วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559



"อภิสิทธิ์"ร่วมงานวันปิยะที่มหาจุฬาฯย้ำทุกพรรคการเมืองหนุนกิจการศาสนา ขอปวารณาตัวหนุนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธโลก

              วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๑๐.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิต (ป.ธ.๙, ศ.,ดร.,ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์, อัคคมหาบัณฑิต) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๒ เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  เป็นประธานและกล่าวสัมโมทนียกถาในพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันปิยมหาราช โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวสัมปสาทนียกถาในฐานะประธานฝ่ายคฤหัสถ์ ณ หอประชุม มวก. ๔๘ พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

              ในการนี้นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการปฏิรูปบ้านเมืองในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาที่ทรงมุ่งให้จัดการศึกษาพัฒนาประชากรของประเทศให้มีความรู้คู่คุณธรรม เพราะหากคนมีเพียงความรู้เพียงอย่างเดียวอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้

              "พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของของการจัดการศึกษาที่ไม่สามารถแยกออกจากศาสนาได้ ดังนั้น การปฏิประเทศในครั้งนี้จะทำอย่างไรถึงจะทำให้การจัดการศึกษาที่ทำให้ประชากรของประเทศมีความรู้คู่คุณธรรมอย่างแท้จริง เพราะเด็กทุกวันนี้มีความสามารถที่จะแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ ได้ง่าย แต่ที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้เขารู้จักกลั่นกรองเอาเฉพาะความรู้ที่เกิดประโยชน์ และจะทำอย่างไรถึงจะมีการนำเอาหลักศาสนาเข้ามาช่วยเสริม" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวและว่า

              สำหรับตนนั้นให้การสนับสนุนกิจการศาสนามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีส่วนผลักดันกฎหมายมหาวิทยาลัยคณะสงฆ์ทั้ง ๒ แห่งตั้งแต่ที่เป็นประธานกรรมาธิการการศึกษาช่วงปี ๒๕๓๘-๓๙ และผ่านการพิจารณาและประกาศใช้ในช่วงของนายกรัฐมนตรีถึง ๓ คนคือนายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดยเฉพาะแก่ประโยชน์ของพระศาสนาเป็นสำคัญไม่คำนึงการเป็นพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น หากคนไทยปัจจุบันนี้ยึดแนวนี้ก็จะสามารถสร้างความปรองดองและความสามัคคีให้เกิดขึ้นได้

              นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้นตนก็ให้การสนับสนุนมาโดยตลอดทั้งด้านกฎหมายและงบประมาณ และคราวนี้ก็ได้มีโอกาสเข้ามาเห็นความก้าวหน้าโดยเฉพาะมีนิสิตที่จบการศึกษาทั้งระดับปริญญาโทและเอกปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนมาก อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทคณะสงฆ์ในการทำประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง  ตนจึงขอปวารณาตัวว่า พร้อมให้การสนับสนุนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาโลก โดยมีแนวทางการเผยแผ่ศาสนาให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุด

...............................
(หมายเหตุ ขอบคุณภาพจาก http://www.watprayoon.com/main.php?url=news_view&id=866&cat=B&table=news )

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559


บุตรพนักงานและลูกจ้าง'กสทช.'เข้าค่ายปฏิบัติธรรมสร้างสันติภาพภายในที่'มจร'

ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ ตุลาคม พ.ศ.2559 บุตรพนักงานและลูกจ้างของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เข้าค่ายอบรมคุณธรรมจริยธรรม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีกิจกรรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นหลัก ซึ่งการปฏิบัติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้นับได้ว่าเป็นการสร้างสันติภาพภายใน และถือว่าเป็นการปฏิบัติบูชา

มจร ได้ส่งเสริมการปฏิบัติบูชา การจัดการเรียนการสอนหลักสูตรต่างๆของ มจร นั้นนอกจากจะมีภาคทฤษฎีแล้วยังจะต้องมีการภาคปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยระดับปริญญาตรี-โทต้องปฏิบัติธรรม ๓๐ วันและระดับปริญญาเอก ๔๕ วัน พร้อมกันนี้ได้เปิดหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐานโดยตรงระดับปริญญาโทซึ่งต้องไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศเมียนมาร์ ๗ เดือน และมีนโยบายเป็นหลักสูตรปริญญาเอกดังรายงานเรื่อง “ทึ่ง!ปฏิบัติธรรมก็เป็นดอกเตอร์ได้”  ซึ่งบริหารงานของศูนย์พุทธวิปัสสนานานาชาติ มจร สร้าง “อาคารวิปัสสนาธุระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร)”  ขึ้นมารองรับ

นอกจากจะมีการจัดการเรียนการสอบตามหลักสูตรแล้วยังได้มีการจัดให้พระนิสิตได้ปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ ช่วงก่อนปิดภาคเรียนทุกช่วงชั้นได้มีประชาชนมีจิตศรัทธาเดินทางไปทำบุญตักบาตรอย่างเช่น “เข็มอัปสร สิริสุขะ”  “พัชราภา ไชยเชื้อ”  พร้อมด้วย “บุษกร วงษ์พัวพัน”  นอกจากนี้ยังได้เปิดโอกาสให้กับประชาชนและพนักงานหน่วยงานทั่วๆไปได้เข้ามาปฏิบัติธรรม อย่างเช่น  “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ได้นำลูกสาว ๓  คนบวชศีลจาริณี

อย่างไรก็ตามปัจจุบันชาวพุทธจะนิยมปฏิบัติธรรมมากขึ้นแต่แนวทางการปฏิบัติยังมีการแยกส่วนเป็นเอกเทศไปตามสำนักต่างๆไม่มีนโยบายบริหารงานที่ชัดเจนดังนั้นจึงมีข้อเสนอตั้ง “แม่กองวิปัสสนากรรมฐาน”  พร้อมกันนี้มีข้อเสนอให้นำหลักการวิปัสสนากรรมฐานบูรณาการรองรับประเทศไทยมีประชากรเข้าสู่ผู้สูงวัยจัดสถานที่ให้สัปปายะรูปแบบรีสอร์ทบริหารแบบโรงแรมและนำวิชาพยาบาลและการเกษตรอินทรีย์เข้ามาประกอบด้วย

'ไพบูลย์ คุ้มฉายา'กราบพระตรวจหมู่บ้านศีล5ขอนแก่น

12ต.ค.2559 เฟซบุ๊ก เปรียญธรรม เก้า ประโยค ได้เผยแพร่ภาพข้อความภารกิจของพลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปตรวจราชการที่วัดชัยศรี บ้านเสียว อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นหมู่บ้านต้นแบบรักษาศีล 5 ของจังหวัดที่รับสนองพระบัญชาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชอย่างแข็งขัน โดยได้กราบและขอคำแนะนำจากเจ้าอาวาสอย่างนอบน้อม

รูปแบบการสื่อสารสันติภาพสร้างความร่วมมือและความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
พระพรหมบัณฑิต เป็นผู้แทนมหาเถรสมาคมเข้าร่วมประชุมพิจารณามาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆในประเทศไทยตามคำสั่ง คสช.มาตรา ๔๔ เรื่อง"มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาในประเทศไทย" ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิต (ป.ธ.๙, ศ.,ดร.,ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์, อัคคมหาบัณฑิต) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๒ เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พร้อมด้วยผู้แทนมหาเถรสมาคมอีก ๒ รูป คือพระพรหมมุนีและพระพรหมโมลี เข้าร่วมประชุมพิจารณามาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆในประเทศไทยตามคำสั่ง คสช.มาตรา ๔๔ เรื่อง"มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาในประเทศไทย" ร่วมกับผู้นำศาสนาอีก ๔ ศาสนาและผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
ที่ประชุมพิจารณาแนวทางยุทธศาสตร์ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ คือ
๑. ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาศาสนา
๒. ส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแผ่หลักธรรมที่ถูกต้อง
๓. อุปถัมภ์ศาสนา
๔. คุ้มครองป้องกันการบ่อนทำลายศาสนา
๕. การสร้างความร่วมมือและความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
๖. การสร้างการรับรู้และความเข้าใจในกิจการศาสนา
พร้อมทั้งกลยุทธ์ วิธีการ กิจกรรม/โครงการ แหล่งงบประมาณ และกลไกผู้รับผิดชอบ ตามยุทธศาสตร์ทั้ง ๖ ข้อเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข่าวจาก MCU TV

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559



หัวหน้าศูนย์ประสานงานสนง.จุฬาราชมนตรีภาคใต้ชี้ควรยุติสร้างมัสยิดหากมีกระแสต้าน


           11ต.ค.2559 ดร.วิสุทธิ์ บินล่าเต๊ะ หัวหน้าศูนย์ประสานงาน สำนักงานจุฬาราชมนตรี ประจำภาคใต้ ได้ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia (ตอนที่ 2 ) กรณีกระแสต่อต้านการสร้างมัสยิดในบางจังหวัดภาคอีสานและภาคเหนือซึ่งมีนายจอม เพชรประดับเป็นผู้ดำเนินรายการ ความว่า รู้สึกกังวลกับกระแสการต่อต้าน เนื่องจากต่อต้านนั้นจะตัดเอาข้อความสั้นไปเผยแพร่ทางสังคมออนไลน์ อาจส่งผลให้เกิดความแตกแยกได้

           "ด้วยเหตุนี้ทางสำนักงานจุฬาราชมนตรีจึงได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นชุดหนึ่งได้ข้อสรุปว่า จะต้องวางยุทธศาสตร์ 3 ระดับคือ 1.การสร้างความรู้ให้กับชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างวัฒนธรรมโดยไม่มองผู้ต่างความเชื่อเป็นศัตรู  โดยการเผยแพร่ความจริงของหลักศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสันติภาพ 2. สร้างความสัมพันธ์ความผู้ต่างความเชื่อให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น และ 3 ณรงค์ทำกิจกรรมร่วมกันฉันท์มิตรอย่างเช่นไปเยี่ยมพระผู้ใหญ่หารือปัญหาต่างๆ"  ดร.วิสุทธิ์  กล่าวและว่า

           พร้อมกันนี้จะเข้าพบคณะกรรมาธิการศาสนา สนช.ในวันที่ 13 ต.ค.นี้เป็นนัดแรกถึงเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามแม้ว่าการสร้างมัสยิดเป็นสิทธิ์ที่กระทำได้ แต่หากมีการต่อต้านก็ไม่จำเป็นต้องสร้าง  ไม่ใช่ว่ามุสลิมจะเดินหน้าที่จะสร้างโดยไม่ฟังเสียงชาวพุทธ

           ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Thaivoicemedia ได้การเผยแพร่คลิปการสัมภาษณ์ผ่านทางยูทูป jom voice และมีการเกาะติดและนำเสนอกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งคลิปครั้งได้พาดหัวข้อความว่า "หน.สำนักจุฬาฯ วอนชาวพุทธอย่ามโน"อิสลาม"ยึดไทย ควรรวมพลังลดความระแวง"


ครม.เห็นชอบแต่งตั้ง"มานัส"ลูกหม้อ"มจร"นั่งอธิบดีกรมการศาสนา 

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วธ.ได้เสนอแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงเพื่อทดแทนตำแหน่งว่างเนื่องจากมีผู้บริหารระดับสูงของ วธ. เกษียณอายุราชการเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งทั้งหมด 4ตำแหน่ง ดังนี้ นายชาย นครชัย ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) แต่งตั้งเป็นรองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายพีรพน พิสณุพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นรองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายมานัส ทารัตน์ใจ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นอธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) และนางสาววิมลลักษณ์ ชูชาติ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.)




วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559


สภาทนายความแจ้งเปลี่ยนแปลงสถานที่สอบข้อเขียนภาคปฏิบัติรุ่นที่45

            11ต.ค.2559 ว่าที่พันตรีสมบัติ วงศ์กำแหง ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า  ตามที่สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กำหนดจัดทดสอบข้อเขียนภาคปฏิบัติ รุ่นที่ 45 และรักษาสถานภาพ ในวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2559 ณ ศูนย์ประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) นั้น  สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอประกาศเปลี่ยนแปลงสถานที่สอบข้อเขียนภาคปฏิบัติ รุ่นที่ 45 และรักษาสถานภาพ  เป็นอาคารกงไกรลาศ (KLB) และอาคารเวียงผา (VPB) มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก) กรุงเทพมหานคร อนึ่ง ผู้เข้ารับการทดสอบภาคปฏิบัติ รุ่นที่ 45 และรักษาสถานภาพ สามารถนำรถยนต์ส่วนตัวไปจอดได้ที่ลานจอดรถของการกีฬาแห่งประเทศไทย (อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก) ตั้งแต่เวลา 09.00-20.00 น.

'ยันตระ'กลับไทยอีกพักที่สำนักป่าสุญญตารามกาญจนบุรี

๑๑ต.ค.๒๕๕๙ เฟซบุ๊ก Sunnataram California Monastery PhraAjahn Yantra Amaro ได้โพสต์ข้อความและภาพความว่า

ขอเชิญร่วมงานมุทิตาจิตอายุวัฒนมงคล ๖๕ ปี
พระอาจารย์ยันตระ อมโร
วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙
ณ สำนักป่าสุญญตาราม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ประเทศไทย
แสงแห่งปัญญา..วันแห่งความเมตตา... กรุณา... มุทิตา... อุเบกขา...๒๕๕๙
@ ถวายเทียน ๓,๐๐๐ เล่ม และดอกบัวสีชมพู เพื่อเป็นเครื่องสักการบูชาแด่ องค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระธรรมและพระสงฆ์..ผู้ชี้นำทางให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง @
​​​​​กำหนดการ
๐๔.๓๐ น.​สัญญาณระฆัง
๐๕.๓๐ น.​สวดมนต์ - เจริญสมาธิภาวนา
๐๗.๓๐ น.​ถวายภัตตาหารเช้า
๐๙.๐๐ น.​พระภิกษุสงฆ์ - สามเณร บิณฑบาต
๑๐.๐๐ น.​เจริญพุทธมนต์
๑๑.๐๐ น.​ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ – สามเณร
๑๒.๓๐ น.​พระธรรมกวีแสดงพระธรรมเทศนา
๑๓.๓๐ น.​ถวายผ้าป่าโรงทาน
๑๔.๐๐ น.​การแสดงศิลปะพื้นบ้าน
๑๕.๐๐ น.​พิธีขอขมา - สรงน้ำ
๑๘.๐๐ น.​สวดมนต์ – เจริญสมาธิภาวนา
๑๙.๑๕ น.​พระอาจารย์ยันตระ อมโร แสดงธรรม
๑๙.๓๐ น.​พระอาจารย์ยันตระ อมโรและพระภิกษุสงฆ์จุดเทียน
๑๙.๔๕ น.​คณะแม่ชีจุดเทียน
๒๐.๐๐ น.​น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณของประเทศไทย กษัตริย์ไทยทุกพระองค์ผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้าสืบต่อกันมากว่า ๗๐๐ ปี และประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข..น้อมรำลึกถึงครูอาจารย์ บรรพบุรุษ บิดามารดา ญาติมิตร เพื่อนผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
๒๐.๐๕ น.​นั่งสมาธิ
๒๑.๐๐ น. ​ปิดงาน คุณเจิน เจิน บุญสูงเนิน ขับร้องเพลง “ต้องสู้” และแจกของที่ระลึก ( เทียน – น้ำ – ดอกบัว )



แถลง๕พ.ย.๒๕๖๐สลายสรีรสังขารหลวงพ่อปัญญาสานปณิธานแม่ทัพธรรมป้องพุทธศาสนา

            วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบุรี พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) พร้อมกับพระปัญญานันทมุนี เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ร่วมกันแถลงข่าวพิธีพระราชทานเพลิงสรีรธาตุพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ตามที่ได้กำหนดไว้คือวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๗.๓๐ น. ที่เมรุวัดชลประทานรังสฤษดิ์ หลังจากหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุได้มรณภาพเมื่อปี ๒๕๕๐ จนถึงปัจจุบันนี้ ๙ ปี

            พระพรหมบัณฑิต  กล่าวว่า บัดนี้การปรับภูมิทัศน์ภายในวัด รวมทั้งการดำเนินงานก่อสร้างอาคารปัญญานันทานุสรณ์ใกล้จะแล้วเสร็จ คณะสงฆ์และศิษยานุศิษย์เห็นสมควรแก่เวลาจัดงานสลายสรีรธาตุประกาศสัจธรรมหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ในปี ๒๕๖๐ ภายใต้แนวคิด “ถวายดอกไม้ใจแทนดอกไม้จันทน์” จึงได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นองค์ประธานพระราชทานเพลิงสรีรธาตุหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ในวันอาทิตย์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๗.๓๐ น. เพื่อแสดงปูยชนียกตัญญุตาต่อหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ



             พระพรหมบัณฑิต  กล่าวต่อว่า การจัดพิธีพระราชทานเพลิงสรีรธาตุหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุในครั้งนี้สอดคล้องกับสมัยที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานและก่อนจะประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระศพนั้นก็คำนึงถึงความพร้อมเป็นสำคัญคือรอพระมหากัสสปเถระเดินทางมาถึงก่อน

            "หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุนับได้ว่านับได้ว่าแม่ทัพธรรม แม่ทัพโลก ที่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ก่อนที่จะปลงสังขารเข้าสู่ปรินิพพานโดยทรงพิจารณาองค์ประกอบ ๔ ประการคือ พุทธบริษัทได้ศึกษาพระธรรมวิจัยได้จนแตกฉาน ปฏิบัติ ประกาศเผยแผ่ และปกป้องพระธรรมวินัยและชี้แจงต่อผู้ที่ว่าร้ายได้นั้น  ได้ครบทั้ง ๔ ประการนี้น้อยนักที่จะหาพระสงฆ์ที่จะปฏิบัติได้ครบเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสุดท้ายคือการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา"  พระพรหมบัณฑิต  กล่าวและว่า

            พร้อมกันนี้ก็จะต้องแบ่งงานกันทำตามหลักการเจดี ๔ ประการคือ ธาตุเจดีย์อัฐิธาตุ บริโภคเจดีของใช้ที่เกี่ยวข้อง ธรรมเจดีย์หรือผลงาน และการสร้างสิ่งที่เป็นอนุสรณ์ให้กับหลวงพ่อนั้นจะมีอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มจร ก็จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อแสดงกตเวทีต่อหลวงพ่อที่มีคุณูปการต่อมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมากที่สำคัญคือมีแนวคิดและดำเนินการสร้างโบสถ์กลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกบรรจุพระสงฆ์ได้กว่า ๔ พันรูป พร้อมกันนี้จะจัดสัมมนาวิชาการที่เกี่ยวกับผลงานของหลวงพ่อ



            พระปัญญานันทมุนี กล่าวว่า ตลอด ๑ ปี ก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงสรีรธาตุ ทางวัดชลประทานรังสฤษดิ์จะจัดกิจกรรมพิเศษเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ โดยเริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ จนถึงวันอาทิตย์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โครงการดังกล่าว แบ่งออกเป็น ๔ ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ - วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ “การสลายสรีรธาตุ ประกาศสัจจธรรม หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” เป็นอาจาริยบูชา ตามกรอบแนวคิด “สุโข ปุญญสส อุจโจโย การสั่งสมความดี (บุญ) นำความสุขมาให้” เพื่อให้ทุกคนตระหนักว่า ความดี (บุญ) เป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ และทำทุกวัน

            ระยะที่ ๒ ตั้งแต่ วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ - วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ภายใต้โครงการ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ แม่ทัพธรรม แม่ทัพโลก” ตามปณิธาน เรียบง่าย ประหยัด ประโยชน์ ถูกต้องตามธรรมวินัย ตามกรอบแนวคิด “เข้าวัดวันอาทิตย์ชีวิตเป็นสุข” หรือ “เข้าวัดวันอาทิตย์ใกล้ชิดพระศาสนา” ซึ่งหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุได้เปิดวัดวันอาทิตย์ เพิ่มวันดีให้กับชาวพุทธ มาตั้งแต่ปิ ๒๔๙๒ โดยแต่ละสัปดาห์จะมีพระเถระชื่อดังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเป็นวิทยากรบรรยายธรรม รวมทั้งมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อีกมากมาย

            ระยะที่ ๓ ตั้งแต่ วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ - วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ภายใต้โครงการ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุกับธรรมทายาท” ตามกรอบแนวคิดให้ประพฤติธรรม “ตัดส่วนเกิน เจริญส่วนขาด” และเดินตามพุทธโอวาทในธรรมทายาทสูตรว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นพระธรรมทายาท อย่าเป็นอามิสทายาทเลย”

            ระยะสุดท้าย ตั้งแต่ วันที่ ๔ - ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ภายใต้โครงการ “ถวายดอกไม้ใจแทนดอกไม้จันทน์ สลายสรีรธาตุ ประกาศสัจจธรรม หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ปี ๒๕๖๐” ตามกรอบแนวคิด “ดอกไม้จันทน์ส่งสู่สวรรคาลัย ดอกไม้ใจสู่มรรคผลนิพพาน” โดยวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จะเคลื่อนสรีรธาตุหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุสู่จิตกาธาน (เชิงตะกอน) หลังจากนั้นตลอด ๒ วัน ๒ คืน คณะสงฆ์ ศิษยานุศิษย์ ตลอดจนศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย ร่วมใจปฏิบัติบูชาตามหลัก “เนสัชชิกังคะ” คือ ธุดงค์ เว้นอามิสบูชา พร้อมทั้งสวดมนต์ ฟังธรรม เจริญภาวนา และหลังจากพระราชทานเพลิงสรีรธาตุแล้ว จะนำอัฐิไปบรรจุไว้ใต้ฐานเจดีย์ “แม่ทัพธรรม แม่ทัพโลก” ที่อาคารปัญญานันทานุสรณ์




            อย่างไรก็ตามก่อนจะมีการแถลงว่าพระปัญญานันทมุนีได้นำพุทธศาสนิกชน เจริญสมาธิและฟังเสียงธรรมหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุและเสียงพระธรรรมโกศาจารย์(พุทธทาสภิกขุ)ที่ส่งเทปเสียงอวยพรวันเกิดครบรอบ ๘๐ ปี

.............................
(หมายเหตุ ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ http://www.watprayoon.com/main.php?url=news_view&id=836&cat=B&table=news)



แจ็ค หม่าบอกโลกได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาจากประเทศไทย
นายแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งเว็ปไซด์อลีบาบา รายงานผลการประชุมภาคเอกชนของประเทศในกรอบเอซีดี ต่อที่ประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย เพื่อเสนอไอเดียของต่อกาพัฒนาการเอเชีย ว่า  เมื่อไรก็ตามที่พูดถึงเศรษฐกิจโลก ทุกคนก็จะให้ความสำคัญกับกระแสโลกาภิวัตน์มากกว่าการให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่  ควรสร้าง  e-road เชื่อมต่อธุรกิจ
ข้อมูลข่าวสาร (DATA) จะกลายทรัพยากรใหม่ที่สำคัญ  ทวีปเอเชียมีโทรศัพท์เคลื่อนที่กว่า 4,000 ล้านเครื่อง แนะให้รัฐบาลทุกประเทศมีนโยบายส่งเสริมประชาชนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีและบริษัทที่มีลูกจ้างต่ำกว่า 30 คน ผ่านการใช้เทคโนโลยีและการศึกษาส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ โลกได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาจากประเทศไทย
วันอังคารที่ 11 ตุลาคม 59 ณ กระทรวงการต่างประเทศ ที่นั่น “แจ็ค หม่า” ได้ปรากฏตัว และมีคนไทยราว 300 ชีวิตได้เข้าร่วมรับฟัง “Talk by Mr. Jack Ma on “Global Trade Revolution:  Building a New e-Trade Platform for SMEs” ระยะเวลาราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เขาได้ส่งมอบทั้งประโยคทรงพลังมากมาย ทีมงาน Techsauce ขอสรุปเนื้อหา โดยแบ่งประเภทไว้ดังนี้

