ำผ่านประชาชนก็อย่าไปเลือกอีกเลย         

 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์แถลงจะไม่สนับสนุนงบเรือดำน้ำในชั้น กมธ. ว่า ไม่ค่อยเชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เดี๋ยว ส.ส.ตัวเองก็ออกมาให้ผ่าน แล้วพรรคก็มาสร้างภาพ พรรคนี้ชอบสร้างภาพ ดังนั้นให้มันไม่ผ่านไปก่อนแล้วค่อยมาคุย แต่แค่พูดอย่างนี้ เราไม่เชื่อ และเรื่องนี้เชื่อว่ากองทัพเรือคงไม่ถอน เพราะทุกอย่างมีค่าคอมมิชชั่นหมด ซื้ออะไรก็มีค่าคอมมิชชั่น อย่ามาพูดเพียงแค่เรือดำน้ำเลย อย่ามาปกปิด ประชาชนตาสีตาสาอาจจะไม่รู้ แต่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงทุกกระทรวงรู้กันหมดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯก็รู้ แล้วพลเอกประยุทธ์ให้งบเรือดำน้ำผ่านมาได้อย่างไร เพราะงบจะเข้าสภาได้ต้องผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะบอกไม่รู้เรื่อง หัดมีความรับผิดชอบบ้าง แล้วซื้อเรือดำน้ำ 22,500 ล้านบาท สามารถนำไปซื้ออย่างอื่นให้ประชาชนได้อีกมากมาย และขณะนี้ประชาชนกำลังอดอยาก ไม่มีจะกิน ตกงาน ดังนั้นไม่เหมาะสมที่จะมาซื้อ ก็ฝาก ส.ส.คน ทั้งพรรคพลังประชารัฐก็กลับใจให้มาไม่สนับสนุนให้งบประมาณนี้ตกไปให้ได้


"บิ๊กป้อม" เมิน "ปชป."ไม่หนุนซื้อเรือดำน้ำ ยันเป็นยุทธศาสตร์ 


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคประชาธิปัตย์ มีมติไม่สนับสนุนการจัดซื้อเรือดำน้ำในชั้นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ว่า เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ อย่ามาถามตน ให้ไปถามพรรคประชาธิปัตย์ ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐก็แล้วแต่คนที่เป็นกรรมาธิการ จากนั้น พล.อ.ประวิตร ตอบคำถามต่างๆ ดังนี้

          

ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนตัวมองว่าเราควรซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ความจริงมันดำเนินการไปหมดแล้วทางด้านเอกสาร สื่อว่าควรซื้อหรือไม่ มันเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง

          

เมื่อถามถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้มีการเปิดเผยหนังสือมอบอำนาจของทางรัฐบาลที่ให้ไปเซ็นสัญญาจีทูจี พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เปิดได้อยู่แล้ว เอกสารต่างๆมีทั้งหมด

          

เมื่อถามว่า ไม่จำเป็นต้องทบทวนชะลอเรื่องนี้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ชะลอเรื่องการจ่ายเงินอย่างเดียว เพราะเรื่องยุทธศาสตร์กองทัพเรือเขาเตรียมการมานานแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านก็มีกันทั้งนั้น

          

เมื่อถามว่า หากเป็นเช่นนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็น่าจะเข้าใจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องไปถามพรรคประชาธิปัตย์ และมองว่าจะไม่เป็นปัญหาในพรรคร่วม

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563

หวิดวุ่น! ผู้ประกันตนเจ้าของเพจ "ขอคืนไม่ได้ขอทาน" ถือป้ายหน้าที่ประชุมครม.สัญจร



"บิ๊กตู่" มั่นใจอยู่ท่ามกลางปชช.ปลอดภัย เชื่อมั่นสังคมต้องการความสงบเรียบร้อย ปลอดภัย ลั่นใครทำสังคมไม่สงบต้องรับผิดชอบ สำคัญทุกคนต้องรวมไทยสร้างชาติ ต้องคิดทำให้เด็ก-เยาวชน เป็นอนาคตของชาติ


เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 25 ส.ค.2563 บริเวณริมถนนด้านหน้าโรงแรมสถานที่จัดประครม.สัญจร อ.เมือง จ.ระยอง ได้มีชาย 2 คน โดยคนหนึ่งถอดเสื้อและอีกคนสวมเสื้อสีเหลือง ยืนถือป้าย "นายกคือความหวังของเรา" เพื่อดักรอขบวนรถของนายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางเข้าร่วมประชุม

