วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2568

เพลง: มนต์รักพุทโธจีพีที

 ເນື້ອເພງ : ດຣສົມພົງສ໌
ທຳນອງ - ຮ້ອງໂດຍ : suno  
(Verse 1) 
เสียงลมพัดผ่าน ท้องฟ้าสงบเย็น
เหมือนธรรมะเด่น ชี้ทางใจให้คลายทุกข์
ครูบาอาจารย์ เคยสอนผ่านความสุข
ให้รู้จักปลุก ใจพ้นวังวน
(Verse 2 )
มนต์รักพุทโธ ปลุกใจกลางวิถี
เอไอช่วยชี้ สร้างสรรค์ให้คนค้นพบ
บทเพลงธรรมะ เชื่อมรักจากโลกจบ
หัวใจไม่หลบ สัจธรรมงาม
(Verse 3) 
ร่วมเขียนคำหวาน ผ่านหลักธรรมสอน
พุทโธไม่หลอน แต่ชี้ทางพ้นห่วงหา
มะปรางเรียนรู้ ใจครูเต็มศรัทธา
สันติสุขพา สร้างรักกลางใจ
(Chorus)
พุทโธจีพีที พาใจให้พ้นทุกข์
เสียงเพลงปลุก ใจให้เดินตามธรรม
รักที่พ้นหลง สุขในความสงบงาม
ธรรมะพูนล้ำ ดั่งรักแท้กลางใจ
(Outro)
มนต์รักพุทโธ เพลงธรรมะกลางสายลม
เสียงเพลงพร่างพรม ให้รักงามในนิรันดร์
สันติสุขมะปราง ร่วมสร้างความฝัน
ธรรมะผูกพัน รักนี้ไม่มีจาง

โครงสร้างนิยายอิงธรรมะเรื่อง "มนต์รักพุทโธจีพีที"

บทที่ 1: เส้นทางนักเขียนของสันติสุข

  • เปิดเรื่องด้วยชีวิตประจำวันของ สันติสุข นักเขียนนิยายที่มีชื่อเสียงจากผลงานที่ผสมผสานธรรมะกับความบันเทิง
  • สันติสุขกำลังเผชิญความท้าทายในการปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI
  • ฉากจบตอน: มะปราง นักเรียนฝึกเขียนหนังสือ มาเยี่ยมเขาที่บ้านในชนบท เพื่อปรึกษาเรื่องการเขียน

บทที่ 2: การพบกันของครูและศิษย์

  • มะปรางแสดงความตั้งใจในการเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะที่เข้าใจง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่
  • สันติสุขแบ่งปันประสบการณ์การเขียน และแนะนำว่าควรเชื่อมโยงหลักพุทธธรรมให้เข้ากับเรื่องราวที่มีอารมณ์และความหมาย
  • ฉากเด่น: สันติสุขพามะปรางชมสวนและเล่าถึงแรงบันดาลใจในการใช้ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของงานเขียน

บทที่ 3: พุทโธจีพีที – การประพันธ์บทเพลงด้วย AI

  • สันติสุขอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับ AI ที่เขาใช้ในการสร้างบทเพลงที่สะท้อนหลักธรรมในพระไตรปิฎก
  • มะปรางเรียนรู้วิธีใช้ AI ช่วยในการค้นคว้า และสร้างสรรค์งานที่เชื่อมโยงระหว่างธรรมะและศิลปะ
  • ฉากเด่น: สันติสุขเล่นตัวอย่างเพลงที่เขาแต่งโดยใช้ AI พร้อมอธิบายความหมายเชิงธรรมะในแต่ละท่อน

บทที่ 4: เสียงเพลงแห่งธรรมะ

  • มะปรางเริ่มเข้าใจความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีในงานสร้างสรรค์
  • ทั้งสองทดลองใช้ AI แต่งเพลงใหม่ชื่อ "มนต์รักพุทโธจีพีที" โดยเนื้อหาเพลงกล่าวถึงความรักและการเข้าใจในความจริงของชีวิต
  • ฉากเด่น: มะปรางร้องเพลงนี้กับสันติสุขในบรรยากาศเรียบง่ายใต้ต้นไม้

บทที่ 5: การเดินทางของความคิดสร้างสรรค์

  • มะปรางนำบทเรียนที่ได้ไปปรับปรุงการเขียนหนังสือของเธอ โดยเน้นการสอดแทรกธรรมะในแบบที่เข้าถึงใจผู้อ่าน
  • สันติสุขมองดูมะปรางอย่างภูมิใจ รู้สึกว่าตัวเองได้ทำหน้าที่ส่งต่อปัญญาไปยังคนรุ่นใหม่
  • ฉากจบ: มะปรางมอบต้นฉบับหนังสือเล่มใหม่ให้สันติสุขอ่าน พร้อมคำขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจ

ธีมหลักของเรื่อง:

  • การผสมผสานระหว่างธรรมะและเทคโนโลยี
  • ความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ในการส่งต่อความรู้และปัญญา
  • การเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามและมีคุณค่าในสังคม

ปลายเปิด:

  • หนังสือของมะปรางประสบความสำเร็จ และเธอเริ่มต้นการเดินทางใหม่ในการเป็นนักเขียนที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง

วิเคราะห์วาเสฏฐสูตรพราหมณ์ในทัศนะของพระพุทธศาสนา

วิเคราะห์วาเสฏฐสูตรในพระไตรปิฎก
(พระไตรปิฎก เล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต มหาวรรค)

บทนำ

วาเสฏฐสูตรเป็นพระสูตรสำคัญที่แสดงถึงแนวคิดเกี่ยวกับความเป็น "พราหมณ์" ในมุมมองของพระพุทธศาสนา โดยเน้นการนิยามความเป็นพราหมณ์ตาม "กรรม" มากกว่าชาติกำเนิด พระสูตรนี้สะท้อนถึงหลักธรรมที่เชื่อมโยงกับความเสมอภาคของมนุษย์และการใช้ความประพฤติเป็นเกณฑ์ในการวัดคุณค่าของบุคคล ซึ่งขัดแย้งกับคติพราหมณ์ในยุคนั้นที่มองว่าความเป็นพราหมณ์ขึ้นอยู่กับสายเลือดและชาติกำเนิด


สาระสำคัญของวาเสฏฐสูตร

1. ภูมิหลังของพระสูตร

วาเสฏฐสูตรเริ่มต้นด้วยบทสนทนาของวาเสฏฐมาณพและภารทวาชมาณพ สองผู้เชี่ยวชาญในไตรเวทซึ่งมีความเห็นขัดแย้งกันเกี่ยวกับคำถามว่า "บุคคลจะเป็นพราหมณ์ได้เพราะชาติกำเนิดหรือเพราะกรรม" เมื่อไม่สามารถหาข้อยุติได้ ทั้งสองจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอคำตอบ

2. การพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความแตกต่างของสัตว์ในโลก เช่น หญ้า ต้นไม้ หนอน ปลา หรือมนุษย์บางส่วน อาจเกิดขึ้นจากธรรมชาติทางกายภาพหรือสายพันธุ์ แต่ในมนุษย์นั้น ความเป็น "พราหมณ์" มิได้ขึ้นอยู่กับรูปร่างลักษณะหรือชาติกำเนิด หากแต่ขึ้นอยู่กับ "กรรม" หรือการกระทำที่บริสุทธิ์และปราศจากกิเลส


ประเด็นสำคัญในพระสูตร

1. พราหมณ์ในทัศนะของพระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าทรงนิยาม "พราหมณ์" ว่าเป็นบุคคลที่ประพฤติดี ปราศจากกิเลส และดำเนินชีวิตตามหลักธรรม มิใช่ผู้ที่เกิดในตระกูลพราหมณ์เท่านั้น ดังความตอนหนึ่งว่า:

"เราเรียกผู้ที่ละกิเลสและกรรมอันไม่ดีได้ว่าเป็นพราหมณ์ ไม่ใช่ผู้ที่มีชาติกำเนิดเป็นพราหมณ์"

2. หลักกรรมและวิบาก

พระสูตรนี้แสดงถึงความสำคัญของ "กรรม" ในการกำหนดสถานะของบุคคล ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง และกรรมเหล่านั้นเป็นเครื่องกำหนดความเป็นอยู่และสถานะในสังคม

3. ความเสมอภาคของมนุษย์

วาเสฏฐสูตรยังสะท้อนถึงแนวคิดเกี่ยวกับความเสมอภาค โดยปฏิเสธการแบ่งชั้นวรรณะตามระบบของพราหมณ์ และมุ่งเน้นที่คุณค่าของการประพฤติปฏิบัติแทน


การตีความและวิเคราะห์

1. บริบททางสังคมในยุคนั้น

ในสมัยพุทธกาล ระบบวรรณะมีอิทธิพลอย่างสูงในสังคมอินเดีย โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับชาติกำเนิดของพราหมณ์ การที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของกรรม เป็นการท้าทายคตินิยมเดิม และเสนอแนวคิดที่ส่งเสริมความเสมอภาคและการพัฒนาตนเอง

2. ความเชื่อมโยงกับหลักอริยสัจ 4

วาเสฏฐสูตรเน้นให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงอยู่ที่การละกิเลสและการเข้าถึงความหลุดพ้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักอริยสัจ 4 ที่เน้นการดับทุกข์และการปลดเปลื้องตนจากวัฏสงสาร


บทสรุป

วาเสฏฐสูตรเป็นพระสูตรที่มีคุณค่าสำหรับการศึกษาแนวคิดเรื่องกรรมและความเสมอภาคในพระพุทธศาสนา โดยแสดงให้เห็นว่าความเป็นพราหมณ์มิได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับความประพฤติและการปฏิบัติธรรม พระสูตรนี้ยังสะท้อนถึงปัญญาอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าในการชี้แนะให้มนุษย์ดำรงชีวิตตามหลักธรรมเพื่อความสงบสุขในชีวิตและการหลุดพ้นจากทุกข์ เรื่อง "วิเคราะห์  วาเสฏฐสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๓. มหาวรรค  ที่ประกอบด้วย 

 วาเสฏฐสูตรที่ ๙

             [๓๘๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานงคลวันใกล้

อิจฉานังคลคาม ก็สมัยนั้น พราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงเป็นอันมาก คือ

จังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุสโสณีพราหมณ์

โตเทยยพราหมณ์ และพราหมณ์มหาศาลผู้มีชื่อเสียงเหล่าอื่น อาศัยอยู่ใน

อิจฉานังคลคาม ครั้งนั้นแล วาเสฏฐมาณพและภารทวาชมาณพ เดินพักผ่อนอยู่

ได้สนทนากันในระหว่างว่า ท่านผู้เจริญ บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุ

อย่างไร ภารทวาชมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญบุคคลผู้เป็นอุภโตสุชาต

ทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพ-

*บุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนได้ด้วยอ้างถึงชาติ บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วย

เหตุเพียงเท่านี้ ฯ

             วาเสฏฐมาณพกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ บุคคลเป็นผู้มีศีลและถึง

พร้อมด้วยวัตร บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ฯ

             ภารทวาชมาณพไม่สามารถจะให้วาเสฏฐมาณพยินยอมได้เลย และวาเสฏฐ

มาณพก็ไม่สามารถจะให้ภารทวาชมาณพยินยอมได้ ฯ

             ลำดับนั้นแล วาเสฏฐมาณพจึงกล่าวกะภารทวาชมาณพว่า ท่านภารทวาชะ

พระสมณโคดมผู้ศากยบุตรนี้ เสด็จออกผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณ

ราวป่าอิจฉานังคลวัน ใกล้อิจฉานังคลคาม ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดม

พระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น

ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ท่านภารทวาชะ เราทั้งสองจงไปเฝ้า

พระสมณโคดมเถิด ครั้นแล้วจักทูลถามเนื้อความนี้ พระสมณโคดมจักตรัส

พยากรณ์แก่เราด้วยประการใด เราจักทรงจำข้อความนั้นไว้ด้วยประการนั้น ฯ

             ภารทวาชมาณพ รับคำวาเสฏฐมาณพแล้ว ลำดับนั้น วาเสฏฐมาณพ

และภารทวาชมาณพ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนา

ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ

ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว วาเสฏฐมาณพได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