แนวคิดของ Alibaba
การศึกษาสำหรับคนรุ่นใหม่
คือการหา Knowledge และ Wisdom ให้กับตัวเอง
Knowledge คือสิ่งที่คุณเรียนรู้
ส่วน Wisdom คือสิ่งที่คุณสั่งสมประสบการณ์มา
จงพูดเฉพาะในสิ่งที่ผมเชื่อเท่านั้น
จงใช้สมองของคุณคิดเสมอ อย่ารีบทำตามสิ่งที่คนเขาบอกให้ทำ
จงมองโลกในแง่ดี
จงมองหาพาร์ทเนอร์ดีๆ คุณไม่มีทางทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว

สร้างอาณาจักร(อนิจจัง) Ecosystem(นิจจัง)
วิสัยทัศน์เรื่องเทคโนโลยี machine     embrace machine   Imaginative’ และ ‘Innovative ปรับตัวและคุ้นเคย
Marketing  และ Sales ทีม Service
โมเดลธุรกิจ B2C คือขายให้คนทั่วไป C2B กันในอนาคต ก็คือเกษตรกรหรือคนทั่วไป สามารถขายของให้กับภาคธุรกิจได้
Power และ Money   Experience
ถ้ามีเงินนะ ฉันจะสร้าง… ฉันไม่มีเงินหรอก แต่ฉันจะสร้าง…ให้ได้!

 บัญญัติ 10 ประการสู่ความสำเร็จโดย แจ็ค หม่า แห่ง Alibaba
5 บทเรียนธุรกิจจาก Alibaba ที่ Startup ต้องรู้
 5 บทเรียนธุรกิจจาก Alibaba ที่ Startup ต้องรู้ เวอร์ชั่นภาพกราฟฟิก

Thailand 4.0
E-Commerce
SMEs

 Dhamma Innovation & Dhamma Imagination
นวัตกรรมธัมมะ และ จินตนาการธัมมะ

แตกตัว - เติบโต - แตกต่าง - ตัวตน

คำว่า นวัตกรรม Innovation
คำว่า จินตนาการ Imagination

กล้าที่จะใช้

ทฤษฎี ๔ ต ๕ ก อิงหลักธรรมะ
แตกตัว - เติบโต - แตกต่าง - ตัวตน
แตกตัว: ไม่ "ตีบตัน" และ "ตกต่ำ" ในวังวนเดิมๆ
เติบโต : ไป อเมริกา พบ IOT: Internet of Things อินเทอร์เน็ต
บน "เงินทุน" ที่มีจำกัด คือ "ตั้งต้น" จาก "ศูนย์" และกล้าที่จะ "นับหนึ่ง" ใหม่
แตกต่าง : นวัตกรรมและจินตนาการ ทำให้เขา "กล้า" คิดต่าง กล้าฝันต่าง กล้านำต่าง กล้าทำต่าง กล้าเปลี่ยนแปลง

ตัวตน: ตัวตนของแจ็คหม่า โลกยุคใหม่ ความมั่งคั่งร่ำรวย จะกระจายไปถึงมือทุกผู้ทุกคน ด้วยพลัง IOT : Internet of Everything

สมาร์ทโฟน บวกนวัตกรรม เสริม "พลังความคิด พลังความฝัน พลังแห่งจินตนาการ" เฟ้นหา "ทีมเก่ง ภาษาอังกฤษ

สุดท้าย ด้วย "พุทธปรัชญา" ก็ทำให้เขา "ตั้งตัว" กลายเป็น "เจ้าสัว"  แต่ "พุทธ" ฉาบฉวย ว่า พุทธสอนให้ "ลด - ละ - เลิก - ปล่อยวาง"

ทำไมคนพุทธส่วนใหญ่ยากจน? จริงหรือ?
"เฮียเม้ง" ประธานร่วมโครงการเสนอรายชื่อผู้สมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และนักเขียนขายดีระดับนานาชาติของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เป็น "ผู้บุกเบิกกูเกิ้ล" ยุคแรกๆ และ

"วิศวกร" ผู้ได้รับรางวัลดีเด่นต่างๆ

ลี กา ชิง ชายที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ก็เป็นชาวพุทธ
แจ็คหม่า ที่อาศัยอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ ก็เป็นชาวพุทธเช่นกัน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งร่ำรวยที่สุดในอินเดียก็เป็นชาวพุทธ


เพราะ "คำสอนพุทธ" เป็นนวัตกรรมทันสมัย และสอนให้ "คน" จินตนาการ ปรับ "นิสัย" เปลี่ยน "บุคลิก" ด้วยหลักการ "๓อ่อน"
๑. เป็นผู้ใหญ่ก็อ่อนโยน  "มือไม้อ่อน" เท่านั้น
๒. เป็นเด็กก็อ่อนน้อม มีทิฐิมาก มีมานะระดับ "อติมานะ" คือ "ฉลาดเกิน" ระวังตัว ระวังความคิด อย่าให้ "ล้นแก้ว" "ล้นเกิน"
๓. เป็นสตรีก็อ่อนหวาน มือไม้อ่อน นิสัยดี คำพูดคำจาดี มารยาทดี บุคลิกดี ดูดี มีเสน่ห์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้คนเรา ๒ อ่อน
๑. อ่อนไหว
๒. อ่อนแอ
-ทุกข์ : มุมมองจากลัทธิดาร์วิน
-กิน : มุมมองของพุทธศาสนา


วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559


วช.ไม่หวั่นม.44บอร์ดถูกยุบรวมเดินหน้าปั้นนักวิจัยตอบโจทย์ประเทศ : พระปราโมทย์   วาทโกวิโท นายสำราญ สมพงษ์ ผู้เข้าอบรมนักวิจัยรุ่นใหม่(ลูกไก่)รุ่นที่ ๒ รายงาน

            ตลอดระยะเวลา ๕ วัน ๕ คืน ระหว่างวันที่ ๓-๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ ของการอบรม "สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ (ลูกไก่) รุ่นที่ ๒ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ร่วมกับวิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดฯ สยามบรมราชกุมารี ที่โรงแรมน่านตรึงใจ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน โดยมีนักวิจัยเข้าร่วมประมาณ ๗๐รูป/คน จากหลากหลายสังกัด

            ได้เรียนรู้จากซุปเปอร์แม่ไก่ และแม่ไก่ ถึงเทคนิควิธีของการหาเหยื่อ เพื่อลูกไก่จะได้เจริญพันธุ์เป็นอาหารชั้นเลิศของมวลมนุษย์ชาติ เพื่อที่มนุษย์ชาติจะได้เจริญพันธุ์ทำตัวเป็นประโยชน์ในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ แบบมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความรู้คู่คุณธรรม หากจะนำความรู้ไปใช้ต้องตั้งอยู่บนหลักพอเพียง สมเหตุสมผล และประเมินถึงความเสี่ยง สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลทั้งหลักนิติธรรม คุณธรรม โปร่งใส่ มีส่วนร่วม ประเมินคุณค่าเป็นค้น โดยต้องใช้ต้นทุนน้อยแต่รายได้มากประหยัดเวลา เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ



            แต่แล้วอยู่ ๆ ฟ้าก็ผ่ามากลางเล้าไก่ ด้วยมาตรา ๔๔ คำสั่งตั้งสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (นวนช.) ขึ้นมาใหม่มีนายกฯเป็นประธาน และให้เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) เป็นเลขานุการร่วม และให้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่จํานวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ โดยมีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นให้มีการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยา แขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้และการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ สังคม และเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อสนับสนุนให้การดําเนินการ ดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จําเป็นต้องบูรณาการการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้ตรงตาม ความต้องการและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อน และสามารถผลักดันให้มีการนําไปใช้ ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ในการนี้ สมควรกําหนดให้มีสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อทําหน้าที่ในการกําหนดทิศทางนโยบาย ยุทธศาสตร์ รวมทั้งปรับปรุงระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ตลอดจนกํากับและติดตามการบริหารจัดการ การจัดสรรงบประมาณ และประเมินผลการดําเนินการ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีเอกภาพ อันเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาการวิจัยของประเทศ และปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน

            ทำให้ลูกไก่ขวัญกระเจิงด้วยคำถามตามมาต่างๆนานาว่า วช.ถูกยุบแล้วหรือ การอบรมครั้งนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้วหรือ แล้วอนาคตนักวิจัยจะเป็นอย่างไร ทำให้ซุปเปอร์แม่ลูกต้องออกมาปลอมขวัญว่า  "วช.ยังอยู่เหมือนเดิม แต่จะมีการปรับการทำงานบทบาทให้ชัดเจนเพื่อตอบโจทย์ประเทศให้ชัดเจนในการทำร่วมกัน"

            พร้อมกับได้รับทราบการชี้แจงของ ดร.พิเชฐ    ดุรงคเวโรจน์   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า    การประกาศใช้มาตรา 44  ในครั้งนี้     ซึ่งถือว่าเป็นก้าวสำคัญของวงการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของประเทศไทย  ที่จะมีการสร้างเอกภาพ  บูรณาการ  ลดความซ้ำซ้อน และสามารถกำหนดทิศทางการวิจัยที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ  แทนที่จะเป็นการทำเพื่อตอบสนองการอยากรู้อย่างเดียว

            "การจัดตั้ง นวนช. โดยเป็นหน่วยงานระดับนโยบาย  เพื่อให้เกิดการสั่งการอย่างชัดเจน   มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน  เพื่อวางนโยบายและขับเคลื่อนทำให้เกิดการบูรณาการได้จริง   ซึ่งคำสั่งนี้   มีการยุบเฉพาะคณะกรรมการใน 3 ชุดหลัก  ไม่ใช่การยุบสำนักงาน"  ดร.พิเชฐ กล่าว

            ขณะที่ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร   จิตต์มิตรภาพ รองประธานอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัย เพื่อนวัตกรรม   อดีตประธานกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ   เปิดเผยว่า   ถือเป็นเรื่องที่ดีและถือเป็นความสำเร็จของเครือข่ายองค์กรการบริหารงานวิจัยแห่งชาติหรือ คอบช.  และป็นเพียงบันไดขั้นแรกในการปฎิรูปการวิจัยในเรื่องนโยบายที่เป็นเอกภาพ   ส่วนบันไดขั้นต่อไปคือการจัดระเบียบหน่วยงานวิจัยที่ซ้ำซ้อน  การบริหารทุนวิจัยที่เป็นระบบ การทำวิจัยร่วมระหว่างรัฐกับเอกชนและมีการพัฒนากำลังคน

            เมื่อได้รับทราบเหตุผลเช่นนี้บรรดาลูกไก่ที่เข้ารับการอบรมทั้ง ๕ วันก็สบายใจหายความกังวลและมีความสุขกับการที่จะได้ทำหน้าที่ตามความรู้ที่ได้รับการอบรมมา

            ดังนั้นการอบรมครั้งนี้จบลงเต็มเปรี่ยมด้วยความรู้และความสุขจากพิธีมอบวุฒิบัตร โดยมีพระราชคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดน่านเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยพระราชวรมุนี,ดร. รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) พระชยานันทมุนี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพุทธศาสตร์นครน่าน รองผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครน่าน พระมหาบุญเลิศ  อินฺทปญฺโญ รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มจร นายนรินทร์   เหล่าอารยะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน ร่วมในพิธี