          

จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลระยอง เจ้าหน้าศรภ. และตำรวจนอกเครื่องแบบ รวมถึงจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากส่วนกลางนับ 10 นายต้องเข้าเจรจาเนื่องจากหวั่นว่าจะเข้ามาป่วนการประชุม

          

ทราบชื่อคือ นายสัตวแพทย์บูรณ์ อารยะพล เจ้าของเพจ "ขอคืนไม่ได้ขอทาน" ที่บอกว่าจุดประสงค์ของการกระทำดังกล่าว ก็เพื่อขอร้องให้นายกรัฐมนตรี เร่งรัฐสำนักงานประกันสังคม ให้รีบคืนเงินประกันให้กับผู้ประกันตนที่ต้องการขอเงินตัวเองเยียวยาความเดือดร้อนจากการได้รับผลกระทบของโรคโควิด-19 ทำที่ให้ประชาชนจำนวนมากต้องตกงาน ทำให้บางคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งที่ผ่านมาตนเองได้เรียกร้องเรื่องดังกล่าวมานานกว่า 4 เดือนแล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผล


"วันนี้ไม่ได้มารังควานหรือทำอะไรไม่ดีนะ แต่พยายามที่จะนำไปดังกล่าวชูให้ท่านนายกรัฐมนตรีเห็นว่า "นายกคือความหวังเรา"  และต้องการให้นายกฯช่วยออกนโยบายให้ผู้ประกันตนนำเงินฝากสะสมของตัวเองในประกันสังคมที่เรียกว่าเงินสมทบชราภาพ มาใช้จ่ายในช่วงวิกฤตได้ก่อน เพราะส่วนใหญ่ผู้ประกันตนที่มีเงินสะสมมา กว่า 10กว่าปีมีจำนวนหลายแสนคน และหากสามารถเบิกออกมาใช้ได้ก่อนประมาณ 50,000 บาทก็จะคลายความเดือดร้อนได้" 


นายสัตวแพทย์บูรณ์ ยังเผยอีกว่าจากการพูดคุยกับชาวระยองหลายรายที่มีอาชีพลูกจ้างส่วนใหญ่มีชีวิตที่ยากลำบาก และต้องเป็นหนี้เงินกู้นอกระบบที่คิดอัตราดอกเบี้ยถึงร้อยละ 15 จำนวนมาก จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล และนายกรัฐมนตรีเห็นความเดือดร้อนในเรื่องดังกล่าว

         

ช่วงเดียวกันรถของนายกรัฐมนตรี ได้วิ่งผ่านมายังจุดดังกล่าวซึ่งนายกฯ ได้ยกมือทักทายและส่งยิ้มให้ นายสัตวแพทย์บูรณ์ ด้วยเช่นกัน


"บิ๊กตู่"มั่นใจอยู่ท่ามกลางปชช.ปลอดภัย  


สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร)จ.ระยอง วันที่ 25 ส.ค.ถือเป็นการประชุมครม.สัญจรครั้งแรกหลังการปรับครม.ประยุทธ์ 2/2และหลังผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เดินทางมาถึงโรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ตั้งแต่เวลา 07.20 น.ทันทีที่มาถึงนายกฯได้ทักทายสื่อมวลชนอย่างอารมณ์ดีว่า"สวัสดีจ้ะ นอนหลับสบายดีนะจ๊ะ"ก่อนการประชุมนายกฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์ กศน.พรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ ONE (จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี) ชมผลงานนวัตกรรม : แอปพลิเคชั่น depa 2.5 โครงการพัฒนาระบบท่าเรืออัจฉริยะ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง /โครงการ Circular Living โดยกลุ่มบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ที่ได้ให้ความสำคัญกับการรักษ์โลก ให้หันมาใช้พลังงานทดแทน ที่ได้นำนายจิรศักดิ์ ปิตุรักษ์วงศ์ อายุ 57 ที่นำขยะมาสร้างสรรค์เป็นชิ้นงานศิลปะ และนำออกขายมีรายได้