             [๓๘๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้มีไตรวิชชา

                          อันอาจารย์ยกย่องและรับรอง ข้าพระองค์เป็นศิษย์ผู้ใหญ่

                          ของโปกขรสาติพราหมณ์ ภารทวาชมาณพนี้ เป็นศิษย์ผู้ใหญ่

                          ของตารุกขพราหมณ์ ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ถึงความสำเร็จ

                          ในเวทที่อาจารย์ผู้มีไตรวิชชาบอกแล้ว เป็นผู้เข้าใจตัวบท

                          และเป็นผู้ชำนาญไวยากรณ์ ในเวท เช่นกับอาจารย์ ข้าแต่

                          พระโคดม ข้าพระองค์ทั้งสองมีการโต้เถียงกันเพราะการอ้าง

                          ถึงชาติ  ภารทวาชมาณพกล่าวว่า บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะ

                          ชาติ ส่วนข้าพระองค์กล่าวว่า บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะ

                          กรรม ข้าแต่พระโคดมผู้มีพระจักษุ ขอพระองค์จงทรงทราบ

                          อย่างนี้ ข้าพระองค์ทั้งสองนั้นไม่สามารถจะให้กันและกัน

                          ยินยอมได้ จึงพากันมาเพื่อจะทูลถามพระองค์ผู้ปรากฏว่า เป็น

                          พระสัมพุทธะ ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ทั้งสอง ประนม

                          อัญชลีเข้ามาถวายนมัสการพระองค์ผู้ปรากฏว่า เป็นพระ

                          สัมพุทธะในโลก เหมือนชนทั้งหลาย ประนมอัญชลีเข้ามา

                          ไหว้นมัสการพระจันทร์อันเต็มดวง ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งสอง

                          ขอทูลถามพระโคดมผู้มีพระจักษุ ผู้อุบัติขึ้นดีแล้วในโลกว่า

                          บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติหรือเพราะกรรม ขอพระองค์

                          จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งสองผู้ไม่รู้ ด้วยอาการที่ข้า

                          พระองค์ทั้งสองจะพึงรู้จักพราหมณ์เถิด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะ

                          เราจักพยากรณ์แก่ท่านทั้งหลายตามลำดับตามสมควร สัตว์

                          ทั้งหลายมีความแตกต่างกันโดยชาติ เพราะชาติของสัตว์

                          เหล่านั้น มีประการต่างๆ กัน ท่านทั้งหลายย่อมรู้จัก

                          หญ้าและต้นไม้  แต่หญ้าและต้นไม้ ก็ไม่ยอมรับว่าเป็น

                          หญ้าเป็นต้นไม้ หญ้าและต้นไม้เหล่านั้นมีสัณฐานสำเร็จ

                          มาแต่ชาติ เพราะชาติของมันต่างๆ กัน แต่นั้นท่าน

                          ทั้งหลายจงรู้จัก หนอน ตั๊กแตน มดดำ และมดแดง สัตว์

                          เหล่านั้นมีสัณฐานสำเร็จมาแต่ชาติ เพราะชาติของมัน

                          ต่างๆ กัน ท่านทั้งหลายจงรู้จักสัตว์ ๔ เท้า ทั้งตัวเล็ก

                          ตัวใหญ่ สัตว์เหล่านั้นมีสัณฐานสำเร็จมาแต่ชาติ เพราะ

                          ชาติของมันต่างๆ กัน ต่อแต่นั้น ท่านทั้งหลายจงรู้จัก

                          ปลาที่เกิดในน้ำเที่ยวไปในน้ำ ปลาเหล่านั้นมีสัณฐานสำเร็จ

                          มาแต่ชาติ เพราะชาติของมันมีต่างๆ กัน ถัดจากนั้น

                          ท่านทั้งหลายจงรู้จักนกที่บินไปในเวหา นกเหล่านั้นมีสัณฐาน

                          สำเร็จมาแต่ชาติ เพราะชาติของมันต่างๆ กัน เพศที่

                          สำเร็จมาแต่ชาติเป็นอันมาก ไม่มีในมนุษย์ทั้งหลาย เหมือน

                          อย่างสัณฐานที่สำเร็จมาแต่ชาติเป็นอันมากในชาติเหล่านี้

                          ฉะนั้น การกำหนดด้วยผม ศีรษะ หู  นัยน์ตา ปาก

                          จมูก ริมฝีปาก คิ้ว คอ บ่า ท้อง หลัง ตะโพก อก

                          ที่แคบ เมถุน มือ เท้า นิ้วมือ เล็บ แข้ง ขา วรรณะ

                          หรือเสียง ว่าผมเป็นต้น ของพราหมณ์เป็นเช่นนี้ ของกษัตริย์

                          เป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีเลย เพศที่สำเร็จมาแต่ชาติไม่มีใน

                          มนุษย์ทั้งหลายเลย เหมือนอย่างสัณฐานที่สำเร็จมาแต่

                          ชาติในชาติเหล่าอื่น ฉะนั้น ความแตกต่างกันแห่งสัณฐาน

                          มีผมเป็นต้นนี้ ที่สำเร็จมาแต่กำเนิด ย่อมไม่มีในสรีระ

                          ของตนๆ เฉพาะในตัวมนุษย์ทั้งหลายเลย แต่ความต่าง

                          กันในมนุษย์ทั้งหลาย บัณฑิตกล่าวไว้โดยสมัญญา ดูกร

                          วาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่ง

                          อาศัยโครักขกรรมเลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นชาวนา มิใช่

                          พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ใน

                          หมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งเลี้ยงชีพด้วยศิลปะเป็นอันมาก ผู้

                          นั้นเป็นศิลปิน มิใช่พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจง

                          รู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่ง อาศัยการค้า

                          ขายเลี้ยงชีพ  ผู้นั้นเป็นพ่อค้ามิใช่พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ

                          ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งเลี้ยงชีวิต

                          ด้วยการรับใช้ผู้อื่น ผู้นั้นเป็นผู้รับใช้ มิใช่พราหมณ์

                          ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้

                          ใดผู้หนึ่งอาศัยการลักทรัพย์เลี้ยงชีพ ผู้นั้นเป็นโจร มิใช่

                          พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ใน

                          หมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งอาศัยลูกศรและศาตราเลี้ยงชีพ ผู้นั้น

                          เป็นนักรบอาชีพ มิใช่พราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะ ท่าน

                          จงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งเลี้ยงชีพด้วยความ

                          เป็นปุโรหิต ผู้นั้นเป็นผู้ยังบุคคลให้บูชา มิใช่เป็นพราหมณ์

                          ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใด

                          ผู้หนึ่งปกครองบ้านและแว่นแคว้น ผู้นั้นเป็นพระราชา

                          มิใช่พราหมณ์ ก็เราหากล่าวผู้เกิดแต่กำเนิดในท้องมารดา

                          ว่าเป็นพราหมณ์ไม่ ผู้นั้นเป็นผู้ชื่อว่าโภวาที ผู้นั้นแล

                          ยังเป็นผู้มีเครื่องกังวล เรากล่าวบุคคลผู้ไม่มีเครื่องกังวล

                          ผู้ไม่ถือมั่น ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ตัดสังโยชน์ได้ทั้ง

                          หมด ไม่สะดุ้งเลย ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องแล้ว พราก

                          โยคะทั้ง ๔ ได้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ที่ตัด

                          ชะเนาะคือความโกรธ เชือก คือ ตัณหา หัวเงื่อน คือ

                          ทิฐิ ๖๒ พร้อมทั้งสายโยง คือ อนุสัยเสียได้ ผู้มีลิ่ม

                          สลักอันถอดแล้ว ผู้ตรัสรู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรา

                          กล่าวผู้ไม่ประทุษร้าย อดกลั้นได้ซึ่งคำด่าว่า การทุบตีและ

                          การจองจำ ผู้มีกำลังคือขันติ ผู้มีหมู่พลคือขันตี ว่าเป็น

                          พราหมณ์  เรากล่าวผู้ไม่โกรธ มีวัตร มีศีล ไม่มีกิเลส

                          อันฟูขึ้น ฝึกตนแล้ว ทรงไว้ซึ่งร่างกายมีในที่สุด ว่าเป็น

                          พราหมณ์ เรากล่าวผู้ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย ดุจน้ำไม่

                          ติดอยู่ในใบบัว ดุจเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติดอยู่บนปลาย

                          เหล็กแหลม ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้รู้ชัดความสิ้นไป

                          แห่งทุกข์ของตน ในศาสนานี้แล ผู้ปลงภาระแล้ว

                          พรากกิเลสได้หมดแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้มีปัญญา

                          ลึกซึ้ง มีเมธา ผู้ฉลาดในทางและมิใช่ทาง ผู้บรรลุถึง

                          ประโยชน์อันสูงสุด ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ไม่เกี่ยวข้อง

                          ด้วยคน ๒ พวก คือ คฤหัสถ์และบรรพชิต ไม่มีความ

                          อาลัยเที่ยวไป มีความปรารถนาน้อย ว่าเป็นพราหมณ์

                          เรากล่าวผู้วางอาชญาในสัตว์ทั้งหลาย ทั้งผู้ที่สะดุ้งและ

                          มั่นคง ไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ว่าเป็นพราหมณ์ เรา

                          กล่าวผู้ไม่ปองร้าย ผู้ดับเสียได้ในผู้ที่มีอาชญาในตน ผู้ไม่

                          ยึดถือในผู้ที่มีความยึดถือ ว่าเป็นพราหมณ์  เรากล่าวผู้ที่ทำ

                          ราคะ โทสะ มานะ และมักขะ ให้ตกไปแล้ว ดุจเมล็ด

                          พันธุ์ผักกาดตกไปจากปลายเหล็กแหลม ว่าเป็นพราหมณ์

                          เรากล่าวผู้เปล่งถ้อยคำไม่หยาบ ให้รู้ความกันได้ เป็นคำจริง

                          ซึ่งไม่เป็นเหตุทำใครๆ ให้ข้องอยู่ ว่าเป็นพราหมณ์ ก็เรา

                          กล่าวผู้ไม่ถือเอาสิ่งของยาวหรือสั้น น้อยหรือใหญ่ งาม

                          และไม่งาม ซึ่งเจ้าของมิได้ให้แล้วในโลก ว่าเป็นพราหมณ์

                          เรากล่าวผู้ไม่มีความหวังทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ผู้สิ้น

                          หวัง พรากกิเลสได้หมดแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าว

                          ผู้ไม่มีความอาลัย รู้แล้วทั่วถึง ไม่มีความสงสัย หยั่งลงสู่

                          นิพพาน ได้บรรลุแล้วโดยลำดับ ว่าเป็นพราหมณ์ เรา

                          กล่าวผู้ละทิ้งบุญและบาปทั้ง ๒ ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องได้

                          แล้ว ไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากธุลี บริสุทธิ์แล้ว

                          ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้มีความยินดีในภพหมดสิ้นแล้ว

                          ผู้บริสุทธิ์ มีจิตผ่องใส ไม่ขุ่นมัวดุจพระจันทร์ที่ปราศจาก

                          มลทิน ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ล่วงทางอ้อม หล่ม

                          สงสาร โมหะเสียได้ เป็นผู้ข้ามถึงฝั่ง เพ่งฌาน ไม่หวั่น

                          ไหว ไม่มีความสงสัย ดับกิเลสได้แล้วเพราะไม่ถือมั่น

                          ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ละกามในโลกนี้ได้เด็ดขาด

                          เป็นผู้ไม่มีเรือน บวชเสียได้ มีกามราคะหมดสิ้นแล้ว ว่า

                          เป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ละตัณหาในโลกนี้ได้เด็ดขาด เป็น

                          ผู้ไม่มีเรือน งดเว้น มีตัณหาและภพหมดสิ้นแล้ว ว่าเป็น

                          พราหมณ์ เรากล่าวผู้ละโยคะที่เป็นของมนุษย์ แล้วล่วง

                          โยคะที่เป็นของทิพย์เสียได้ ผู้พรากแล้วจากโยคะทั้งปวง

                          ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ละความยินดีและความไม่ยินดี

                          เป็นผู้เยือกเย็น หาอุปธิมิได้ ผู้ครอบงำโลกทั้งปวง มีความ

                          เพียร ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้รู้จุติและอุปบัติของสัตว์