            พระราชวรมุนี  กล่าวว่า  ขอบคุณ วช.เป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือในครั้งนี้  มหาจุฬาฯมีภารกิจสำคัญ  คือ จัดการเรียนการเรียน  มีการทำวิจัย โดยมีการตั้งสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์  พอทำวิจัยจึงทำให้สังคมภายนอกมาร่วมเป็นภาคีเครือข่ายมากขึ้น   จึงมีความโดดเด่นทางสังคมศาสตร์และงานวิจัย  จึงมีการฝึกนักวิจัยตามมา

            พระชยานันทมุนี  กล่าวว่า  เรามีนักวิจัยรุ่นใหม่ เพื่อจะมาพัฒนาเมืองน่านและสังคมประเทศ เพื่อสอดคล้องกับไทย ๔.๐  ได้รับความร่วมมือฝ่ายอาณาจักรและพุทธจักร  ทำให้เมืองน่านมีงานวิจัยระดับเอเชียเกิดขึ้น   เราจะทำงานร่วมกันทุกภาคีเครือข่าย

            นายนรินทร์   กล่าวว่า ผมในนามฝ่ายบ้านเมืองและในนามพุทธสมาคมนครน่าน มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ เรามาเรียนรู้การวิจัย  ซึ่งเราไม่ค่อยจะวิจัย มักจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า  ส่วนตะวันตกจะมีการวิจัยก่อนจะพัฒนาอะไรบางอย่าง อย่าลืมว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์  คือ ถ้าปฏิบัติถึงอภิญญา ๖ จะทราบเรื่องราวต่างๆ  เราจึงเหมาะมากที่งานวิจัยจะมาตอบโจทย์งานพระพุทธศาสนา เราต้องผ่านการวิจัยก่อนจะไปสอน ไปทำการฝึกอบรม   เรื่องง่ายๆ ของพระพุทธศาสนาบางครั้งเราเข้าไม่ถึง เพราะเด็กรุ่นใหม่เป็นเด็กที่ชอบการทดลอง ชอบสงสัย ต้องผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนพระพุทธศาสนาให้น่าสนใจมากขึ้น เพราะยุคสมัยใหม่เป็นของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ย้ำว่าพระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์  

            "ผมลงพื้นที่กับชาวบ้านถือว่าเป็นการวิจัย ชาวบ้านมีความสงสัย ความสงสัยจึงทำให้เกิดงานวิจัย  สิ่งที่ตอบโจทย์ คือ ทางโลกและทางธรรมช่วยกันสนับสนุนกัน  เรื่องต่างๆ เป็นปัญหา หรือสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมีงานวิจัยยอมรับ ผ่านการวิจัย มีเหตุมีผล  เราต้องทำงานวิจัย เพราะงานวิจัยคือ สิ่งทั่วโลกยอมรับ  เราจึงเอาเรื่องวิจัยในการแก้ปัญหาสังคม  สิ่งแรกที่จะแก้ปัญหาของน่าน เป็นปัญหาที่ดิน ฉะนั้น งานวิจัย ต้องสามารถตอบโจทย์ได้  ผมพยายามส่งเสริมให้บุคลากรทำวิจัย  เราจึงต้องทำวิจัยเพื่อตอบโจทย์  ศาสนาพุทธดูเหมือนยากแต่ง่าย  ดูเหมือนง่ายแต่ก็ยาก  ในการเข้าถึงพระพุทธศาสนา  งานวิจัยต้องตอบโจทย์ของชุมชน  สังคม ประเทศชาติต่อไป"  นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน กล่าว

            การจัดการอบรมอบรม "สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ (ลูกไก่) รุ่นที่ ๒  โดย วช. และนโยบายตั้งนวนช.ครั้งนี้  ก็สมดังพุทธพจน์ที่ว่า "จิตเต สังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" ความว่า "คิดดีก็มีแต่ความเจริญ"

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

 


วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน"มจร"ต่อยอดงานวิจัยเตรียมเปิดคณะแพทย์ จับมือวช.อบรมลูกไก่เพิ่มจำนวนนักวิจัยไทยให้มากขึ้น

ระหว่างวันที่ ๓-๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ มีการอบรม "สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ (ลูกไก่) รุ่นที่ ๒  จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ร่วมกับวิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดฯ สยามบรมราชกุมารี ที่โรงแรมน่านตรึงใจ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน โดยมีนักวิจัยเข้าร่วมประมาณ ๗๐รูป/คน หลากหลายสังกัด


พระพุทธเจ้าคือนักวิจัย

ศ.ดร.พระศรีคัมภีรญาณ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  ฝ่ายวิชาการ เป็นประธานเปิดการอบรม พร้อมให้คำแนะนำว่า การวิจัยคือการกลับไปดูหรือทบทวนอีกครั้งในสิ่งที่ได้รับรู้มาจนสามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่จำนวนมากโดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ๕๐% เป็นมายาคติว่า อะไรจริงอะไรเท็จ  เพื่อเป็นฐานคิด ความจริงแล้วการวิจัยนั้นเป็นไปตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาคือ "ธรรมวิจัย" ในโพชฌงค์ ๗ หนทางแห่งการรู้ใหม่ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงใช้ตั้งแต่ออกผนวช เริ่มตั้งแต่ศึกษาหาความรู้ในสำนักต่างๆ จากดาบสทั้ง ๒ คน รวมถึงการบำเพ็ญทุกกรกิริยา (ทบทวนวรรณกรรม) จนกระทั้งตรัสรู้ที่ใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา



"การวิจัยมี ๒ แบบ คือ การหาความรู้ภาคสนามและการศึกษาในตำราเอกสาร การวิจัยถือว่าเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือระหว่างการวิจัยกับสอนแต่ควรเริ่มต้นจากสอนก่อน แต่ปัจจุบันต้องควบคู่กันไป การวิจัยมีส่วนสำคัญทั้งทางด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ รวมถึง มจร ก็ควรจะสร้างประชาคมนักวิจัยให้ได้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ชอบการวิจัยเนื่องจากไม่มีความอดทน การอบรมลูกไก่ครั้งนี้จึงเป็นการเพิ่มจำนวนนักวิจัยไทยให้มากขึ้น



พระมหาบุญเลิศ  อินฺทปญฺโญ รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มจร กล่าวว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วมีตัวชี้วัดหนึ่งที่สำคัญมาก คือ นักวิจัยเป็นจำนวนประชากรต่อนักวิจัย ผู้ที่เข้ารับการมาอบรมครั้งนี้สิ่งที่ได้รับ ๓ ประการ คือ ๑)  ต้องกลับไปพัฒนาประเทศได้ ๒) ได้เครือข่ายที่เป็นเอกภาพหนึ่งเดียว ๓) ต้องเป็นคนในของ วช. สามารถรับรู้ข้อมูลจาก วช. และมีสิทธิ์จะขอทุนได้ เนื่องจากการจัดอบรมนักวิจัยรุ่นใหม่ในครั้งนี้ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และเรียนรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการวิจัยเป็นการพัฒนาประเทศ เพื่อสามารถจัดทำข้อเสนอการวิจัยได้ เพื่อบูรณาการเครือข่ายนักวิจัยจากหน่วยราชการ องค์กรการวิจัยต่างๆ ให้เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป นำสู่เป้าหมาย ต้องพัฒนาสมอง ๒ ซีกทั้งซ้ายและขวา ให้เกิดความสมดุล ความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ ทักษะ สิ่งสำคัญคือ สละคราบคนเดิมที่ติด ตำแหน่ง ยศทำตัวเหมือนฟองน้ำแห้งพร้อมที่จะดูดซับความรู้และประสบการณ์ เทคนิคต่างๆ อย่าได้แค่วุฒิบัตรกลับไป แต่ต้องได้หัวข้อวิจัยเพื่อไปพัฒนาต่อยอด




วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน"มจร"เตรียมเปิดคณะแพทย์

ผศ.ดร.พระชยานันทมุนี รองผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์นครน่าน ได้บรรยายให้ความรู้เรื่อง "ปรัชญาการวิจัยและจรรยาบรรณการวิจัย" ว่า  จังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่มีความงดงามด้านศิลปวัฒนธรรมทางศาสนา จังหวัดน่านมีการเปลี่ยนแปลงโครงการต่างๆ และส่วนข้าราชการมีการเปลี่ยนย้ายบ่อยๆ จึงทำให้โครงการต่างๆ ไม่ต่อเนื่อง  แต่เมื่อนักวิจัยทั้งหลายมาลงพื้นที่จังหวัดน่านครั้งนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อจังหวัดน่านเป็นอย่างดียิ่ง



"ปรัชญาการวิจัย" นั้นมาจากคำ ๒ คำ คือปรัชญา และวิจัย  ปรัชญา คือ ความรักในผู้อื่น หรือความฉลาด เป็นความรู้อันประเสริฐ  ขณะที่ วิจัยคือการสืบค้น ค้นหา ดังนั้นปรัชญาการวิจัยคือการค้นหาความรู้เพื่อผู้อื่น ชุมชน และประเทศชาติ

วิทยาลัยสงฆ์นครน่านพัฒนาการศึกษาผ่านการวิจัยทั้งด้านภาษาล้านนาและสมุนไพร โดยปริวรรตจากคัมภีร์โบราณที่มีมากกว่า ๓๐๐ คัมภีร์ซึ่งในจำนวนมากนั้นมีตำรายาอยู่เป็นจำนวนมากผ่านมา ๕ ปี  ส่งผลให้วิทยาลัยสงฆ์นครน่านมีนโยบายที่จะเปิดการเรียนการสอนคณะอักษรล้านนาและคณะแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เพื่อสอดรับจังหวัดน่านที่เป็นเมืองการศึกษา เมืองวัฒนธรรม

ขณะที่ ผศ.ดร.พระราชวชิรเมธี รองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร รองอธิการบดี มจร วิทยาเขตกำแพงเพชร กล่าวว่า  มจร วิทยาเขตกำแพงเพชรก็มีความสนใจที่จะเกิดคณะแพทย์ะคณะแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อสอดรับกับนโยบายของ มจร ที่เปิดโรงพยาบาล มจร เปิดให้บริการกับประชาชนทั่วไป ซึ่ง มจร วิทยาเขตกำแพงเพชรก็เห็นความสำคัญของการวิจัยและนำไปประยุกต์ใช้อย่างเช่น  "การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้และอนุรักษ์แหล่งโบราณคดีในจังหวัดกำแพงเพชร"  โดยนำไปบูรณาการทำให้เกิดยุวชนอนุรักษ์ ยุววิจัย และยุวมัคคุเทศก์  ทำให้เด็กได้การรักษาอนุรักษ์แหล่งโบราณคดี


















............................
(หมายเหตุ : ข้อมูลและภาพจากเฟซบุ๊กจาก Pramote Od) 

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559



สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มีบัญชาเปิดสอบปริยัติธรรม นวกภูมิ ที่วัดไทยพุทธคยา อินเดีย หวังเรียนรู้ให้ทันเหตุการณ์ปัจจุบัน 

วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่อาคารสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย วัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช  มีบัญชาให้นำข้อสอบ พร้อมเฉลยจากประเทศไทยมาเปิดสอบพระปริยัติธรรม ชั้นนวกภูมิ พร้อมประทานโอวาทเจ้าสำนักเรียนวัดปากน้ำ โดยการดำเนินการของ พระปิฎกเมธี ผู้ช่วยเจ้าวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ รองเลขานุการแม่กองบาลีสนามหลวง พระครูปลัดมงกร ปญฺญาวุฑฺโฒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดน้ำปรก พระมหาไพรัช วิรโธ ป.ธ.๙ วัดปากน้ำ พระมหาฉลอง ธมฺมฉนฺโท ป.ธ.๘ วัดปากน้ำ และพระมหาเรืองสันต์ สนฺตมโน ป.ธ.๗ วัดนาคปรก