นายกฯกล่าวว่า วันนี้กระทรวงเดียวทำไม่ได้งานหนึ่งชิ้นหรือสินค้าหนึ่งอย่าง ต้องบูรณาการร่วมมือกัน วันนี้รัฐบาลทำทุกมิติ คำนึงใช้งบประมาณคุ้มค่า ใช้เทคโนโลยี ควบคู่วิถีธรรมชาติสอดคล้องชีวิตประจำวัน การทำงานทุกอย่างย่อมมีปัญหา แต่รัฐบาลมีมาตการป้องกันดีพอ เช่น การแก้ปัญหาโควิด-19 ซึ่งจะนำแนวทางนี้ไปขับเคลื่อนการทำงาน ขับเคลื่อนสังคมตามแนวทางรวมไทยสร้างชาติ ที่สำคัญทุกคนต้องเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เชื่อทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอน สิ่งสำคัญต้องไม่ตื่นตระหนก รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ ส่วนตนเองเมื่อยู่ท่ามกลางประชาชนแล้วปลอดภัย เชื่อมั่นสังคมต้องการความสงบเรียบร้อยและปลอดภัย ส่วนใครที่ทำให้สังคมเกิดความไม่สงบเรียบร้อยก็ต้องรับผิดชอบ สำคัญทุกคนต้องรวมไทยสร้างชาติ ต้องคิดและทำให้เด็ก และเยาวชนเป็นอนาคตของชาติ


จากนั้นนายกฯ เป็นประธานสักขีพยานในโอกาสนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราและผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ก่อนเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563

“บัญญัติ”วิเคราะห์ผ่าน Zoom 3 ความหวังแก้รัฐธรรมนูญ ให้ตัวแทน สาขา และสมาชิกพรรคทราบ


วันที่ 25 ส.ค.2563 พรรคประชาธิปัตย์ โดย คณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคฯ ที่มีนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคเป็นประธาน ได้จัดเสวนาออนไลน์ผ่านระบบ Zoom หัวข้อ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทางออก ทางรอด” ระหว่างวันจันทร์ที่ 24 ส.ค. 2563 และวันอังคารที่ 25 ส.ค. 2563 มีผู้ร่วมเสวนา นำโดย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกำหนดประเด็น ข้อเสนอและรายละเอียดการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ และนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ในฐานะ กมธ. วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ให้กับสาขาของพรรค ตัวแทนพรรค และสมาชิกพรรคได้เข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก 

ซึ่งในการเสวนาดังกล่าว นายบัญญัติ ได้พูดถึงจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคฯ ได้แสดงออกไว้ตั้งแต่ในช่วงของการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทั้งที่ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่การแสดงออกทางการเมืองโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญยังไม่ได้เปิดช่องอะไรมากด้วยซ้ำ แต่คนของพรรคประชาธิปัตย์ นับตั้งแต่นายชวน หลีกภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น และตน ก็ได้แสดงออกชัดว่าไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งการพิจารณารัฐธรรมนูญว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเหมาะสมเพียงใด ควรแก่การรับหรือไม่นั้น ควรมอง 3 ส่วน คือ 1. ที่มาของรัฐธรรมนูญ 2. กระบวนการจัดทำ และ 3. เนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งในเรื่องเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีอย่างน้อย 7 ประเด็นที่น่าจะนำไปสู่การพิจารณาดังกล่าว

ประเด็นที่ 1 คือมีเนื้อหาที่สร้างความยุ่งยากหลายเรื่อง ซึ่งมีอย่างน้อยมี 5-6 ยุ่งที่มองเห็นชัดเจนคือ 

1. การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เวลาในการประกาศผลช้าที่สุด โดยตามปกติทุกครั้งเวลาที่มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับอื่นที่ผ่านมา เพียง 1-2 วันก็ทราบผลแล้ว แต่ฉบับนี้ใช้เวลาเกือบ 2 เดือน กว่าจะประกาศผลได้ เพราะสูตรการนับคะแนนยุ่งไปหมด 

2. การคำนวนบัญชีรายชื่อพรรค ภายใต้สูตรของระบบจัดสรรปันส่วนผสม โดยเฉพาะคำว่า “จำนวน สส. ที่พึงมีตามรัฐธรรมนูญ” ก็ยังเถียงกันไม่จบสิ้น 