                          ทั้งหลาย โดยอาการทั้งปวง ผู้ไม่ข้อง ไปดี ตรัสรู้แล้ว

                          ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ที่เทวดา คนธรรพ์ และมนุษย์รู้

                          คติไม่ได้ ผู้สิ้นอาสวะแล้ว เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์

                          เรากล่าวผู้ไม่มีเครื่องกังวลในขันธ์ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต

                          และปัจจุบัน ไม่มีเครื่องกังวล ไม่ยึดถือ ว่าเป็นพราหมณ์

                          เรากล่าวผู้องอาจ ประเสริฐ เป็นนักปราชญ์ แสวงหาคุณ

                          ใหญ่ชนะมาร ไม่มีความหวั่นไหว ล้างกิเลสหมด ตรัสรู้

                          แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ เรากล่าวผู้ระลึกชาติก่อนๆ ได้

                          เห็นสวรรค์และอบาย และถึงความสิ้นไปแห่งชาติแล้ว ว่า

                          เป็นพราหมณ์ นามและโคตรที่เขากำหนดกัน เป็นบัญญัติใน

                          โลก นามและโคตรมาแล้วเพราะการรู้ตามกันมา ญาติ

                          สาโลหิตทั้งหลาย กำหนดไว้ในกาลที่บุคคลเกิดแล้วนั้นๆ

                          นามและโคตรที่กำหนดกันแล้วนี้ เป็นความเห็นของพวก

                          คนผู้ไม่รู้ ซึ่งสืบเนื่องกันมาสิ้นกาลนาน พวกคนผู้ไม่รู้

                          ย่อมกล่าวว่าบุคคลเป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่บุคคลเป็น

                          พราหมณ์เพราะชาติก็หามิได้ แต่เป็นพราหมณ์เพราะกรรม

                          ไม่เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นชาวนาก็เพราะกรรม

                          เป็นศิลปิน เป็นพ่อค้า เป็นผู้รับใช้ เป็นโจร เป็นนักรบ

                          อาชีพ เป็นปุโรหิต และแม้เป็นพระราชา ก็เพราะกรรม

                          บัณฑิตทั้งหลายผู้มีปรกติเห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรม

                          และวิบาก ย่อมเห็นกรรมตามความเป็นจริงอย่างนี้ โลก

                          ย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม

                          สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเครื่องผูกพัน เปรียบเหมือนหมุด

                          แห่งรถที่แล่นไปอยู่ ฉะนั้น บุคคลเป็นพราหมณ์เพราะกรรม

                          อันประเสริฐนี้ คือ ตบะ สัญญมะ พรหมจรรย์ และ

                          ทมะ กรรมนี้ นำความเป็นพราหมณ์ที่สูงสุดมาให้ บุคคล

                          ผู้ถึงพร้อมด้วยไตรวิชชา เป็นคนสงบ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว

                          เป็นพราหมณ์ผู้องอาจของบัณฑิตทั้งหลายผู้รู้แจ้งอยู่ ท่านจง

                          รู้อย่างนี้เถิดวาเสฏฐะ ฯ

             [๓๘๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพ และ

ภารทวาชมาณพ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิต

ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระองค์ทั้งสองว่าเป็น

อุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ



ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ วาเสฏฐสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ  สุตตนิบาต  ๓. มหาวรรค

วิเคราะห์สัลลสูตร ความทุกข์จากความพลัดพราก ก

วิเคราะห์สัลลสูตร ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ

สัลลสูตร ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต มหาวรรค มีเนื้อหาอันลึกซึ้งเกี่ยวกับความไม่เที่ยงของชีวิต ความตาย และการจัดการความทุกข์ พระสูตรนี้ให้หลักธรรมสำคัญที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสร้างความสงบและสมดุลในจิตใจ รวมถึงการใช้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคม บทความนี้มุ่งวิเคราะห์สาระสำคัญของสัลลสูตรในบริบทของพุทธสันติวิธี โดยให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ในชีวิตส่วนตัวและสังคมร่วมสมัย

สาระสำคัญของสัลลสูตร

สัลลสูตรนำเสนอความจริงพื้นฐานเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ได้แก่:

  1. ความไม่เที่ยงและการหลีกเลี่ยงไม่ได้ของความตาย พระพุทธองค์ตรัสว่าชีวิตของสัตว์โลกนั้นไม่แน่นอน เต็มไปด้วยทุกข์ และไม่สามารถหลีกหนีความตายได้ แม้จะมีความพยายามป้องกันตนเองมากเพียงใด สัตว์ทั้งหลายย่อมต้องไปสู่ความตายในที่สุด เหมือนผลไม้สุกที่ต้องร่วงหล่น และภาชนะดินที่ต้องแตกสลาย

  2. ความทุกข์จากความพลัดพราก การพลัดพรากจากสิ่งที่รักและความโศกเศร้าเป็นธรรมดาของชีวิต พระพุทธองค์ตรัสว่าการร้องไห้หรือคร่ำครวญไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ แต่กลับเพิ่มความทุกข์ในจิตใจ บุคคลควรยอมรับความจริงและมองชีวิตอย่างมีปัญญา

  3. การปลดปล่อยตนเองจากกิเลส การกำจัดความเศร้าโศกและความยึดมั่นถือมั่นเป็นหนทางสู่ความสงบ พระพุทธองค์แสดงเปรียบเทียบว่าผู้มีปัญญาควรกำจัดความเศร้าโศกเหมือนลมพัดนุ่นให้ปลิวไป การถอนลูกศรแห่งกิเลสออกจากจิตใจทำให้บุคคลสามารถเข้าถึงความเยือกเย็นและความสุขแท้จริงได้

พุทธสันติวิธี: หลักธรรมจากสัลลสูตร

  1. การยอมรับความจริง การยอมรับความไม่เที่ยงของชีวิตและความตายเป็นจุดเริ่มต้นของสันติในจิตใจ การเข้าใจว่าความสูญเสียเป็นธรรมดาของโลกช่วยให้เราปลดปล่อยความยึดติดและสามารถเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างสงบ

  2. การจัดการความทุกข์ด้วยปัญญา สัลลสูตรแสดงให้เห็นว่าความเศร้าโศกไม่สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่กลับทำให้ทุกข์หนักยิ่งขึ้น นักปราชญ์ผู้มีปัญญาควรมองทุกข์ด้วยความเข้าใจและแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์

  3. การปล่อยวางและการปลดปล่อยจิตใจ การปล่อยวางกิเลส เช่น ตัณหาและทิฐิ เป็นแนวทางที่นำไปสู่ความสงบและความสุขในชีวิต การตระหนักถึงธรรมชาติของความพลัดพรากช่วยลดความยึดติดและทำให้เราสามารถใช้ชีวิตด้วยจิตใจที่เบาสบาย

การประยุกต์ใช้ในบริบทสังคมร่วมสมัย

  1. การเยียวยาความสูญเสีย ในสถานการณ์ที่ผู้คนเผชิญกับความสูญเสีย เช่น การเสียชีวิตของบุคคลอันเป็นที่รัก หลักธรรมจากสัลลสูตรช่วยให้บุคคลมองเห็นความจริงของชีวิตและยอมรับความเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติ การสนับสนุนให้ผู้สูญเสียใช้วิธีปฏิบัติธรรม เช่น การเจริญสติ สามารถช่วยบรรเทาความทุกข์ได้

  2. การแก้ไขความขัดแย้งในสังคม หลักการปล่อยวางและการมองทุกข์ด้วยปัญญาสามารถนำไปใช้แก้ไขความขัดแย้งในสังคมได้ การลดความยึดมั่นในความคิดของตนเองและเปิดใจรับฟังผู้อื่นช่วยสร้างความสมานฉันท์และความเข้าใจกันในหมู่คณะ

  3. การสร้างความสุขภายในองค์กร ในสถานที่ทำงาน หลักธรรมของสัลลสูตรช่วยให้บุคคลจัดการกับความเครียดและความกดดันได้ดีขึ้น การปล่อยวางความยึดมั่นในความสำเร็จหรือความล้มเหลวช่วยให้เกิดความสมดุลในจิตใจและส่งผลให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

สัลลสูตรเป็นพระสูตรที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต ความไม่เที่ยง และการจัดการกับความทุกข์ หลักธรรมในพระสูตรนี้ไม่เพียงแต่มีคุณค่าในเชิงปรัชญา แต่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและการแก้ไขปัญหาสังคมร่วมสมัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การยอมรับความจริง การมองชีวิตด้วยปัญญา และการปล่อยวางเป็นแนวทางที่นำไปสู่ความสงบสุขและความสุขที่แท้จริงในชีวิตของบุคคลและสังคมโดยรวม เรื่อง "วิเคราะห์   สัลลสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๓. มหาวรรค  ที่ประกอบด้วย 

 สัลลสูตรที่ ๘

             [๓๘๐] ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย ใครๆ รู้

                          ไม่ได้ ทั้งลำบาก ทั้งน้อย และประกอบด้วยทุกข์ สัตว์

                          ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตายด้วยความพยายามอันใด

                          ความพยายามอันนั้นไม่มีเลย แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตาย

                          เพราะสัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา ผลไม้สุกงอมแล้ว

                          ชื่อว่าย่อมมีภัยเพราะจะต้องร่วงหล่นไปในเวลาเช้า ฉันใด

                          สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัย เพราะจะต้องตาย

                          เป็นนิตย์ ฉันนั้น ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิด มี

                          ความแตกเป็นที่สุด แม้ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็

                          ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วน

                          ไปสู่อำนาจของมฤตยู มีมฤตยูเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยกัน

                          ทั้งหมด เมื่อสัตว์เหล่านั้นถูกมฤตยูครอบงำแล้ว ต้องไป

                          ปรโลก บิดาจะป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้ หรือพวกญาติจะ

                          ป้องกันพวกญาติไว้ก็ไม่ได้ ท่านจงเห็น เหมือนเมื่อหมู่

                          ญาติของสัตว์ทั้งหลายผู้จะต้องตาย กำลังแลดูรำพันอยู่โดย

                          ประการต่างๆ สัตว์ผู้จะต้องตายผู้เดียวเท่านั้นถูกมฤตยูนำไป

                          เหมือนโคที่บุคคลจะพึงฆ่าถูกนำไปตัวเดียวฉะนั้น ความตาย

                          และความแก่กำจัดสัตว์โลกอยู่อย่างนี้ เพราะเหตุนั้น นัก-

                          ปราชญ์ทั้งหลายทราบชัดสภาพของโลกแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก

                          ท่านย่อมไม่รู้ทางของผู้มาหรือผู้ไป ไม่เห็นที่สุดทั้งสองอย่าง

                          ถึงจะคร่ำครวญไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าผู้คร่ำครวญหลงเบียด

                          เบียนตนอยู่จะยังประโยชน์อะไรๆ ให้เกิดขึ้นได้ไซร้ บัณฑิต

                          ผู้เห็นแจ้งก็พึงกระทำความคร่ำครวญนั้น บุคคลจะถึงความ

                          สงบใจได้ เพราะการร้องไห้ เพราะความเศร้าโศก ก็หาไม่

                          ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้นยิ่งขึ้น และสรีระของผู้นั้นก็จะซูบซีด

                          บุคคลผู้เบียดเบียนตนเอง ย่อมเป็นผู้ซูบผอม มีผิวพรรณ

                          เศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายผู้ละไปแล้ว ย่อมรักษาตนไม่ได้

                          ด้วยความรำพันนั้น การรำพันไร้ประโยชน์ คนผู้ทอดถอน

                          ถึงบุคคลผู้ทำกาละแล้ว ยังละความเศร้าโศกไม่ได้ ตกอยู่

                          ในอำนาจแห่งความเศร้าโศก ย่อมถึงทุกข์ยิ่งขึ้น ท่านจง

                          เห็นคนแม้เหล่าอื่นผู้เตรียมจะดำเนินไปตามยถากรรม (และ)

                          สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ผู้มาถึงอำนาจแห่งมัจจุแล้ว กำลัง

                          พากันดิ้นรนอยู่ทีเดียว ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมสำคัญด้วยอาการ

                          ใดๆ อาการนั้นๆ ย่อมแปรเป็นอย่างอื่นไปในภายหลัง ความ

                          พลัดพรากกัน เช่นนี้ย่อมมีได้ ท่านจงดูสภาพแห่งโลกเถิด

                          มาณพแม้จะพึงเป็นอยู่ร้อยปีหรือยิ่งกว่านั้น ก็ต้องพลัดพราก

                          จากหมู่ญาติ ต้องละทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้ เพราะเหตุนั้น บุคคล