เวลา ๐๗.๓๐ น. พระเทพโพธิวิเทศ (วีรยุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ประธานจุดธูปเทียน นำบูชาพระรัตนตรัย และให้โอวาทแก่คณะกรรมการ ผู้เข้าสอบฯ   พระปิฎกเมธี ผู้ช่วยเจ้าวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ รองเลขานุการแม่กองบาลีสนามหลวง ประธานผู้นำข้อสอบ และสักขีพยานนำข้อสอบมาเปิด ถวายสักการะ พระเทพโพธิวิเทศ พระครูปลัดสุวัฒนพุทธิคุณ (วิเชียร) ถวายสักการะ พระเทพโพธิวิเทศ ตัวแทนเจ้าอาวาสวัดไทยในแดนพุทธภูมิ ถวายสักการะ พระปิฎกเมธี ท่านปรีชา แก่นสา กงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตต้า ถวายเครื่องการะ พระปิฎกเมธี




จากนั้นพระศรีโพธิวิเทศ (สุพจน์) ปฏิบัติหน้าที่ประธานสงฆ์วัดไทยลุมพินี กล่าวถวายรายงานพิธีเปิดสอบพระปริยัติธรรม ชั้นนวกภูมิ ประจำปี ๒๕๕๙ มีใจความว่า ด้วยพระเดชพระคุณ พระเทพโพธิวิเทศ ในฐานะหัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศ อินเดีย-เนปาล ได้ดำเนินงานจัดการศึกษา "ตามโครงการส่งเสริมพระปริยัติธรรมระหว่างพรรษา" เพื่อให้งานพระธรรมทูตไทยมีการพัฒนา และมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์


๑.เพื่อส่งเสริมการศึกษา ของคณะสงฆ์ไทย ในการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม
๒.เพื่อเสริมทักษะเบื้องต้น ให้คณะสงฆ์ สามเณร แมีชี อุบาสก อุบาสิกา ที่จำพรรษาในประเทศอินเดีย-เนปาล
๓.เพื่อเปิดโอกาสให้สามเณรอินเดีย-เนปาล ได้ศึกษาเรียนรู้พุทธประวัติ ธรรม วินัย และทักษะชีวิต
๔.เพื่อเสริมความรู้ สติปัญญา และการเรียนรู้ให้ทันในเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน



ซึ่งในปีนี้มีสำนักเรียนวัดต่างๆ จำนวน  ๒๒ วัด ได้ส่งพระภิกษุ-สามเณร และอุบาสก อุบาสิกา เข้าสอบประกอบด้วย
๑.วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์   จำนวน ๒๙ รูป/คน
๒.วัดไทยลุมพินี ประเทศเนปาล  จำนวน ๑๔ รูป/คน
๓.วัดนวมินธัมมิกราชฯ  จำนวน ๑๑ รูป
๔.วัดไทยเชตวันมหาวิหาร จำนวน ๕ รูป/คน
๕.วัดไทยมคธพุทธวิปัสสนา  จำนวน ๒๒ รูป/คน
๖.วัดไทยนาลันทา  จำนวน ๑๑ รูป
๗.วัดไทยนวราชรัตนาราม ๙๖๐  จำนวน ๒ รูป
๘.วัดป่ามุจลินท์  จำนวน ๑๘ รูป/คน
๙.วัดไทยไวสาลี  จำนวน ๑ รูป
๑๐.วัดไทยสิริราชคฤห์ จำนวน ๑ รูป
๑๑.วัดบรมธาตุราชสักการ   จำนวน ๒ รูป/คน
๑๒.วัดพุทธภูมิ   จำนวน ๑ รูป
๑๓.วัดพุทธสาวิกา   จำนวน ๔ รูป
๑๔.วัดไทยสาวัตถีพุทธวิปัสสนา   จำนวน ๒ รูป
๑๕.วัดอโศกมหาราชพุทธคยา   จำนวน ๑ รูป
๑๖.วัดอโยธยาราชธานี   จำนวน ๒ รูป
๑๗.วัดไทยราชทูต   จำนวน ๓ คน
๑๘.วัดสิทธารถราชมณเฑียร   จำนวน ๑ รูป
๑๙.ศูนย์ปฏิบัติธรรมภูริปาโล   จำนวน ๔ รูป/คน
๒๐.วัดลาวพุทธคยา   จำนวน ๑ รูป
๒๑.Internation Medition Center
๒๒.วัดไทยพุทธคยา   จำนวน ๑๔ รูป/คน ซึ่งรวามทั้งสิ้น ๑๕๐ รูป/คน



ในปีนี้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช  ประทานโอวาทเจ้าสำนักเรียนในการเปิดสอบธรรม ชั้นนวกภูมิ วัดไทยพุทธคยา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ ดังนี้ เจ้าคุณพระเทพโพธิวิเทศ หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล คณะกรรมการ นักเรียนผู้เข้าสอบทั้งหลาย

การศึกษาพระปริยัติธรรม ชั้นนวกภูมิ สำหรับคณะสงฆ์ไทย มีเป้าหมายเฉพาะสำหรับพระภิกษุผู้บวชใหม่ในระหว่างพรรษา แต่สำหรับคณะสงฆ์ไทย ในประเทศอินเดีย-เนปาลนั้น จุดมุ่งหมายเพื่อขยายควบคลุมไปถึงพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา และชาวต่างประเทศ นับเป็นความมีเอกภาพทางด้านนโยบาย แต่มีความหลากหลายในด้านการปฏิบัติของคณะสงฆ์ไทย ในประเทศอินเดีย-เนปาล ซึ่งมีท่านเจ้าคุณพระเทพโพธิวิเทศ เป็นประธาน ที่มองเหตุความสำคัญของการศึกษาสำหรับพัฒนาบุคคลากร โดยนำหลักสูตรพระปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุผู้บวชใหม่ มาประยุทต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ แก่พุทธบริษัทได้อย่างทั่วถึง จึงเป็นเรื่องที่ควรแก่อนุโมทนาสาธุการ


ท่านทั้งหลาย การสอบเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งในระบบการจัดการศึกษาทุกสาขา ทุกแขนง ทั้งนี้เพื่อวัดความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาวิชาตามกฎเกณฑ์ เกียรติบัตรเป็นใบรับรองผลสำเร็จของการศึกษา อาจกล่าวได้ว่า เป็นเพียงใบรับรองวิทยฐานะของผู้สำเร็จการศึกษาในสาขานั้นๆ หาได้เป็นหลักประกันคุณภาพของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาก็หาไม่ ทั้งนี้ เพราะผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้นได้ ภายใต้หลักการที่ว่า ผู้เรียนสามารถนำสิ่งที่ได้รับการศึกษาเรียนรู้นั้น ไปประยุทธใช้ให้เกิดประโยชน์โสตถิผลแก่สังคมประเทศชาติ และพระศาสนา ตลอดถึงการพัฒนาในด้าน "ครองตน ครองคน ครองงาน"

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559


เปิดปูมหลัง'กรกต ธำรงวงศ์สวัสดิ์'ปลัดจังหวัดบึงกาฬกับกระแสต้านสร้างมัสยิด

หลังจากกระแสการคัดค้านการสร้างมุสยิดในพื้นที่อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ จนกระทั้งได้รับความสนใจจากนักข่าวนำเรื่องไปถามพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ปรากฏชื่อนายกรกต ธำรงวงศ์สวัสดิ์ ปลัดจังหวัดบึงกาฬ ออกมาชี้แจงและมีหนังสือลงนามอนุญาตการสร้างแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ส่งให้มีการค้นข้อมูลว่านายกรกตคนนี้เป็นใครมาจากไหน

จากการค้นข้อมูลปรากฏชื่อนายกรกตจากเว็บไซต์ http://www.bungkan.com ที่ได้นำผู้เสพผู้ติดยาเสพติดเข้าบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพแต่ก็เป็นข่าวเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2558  เมื่อเข้าไปดูข้อมูลจากเว็บดังกล่าวก็พบว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นข้อมูลเมื่อปี 2558  ถัดมาปรากฏชื่อนายกรกตในการร่วมกับโครงการเคลื่อนโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" ลงพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ วันที่ 5  กรกฎาคม 2559 ที่วัดเซกาเจติยาราม (พระอารามหลวง) อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ซึ่งพระเทพสิทธิญาณรังษี ประธานคณะกรรมการ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ในงานนี้มีพระเถระจากจังหวัดภาคอีสานไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก และที่โด่งดังที่สุดก็คือการให้ความเห็นกรณีที่ปลัดอำเภอสาวแต่งตัวฟิตเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 หลังจากนั้นก็ปรากฏในข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ปกติอย่างเช่นการปราบยาเสพติดในพื้นที่ และก็มาโด่งดังอีกครั้งก็คราวเคลื่อนไหวคัดค้านการสร้างมัสยิดที่อำเภอปากคาดนี้เอง

ทั้งนี้มีข้อมูลนายกรกตเป็นนายอำเภออำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมในปี 2552   ถูกย้ายไปเป็นนายอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ปี 2556  และถูกย้ายมาเป็นปลัดจังหวัดบึงกาฬปี 2558 หากค้นหาจากกูเกิลด้วยคำว่า "กรกต ธำรงวงศ์สวัสดิ์ ประวัติ" ก็จะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้อมูลเพียง 8 หน้าเท่านั้นและเป็นข้อมูลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
...........................
(หมายเหตุ : ที่มาภาพ http://www.alittlebuddha.com)

ไทยแลนด์4.0'ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน' มอบผ้ายันต์ให้กำลังใจ 'ปลัดพาณิชย์'

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้มอบหมายให้นายประจักษ์ บุญยัง รองผุ้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ไปมอบผ้ายันต์ให้แก่ นางชุติมา บุญยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นการให้กำลังใจและชื่นชม ในการปฏิบัติหน้าที่รักษาเงินแผ่นดินอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะกรณีลงนามหนังสือคำสั่งทางปกครอง เรียกค่าเสียหายในคดีขายข้าวแบบรับต่อรัฐ (G TO G)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผ้ายันต์ดังกล่าวนั้นเข้าใจว่าเป็นยันต์พิชัยสงคราม แต่เป้าหมายหรือเลขยันต์จริงนั้นคือการชนะกิเลสในจิตใจถึงจะตรงกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ถ้าเข้าใจเพียงเป็นของขลังก็มีความหมายเพียงไสยศาสตร์เท่านั้น
..............................
หมายเหตุ : ที่มาเนื้อหาและภาพจาก http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/720438

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559


'ประยุทธ์'ชี้กรณีค้านสร้างมัสยิดบึงกาฬให้คู่ขัดแย้งต้องไปทำความเข้าใจกันจะให้รัฐแก้ทุกอย่างคงไม่ได้

เมื่อเวลา 14.15 น. วันที่ 27 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยในขณะที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ ได้มีผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวมุสลิม ไวท์ชาแนล (http://news.whitechannel.tv/) ได้สอบถามถามกรณีเกิดการคัดค้านการสร้างมัสยิดที่ จ.บึงกาฬ โดยผู้สื่อข่าวมุสลิมได้ถามว่า "ตอนนี้สำนักจุฬาราชมนตรีมีข้อห่วงกังวล เกี่ยวกับการคัดค้านสร้างมัสยิดที่ จ.บึงกาฬ เพราะได้มีการอนุญาตให้สร้างจากท้องถิ่นตามกฎหมายแล้ว แต่ว่ามีกลุ่มบางกลุ่มที่พยายามปลุกปั่นทางโซเชียลมีเดีย"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตอบผู้สื่อข่าวดังกล่าวว่า เรื่องนี้คู่ขัดแย้งต้องไปทำความเข้าใจกันจะให้รัฐแก้ทุกอย่างคงไม่ได้ เพราะอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขยายขึ้นไปได้อีก และถ้ารัฐเข้าไปแล้วเกิดความขัดแย้งขึ้นมาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบได้บ้าง จะใช้กฎหมายอย่างไร ให้จับคนคัดค้านทั้งหมดก็ขยายความขัดแย้งไปเรื่อยๆ ชาวพุทธกับมุสลิมก็ทำความเข้าใจกัน  แล้วที่ขยายไปเรื่อยๆอย่างนั้นแล้วพุทธกับมุสลิมจะอยู่กันได้อย่างไร ไม่ใช่ขยายไปเรื่อยๆอีกหน่อยก็อยู่กันไม่ได้ทั้งประเทศแล้วเกิดอะไรขึ้นแล้วมีใครรับผิดชอบหรือไม่

ผู้สื่อข่าวมุสลิมคนดังกล่าวได้ถามต่อไปอีกว่า "แล้วรัฐจะมีการตั้งเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นหรือไม่ ?"