3. บางคนได้เป็น ส.ส. ภายใต้ระบบการเลือกตั้งนี้ เพียง 1 สัปดาห์ในปีแรกที่มีการเลือกตั้งใหม่ มีการนับคะแนนใหม่ แต่ต้องพ้นจากความเป็น ส.ส. ไป

4. มีพรรคการเมืองมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีมากกว่า 20 พรรค เฉพาะในรัฐบาลก็มีตั้ง 19 พรรค เมื่อการนับผลคะแนนเลือกตั้งล่าช้า ก็ทำให้การตั้งรัฐบาลก็ล่าช้าออกไป เป็นผลให้การพิจารณางบประมาณออกมาได้ช้าซึ่งส่งผลต่อการอัดฉีดระบบเศรษฐกิจมีปัญหาตามมา

สำหรับประเด็นที่ 2 ที่กล่าวถึงปัญหาจากเนื้อหาในรัฐธรรมนูญปี 60 ยังเป็นการทำลายความรู้สึกของนักประชาธิปไตย ที่มีความเชื่อว่า ประชาธิปไตยจะเข้มแข็งได้ ก็ต่อเมื่อมีพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ดังนั้นหากรัฐธรรมนูญฉบับใดเป็นรัฐธรรมนูญขึ้นมาแล้ว แต่ไม่ส่งเสริมจุดแข็งในเรื่องนี้แต่กลับทำลายจุดแข็งนั้นก็เป็นรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาที่ไม่น่านิยมชมชอบแต่ประการใด โดยเฉพาะระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่บอกว่าทุกคะแนนมีความหมาย ทุกคะแนนไม่ตกน้ำนั้น ฟังดูดี แต่เป็นระบบการเลือกตั้งที่นำไปสู่การเน้นคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง มากกว่าที่จะเน้นพรรคการเมือง ซึ่งกรณีนี้หากใช้บังคับไปนานๆ จะทำให้ความสำคัญของพรรคการเมืองที่เป็นจุดสำคัญในรัฐธรรมนูญจะค่อยๆ ลดความสำคัญลงไป และเมื่อความสำคัญของพรรคการเมืองลด ส่งผลให้ ส.ส. หลงตัวเองมากขึ้น และคิดว่าตัวเองได้รับเลือกตั้งมาด้วยตัวเอง ก็จะทำให้ความภักดีต่อพรรค วินัยพรรค การไม่ปฏิบัติตามมติพรรคเกิดขึ้นตามมา 

นายบัญญัติ กล่าวถึงประเด็นที่ 3 ว่าผลของระบบเลือกตั้งนี้ จะส่งผลต่อไปอีก เนื่องจากเมื่อมีการให้ความสำคัญกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง ก็จะทำให้เกิดการประมูลตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต โดยเฉพาะ ส.ส. ที่อยู่ในสภาเป็นเวลานานๆ ล้วนเคยเห็นเหตุการณ์เหล่านี้มาแล้วทั้งนั้น ว่าเกิดการประมูลตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ชื่อเสียงดีในหลายแห่ง พรรคการเมืองใช้เงินมากขึ้น ส่งผลให้พรรคการเมืองต้องอาศัยนายทุน เมื่อพรรคการเมืองกลายเป็นเครื่องมือของทุนนั้น ก็จะนำไปสู่ “การใช้ทุนสร้างพรรค ใช้พรรคยึดกุมอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐเพิ่มทุน”  ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศเป็นอย่างมากทั้งด้านเศรษฐกิจ และความเหลื่อมล้ำในสังคม 

ประเด็นที่ 4 การที่ระบุว่า คะแนนเสียงไม่ตกน้ำ ก็ก่อให้เกิดอันตราย เพราะสมัยก่อนเวลาพรรคการเมืองจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งจะดูว่าสู้ได้หรือไม่ แม้กระทั่งนักเลือกตั้ง นักซื้อเสียง ก็ยังไม่กล้าซื้อเสียงถ้าไม่มั่นใจ แต่ระบบการจัดสรรปันส่วนผสมนี้ซื้อแล้วไม่สูญ เพราะเมื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแพ้ แต่มีการนำคะแนนที่ได้มาคำนวนบัญชีรายชื่อพรรค ก่อให้เกิดการซื้อเสียง คาดว่าหากระบบนี้ยังใช้ต่อไปการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะมีการซื้อเสียงมากขึ้นไปอีก 