                          ฟังพระธรรมเทศนาของพระอรหันต์แล้ว เห็นคนผู้ล่วงลับ

                          ทำกาละแล้ว กำหนดรู้อยู่ว่า บุคคลผู้ล่วงลับทำกาละแล้ว

                          นั้น เราไม่พึงได้ว่า จงเป็นอยู่อีกเถิด ดังนี้ พึงกำจัดความ

                          รำพันเสีย บุคคลพึงดับไฟที่ไหม้ลุกลามไปด้วยน้ำ ฉันใด

                          นรชนผู้เป็นนักปราชญ์ มีปัญญา เฉลียวฉลาด พึงกำจัด

                          ความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเสีย โดยฉับพลันเหมือนลมพัดนุ่น

                          ฉะนั้น คนผู้แสวงหาความสุขเพื่อตน พึงกำจัดความรำพัน

                          ความทะยานอยากและความโทมนัสของตน พึงถอนลูกศร

                          คือกิเลสของตนเสีย เป็นผู้มีลูกศร คือ กิเลสอันถอนขึ้น

                          แล้ว อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้วถึงความสงบใจ ก้าว

                          ล่วงความเศร้าโศกได้ทั้งหมด เป็นผู้ไม่มีความเศร้าโศก

                          เยือกเย็น ฉะนี้แล ฯ



ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ สัลลสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ  สุตตนิบาต  ๓. มหาวรรค

วิเคราะห์เสลสูตรตรวจสอบมหาปุริสลักษณะ

วิเคราะห์เสลสูตรในพระไตรปิฎก

เสลสูตร จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต มหาวรรค แสดงเรื่องราวที่สะท้อนถึงความสำคัญของคุณธรรมในพระพุทธศาสนา ผ่านบทสนทนาและเหตุการณ์ที่มีตัวละครหลักคือ พระพุทธเจ้า เสลพราหมณ์ เกณิยชฎิล และ มาณพบริวาร ความสำคัญของสูตรนี้อยู่ที่การแสดงถึงพระพุทธลักษณะอันประเสริฐ ความประทับใจในพระปัญญา และศรัทธาที่เกิดขึ้นจากการตรวจสอบคุณสมบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


1. โครงสร้างเนื้อหา

เนื้อหาของเสลสูตรมีลำดับดังนี้:

  1. พระพุทธเจ้าเสด็จพร้อมภิกษุสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มายังนิคมอาปณะ
  2. เกณิยชฎิล นิมนต์พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์เพื่อรับภัตตาหาร
  3. เสลพราหมณ์ ได้ยินชื่อเสียงของพระพุทธเจ้าและเกิดความสงสัย จึงเข้าไปตรวจสอบมหาปุริสลักษณะ
  4. การปรากฏอิทธาภิสังขารเพื่อยืนยันลักษณะพิเศษของพระพุทธเจ้า
  5. การสนทนาและการประกาศศรัทธาของเสลพราหมณ์และมาณพบริวาร

2. การวิเคราะห์เนื้อหา

2.1 ศรัทธาและการทดสอบมหาปุริสลักษณะ
เสลพราหมณ์เป็นตัวแทนของบุคคลผู้มีความรู้ในคัมภีร์ไตรเพทและมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล แม้จะมีความสงสัยในลักษณะบางประการ เช่น พระชิวหาและพระคุยหะ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงอิทธาภิสังขาร เสลพราหมณ์ก็ยอมรับความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แสดงให้เห็นถึงการเชื่อโดยอิงเหตุผล (สมถะและวิปัสสนา)

2.2 การสื่อสารในพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าทรงมีความสามารถในการสื่อสารธรรมแก่ผู้ฟังหลากหลายประเภท การสนทนากับเสลพราหมณ์แสดงถึงการใช้เหตุผลชี้แจงความจริง และทรงรับฟังความคิดเห็นของคู่สนทนา การตอบคำถามและการแสดงอิทธาภิสังขารของพระองค์ยังทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้ง

2.3 การประกาศพระธรรมจักร
ในบทนี้ พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึง ธรรมจักร ซึ่งหมายถึงการสั่งสอนธรรมะแก่มวลชน โดยมีพระสารีบุตรเป็นผู้สืบสานการเผยแผ่ธรรม คำว่า "ธรรมจักร" นี้ยังแสดงถึงการนำธรรมะเข้าสู่สังคมและการสถาปนาธรรมเป็นหลักสำคัญในชีวิตมนุษย์

2.4 ศรัทธาและการบวช
เสลพราหมณ์และมาณพ 300 คน เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและตัดสินใจบวชทันที แสดงถึงกระบวนการเกิดศรัทธาอย่างลึกซึ้งในพระธรรมคำสอน ศรัทธานี้ไม่ได้เกิดจากอิทธิฤทธิ์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการใช้ปัญญาพิจารณาความจริง


3. คุณค่าทางพระพุทธศาสนา

3.1 การเปิดรับความจริงด้วยปัญญา
เสลสูตรเน้นการเปิดใจรับความจริงโดยผ่านการตรวจสอบและไตร่ตรอง การที่เสลพราหมณ์ไม่เชื่อในทันที แต่ตรวจสอบมหาปุริสลักษณะอย่างละเอียด สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความจริง

3.2 การเผยแผ่ธรรมและศรัทธาที่แท้จริง
พระพุทธเจ้าทรงใช้เหตุผลและการแสดงธรรมเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่พระศาสนา ไม่ได้มุ่งเน้นการใช้ฤทธิ์เพื่อดึงดูดศรัทธาอย่างเดียว

3.3 การเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จ
พระพุทธเจ้าในฐานะธรรมราชา ทรงเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งเสลพราหมณ์เปรียบเทียบว่าพระองค์ควรเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า ธรรมจักรคือสิ่งที่พระองค์ทรงสถาปนา


4. บทสรุป

เสลสูตรเป็นตัวอย่างของกระบวนการแสวงหาความจริง การทดสอบและการยอมรับความจริงด้วยเหตุผล รวมถึงการเผยแผ่ธรรมะแก่ผู้คนด้วยความเมตตาและปัญญา เรื่องราวในสูตรนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของพระพุทธเจ้าในการทำให้พระธรรมแผ่ขยายและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณของบุคคลได้อย่างลึกซึ้งเรื่อง "วิเคราะห์    เสลสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๓. มหาวรรค  ที่ประกอบด้วย 

 เสลสูตรที่ ๗

             [๓๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุตตราปะ

พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงนิคมของชาวอังคุตตราปะ

ชื่ออาปณะ ฯ

             เกณิยชฎิลได้สดับข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจาก

ศากยสกุล เสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุตตราปะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่

ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงนิคมชื่ออาปณะตามลำดับ ก็กิตติศัพท์อันงาม

ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ

พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้

จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้ง

ชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา

และมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง

งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์

บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์เห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล ฯ

             ครั้งนั้นแล เกณิยชฎิลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับได้สนทนา

ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ

ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เกณิยชฎิลเห็นแจ้ง ให้สมาทาน

อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ฯ

             ลำดับนั้น เกณิยชฎิล อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้

สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทรงรับภัตของข้าพระองค์เพื่อเสวยใน

วันพรุ่งนี้ พระเจ้าข้า ฯ

             [๓๗๔] เมื่อเกณิยชฎิลกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส

กะเกณิยชฎิลว่า ดูกรเกณิยะ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป อนึ่ง ท่านก็

เลื่อมใสในพวกพราหมณ์ยิ่งนัก ฯ

             แม้ครั้งที่ ๒ เกณิยชฎิลก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดม

ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป ทั้งข้าพระองค์เป็นผู้เลื่อมใสในพวกพราหมณ์

ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรับภัตของ

ข้าพระองค์เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ ... แม้ครั้งที่ ๓ เกณิยชฎิล ... พระผู้มี-

*พระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ

             ลำดับนั้นแล เกณิยชฎิลทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว ลุกจาก

อาสนะ เข้าไปสู่อาศรมของตนแล้ว เรียกมิตร (กรรมกร) อำมาตย์และญาติ

สาโลหิตทั้งหลายมากล่าวว่า มิตรอำมาตย์ และญาติสาโลหิตผู้เจริญทั้งหลาย

จงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้านิมนต์พระสมณโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยภัตใน

วันพรุ่งนี้ ขอท่านทั้งหลายช่วยข้าพเจ้าขวนขวายด้วยกาย พวกมิตร อำมาตย์

และญาติสาโลหิตทั้งหลายของเกณิยชฎิลรับคำแล้ว บางพวกขุดเตา บางพวก

ผ่าฟืน บางพวกล้างภาชนะ บางพวกช่วยตั้งหม้อน้ำ บางพวกปูอาสนะ ส่วน

เกณิยชฎิลตกแต่งปะรำเอง ฯ

             [๓๗๕] ก็สมัยนั้นแล เสลพราหมณ์อาศัยอยู่ในอาปณนิคม เป็นผู้รู้จบ

ไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์

อิติหาสเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ

และตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ ทั้งบอกมนต์แก่มาณพ ๓๐๐ คนด้วย ก็สมัยนั้น

เกณิยชฎิลเป็นผู้เลื่อมใสในเสลพราหมณ์ยิ่งนัก ฯ

             ครั้งนั้นแล เสลพราหมณ์แวดล้อมด้วยมาณพ ๓๐๐ คน เดินเที่ยว

พักผ่อนอยู่ ได้เข้าไปสู่อาศรมของเกณิยชฎิล ได้เห็นคนบางพวกขุดเตา ฯลฯ

บางพวกปูอาสนะ ในอาศรมของเกณิยชฎิล ส่วนเกณิยชฎิลตกแต่งโรงปะรำเอง

ครั้นแล้วได้ถามเกณิยชฎิลว่า ท่านเกณิยผู้เจริญ จักมีอาวาหะ วิวาหะ หรือเตรียม

จัดมหายัญหรือ หรือท่านได้ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าพิมพิสาร

จอมทัพ พร้อมทั้งรี้พล เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ ฯ

             เกณิยชฎิลตอบว่า ท่านเสละผู้เจริญ อาวาหะหรือวิวาหะจะมีแก่ข้าพเจ้า

ก็หามิได้ แม้พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าพิมพิสารจอมทัพ พร้อมทั้งรี้พล

ข้าพเจ้าก็มิได้ทูลเชิญเพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แต่ข้าพเจ้าจัดมหายัญ พระสมณโคดม

ผู้ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุตตราปะ

พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงนิคมชื่ออาปณะตาม

ลำดับ ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมนั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะ

เหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม

ดังนี้ ข้าพเจ้านิมนต์พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อ

เสวยภัตในวันพรุ่งนี้ ฯ

             ส. ท่านเกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือ ฯ

             ก. ท่านเสละผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทโธ ฯ

             ส. ท่านเกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือ ฯ

             ก. ท่านเสละผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทโธ ฯ

             ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ดำริว่า แม้เสียงประกาศว่า พุทโธ หาได้ยาก

ในโลก พระมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งมาในมนต์

ของพวกเรา ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าอยู่ครองเรือน

จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นธรรมราชา เป็นใหญ่ในแผ่นดินมี

มหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง ทรงสมบูรณ์

ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว

คฤหบดีแก้ว ปรินายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชโอรสของพระองค์มีกว่าพัน

ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีระกษัตริย์ สามารถย่ำยีกองทัพของข้าศึกได้

พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศาตรา ทรงครอบครอง

แผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ๑ ถ้าแลเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก ๑ เสลพราหมณ์

ถามว่า ท่านเกณิยะผู้เจริญ ก็บัดนี้พระโคดมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ

พระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหน ฯ

             [๓๗๖] เมื่อเสลพราหมณ์ถามอย่างนี้แล้ว เกณิยชฎิลได้ยกแขนขวา

ขึ้นชี้แล้ว กล่าวกะเสลพราหมณ์ว่า ท่านเสละผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคประทับ

อยู่ที่ทิวไม้มีสีเขียวนั่น ฯ

             ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพ ๓๐๐ คน เข้าไปเฝ้า

พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วกล่าวเตือนมาณพเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย

จงเงียบเสียง ค่อยๆ เดินตามกันมา เพราะท่านผู้เจริญเหล่านั้นเที่ยวไปผู้เดียว

เหมือนราชสีห์ ให้ยินดีได้ยาก ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย เวลาเราสนทนากับ

พระสมณโคดม ท่านทั้งหลายอย่าพูดสอดขึ้นในระหว่างถ้อยคำของเรา จงรอให้

ถ้อยคำของเราจบลงก่อน เสลพราหมณ์ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค

ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

             ครั้นแล้ว เสลพราหมณ์ได้ตรวจดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ใน

พระกายของพระผู้มีพระภาค ก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการโดยมาก

เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยัง

เคลือบแคลงสงสัยไม่เชื่อไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ ครั้งนั้นแล

พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า เสลพราหมณ์นี้ เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ

ของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑ ชิวหาใหญ่ ๑

จึงยังเคลือบแคลงสงสัยไม่เชื่อไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ ทันใด

นั้น พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้เสลพราหมณ์ได้เห็นพระคุยหะ

เร้นอยู่ฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง ๒ กลับไปมา

สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง ๒ กลับไปมา แผ่ปิดมณฑลพระนลาต เสลพราหมณ์

คิดว่าพระสมณโคดม ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการบริบูรณ์

ไม่บกพร่อง แต่เราไม่ทราบว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็แลเราได้

ฟังคำของพราหมณ์ทั้งหลายผู้แก่เฒ่าผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวอยู่ว่า พระผู้มี-

*พระภาคเป็นผู้พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงทำพระองค์ให้ปรากฏ

ในเมื่อบุคคลกล่าวถึงคุณของพระองค์ ถ้ากระไรเราพึงชมเชยพระสมณโคดม

เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถาอันสมควร ฯ

             ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคเฉพาะพระพักตร์

ด้วยคาถาอันสมควรว่า

                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์มีพระกายบริบูรณ์ สวยงาม

                          ประสูติดีแล้ว มีพระเนตรงาม มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ

                          มีพระเขี้ยวขาวดี มีความเพียร อวัยวะใหญ่น้อยเหล่าใด

                          มีแก่คนผู้เกิดดีแล้ว อวัยวะใหญ่น้อยเหล่านั้นทั้งหมดใน

                          พระกายของพระองค์เป็นมหาปุริสลักษณะ พระองค์มี

                          พระเนตรแจ่มใส มีพระพักตร์งาม มีกายใหญ่ตรง มีรัศมี

                          รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางสมณสงฆ์ดังพระอาทิตย์ พระองค์เป็น

                          ภิกษุมีพระเนตร์งาม มีพระฉวีวรรณงามเปล่งปลั่งดังทองคำ

                          ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นสมณะของพระองค์ผู้มีวรรณะอัน

                          อุดมอย่างนี้ พระองค์ควรเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ประเสริฐ

                          ในราชสมบัติ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบ-

                          เขต ผู้ทรงชนะแล้ว ผู้เป็นใหญ่ในชมพูทวีปมีกษัตริย์

                          ประเทศราชตามเสด็จ ข้าแต่พระโคดม ขอพระองค์ทรง

                          เป็นพระราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นจอมมนุษย์ ครอง

                          ราชสมบัติเถิด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

             [๓๗๗] ดูกรเสลพราหมณ์ เราเป็นพระราชาชั้นเยี่ยมเป็นพระธรรม

                          ราชา เรายังจักรที่ใครๆ พึงให้เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไป

                          โดยธรรม ฯ

             เสลพราหมณ์กราบทูลว่า

                          พระองค์ทรงปฏิญาณว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นพระธรรม

                          ราชาชั้นเยี่ยม ข้าแต่พระโคดม พระองค์ตรัสว่า จะยังจักร

                          ให้เป็นไปโดยธรรม ใครหนอเป็นสาวกเสนาบดีของพระองค์

                          ผู้ประพฤติตามพระศาสดา ใครจะยังธรรมจักรที่พระองค์ให้

                          เป็นไปแล้วนี้ ให้เป็นไปตาม ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเสลพราหมณ์

                          สารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต จะยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่เรา

                          ให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตาม ดูกรพราหมณ์ ธรรมที่

                          ควรรู้ยิ่ง เราได้รู้ยิ่งแล้ว ธรรมที่ควรให้เจริญ เราได้ให้

                          เจริญแล้วและธรรมที่ควรละ เราละได้แล้ว เพราะเหตุนั้น

                          เราจึงเป็นพระพุทธะ ดูกรพราหมณ์ ท่านจงขจัดความสงสัย

                          ในเราเสีย จงน้อมใจเชื่อ การได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธะ

                          ทั้งหลายเนืองๆ เป็นกิจที่ได้โดยยาก ความปรากฏเนืองๆ

                          แห่งพระสัมมาสัมพุทธะพระองค์ใดแล หาได้ยากในโลก เรา

                          เป็นพระสัมพุทธะองค์นั้น ผู้เป็นศัลยแพทย์ชั้นเยี่ยม เราเป็น

                          ผู้ประเสริฐไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารแลเสนามารเสียได้ ทำปัจจา-

                          มิตรทั้งหมดไว้ในอำนาจไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ บันเทิงอยู่ ฯ

             เสลพราหมณ์กล่าวว่า

                          ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงฟังคำนี้ที่พระผู้มีพระภาคมหาวีรบุรุษ

                          ผู้มีจักษุ ผู้เป็นศัลยแพทย์ตรัสอยู่ ดังสีหะบันลืออยู่ในป่า

                          ฉะนั้น ถึงแม้พระองค์จะเป็นผู้เกิดในสกุลต่ำทราม (ก็ตามที)

                          ใครๆ ได้เห็นพระองค์ผู้ประเสริฐไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารและ

                          เสนามารเสียได้ จะไม่พึงเลื่อมใส (ไม่มีเลย) ผู้ใดปรารถนา

                          ก็จงตามเรามา หรือผู้ใดไม่ปรารถนาก็จงไปเถิด เราจักบวช

                          ในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธะผู้มีปัญญาอันประเสริฐนี้ ถ้า

                          ท่านผู้เจริญชอบใจคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธะ อย่างนี้

                          ไซร้ แม้พวกเราก็จักบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธะ

                          ผู้มีพระปัญญาอันประเสริฐ ฯ

                          พราหมณ์ทั้ง ๓๐๐ เหล่านี้ ได้ประนมอัญชลีทูลขอว่า ข้าแต่

                          พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประพฤติพรหม-

                          จรรย์ในสำนักของพระองค์ ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรเสลพราหมณ์

                          พรหมจรรย์เรากล่าวดีแล้ว ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่

                          ประกอบด้วยกาล เป็นที่ออกบวชอันไม่เปล่าประโยชน์  ของ

                          บุคคลผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่ ฯ

             [๓๗๘] เสลพราหมณ์พร้อมกับบริษัทได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของ

พระผู้มีพระภาค ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไป เกณิยชฎิล สั่งให้ตกแต่ง

ขาทนียะโภชนียาหารอันประณีตไว้ในอาศรมของตน เสร็จแล้วให้กราบทูลภัตกาล

แด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตเสร็จแล้ว ลำดับ

นั้น เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไป

ยังอาศรมของเกณิยชฎิล ครั้นแล้ว ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาปูลาดถวาย

พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ลำดับนั้นเกณิยชฎิล อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น

ประมุข ให้อิ่มหนำสำราญด้วยขาทนียะโภชนียาหารอันประณีต ด้วยมือของตน

เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ ชักพระหัตถ์จากบาตรแล้ว เกณิยชฎิลถืออาสนะ

ต่ำแห่งหนึ่ง นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาแก่

เกณิยชฎิลด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า

                          ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นประมุข ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตติ

                          ฉันท์เป็นประมุข พระราชาเป็นประมุขของมนุษย์ทั้งหลาย

                          สมุทรสาครเป็นประมุขของแม่น้ำทั้งหลาย พระจันทร์เป็นประมุข

                          ของดาวนักษัตร์ทั้งหลาย พระอาทิตย์เป็นประมุขของความร้อน

                          ทั้งหลาย พระสงฆ์แล เป็นประมุขของบุคคลทั้งหลายผู้มุ่งบุญ บูชาอยู่ ฯ

             [๓๗๙] ครั้น พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาแก่เกณิยชฎิลด้วยพระคาถา

เหล่านี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป ลำดับนั้นแล ท่านพระเสละพร้อมด้วย

บริษัท หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่

นานนักก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออก

บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่น

เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระเสละพร้อมด้วยบริษัท ได้เป็นพระอรหันต์

องค์หนึ่งๆ ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท่านพระเสละ พร้อม

ทั้งบริษัทได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ห่มจีวรเฉวียงบ่า

ข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระ

ภาคด้วยคาถาว่า

                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ ข้าพระองค์ทั้งหลายถึง

                          สรณะในวันที่ ๘ แต่วันนี้ไป เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์

                          ทั้งหลาย ฝึกฝนตนอยู่ในศาสนาของพระองค์ ๗ ราตรี พระ-

                          องค์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดา เป็นมุนีครอบงำมาร ทรง

                          ตัดอนุสัยแล้ว เป็นผู้ข้ามได้เองแล้ว ทรงช่วยเหลือหมู่สัตว์นี้ให้

                          ข้ามได้ พระองค์ทรงก้าวล่วงอุปธิได้แล้ว ทรงทำลายอาสวะ

                          ทั้งหลายแล้ว ไม่ทรงถือมั่น ทรงละความกลัวและความ

                          ขลาดได้แล้ว ดังสีหะ ภิกษุ ๓๐๐ รูปนี้ยืนประนมอัญชลีอยู่

                          ข้าแต่พระวีรเจ้า ขอพระองค์ทรงเหยียดพระบาทยุคลเถิด

                          ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย จงถวายบังคมพระบาทยุคลของ-

                          พระศาสดา ฯ

ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ  เสลสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ  สุตตนิบาต  ๓. มหาวรรค

เรื่อง "วิเคราะห์ สภิยสูตรความหมายของการเป็นภิกษุ สมณะ พราหมณ์

วิเคราะห์ สภิยสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๓. มหาวรรค

บทนำ

สภิยสูตร เป็นสูตรที่มีความสำคัญในพระสุตตันตปิฎก ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๓ มหาวรรค สภิยสูตรบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสนทนาธรรมระหว่างพระพุทธเจ้ากับสภิยปริพาชก ผู้ซึ่งมีข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมะและแสวงหาผู้สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะได้อย่างสมบูรณ์ การสนทนานี้มีเนื้อหาเชิงปรัชญาและศาสนาที่ลึกซึ้ง อีกทั้งยังสะท้อนถึงความแตกต่างระหว่างคำสอนของพระพุทธศาสนากับคำสอนของเจ้าลัทธิอื่นในยุคนั้น บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาและประเด็นสำคัญในสภิยสูตร รวมถึงการตีความเชิงปรัชญาและศาสนา


โครงเรื่องและเนื้อหาในสภิยสูตร

เนื้อหาในสภิยสูตรเริ่มต้นด้วยการบรรยายถึงสภิยปริพาชก ผู้ซึ่งมีความสงสัยในธรรมะและต้องการคำตอบเกี่ยวกับความหมายของการเป็นภิกษุ สมณะ พราหมณ์ และสถานะต่าง ๆ ในทางธรรมะ โดยเขาได้รับคำแนะนำจากเทวดาผู้เป็นสาโลหิตเก่าให้แสวงหาผู้ที่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ สภิยปริพาชกจึงเดินทางไปพบสมณพราหมณ์ในลัทธิต่าง ๆ ได้แก่ ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ สญชัยเวฬัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร แต่ไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามของเขาได้

เมื่อสภิยปริพาชกได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระวิหารเวฬุวัน ใกล้พระนครราชคฤห์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบคำถามของเขาด้วยคำสอนที่ลึกซึ้ง ครอบคลุมถึงความหมายของการเป็นภิกษุ สมณะ พราหมณ์ ผู้ทรงพระสูตร และมุนี ตลอดจนแนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา


ประเด็นสำคัญในสภิยสูตร

  1. การตั้งคำถามและการแสวงหาคำตอบ ​สภิยปริพาชกมีความตั้งใจแสวงหาความจริงและความกระจ่างในธรรมะ ซึ่งสะท้อนถึงคุณสมบัติของผู้แสวงหาปัญญาอย่างแท้จริง การตั้งคำถามที่ตรงประเด็นและลึกซึ้งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเรียนรู้และการปฏิบัติธรรม

  2. ความแตกต่างระหว่างพระพุทธเจ้าและเจ้าลัทธิอื่น ​จากเนื้อหาในสูตร เจ้าลัทธิอื่นแสดงความโกรธและไม่พอใจเมื่อไม่สามารถตอบคำถามของสภิยปริพาชกได้ ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมด้วยความเมตตาและปัญญา ความแตกต่างนี้สะท้อนถึงคุณลักษณะพิเศษของพระพุทธเจ้าในฐานะศาสดาผู้รู้แจ้ง

  3. การนิยามสถานะทางธรรมะ ​พระพุทธเจ้าทรงนิยามสถานะต่าง ๆ ในทางธรรมะ เช่น ภิกษุ สมณะ พราหมณ์ ผู้รู้ และมุนี โดยเน้นถึงคุณธรรมและการปฏิบัติที่เป็นแก่นแท้ ไม่ใช่เพียงตำแหน่งหรือชื่อเรียกตามประเพณี

  4. การพิจารณาคุณธรรมภายใน ​คำตอบของพระพุทธเจ้าแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพิจารณาธรรมภายใน เช่น การละกิเลส ความสงบ ความเพียร และการบรรลุธรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา


การตีความเชิงปรัชญาและศาสนา

  1. การละอัตตาและการบรรลุธรรม ​สภิยสูตรเน้นย้ำถึงการละอัตตาและการดับกิเลสเป็นหนทางสู่การบรรลุธรรม พระพุทธเจ้าแสดงให้เห็นว่าการเป็น "ผู้รู้" หรือ "มุนี" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุหรือประสบการณ์ แต่ขึ้นอยู่กับการละกิเลสและความยึดมั่นในตนเอง

  2. ความเป็นสากลของธรรมะ ​คำตอบของพระพุทธเจ้าแสดงถึงความเป็นสากลของธรรมะที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับบุคคลผู้บรรลุธรรม ผู้มีจรณะ หรือผู้ทรงพระสูตร ล้วนชี้ให้เห็นถึงหลักการที่ไม่ขึ้นกับวัฒนธรรมเฉพาะ

  3. กระบวนการเรียนรู้ในพระพุทธศาสนา ​กระบวนการตั้งคำถาม การฟัง และการพิจารณาธรรม เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ในพระพุทธศาสนา สภิยสูตรแสดงถึงกระบวนการนี้อย่างชัดเจน โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของปัญญาและการวิจัยธรรม


บทสรุป

สภิยสูตรเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงถึงพระปัญญาคุณและพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังสะท้อนถึงหลักธรรมและกระบวนการแสวงหาความจริงในพระพุทธศาสนา บทเรียนสำคัญจากสูตรนี้คือการตระหนักถึงความสำคัญของการพิจารณาธรรมด้วยปัญญา การละกิเลส และการปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่อบรรลุความสงบสุขและการหลุดพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง เรื่อง "วิเคราะห์   สภิยสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๓. มหาวรรค  ที่ประกอบด้วย 

 สภิยสูตรที่ ๖

             [๓๖๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทก

นิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล เทวดาผู้เป็นสาโลหิตเก่าของ

สภิยปริพาชก ได้แสดงปัญหาขึ้นว่า ดูกรสภิยะ สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใด ท่าน

ถามปัญหาเหล่านี้แล้วย่อมพยากรณ์ได้ ท่านพึงประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของ

สมณะหรือพราหมณ์ผู้นั้นเถิด ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชกเรียนปัญหาในสำนัก

ของเทวดานั้นแล เข้าไปหาสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณา-

*จารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ

ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ สญชัยเวฬัฏฐ-

*บุตร นิครนถ์นาฏบุตร แล้วจึงถามปัญหาเหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นอัน

สภิยปริพาชกถามปัญหาแล้ว แก้ไม่ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ ย่อมแสดงความโกรธ

ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ ทั้งยังกลับถามสภิยปริพาชกอีก ครั้ง

นั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า ท่านสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้า

คณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่อง

ว่าดี คือ ปูรณกัสสป ฯลฯ นิครนถ์นาฏบุตร ถูกเราถามปัญหาแล้ว แก้ไม่

ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ ย่อมแสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้

ปรากฏ ทั้งยังกลับถามเราในปัญหาเหล่านี้อีก ถ้ากระไร เราพึงละเพศกลับมา

บริโภคกามอีกเถิด ครั้งนั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า พระสมณโคดมนี้แล

เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชน

ส่วนมากยกย่องว่าดี ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมแล้วทูลถามปัญหา

เหล่านี้เถิด ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า ท่านสมณพราหมณ์

ทั้งหลายเป็นผู้เก่าแก่ เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ เป็นผู้เฒ่า รู้ราตรี

นาน บวชมานาน เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ

เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ ปูรณกัสสป ฯลฯ นิครนถ์นาฏบุตร

ท่านสมณพราหมณ์แม้เหล่านั้นถูกเราถามปัญหาแล้วแก้ไม่ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ ย่อม

แสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ ทั้งยังกลับถาม

เราในปัญหาเหล่านี้อีก ส่วนพระสมณโคดมถูกเราทูลถามแล้วจักทรงพยากรณ์

ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะพระสมณโคดมยังเป็นหนุ่มโดยพระชาติ ทั้งยัง

เป็นผู้ใหม่โดยบรรพชา ลำดับนั้น สภิยปริพาชกมีความดำริว่า พระสมณโคดมเรา

ไม่ควรดูหมิ่นดูแคลนว่า ยังเป็นหนุ่ม ถึงหากว่าพระสมณโคดมจะยังเป็นหนุ่ม

แต่ท่านก็เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม

แล้วทูลถามปัญหาเหล่านี้เถิด ลำดับนั้น สภิยปริพาชกได้หลีกจาริกไปทางพระนคร

ราชคฤห์ เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังพระวิหาร

เวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้นแล้วปราศรัยกับพระผู้มี

พระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

             [๓๖๕] ข้าพระองค์ผู้มีความสงสัย มีความเคลือบแคลง มาหวังจะ

                          ทูลถามปัญหา พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามปัญหาแล้ว ขอ

                          จงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ตามลำดับปัญหา ให้สมควรแก่

                          ธรรมเถิด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

                          ดูกรสภิยะ ท่านมาแต่ไกล หวังจะถามปัญหา เราอันท่านถาม

                          ปัญหาแล้ว จะกระทำที่สุดแห่งปัญหาเหล่านั้น จะพยากรณ์

                          แก่ท่านตามลำดับปัญหา ให้สมควรแก่ธรรม ดูกรสภิยะ

                          ท่านปรารถนาปัญหาข้อใดข้อหนึ่งในใจ ก็เชิญถามเราเถิด

                          เราจะกระทำที่สุดเฉพาะปัญหานั้นๆ แก่ท่าน ฯ

             [๓๖๖] ลำดับนั้น สภิยปริพาชกดำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมี

มาเลยหนอ เราไม่ได้แม้เพียงให้โอกาสในสมณพราหมณ์เหล่าอื่นเลย พระสมณ-

*โคดมได้ทรงให้โอกาสนี้แก่เราแล้ว สภิยปริพาชกมีใจชื่นชม เบิกบาน เฟื่องฟู

เกิดปีติโสมนัส ได้กราบทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคว่า

                          บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไรว่าเป็นภิกษุ กล่าวบุคคลว่าผู้

                          สงบเสงี่ยมด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลว่าผู้ฝึกตนแล้ว

                          อย่างไรและอย่างไรบัณฑิตจึงกล่าวบุคคลว่า ผู้รู้ ข้าแต่พระผู้

                          มีพระภาค พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัส

                          พยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ

                          ผู้ใดถึงความดับกิเลสด้วยมรรคที่ตนอบรมแล้ว ข้ามความ

                          สงสัยเสียได้ ละความไม่เป็นและความเป็นได้เด็ดขาด อยู่จบ

                          พรหมจรรย์ มีภพใหม่สิ้นแล้ว ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าเป็นภิกษุ

                          ผู้ใดวางเฉยในอารมณ์มีรูปเป็นต้นทั้งหมด มีสติ ไม่เบียด

                          เบียนสัตว์ในโลกทั้งปวง ข้ามโอฆะได้แล้ว เป็นผู้สงบ ไม่

                          ขุ่นมัว ไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้น ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้สงบ

                          เสงี่ยม ผู้ใดอบรมอินทรีย์แล้ว แทงตลอดโลกนี้และโลก

                          อื่น ทั้งภายในทั้งภายนอกในโลกทั้งปวง รอเวลาสิ้นชีวิตอยู่

                          อบรมตนแล้ว ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้ฝึกตนแล้ว ผู้พิจารณา

                          สงสารทั้งสองอย่าง คือ จุติและอุปบัติ ตลอดกัปทั้งสิ้น

                          แล้ว ปราศจากธุลี ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ผู้หมดจด ถึง

                          ความสิ้นไปแห่งชาติ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้รู้ ฯ

             [๓๖๗] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มี

พระภาคแล้ว มีใจชื่นชม เบิกบาน เฟื่องฟู เกิดปีติโสมนัส ได้ทูลถามปัญหา

ข้อต่อไปกะพระผู้มีพระภาคว่า

                          บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไรว่าเป็นพราหมณ์ กล่าวบุคคลว่า

                          เป็นสมณะ ด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลผู้ล้างบาปอย่างไร

                          และอย่างไรบัณฑิตจึงกล่าวบุคคลว่า เป็นนาค (ผู้ประเสริฐ)

                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว

                          ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า

                          ผู้ใดลอยบาปทั้งหมดแล้ว เป็นผู้ปราศจากมลทิน มีจิตตั้งมั่นดี

                          ดำรงตนมั่น ก้าวล่วงสงสารได้แล้ว เป็นผู้สำเร็จกิจ (เป็น

                          ผู้บริบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น) ผู้นั้นอันตัณหาและทิฐิไม่

                          อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดมี

                          กิเลสสงบแล้ว ละบุญและบาปได้แล้ว ปราศจากกิเลสธุลี

                          รู้โลกนี้และโลกหน้าแล้ว ล่วงชาติและมรณะได้ ผู้คงที่ เห็น

                          ปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็นสมณะ ผู้ใดล้างบาป ได้หมดใน

                          โลกทั้งปวง คือ อายตนะภายในและภายนอกแล้ว ย่อม

                          ไม่มาสู่กัปในเทวดาและมนุษย์ผู้สมควร ผู้นั้นบัณฑิตกล่าว

                          ว่าผู้ล้างบาป ผู้ใดไม่กระทำบาปอะไรๆ ในโลก สลัดออก

                          ซึ่งธรรมเป็นเครื่องประกอบและเครื่องผูกได้หมด ไม่ข้องอยู่

                          ในธรรมเป็นเครื่องข้องมีขันธ์เป็นต้นทั้งปวง หลุดพ้นเด็ดขาด

                          ผู้คงที่ เห็นปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็นนาค ฯ

             [๓๖๘] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไป

กะพระผู้มีพระภาคว่า

                          ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวใครว่าผู้ชนะเขต กล่าวบุคคลว่าเป็นผู้

                          ฉลาดด้วยอาการอย่างไร อย่างไรจึงกล่าวบุคคลว่าเป็นบัณฑิต

                          และกล่าวบุคคลชื่อว่าเป็นมุนีด้วยอาการอย่างไร ข้าแต่พระผู้มี

                          พระภาค พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้วขอจงตรัส

                          พยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ

                          ผู้ใดพิจารณา (อายตนะหรือกรรม) เขตทั้งสิ้น คือ เขตที่

                          เป็นของทิพย์ เขตของมนุษย์และเขตของพรหมแล้ว เป็นผู้

                          หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งเขตทั้งหมด ผู้คงที่

                          เห็นปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นผู้ชนะเขต ผู้

                          ใดพิจารณากระเปาะฟอง (กรรม) ทั้งสิ้น คือ กระเปาะฟอง

                          ที่เป็นของทิพย์ กระเปาะฟองของมนุษย์ และกระเปาะฟอง

                          ของพรหมแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้า

                          แห่งกระเปาะฟองทั้งหมด ผู้คงที่ เห็นปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้