นายกรัฐมนตรีตอบกลับไปทันทีว่า "ไม่ต้องตั้งเวทีหรอกผมสั่งการให้เขาดูอยู่แล้ว แล้วถ้าคนเขาไม่ยอมกันทั้งคู่จะให้ผมทำอย่างไร หรือจะให้จับทั้งคู่สร้างให้ได้  หรือจะให้ผมเอาทหารไปล้อมให้สร้างมัสยิดหรือ โธ่ ก็ไม่ได้ทั้งหมด ไม่อยากอยู่ร่วมกันแล้วจะทำอย่างไรได้ ต้องมาหาวิธีการอยู่ร่วมกันให้ได้เพียงพอหรือยัง อีกข้างหนึ่งก็ไม่ไว้ใจอีกข้างหนึ่งก็ต้องการโอกาสบ้าง นี่งัยประชาธิปไตย จะให้ใช้กฎหมายอย่างเดียวก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ก่อนกฎหมายใช้เมื่อจำเป็น ถ้าบังคับใช้กฎหมายทุกเรื่องก็เกิดความขัดแย้งเรื่อยไป

..........................
(คลิปจาก https://www.youtube.com/watch?v=ml8Yy8AvyXs นาทีที่ 37)


แม่น้ำเจ้าพระยาไหลถึงดานูบด้วยสายธารธรรม




สาธุ!ฮังการีรับรองวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกทวิทยาลัยพุทธสบทบ'มจร'แห่งเดียวในยุโรปเปิดสอบตั้งแต่ระดับป.ตรี-เอก พระพรหมบัณฑิตและคณะตรวจเยี่ยมชื่นชมผลงาน

              ระหว่างวันที่   ๒๔-๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ พระพรหมบัณฑิตและคณะประกอบด้วยพระศรีคัมภีรญาณ รองอธิการบดี และพระมหาสมบูรณ์ วุฑฒิกโร คณบดีบัณฑิต พระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา  นำคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกท กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งเป็นสถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยนายปีเตอร์ ยาคอป (H.E. Dr. Peter Jakab) เอกอัครราชทูตฮังการีประจำกรุงเทพมหานคร  ได้เข้าพบที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ถวายคำแนะนำเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙

              ทั้งนี้วิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกทเป็นวิทยาลัยพุทธศาสนาแห่งเดียวในยุโรปที่เปิดสอนปริญญาตรีและปริญญาโทที่รัฐบาลให้การรับรองศักดิ์และสิทธิ์ของปริญญา สำหรับการเปิดสอนระดับปริญญาเอกนั้น วิทยาลัยแห่งนี้ดำเนินการโดยอาศัยหลักสูตรปริญญาเอกของ มจร ในฐานะเป็นสถาบันสมทบของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับวิทยาลัยพระพุทธศาสนาดองกุก ชอนบอบ สาธารณรัฐเกาหลี มหาปัญญาวิทยาลัย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา  มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาซินจู สาธารณรัฐไต้หวัน  ศูนย์การศึกษาพระอาจารย์พรัหม ประเทศสิงคโปร์   วิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ ประเทศศรีลังกา  วิทยาลัยพระพุทธศาสนา ประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมชาวพุทธในยุโรป (European Buddhist Training Center) ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

              วันเสาร์ที่ ๒๔ กันยายน  เวลา ๑๐.๓๐ น. พระพรหมบัณฑิตและคณะเดินทางถึงสนามบินกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี  มีนายยานอส เจเลน (Janos Jelen) อธิการบดีวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกท

              วันอาทิตย์ที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๙.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิตและคณะตรวจเยี่ยมกิจการของวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกท โดยพบและปรึกษาหารือกับนายลาสโล มิเรซ (Laszlo Mireisz) ประธานพุทธสมาคมฮังการีในฐานะนายกสภาของวิทยาลัย จากนั้นพระพรหมบัณฑิตได้บรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษเรื่อง "ปรัชญาอัตถิภาวนิยมกับพุทธปรัชญา" แก่ผู้บริหาร คณาจารย์และนิสิตของวิทยาลัย

              ต่อมาเวลา ๑๔.๐๐ น.พระพรหมบัณฑิตและคณะเยี่ยมชมโบสถ์พันนอนฮาลมาอายุ ๑,๐๒๒ ปีซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์แห่งแรกในประเทศฮังการี และได้สนทนาแลกเปลี่ยนกับบิชอปอัสทริก วาร์เซกิ (Dr. Asztrik Varszegi) เจ้าอธิการของโบสถ์ โบสถ์พันนอนฮาลมา สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๕๓๙ (ค.ศ. ๙๙๖) มีการฉลองอายุครบหนึ่งพันปีเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๙ โบสถ์นี้เคยถูกกองทัพมุสลิมเติร์กทำลายย่อยยับในเวลาไล่เลี่ยกับที่มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเผาทำลายในอินเดีย แต่ชาวคริสต์ในฮังการีได้ช่วยกันสร้างขึ้นมาใหม่จนมีสภาพอย่างที่เห็นในปัจจุบัน องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้โบสถ์นี้เป็นมรดกโลกอีกด้วย
 
              วันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๙.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิตและคณะเยี่ยมชมอาคารรัฐสภาของฮังการีและสนทนาแลกเปลี่ยนกับนายยาลอส ลาโทไซ (Dr. Janos Latorcai)รองประธานรัฐสภาของฮังการี

              อาคารรัฐสภานี้สร้างเสร็จใน พ.ศ. ๒๔๔๗ เป็นอาคารรัฐสภาใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจากอารรัฐสภาอาเจนตินาและอาคารรัฐสภาอังกฤษ ฮังการีในปัจจุบันมีสภาเดียวคือสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีวุฒิสภา อาคารรัฐสภาฮังการีเป็นที่เก็บมงกุฏอันศักดิสิทธิ์ของกษัตริย์ฮังการีในอดี

              วันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิตและคณะเยี่ยมชมปราสาทบูดา (Buda Castle) ซึ่งเริ่มสร้างในพ.ศ. ๑๘๐๘ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงที่ทำให้มองเห็นทัศนียภาพรอบกรุงบูดาเปสต์ ปราสาทนี้เคยเป็นพระราชวังของกษัตริย์ฮังการีที่ได้รับการปรับปรุงให้งดงามมากในยุคจักรวรรดิออสเตรีย ฮังการีปัจจุบันเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาลฮังการี

              จากนั้นเวลา ๑๗.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิตและคณะได้ไปเยี่ยมชมโบสถ์บาสิลิกา (St. Stephen's Basilica) เป็นโบสถ์คริสต์สำคัญที่สุดของฮังการี สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘ ในโบสถ์มีเครื่องออร์แกนขนาดใหญ่สำหรับบรรเลงเพลงศาสนาที่คนนิยมเข้าฟังจำนวนมาก เพลงหนึ่งที่บรรเลงในวันนี้มีชื่อว่า Thai's Meditation (กรรมฐานไทย)

              วันอังคารที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๙.๐๐ น. พระพรหมบัณฑิตและคณะล่องเรือไปตามแม่น้ำดานูบเพื่อชมกรุงบูดาเปสต์และเมืองเซนเทนเดอร์ ในขณะนั่งเรือ พระพรหมบัณฑิตได้บันทึกเทปโทรทัศน์เรื่อง "จากเจ้าพระยาถึงดานูบ" เพื่อออกอากาศในรายการรู้ธรรมนำชีวิตทางช่อง  ๙ ช่อง ๑๑ และ MCU TV

              เมืองเซนเทนเดอร์ เป็นเมืองเล็กริมฝั่งแม่น้ำดานูบ เริ่มตั้งเมืองเมื่อ ๘๐๐ ปีที่แล้ว นักกวีและจิตรกรชอบมาอยู่ที่เมืองนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการผลิตผลงานด้านกวีนิพนธ์และวาดภาพ

              วันอังคารที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ เวลา ๑๔.๐๐ น. เดินทางไปเยี่ยมวัดไทยรัตนประทีปซึ่งเป็นวัดไทยแห่งแรกในประเทศฮังการีโดยมีท่านเจ้าอาวาสพร้อมด้วยนายต่อ ศรลัมพ์ อุปทูตไทยประจำกรุงบูดาเปสต์รอต้อนรับวัดไทยรัตนประทีปจดทะเบียนเป็นสมาคมอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมาโดยสามารถซื้อที่ดินและอาคารสถานที่ตั้งวัดได้แล้วด้วยการอุปถัมภ์ของสถานทูตไทยและการบริจาคทั่วไป ปัจจุบันมีพระสงฆ์ไทยอยู่จำพรรษา ๒ รูป โดยพระพรหมบัณฑิตได้แนะนำให้วัดไทยรัตนประทีปทำงานร่วมกันกับวิทยาลัยพุทธศาสนาธรรมเกท

              พระมหาหรรษา ธัมมหาโส เปิดเผยระหว่างร่วมคณะว่า  พระพรหมบัณฑิตได้ย้ำเน้นว่า "เราไม่ได้สนับสนุนการจัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาฯ แต่เรากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์โดยการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาชนในกลุ่มประเทศในยุโรปโดยมีฮังการีเป็นประตู" และพระพรหมบัณฑิตได้กล่าวถึงสหภาพยุโรปให้การยอมรับมหาจุฬาฯ ในฐานะที่วิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกทเป็นสถาบันสมทบของมหาจุฬาฯ ย่อมทำให้มหาจุฬาฯเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่สหภาพยุโรปเชื่อมั่นและให้การยอมรับ

              ประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ คือประโยชน์ที่ชาวฮังการีและชาวยุโรปจะได้รับจากพระพุทธศาสนาผ่านการทำหน้าที่ของมหาจุฬาฯ ที่จะนำพระพุทธศาสนามาสู่ชาวยุโรปด้วยมิติต่างๆ ทั้งการศึกษาพระพุทธศาสนาในระดับอุดมศึกษา และการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อจัดการความทุกข์ที่เกิดจากการเกาะกัดกินของวัตถุนิยม รวมไปถึงความทุกข์อันเกิดจากความขัดแย้งและหวาดระแวงที่เกิดจากการปะทะกันทางวัฒนธรรมต่างๆ

              การปะทะกันทางวัฒนธรรมเก่ากับใหม่นั่นเอง จึงทำให้พระพรหมบัณฑิตนายยานอส ยาโทไซ รองประธานรัฐสภาฮังการี และบิชอบอาสทริก วาร์เซกิ ผู้นำสูงสุดของศาสนาคริสต์ในประเทศฮังการี ได้ย้ำเน้นถึงความสำคัญของ "สันติศึกษา" หรือ Peace Education ในขณะพูดคุย ที่จะใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงให้กลุ่มต่างๆ ได้ตระหนักรู้ถึงผลเสียของสงครามและความรุนแรงของฮังการีที่ได้ผลกระทบจากอาณาออสโตมาน การทำลายล้างของกลุ่มทหารเติร์ก ลัทธิล่าอาณานิคมจากฮิตเลอร์ ประเทศเยอรมัน และแนวทางคอมมิวนิวต์แบบเลนิน และสตาลิน