“ประชาธิปไตยในบ้านเมืองจะเดินไปได้ ต้องทำให้ ประชาธิปไตยราคาถูก คือไม่มีการซื้อ ไม่มีการขาย” 

ประเด็นที่ 5 ระบบไพรมารี่โหวต ที่มีการกำหนดค่าสมาชิกพรรค หากสอบถามสาขาพรรคการเมืองต่างๆ ในเวลานี้ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ ก็กลายเป็นปัญหาได้

สำหรับประเด็นที่ 6 ในเรื่องเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือเรื่องความยากในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ โดย 19 ฉบับก่อนหน้านี้ ในส่วนที่เป็นฉบับถาวร มี 13 ฉบับแก้โดยใช้เสียงข้างมากของ สมาชิกทั้ง 2 สภารวมกัน คือเกินครึ่งก็แก้ได้ มีจำนวน 4 ฉบับ ที่ใช้เสียง 2 ใน 3 ของสมาชิก 2 สภารวมกัน ซึ่งอาจถือหลักว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ดังนั้นหากใช้เสียงเกินครึ่งก็อาจดูเหมือนเป็นการแก้ไขกฎหมายธรรมดา จึงได้ให้ความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ และที่สำคัญคือมีเพียงฉบับเดียว คือฉบับปี 2475 หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ ที่ให้ใช้เสียง 3 ใน 4 

“ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับไหนเลยที่บอกว่าแม้จะได้รับคะแนนเสียงจากฝ่ายข้างมากเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขแล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนเห็นชอบด้วยจากสมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 คือ 84 เสียง ได้จากสมาชิกวุฒิสภา 84 เสียง ยังไม่พอ ยังเขียนต่อไปอีกว่า ยังต้องได้รับเสียงเห็นชอบอย่างน้อยร้อยละ 20 ในจำนวนสมาชิกของพรรคการเมืองที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลด้วย หรือไม่ได้มีตำแหน่งในรัฐสภาด้วย ผมบอกว่าหลักอย่างนี้มันไม่ได้เดินตามหลักของประชาธิปไตยที่ว่าใช้เสียงข้างมากเป็นหลักเลย มันกลายเป็นว่าเสียงข้างมากจะมากเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเสียงข้างน้อยที่ว่านี้ (84 เสียง กับร้อยละ 20) ไม่เห็นชอบด้วย” 

นายบัญญัติได้กล่าวต่อใน ประเด็นที่ 7 เนื้อหาในบทเฉพาะกาลที่เกี่ยวกับอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรีบ้าง และอื่นๆ ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหาที่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ไกลประชาธิปไตยมากไปหน่อย ดังนั้นจึงมั่นใจว่าหลังจากมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาแล้ว ประเด็นเหล่านี้คงได้รับการนำเสนอต่อ ส.ส.ร. ต่อไป 

“ทั้งหมดนี้คือเนื้อหาที่ประชาธิปัตย์เอง ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้นเลย แต่เมื่อวันหนึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้รับการประกาศบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญ พรรคฯ ก็ต้องเคารพกฎหมาย และปฏิบัติตาม แต่ใจนั้นนึกอยู่ตลอดเวลาว่า โอกาสเปิดช่องเมื่อไหร่ มีโอกาสเมื่อไหร่ต้องแก้ไข” 

นายบัญญัติกล่าวว่า ดังนั้นในทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาล จึงได้ยื่นเงื่อนไข 3 ต้อง คือ ต้องยอมรับนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ ม.256 (ซึ่งเป็นมาตราที่แก้ยากที่สุด) และต้องบริหารราชการอย่างสุจริตอีกด้วย 

พร้อมกับได้ชี้ให้เห็น 3 ความหวังในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเอาไว้ว่า เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ พรรคฯ จะได้ผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ทั้งในส่วนการแก้ มาตรา 256 และในส่วนของการเพิ่มหมวดเรื่องจัดการตั้ง ส.ส.ร. เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่แบบที่เคยทำมาแล้วในปี 2539 ซึ่งเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 อีกทั้งการแถลงข่าวของประธาน กมธ. แก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ก็ยิ่งเป็นการสร้างความหวังในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย นอกจากนี้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งรวมกันแล้วมีเสียงเกินกว่า 1 ใน 5 ก็สามารถยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามมาตรา 256 ด้วย และที่สำคัญอีกความหวังที่จะได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน ก็คือ พรรคร่วมรัฐบาลก็มีความเห็นร่วมกันว่าจะเดินตามแนวที่ได้คุยกัน กมธ. แก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะจัดให้มี ส.ส.ร. จำนวน 150 คน ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา ทั้ง กฎหมายมหาชน ด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือมีความเชี่ยวชาญในการบริหารแผ่นดิน และยังมีการ