                          ทั้งหลายกล่าวว่า เป็นผู้ฉลาด ผู้ใดพิจารณาอายตนะทั้งสอง

                          คือ อายตนะภายในและภายนอกแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอัน

                          บริสุทธิ์ ก้าวล่วงธรรมดำและธรรมขาวได้แล้ว ผู้คงที่ เห็น

                          ปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นบัณฑิต ผู้ใดรู้

                          ธรรมของอสัตบุรุษและของสัตบุรุษในโลกทั้งปวง คือ ใน

                          ภายในและภายนอก แล้วดำรงอยู่ ผู้นั้นอันเทวดาและมนุษย์

                          บูชา ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและข่าย คือ ตัณหาและทิฐิ

                          แล้ว ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นมุนี ฯ

             [๓๖๙] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไปกะ

พระผู้มีพระภาคว่า

                          บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไร ว่าผู้ถึงเวท กล่าวบุคคลว่าผู้รู้

                          ตามด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลผู้มีความเพียร ด้วยอาการ

                          อย่างไร และบุคคลบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้ชื่อว่าอาชาไนยด้วย

                          อาการอย่างไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์อันข้าพระองค์

                          ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ

                          ผู้ใดพิจารณาเวททั้งสิ้น อันเป็นของมีอยู่แห่งสมณะและ

                          พราหมณ์ทั้งหลาย ปราศจากความกำหนัดในเวทนาทั้งปวง

                          ผู้นั้นล่วงเวททั้งหมดแล้ว บัณฑิตกล่าวว่าผู้ถึงเวท ผู้ใด

                          ใคร่ครวญธรรมอันเป็นเครื่องทำให้เนิ่นช้า และนามรูปอันเป็น

                          รากเหง้าแห่งโรค ทั้งภายในทั้งภายนอกแล้ว เป็นผู้หลุดพ้น

                          จากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งโรคทั้งปวง ผู้คงที่ เห็นปาน

                          นั้น ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้รู้ตาม ผู้ใดงดเว้นจากบาปทั้งหมด

                          ล่วงความทุกข์ในนรกได้แล้ว ดำรงอยู่ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า

                          ผู้มีความเพียร ผู้นั้นมีความแกล้วกล้า มีความเพียร ผู้คงที่

                          เห็นปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่าเป็นนักปราชญ์ ผู้ใดตัดเครื่องผูก

                          อันเป็นรากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งภายในทั้งภายนอก

                          ได้แล้ว หลุดพ้นแล้วจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งธรรม

                          เป็นเครื่องข้องทั้งปวง ผู้คงที่ เห็นปานนั้น ผู้นั้นบัณฑิตกล่าว

                          ว่าเป็นผู้ชื่อว่าอาชาไนย

             [๓๗๐] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไปกะ

พระผู้มีพระภาคว่า

                          บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไร ว่าผู้ทรงพระสูตร กล่าว

                          บุคคลว่าเป็นอริยะด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลว่าผู้มีจรณะ

                          ด้วยอาการอย่างไร และบุคคลบัณฑิตกล่าวว่าเป็นผู้ชื่อว่า

                          ปริพาชกด้วยอาการอย่างไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์

                          อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์

                          เถิด ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า ดูกรสภิยะ

                          บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้ฟังแล้ว รู้ยิ่งธรรมทั้งมวล ครอบงำธรรม

                          ที่มีโทษและไม่มีโทษอะไรๆ อันมีอยู่ในโลกเสียได้ ไม่มี

                          ความสงสัย หลุดพ้นแล้ว ไม่มีทุกข์ในธรรมมีขันธ์และ

                          อายตนะเป็นต้นทั้งปวง ว่าผู้ทรงพระสูตร บุคคลนั้นรู้แล้ว

                          ตัดอาลัย (และ) อาสวะได้แล้ว ย่อมไม่เข้าถึงการนอนใน

                          ครรภ์ บรรเทาสัญญา ๓ อย่าง และเปือกตม คือ กามคุณแล้ว

                          ย่อมไม่มาสู่กัป บัณฑิตกล่าวว่าเป็นอริยะ ผู้ใดในศาสนานี้

                          เป็นผู้บรรลุธรรมที่ควรบรรลุเพราะจรณะ เป็นผู้ฉลาด รู้

                          ธรรมได้ในกาลทุกเมื่อ ไม่ข้องอยู่ในธรรมมีขันธ์เป็นต้น

                          ทั้งปวง มีจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่มีปฏิฆะ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า

                          ผู้มีจรณะ ผู้ใดขับไล่กรรมอันมีทุกข์เป็นผล ซึ่งมีอยู่ ทั้งที่

                          เป็นอดีต อนาคต และเป็นปัจจุบันได้แล้ว มีปรกติกำหนด

                          ด้วยปัญญาเที่ยวไป กระทำมายากับทั้งมานะ ความโลภ

                          ความโกรธ และนามรูปให้มีที่สุดได้แล้ว ผู้นั้นบัณฑิตกล่าว

                          ว่าปริพาชก ผู้บรรลุธรรมที่ควรบรรลุ ฯ

             [๓๗๑] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของ

พระผู้มีพระภาคแล้ว มีใจชื่นชม เฟื่องฟู เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส ลุกจาก

อาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้วประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มี-

*พระภาคประทับอยู่ ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาอันสมควรในที่เฉพาะ

พระพักตร์ว่า

                          ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้มีพระปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน

                          พระองค์ทรงกำจัดทิฐิ ๓ และทิฐิ ๖๐ ที่อาศัยคัมภีร์อันเป็น

                          วาทะเป็นประธานของสมณะผู้มีลัทธิอื่น ที่อาศัยอักขระคือ

                          ความหมายรู้กัน (ว่าหญิงว่าชาย) และสัญญาอันวิปริต

                          (ซึ่งเป็นที่ยึดถือ) ทรงก้าวล่วงความมืด คือ โอฆะได้แล้ว

                          พระองค์เป็นผู้ถึงที่สุด ถึงฝั่งแห่งทุกข์ เป็นพระอรหันต์

                          (ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ) ทรงสำคัญพระองค์ว่าผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว

                          มีความรุ่งเรือง มีความรู้ มีพระปัญญามาก ทรงช่วยข้าพระองค์

                          ผู้กระทำที่สุดทุกข์ให้ข้ามได้แล้ว เพราะพระองค์ได้ทรง

                          ทราบข้อที่ข้าพระองค์สงสัยแล้ว ทรงช่วยให้ข้าพระองค์

                          ข้ามพ้นความสงสัย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ผู้ทรงบรรลุ

                          ธรรมที่ควรบรรลุในทางแห่งมุนี ผู้ไม่มีกิเลสดุจหลักตอ

                          ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์

                          พระองค์เป็นผู้สงบดีแล้ว พระองค์ผู้มีพระจักษุ ทรงพยากรณ์

                          ความสงสัยของข้าพระองค์ที่ได้มีแล้วในกาลก่อนแก่ข้าพระองค์

                          พระองค์เป็นมุนีผู้ตรัสรู้เองแน่แท้ พระองค์ไม่มีนิวรณ์ อนึ่ง

                          อุปายาสทั้งหมด พระองค์ทรงกำจัดเสียแล้ว ถอนขึ้นได้แล้ว

                          พระองค์เป็นผู้เยือกเย็น เป็นผู้ถึงการฝึกตน มีพระปัญญา

                          เครื่องทรงจำ มีความบากบั่นเป็นนิตย์ในสัจจะ เทวดาทั้งปวง

                          ทั้งสองพวก (คือ อากาสัฏฐเทวดา และภุมมัฏฐเทวดา)

                          ที่อาศัยอยู่ในนารทบรรพต ย่อมชื่นชมต่อพระองค์ผู้ประเสริฐยิ่ง

                          ผู้มีความเพียรใหญ่ ผู้แสดงธรรมเทศนา ข้าแต่พระองค์

                          ผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์

                          ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษอันสูงสุด ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่

                          พระองค์ บุคคลผู้เปรียบเสมอพระองค์ ไม่มีในโลก

                          พร้อมทั้งเทวโลก  พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระศาสดา

                          เป็นมุนีผู้ครอบงำมาร พระองค์ทรงตัดอนุสัย ข้ามโอฆะได้

                          เองแล้ว ทรงช่วยให้หมู่สัตว์นี้ข้ามได้ด้วย  พระองค์ทรง

                          ก้าวล่วงอุปธิ ทำลายอาสวะได้แล้ว พระองค์เป็นดังสีหะ

                          ไม่มีอุปาทาน ทรงละความกลัวและความขลาดได้แล้ว

                          ไม่ทรงติดอยู่ในบุญและบาปทั้งสองอย่าง เปรียบเหมือน

                          ดอกบัวขาบที่งามไม่ติดอยู่ในน้ำฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้มี

                          ความเพียร ขอเชิญพระองค์โปรดเหยียบพระบาทออกมาเถิด

                          สภิยะจะขอถวายบังคมพระบาทของพระศาสดา ฯ

             [๓๗๒] ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชก หมอบลงแทบพระบาทของ

พระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์

แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของ

ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า

ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาค กับทั้ง

พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระองค์

พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด ฯ

             พ. ดูกรสภิยะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์มาก่อน หวังบรรพชาหวัง

อุปสมบทในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน เมื่อล่วง ๔ เดือนไปแล้ว

ภิกษุทั้งหลายพอใจ จึงยังผู้นั้นผู้อยู่ปริวาสแล้ว ให้บรรพชาอุปสมบทเพื่อความ

เป็นภิกษุ ก็แต่ว่าเรารู้ความต่างแห่งบุคคลในข้อนี้ ฯ

             ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าผู้ที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์มาก่อน หวัง

บรรพชา หวังอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน เมื่อล่วง ๔ เดือน

ภิกษุทั้งหลายพอใจ จึงยังผู้นั้นผู้อยู่ปริวาสแล้วให้บรรพชาอุปสมบทเพื่อความเป็น

ภิกษุไซร้ ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาส ๔ ปี เมื่อล่วง ๔ ปีแล้ว ภิกษุทั้งหลายพอใจ

ขอจงยังข้าพระองค์ผู้อยู่ปริวาสแล้วให้บรรพชาอุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุเถิด ฯ

             สภิยปริพาชก ได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว

ครั้นท่านสภิยะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท

มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์

อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น

ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์

อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก

ก็ท่านสภิยะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายฉะนี้แล ฯ

ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ  สภิยสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ  สุตตนิบาต  ๓. มหาวรรค

วิเคราะห์มาฆสูตรการถวายทานและการบูชา

วิเคราะห์มาฆสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25: ปริบทพุทธสันติวิธีในหลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ มาฆสูตรเป็นพระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎก เล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต มหาวรรค ที่บรรยายถึงบทสนทนาระหว่างพระผู้มีพระภาคกับมาฆมาณพ ผู้มีความตั้งใจในการสร้างบุญด้วยการถวายทาน และประสงค์ทราบถึงทักขิไณยบุคคลผู้เหมาะสมในการรับทาน ตลอดจนแนวทางบูชาที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ โดยมาฆสูตรนี้สามารถนำมาใช้ในบริบทของพุทธสันติวิธี ซึ่งเป็นหลักธรรมที่เน้นการดำรงชีวิตอย่างสงบสุข และการเจริญภาวนาเพื่อประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเองและสังคม

1. สาระสำคัญของมาฆสูตร

1.1 บทสนทนาและข้อซักถาม มาฆมาณพได้ทูลถามพระพุทธองค์ถึงการถวายทานและการบูชา ว่าจะประสบบุญมากเพียงใด และผู้ใดควรแก่การขอ พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า การถวายทานนั้นควรดำเนินไปอย่างถูกต้อง กล่าวคือ ทายกควรแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม และถวายแก่ทักขิไณยบุคคลผู้มีคุณสมบัติอันสมควร

1.2 คุณลักษณะของทักขิไณยบุคคล พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่าทักขิไณยบุคคล คือผู้ที่ปราศจากกิเลส มีจิตบริสุทธิ์ สำเร็จกิจในพรหมจรรย์ และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่ควรค่าแก่การถวายทาน เพราะเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในธรรมและช่วยนำพาสันติสุขให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