              ฮังการีจึงเป็นประเทศ "ล้มเพื่อลุก และลุกเพื่อล้ม" มาอย่างต่อเนื่องด้วยตัวแปรต่างๆ ทั้งตัวแปรภายในและตัวแปรภายนอก สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการลุกและล้มนั้น คือ (๑) การรุกรานจากอาณาจักรที่เข้มแข็งกว่า (๒) การตั้งอยู่ในสมรภูมิที่อยู่ตรงกลางระหว่างยุโรป โซเวียต และตะวันออกกลาง ฉะนั้น ในทุกศึกสงครามประเทศมหาอำนาจจึงต้องตีเมืองแล้วยึดประเทศฮังการีเพื่อใช้เป็นรัฐกันชนก่อน แล้วจึงข้ามไปทำสงครามกับประเทศอื่นๆ ต่อไป (๓) ตัวผู้นำทางการเมืองมักจะตัดสินใจผิดพลาดในการถ่วงดุลระหว่างประเทศมหาอำนาจ (Balance of Power) จึงทำให้ประเทศมหาอำนาจไม่พอใจจนนำไปสู่การยึดและทำลายล้าง ซึ่งประเด็นนี้ ประเทศไทยตั้งแต่อดีตเชี่ยวชาญในการถ่วงดุลอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัชกาล ๕ ทรงคบหากับรัสเซีย และเยอรมัน รัชการที่ ๖ ทรงคบหากับประเทศอังกฤษในฐานศิษย์มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด และกลุ่มปรีดี พนมยงค์ คบหากับประเทศอเมริกา

              ในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักรนั้น ประโยคที่ว่า "คอมมิวนิสต์มาศาสนาหมด" การจัดวางสถานะของศาสนจักรที่รัฐในฐานะที่เป็นคอมมิวนิสต์ในช่วงเวลาที่โซเวียตครองครองอยู่มีลักษณะเผชิญหน้าและต่อต้าน จึงทำให้ศาสนาคริสต์ถูกปราบอย่างหนักทั้งการยึดโรงเรียน ทั้งการปิดโรงเรียนสอนศาสนาจำนวนมาก ทั้งการบีบ และขับไล่ผู้นำทางศาสนาคริสต์ จนในที่สุดทำให้พลังของศาสนาคริสต์ที่ส่งตรงมาจากโรมอ่อนตัวลงในยุคคอมมิวนิสต์ที่โซเวียตเข้ามาครองครองอำนาจหลังจากขับไล่อำนาจของเยอรมันออกไป ในบางยุคผู้นำทางการเมืองเข้ามาอาศัยผลประโยชน์จากการบริจาคของโบสถ์ต่างๆ จะเห็นว่า พลังของการเมืองทางการเมืองมีอิทธิพลอย่างสูงต่อความเจริญและความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในฮังการี ท้ายที่สุด ภายหลังที่เข้าสู่ประชาธิปไตย ศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธจึงได้รับการเผยแผ่ขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ศาสนาคริสต์มีต้นที่ทุนเดิมที่ดีกว่า ทั้งนี้ในปัจจุบันมีมีพุทธศาสนิกชนราว ๑๐,๐๐๐ คนกว่า

              นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่พระพรหมบัณฑิตจึงย้ำว่า "เราไม่ได้มาในนามมหาจุฬาฯ แต่เรานำพระพุทธศาสนามามอบให้ชาวยุโรปผ่านประตูของวิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกท กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งการเข้าพบบิชอบออาสทริกและรองประธานรัฐสภายานอส คือการเข้าไปพบปะพูดคุยเพื่อแนะนำตัว แลกเปลี่ยน และเปิดตัวมหาจุฬาฯ ต่อผู้นำทางศาสนาและผู้นำทางการเมือง เพื่อให้สถาบันสมทบได้ทำลายภายในพันธมิตรร่วมคือมหาจุฬาฯ ดังที่ผู้นำองค์กรสูงสุดของประเทศฮังการีย้ำว่า "ในประเทศฮังการี คริสต์ศาสนาคือพี่ พระพุทธศาสนาคือน้อง" รวมกันคือความเป็นพี่น้องที่มุ่งมั่นทำงานใช้ชาวฮังการีและชาวยุโรป

              การเดินทางมาของพระพรหมบัณฑิต และคณะผู้บริหารมหาจุฬาฯ จึงใช้การศึกษามาเป็นสะพานให้การให้พระพุทธศาสนาได้ทอดเดินจากประเทศไทยสู่ประเทศฮังการี อันเป็นการส่งเสริมองค์ความรู้และเครื่องมือในการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาให้แก่สถาบันสมทบ เพื่อให้สถาบันสมทบซึ่งสหภาพยุโรปและรัฐบาลที่ให้การรับรองได้เป็นประตูที่จะนำพระพุทธศาสนาไปสู่ชุมชน และสังคมได้ศึกษา เรียนรู้และพัฒนาเป็นในการดำเนินชีวิต เพื่อนำตนออกจากความทุกข์และเข้าถึงสันติสุขในชีวิต ชุมชน และสังคมต่อไป


....................................
หมายเหตุ : ข้อมูลและภาพจากเว็บไซต์ http://www.watprayoon.com ซึ่งมีภาพเป็นจำนวนมา

พรึบ!ป้ายคัดค้านสร้างมัสยิดปากคาดหลังคณะสงฆ์บึงกาฬมีมติต้าน 


จากผลการประชุมเจ้าคณะพระสังฆาธิการในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ประกอบด้วยเจ้าคณะอำเภอทุกอำเภอของบึงกาฬ เจ้าคณะตำบลของอำเภอปากคาดทั้งหมด และเจ้าอาวาสในตำบลปากคาดทุกวัดโดยมีรองเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน ที่วัดโนนสำราญ ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ  เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2559 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับสถานการณ์พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะการสร้างมัสยิดในพื้นที่อำเภอปากคาด โดยเป็นการประขุมลับ มีเจ้าหน้าสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติประจำจังหวัด ตำรวจและทหารทั้งในและนอกพื้นที่สังเกตการณ์และรายงารต่อผู้บังคับบัญชาเป็นระยะ


รายงานแจ้งว่า ที่ประชุมมีมติคือ 1.ดำเนินการอ้างสิทธิ์การเป็นอยู่ในพื้นที่อย่างสันติสุข 2.แสดงการคัดค้านการสร้างมัสยิดพื้นที่อำเภอปากคาดเชิงสัญลักษณ์ทั่วทั้งจังหวัดบึงกาฬเช่นการขึ้นป้ายคัดค้าน และ 3.ตั้งคณะกรรมเครือข่ายประสานงานระดับอำเภอ  ซึ่งจะทำหนังสือนำเสนอมติดังกล่าวนี้ต่อเจ้าคณะจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดในวันที่30ก.ย.นี้


จากผลการประชุมของเจ้าคณะพระสังฆาธิการในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬดังกล่าวปรากฏว่าวันที่ 27 ก.ย.ได้มีการตัดป้ายคัดค้านการสร้างมัสยิดตามถนนอำเภอปากคาด





ปลัดแรงงานเยี่ยมให้กำลังใจชื่นชมเยาวชนทำผลงานได้ดี

เมื่อเร็วๆ นี้ หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมนายกรีฑา สพโชค อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นายเสถียร พจน์โพธ์ศรี รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและคณะเยี่ยมชมให้กำลังใจเยาวชนตัวแทนประเทศไทยพร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญ ที่เข้าร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 11 ระหว่าง วันที่ 24 - 26 กันยายน 2559 ณ Malaysia Agro Exposition Park Serdang : MAEPS กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งในช่วงการแข่งขันผู้เข้าแข่งขันสาขาต่างๆ ได้ลงมือปฏิบัติตามโจทย์ที่ได้รับมา ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทำผลงานได้ตามแผนเกือบทุกสาขา ยกเว้นบางสาขาที่มีปัญหาในเรื่องอุปกรณ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ แต่ก็สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ไปได้ด้วยดีและทำคะแนนได้ในระดับต้นๆของการแข่งขัน

ทั้งนี้ หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวหลังจากที่ได้เยี่ยมให้กำลังใจเยาวชนและสอบถามถึงแนวโน้มในการคว้าเหรียญรางวัลของทีมฝีมือแรงงานไทยจากผู้เชี่ยวชาญและคณะทำงานของไทยว่า "ทีมไทยมีความพร้อมมากในการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งอาจจะสามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้เกินเป้าที่วางไว้ คือ มากกว่า 7 เหรียญทอง เพราะทราบมาว่าเยาวชนทำผลงานได้ดี คะแนนอยู่ในระดับต้นๆ ของการแข่งขัน ผลของการแข่งขันที่ออกมาในลักษณะนี้ก็เนื่องจากการที่ได้ร่วมเก็บตัวฝึกซ้อมกับหน่วยงานของเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาดังกล่าว



อีกทั้งผู้เข้าแข่งขันของเรามีสมาธิมากขึ้นไม่ตื่นเต้นเหมือนช่วงแรกๆ และมีพัฒนาการที่ดี อีกประการหนึ่งคือการที่เรามีรุ่นพี่ที่เคยผ่านประสบการณ์การแข่งขันมาเป็นเทรนเนอร์ให้น้องก็เลยทำให้ผลงานออกมาดี แต่ก็มีบางสาขาที่ผู้เข้าแข่งขันพบปัญหา ซึ่งก็กำลังหาทางแก้ไขร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งปัญหาที่คณะกรรมการตรวจพบจึงเป็นตัวแปรกับการให้คะแนนด้วย เพราะใช้ในการประมวลผลงานของแต่ละวัน เราก็ต้องยอมรับในผลคะแนนที่ได้ตามผลงาน สิ่งที่สำคัญคือเราต้องไม่มีความผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อยที่สุด นั่นคือการเข้าใจในโจทย์และทำตามโจทย์อย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นระยะเวลาในการเก็บตัวฝึกซ้อม 6 เดือนที่ผ่านมา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะหาจุดอ่อนของตัวเองและทำให้จุดอ่อนนั้นหายไป

สำหรับการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียนในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับเยาวชนของประเทศไทยให้เป็นเยาวชนของอาเซียน ตามข้อตกลงของกลุ่มประเทศอาเซียนให้เทียบเท่ากับมาตรฐานโลก โดยใช้การแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียนเป็นบันได อีกทั้งต้องการให้ประเทศในกลุ่มสมาชิกที่ยังไม่ได้ส่งเข้าร่วมการแข่งขันในบางสาขาส่งเยาวชนเข้ามาแข่งขันให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทางประเทศไทยยินดีที่จะเข้าไปฝึกหรือนำคนของประเทศนั้นเข้ามารับการฝึกฝีมือแรงงานที่ไทย" ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าว

ด้านผู้เข้าแข่งขันสาขาประกอบอาหารที่เป็นอีกหนึ่งความหวังในการคว้าเหรียญรางวัลของไทยคือ นางสาวณัชชา แซ่โง้ว และนางสาวอัจฉรา ธนพลเสถียร กล่าวว่าในช่วงของการแข่งขันก็สามารถทำตามโจทย์ที่ให้มาได้ นั่นคือการทำขนมหวานและอาหารซีฟู้ดที่ต้องทำออกมาถึงสิบชิ้นและทุกชิ้นต้องเหมือนกันทั้งรูปร่างและรสชาติ เพราะได้ฝึกซ้อมมาอย่างดี ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโจทย์ 30 % จากคณะกรรมการแต่ก็สามารถทำได้ดีเพราะเป็นสิ่งที่เราคาดการณ์มาก่อนล่วงหน้าอยู่แล้ว สำหรับอุปสรรคที่พบก็จะมาจากอุปกรณ์ที่เราไม่คุ้นเคยในการทำงาน จึงจำเป็นที่จะต้องปรับใช้อุปกรณ์ตามที่เจ้าภาพจัดให้ และคิดหาสิ่งอื่นมาทดแทนเพื่อทำให้ทันตามกำหนดเวลา อีกหนึ่งปัญหาที่พบคือเราอาจจะข้ามขั้นตอนในการทำงานไปบ้างแต่ก็สามารถกลับมาแก้ปัญหาได้อย่างดีลุล่วงไปได้ สำหรับการเตรียมพร้อมในการแข่งขันวันสุดท้าย ก็จะมีการเขียนแผน ทำจิตใจให้สบายแต่ต้องมีสติเพราะเป็นวันสุดท้ายแล้ว ส่วนผลงานที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ คาดหวังว่าจะมีเหรียญติดมา