 ตั้งผู้แทนพรรคการเมือง รวมไปถึงผู้แทนจากกลุ่มนิสิต นักศึกษาเข้าไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่และให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ 

“เมื่อคนรุ่นใหม่สนใจเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีก็ควรเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้ามามีบทบาทร่วมด้วย ส่วนผู้แทนพรรคการเมือง ที่ผ่านมา ในส่วนของ กมธ. ยกร่าง ฯ นั้นมักจะไม่มี เพราะเกรงว่าหากมีผู้แทนจากพรรคการเมืองเข้าไป อาจจะไปร่างรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง ซึ่งตรงนี้ผมเถียงมาตลอด ผมบอกว่าการที่ไม่มีผู้แทนพรรคการเมืองเข้าไปนั่งอยู่ตรงนี้เลย เมื่อคนร่างไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปร่วมจัดทำร่างฯ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้สะท้อนความเห็นให้คนร่างฯ ซึ่งมากด้วยจินตนาการได้รับความเข้าใจว่า ถ้าเขียนอย่างนั้นมันจะมีปัญหาอย่างนี้ตามมา ซึ่งมันเกิดขึ้นทุกครั้ง เพียงแต่อย่าให้มีจำนวนมากนัก แต่ให้เข้าไปสะท้อนความจริงในฐานะนักปฏิบัติ ก็จะทำให้รอบคอบรัดกุมดี” 

นายบัญญัติ บอกว่า เมื่อทั้งฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลได้เสนอด้วยอย่างนี้ และประธานสภาก็ได้มีการกำหนดวันเวลาไว้ต้นเดือนนี้ จะมีการบรรจุระเบียบวาระ ดังนั้นเมื่อร่างฯ ดังกล่าวได้เข้าไปอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภา ก็จะได้มีการพูดจาถึงความเหมาะสมต่างๆ ต่อไป ทั้งนี้ยังคงมีปัญหาที่อาจต้องอดใจรอดูกันพอสมควรคือเรื่องท่าทีของวุฒิสภา ซึ่งจากที่เคยมีท่าทีไม่เห็นด้วย แต่เมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้น และมีการพูดถึงเรื่องนี้กันมาก ทำให้มีหลายคนออกมาขานรับกันพอสมควรแล้ว จึงทำให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปได้มากขึ้น 

สำหรับในช่วงท้ายของการสัมมนาได้เปิดโอกาสให้สาขาพรรค ตัวแทนประจำจังหวัด และสมาชิกพรรค ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และนายบัญญัติยังได้กล่าวกับผู้ร่วมฟังการสัมมนาว่า ตนมีความมั่นใจว่าสาขาพรรค และตัวแทนพรรค ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นมาระยะเวลายาวนาน ล้วนเป็นบุคคลที่มีความเชื่อมั่นในวิถีทางประชาธิปไตย ดังนั้นเมื่อโอกาสเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราก็คงต้องมีความหวังกันตามสมควร พร้อมกับในช่วงนี้พรรคฯ ได้จัดตั้งตัวแทนจังหวัด ซึ่งทราบว่ามีจำนวนไม่น้อยแล้ว ต้องขอแสดงความชื่นชม ในความมีอุดมการณ์เป็นประชาธิปไตยของทุกคน และคุณสมบัติของคนที่นิยมประชาธิปไตยก็คือต้องมีความอดทน รอคอยความหวัง เพราะการเดินไปบนเส้นทางประชาธิปไตยนั้น เป็นการเดินไปบนเส้นทางที่ต้องทำความเข้าใจล่วงหน้าว่า เกมยาว เห็นหนทางที่จะต้องมีความอดทน เพียงแต่ขอให้ได้มีโอกาสพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่มากขึ้นๆ ไม่ถอยหลังเหมือนอย่างที่เคยผิดหวังกันมาแล้ว

 

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...