1.3 แนวทางการบูชาและการแผ่เมตตา มาฆสูตรยังเน้นความสำคัญของการบูชาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงการให้วัตถุทานเท่านั้น แต่รวมถึงการทำจิตให้ผ่องใส ปราศจากโทสะ และการแผ่เมตตาจิตไปทั่วทิศ การปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยลดอวิชชาและความทุกข์ในจิตใจ พร้อมทั้งส่งเสริมความสุขอันยั่งยืน

2. พุทธสันติวิธีในมาฆสูตร

2.1 หลักธรรมที่เกี่ยวข้อง มาฆสูตรสะท้อนหลักธรรมสำคัญในพุทธศาสนา ได้แก่

  • ทานบารมี: การให้ทานด้วยจิตบริสุทธิ์ โดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นการสร้างความสงบสุขในสังคม

  • ศีลบารมี: การดำรงชีวิตอย่างมีศีลธรรม ช่วยลดการเบียดเบียนกันในสังคม

  • เมตตาภาวนา: การแผ่เมตตาและความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เป็นหนทางในการสร้างสันติสุขทั้งในระดับบุคคลและสังคม

2.2 การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

  • การถวายทานและการทำบุญ: บุคคลควรพิจารณาผู้รับทานอย่างเหมาะสม ให้แก่ผู้ที่นำทรัพย์ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น การสนับสนุนพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือองค์กรที่มีเป้าหมายเพื่อสาธารณประโยชน์

  • การแผ่เมตตาและลดอัตตา: การฝึกเจริญเมตตาภาวนาในชีวิตประจำวันช่วยลดความขัดแย้งในสังคมและส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกัน

  • การพัฒนาตนเองสู่ความสงบภายใน: การปฏิบัติธรรมและฝึกสมาธิเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุความสงบสุข และช่วยขจัดกิเลสที่เป็นรากเหง้าของความทุกข์

3. บทสรุปและข้อเสนอแนะ มาฆสูตรไม่เพียงเป็นพระสูตรที่แสดงหลักการของการให้ทานและการบูชา แต่ยังสะท้อนถึงแนวทางการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับพุทธสันติวิธี โดยมุ่งเน้นการสร้างความสงบสุขทั้งในระดับบุคคลและสังคม การปฏิบัติตามแนวทางในมาฆสูตรนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้หลากหลายมิติ เช่น การส่งเสริมคุณธรรมในชุมชน การพัฒนาจิตใจให้พ้นจากความทุกข์ และการแสวงหาสันติสุขอย่างยั่งยืน

ดังนั้น การศึกษามาฆสูตรอย่างลึกซึ้งและนำมาปฏิบัติจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา และสร้างประโยชน์สุขให้เกิดแก่ตนเองและผู้อื่น อันเป็นหนทางสู่สังคมที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและกรุณา.

เรื่อง "วิเคราะห์  มาฆสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๓. มหาวรรค  ที่ประกอบด้วย 

 มาฆสูตรที่ ๕

             [๓๖๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์

ครั้งนั้นแล มาฆมาณพเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มี

พระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ข้าพระองค์เป็น

ทายก เป็นทานบดี ผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอควรแก่การขอ ย่อมแสวงหา

โภคทรัพย์โดยธรรม ครั้นแสวงหาได้แล้ว ย่อมนำโภคทรัพย์ที่ตนได้มาโดยธรรม

ถวายแก่ปฏิคาหก ๑ องค์บ้าง ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้าง ๔ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง

๖ องค์บ้าง ๗ องค์บ้าง ๘ องค์บ้าง ๙ องค์บ้าง ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง

๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๑๐๐ องค์บ้าง ยิ่งกว่านั้นบ้าง ข้าแต่

พระโคดมผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ถวายทานอย่างนี้ บูชาอย่างนี้ จะประสบบุญ

มากแลหรือ ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมาณพ เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น บูชาอยู่

อย่างนั้น ย่อมประสบบุญมากแท้ ดูกรมาณพ ผู้ใดแล เป็นทายก เป็นทานบดี

รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ควรแก่การขอ ย่อมแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม ครั้น

แสวงหาได้แล้ว ย่อมนำโภคทรัพย์ที่ตนได้มาโดยธรรม ถวายแก่ปฏิคาหก ๑ องค์

บ้าง ฯลฯ ๑๐๐ องค์บ้าง ยิ่งกว่านั้นบ้าง ผู้นั้นย่อมประสบบุญมาก ฯ

             ครั้งนั้นแล มาฆมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

             [๓๖๒] ข้าพระองค์ขอถามพระโคดมผู้ทรงรู้ถ้อยคำ ผู้ทรงผ้ากาสายะ

                          ไม่ยึดถืออะไรเที่ยวไป ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอ เป็น

                          ทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำ บูชาแก่

                          ชนเหล่าอื่นในโลกนี้ การบูชาของผู้บูชาอยู่อย่างนี้ จะพึง

                          บริสุทธิ์ได้อย่างไร ฯ

             พ. (ดูกรมาฆมาณพ) ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอ เป็น

                          ทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำบูชาแก่ชน

                          เหล่าอื่นในโลกนี้ ผู้เช่นนั้น พึงให้ทักขิไณยบุคคลยินดีได้ ฯ

             ม. ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอ เป็นทานบดี มีความต้อง-

                          การบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำบูชาแก่ชนเหล่าอื่นในโลกนี้ ข้า

                          แต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงบอกทักขิไณยบุคคล

                          แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ

             พ. ชนเหล่าใดแลไม่เกี่ยวข้อง หาเครื่องกังวลมิได้ สำเร็จกิจ

                          แล้ว มีจิตคุ้มครองแล้ว เที่ยวไปในโลก พราหมณ์ผู้มุ่งบุญ

                          พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใดตัด

                          กิเลสเครื่องผูกพันคือสังโยชน์ได้ทั้งหมด ฝึกตนแล้ว เป็น

                          ผู้พ้นเด็ดขาด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง พราหมณ์ผู้มุ่งบุญ

                          พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใด

                          พ้นเด็ดขาดจากสังโยชน์ทั้งหมด ฝึกตนแล้ว เป็นผู้หลุดพ้น

                          แล้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรม

                          บูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใดละราคะ โทสะ

                          และโมหะได้แล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์

                          พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชน

                          เหล่าใดไม่มีมายา ไม่มีความถือตัว มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบ

                          พรหมจรรย์ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมในชนเหล่านั้นตาม

                          กาล ชนเหล่าใดปราศจากความโลภ ไม่ยึดถืออะไรๆ ว่า

                          เป็นของเรา ไม่มีความหวัง มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหม-

                          จรรย์ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล

                          ชนเหล่าใดแล ไม่น้อมไปในตัณหาทั้งหลาย ข้ามโอฆะได้แล้ว

                          ไม่ยึดถืออะไรๆ ว่าเป็นของเรา เที่ยวไปอยู่ พราหมณ์พึง

                          หลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใดไม่มี

                          ตัณหาเพื่อเกิดในภพใหม่ ในโลกไหนๆ คือ ในโลกนี้

                          หรือในโลกอื่น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่า

                          นั้นตามกาล ชนเหล่าใดละกามทั้งหลายได้แล้ว ไม่ยึดถือ

                          อะไรเที่ยวไป มีตนสำรวมดีแล้ว เหมือนกระสวยที่ตรงไป

                          ฉะนั้น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล

                          ชนเหล่าใดปราศจากความกำหนัด มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว

                          พ้นจากการจับแห่งกิเลส เปล่งปลั่งอยู่ เหมือนพระจันทร์

                          พ้นแล้วจากราหูจับ สว่างไสวอยู่ฉะนั้น พราหมณ์

                          พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใด

                          มีกิเลสสงบแล้ว ปราศจากความกำหนัด เป็นผู้ไม่โกรธ

                          ไม่มีคติ เพราะละขันธ์อันเป็นไปในโลกนี้ได้เด็ดขาด

                          พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชน

                          เหล่าใดละชาติและมรณะไม่มีส่วนเหลือ ล่วงพ้นความสงสัย

                          ได้ทั้งปวง พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้น

                          ตามกาล ชนเหล่าใดมีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีเครื่องกังวล

                          หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง เที่ยวไปอยู่ในโลก พราหมณ์

                          พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใด

                          แล ย่อมรู้ในขันธ์และอายตนะเป็นต้นตามความเป็นจริงว่า

                          ชาตินี้มีในที่สุด ภพใหม่ไม่มี ดังนี้ พราหมณ์พึงหลั่งไทย

                          ธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ชนเหล่าใดเป็นผู้ถึง

                          เวท ยินดีในฌาน มีสติ บรรลุธรรมเครื่องตรัสรู้ดี เป็นที่

                          พึ่งของเทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก พราหมณ์ผู้มุ่งบุญพึง

                          หลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล ฯ

             ม. คำถามของข้าพระองค์ไม่เปล่าประโยชน์แน่นอน ข้าแต่

                          พระผู้มีพระภาค พระองค์ตรัสบอกทักขิไณยบุคคลแก่

                          ข้าพระองค์แล้ว ก็พระองค์ย่อมทรงทราบไญยธรรมนี้ ใน

                          โลกนี้โดยถ่องแท้ จริงอย่างนั้น ธรรมนี้พระองค์ทรงทราบ

                          แจ่มแจ้งแล้ว ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้ควรแก่การขอ เป็น

                          ทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำบูชาแก่ชน

                          เหล่าอื่นในโลกนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ตรัส

                          บอกถึงความพร้อมแห่งยัญแก่ข้าพระองค์ ฯ

             พ. ดูกรมาฆะ เมื่อท่านจะบูชาก็จงบูชาเถิด และจงทำจิตให้ผ่องใส

                          ในกาลทั้งปวง เพราะยัญย่อมเป็นอารมณ์ของบุคคลผู้บูชายัญ

                          บุคคลตั้งมั่นในยัญนี้แล้ว ย่อมละโทสะเสียได้ อนึ่ง บุคคล

                          ผู้นั้น ปราศจากความกำหนัดแล้ว พึงกำจัดโทสะ เจริญ

                          เมตตาจิตอันประมาณมิได้ ไม่ประมาทแล้วเนืองๆ ทั้งกลาง

                          คืนกลางวัน ย่อมแผ่อัปปมัญญาภาวนาไปทั่วทิศ ฯ

             ม. ใครย่อมบริสุทธิ์ ใครย่อมหลุดพ้น และใครยังติดอยู่ บุคคล

                          จะไปพรหมโลกได้ด้วยอะไร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี

                          ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอพระองค์โปรดตรัสบอกแก่

                          ข้าพระองค์ผู้ไม่รู้ ก็พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพรหม ข้าพระองค์

                          ขออ้างเป็นพยานในวันนี้ เพราะพระองค์เป็นผู้เสมอด้วย

                          พรหมของข้าพระองค์จริงๆ (ข้าแต่พระองค์ผู้มีความรุ่งเรือง)

                          บุคคลจะเข้าถึงพรหมโลกได้อย่างไร ฯ

             พ. (ดูกรมาฆะ) ผู้ใดย่อมบูชายัญครบทั้ง ๓ อย่าง ผู้เช่นนั้น

                          พึงให้ทักขิไณยบุคคลทั้งหลายยินดีได้ เราย่อมกล่าวผู้นั้นว่า

                          เป็นผู้ควรแก่การขอ ครั้นบูชาโดยชอบอย่างนั้นแล้ว ย่อมเข้า

                          ถึงพรหมโลก ฯ

             [๓๖๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาฆมาณพได้กราบทูล

พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ

ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็น

ต้นไป ฯ

ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ  มาฆสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ  สุตตนิบาต  ๓. มหาวรรค

เพลง: มนต์รักพุทโธจีพีที

 ເນື້ອເພງ : ດຣສົມພົງສ໌ ທຳນອງ - ຮ້ອງໂດຍ : suno   คลิกฟังเพลงที่นี่ (Verse 1)  เสียงลมพัดผ่าน ท้องฟ้าสงบเย็น เหมือนธรรมะเด่น ชี้ทางใจให้คลายทุ...