“อุเทน”ติงภาครัฐเกียร์ว่างจนน้ำถล่มหลายพื้นที่ เซ็งเตือนล่วงหน้าแต่ทำเก่งว่าเอาอยู่ ย้ำหลัก “หาที่ให้น้ำอยู่ หาทางให้น้ำไป” แนะหาทางส่งน้ำลงทะเลให้เร็วที่สุด เตือนอย่าคิดสู้โดยกั้นน้ำเดือดร้อนหนักกว่าเดิม

นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการผันน้ำลงทะเลทางฝั่งตะวันออก กล่าวถึงสถานการณ์น้ำที่ส่งผลให้หลายจังหวัดต้องประสบปัญหาอุทกภัยว่า ก่อนหน้านี้ได้ออกมาแจ้งเตือนแล้วว่า ให้เจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ตามที่มีการพยากรณ์ว่าจะมีมรสุม มีพายุเข้าประเทศไทยติดต่อกัน 3-5 ลูก อีกทั้งจากการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ก็ทำให้ฝนตกช้ากว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังมีฤดูฝนที่ยาวกว่าในอดีต ที่สำคัญในเชิงพยากรณ์สภาพอากาศก็มีข้อบ่งชี้ว่าทุก 5-6 ปีจะมีปริมาณน้ำในที่มากกว่าปกติ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2554 จนสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลมาแล้ว

นายอุเทน กล่าวต่อว่า การออกมากล่าวเตือนล่วงหน้าของตนไม่ได้ต้องการสร้างความตระหนก หรืออยากดังแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ยังขาดความพร้อมในการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งยังมีบางส่วนมองเป็นเรื่องเล่นๆ ในเชิงว่าเอาอยู่แน่นอน โดยไม่ดำเนินการให้ดีพอ ทั้งที่เคยแนะนำให้กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเกาะติดปริมาณน้ำฝนและน้ำในเขื่อน รวมถึงคลองต่างๆไว้ล่วงหน้า แต่ก็ปล่อยให้น้ำเอ่อท่วมบ้านเรือนประชาชนตามที่ปรากฎในข่าว จึงอยากขอย้ำหลักคิดที่ตนเคยเป็นอดีตประธานคณะกรรมการผันน้ำลงทะเลฯเมื่อปี 2554 ด้วยการ " หาที่ให้น้ำอยู่ และหาทางให้น้ำไป " ซึ่งทางที่น้ำจะไปดีที่สุดคือ ทางทะเล ซึ่งเคยทำมาแล้วจนทำให้ฝั่งตะวันออกได้รับผล กระทบจากน้ำท่วมน้อยมาก ทั้งนี้รู้สึกเป็นห่วงที่เห็นหลายหน่วยงานพยายามตั้งท่าจะสู้กับน้ำ โดยการกั้นน้ำหรือระบายน้ำให้ลงในแม่น้ำ โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งได้ส่งผลให้เกิดการท่วมแล้วในหลายจังหวัด และเกิดวิกฤติอีกหลายพื้นที่

 “เมื่อเกิดปัญหาความเดือดร้อนขึ้นกับประชาชน รัฐบาล หรือหน่วยงานภาครัฐ ไม่ควรคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใครที่สามารถทำอะไรให้เกิดประโยชน์ได้ก็ควรประสานงานกัน โดยส่วนตัวก็มีความยินดีในการให้คำแนะนำต่างๆ” นายอุเทน ระบุ


“มหาดไทย” เดินหน้าสร้างโรงเรียนคุณธรรม ยกโรงเรียนคุณธรรมมูลนิธิรัฐบุรุษเป็นต้นแบบ ผลิตข้าราชการครูสังกัด อปท.พร้อมนำไปปลูกฝังเยาวชนสร้างชาติ ติวเข้มคิดทำ-ทำดี สร้างความดีเป็นสากล แนะเร่งพัฒนาต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบให้จังหวัด เตรียมเดินสายสร้างโรงเรียนคุณธรรมทั่วประเทศ


วันที่ 26 ก.ย. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการด้านคุณธรรมและจริยธรรมของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รุ่นที่ 2 ปีงบประมาณ 2559 ณ โรงแรมทาวน์ อิน ทาวน์ กรุงเทพฯ

รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวแสดงความชื่นชมคณะผู้บริหารและคุณครูทุกท่าน ที่ได้ให้ความสำคัญและสละเวลามาเข้าร่วมการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ และเห็นว่าการเสริมสร้างและส่งเสริมคุณธรรมแก่นักเรียนเป็นการปลูกฝังการทำความดีที่มีความเป็นสากล สามารถดำเนินการร่วมกันได้ทุกศาสนา เพราะอยู่บนพื้นฐานของการคิดดี ทำดี ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ซึ่งทุกศาสนามีหลักการเช่นเดียวกัน

“สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้บริหารและครูที่เข้ารับการอบรม จะนำประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้และพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ที่โรงเรียน โดยในระยะต่อไปผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยจะไปเยี่ยมชมที่โรงเรียนว่าได้มีการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง และหากโรงเรียนมีศักยภาพเพียงพอ ก็สามารถพัฒนาสู่โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบของจังหวัด สามารถแนะนำถ่ายทอดสู่โรงเรียนอื่นเป็นเครือข่ายวิทยากรครูคุณธรรมต่อไป”นายสุทธิพงษ์กล่าว



             
โครงการฝึกอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านคุณธรรมและจริยธรรมของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รุ่นที่ 2 จัดขึ้นโดย สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (สำนักงาน ก.ถ.) เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะและสร้างธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน และข้าราชการครูที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในโรงเรียนสังกัด อปท. พื้นที่จังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ รวมทั้งสิ้น 111 คน


อย่างไรก็ตาม โครงการรุ่นที่ 2 กลุ่มภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ดำเนินการในระหว่างวันที่ 26 - 27 กันยายน 2559 ณ โรงแรมทาว์น อิน ทาว์น กรุงเทพมหานคร โดยการฝึกอบรมมีทั้งการบรรยายพิเศษให้ความรู้ และมีการตอบข้อซักถามเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมถึงจัดให้มีการศึกษาดูงานและฝึกปฏิบัติทดลองสอน ณ สถานที่จริง ที่โรงเรียนบ้านบัวมล (เจริญราษฎร์อุทิศ) เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโรงเรียนคุณธรรมต้นแบบของมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

“สมคิด”ดึง“ภาคประชาสังคม”ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจ 

“สมคิด” ทิ้งทวนไตรมาส 4 ดึง “ภาคประชาสังคม” ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจ สสส.ชง 5 โมเดล “ประชารัฐเพื่อสังคม” จูงใจเอกชนจ้างงานคนพิการ-ดูแลผู้สูงอายุ ตั้งเป้าสร้างรายได้หมุนเวียน 1 พันล้านบาท

               เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2559 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) จัดเวที “ประชารัฐเพื่อสังคม” เพื่อผนึกกำลังภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมจากหลากหลายหน่วยงานกว่า 100 คน เข้าร่วม ณ ห้องวิมานสุริยา โรงแรมดุสิตธานี โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวบรรยายพิเศษเรื่อง “ภาคีธุรกิจ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย” ว่า แนวทางประชารัฐเป็นการเปลี่ยนวิธีคิดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งภาคเอกชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมเป็นกลไกทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศได้ อาทิ การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็ก และเยาชน

               ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า นโยบายประชารัฐตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเป็นไปได้ดีมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นไปในด้านเศรษฐกิจ ตนจึงได้หารือร่วมกับ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส อยากให้มีการเริ่มต้นนโยบายประชารัฐด้านสังคมอย่างจริงจัง ซึ่งมีหลายเรื่องที่ภาคเอกชน สามารถเข้ามาร่วมผลักดันไปได้ เช่น การผลักดันการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข แต่หากให้เฉพาะหน่วยงานดูแลก็มีกำลังน้อย ในขณะที่ภาคเอกชนมีกำลัง มีเครื่องมือ จึงอยากให้เข้ามามีส่วนร่วม ในครั้งนี้จึงเป็นการรับฟังข้อมูลจากภาคประชาสังคมที่จะช่วยเสนอประเด็นที่ภาคเอกชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ในขณะที่ภาครัฐจะร่วมสนับสนุน อาทิ ให้มีมาตรการทางภาษีสนับสนุนกรณีการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นต้น

               นพ.พลเดช ปิ่นประทีม เลขาธิการ สช. กล่าวว่า ประชารัฐเป็นกระบวนการทำงานแบบสานพลังระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาประเทศและชุมชนท้องถิ่น ในช่วง 1 ปี ของการขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมไทย มีศักยภาพและความพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือและร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ดังนั้น ประชารัฐเพื่อสังคม จึงเป็นการขยายบทบาทความร่วมมือการพัฒนาจากประเด็นเศรษฐกิจสู่ประเด็นการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต


               ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่าในการประชุมนี้ได้มีการนำข้อมูลตั้งต้นของกิจกรรมความร่วมมือด้านสังคมที่จะประสานภาครัฐ ประชาสังคมและเอกชนได้ มาเป็นจุดตั้งต้นในการประสานความร่วมมือ ได้แก่ 1.การพัฒนาสุขภาวะเด็กปฐมวัย 2.การจ้างงานคนพิการ 3. การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 4.การลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ และ 5.การสร้างเครือข่ายเพื่อการแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยให้ภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนกิจกรรม ร่วมบริหารจัดพื้นที่และชุมชนใกล้เคียง อาทิ ภาคธุรกิจเข้ามาสนับสนุนการจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานสาธารณประโยชน์ใกล้บ้านในอัตรา 1 ต่อ 100 ตาม ม.33 หรือส่งเสริมอาชีพคนพิการตาม ม. 35 พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีคนพิการ 1.9 ล้านคน ลงทะเบียน 1.56 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้พิการไม่มีงานทำ 46% หรือ 352,859 ล้านคน หากภาคเอกชนเข้าร่วมสนับสนุนจ้างงานผู้พิการได้ตามเป้าอย่างน้อย 10,000 คน จะทำให้เกิดการสร้างรายได้ถึง 1 พันล้านบาท

               “ปัจจุบันผู้สูงอายุ 34% มีรายได้ต่ำกว่าเส้นยากจน หรือ 2,572 บาทต่อคนต่อเดือน และปัจจุบัน 1 ใน 10 ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ทำให้ในอนาคตรัฐจะต้องจัดสวัสดิการรักษาพยาบาลและการดูแลเพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านล้านบาท ในส่วนนี้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจหรือระบบบริการเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน พัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุได้ หรือในประเด็นการป้องกันอุบัติเหตุภาคเอกชน สามารถกำหนดมาตรการความปลอดภัยในนิคมอุตสาหกรรม สถานประกอบการและโรงงาน อาทิ มาตรการสวมหมวกนิรภัย 100% มาตรการเมาไม่ขับ มาตรการคาดเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น โดยภาคประชาสังคมจะเป็นจุดจัดการในพื้นที่ เชื่อมโยงและประสานเครือข่ายในระดับชุมชน ติดตามการปฏิบัติงาน และเตรียมความพร้อมให้ในกลุ่มต่างๆ อาทิ ผู้พิการ ครอบครัว และชุมชน ซึ่งเหล่านี้เป็นพื้นที่มีการเตรียมดินไว้แล้ว หากมีความร่วมมือจากภาคเอกชน ไปร่วมกันลงแรงเพาะปลูกต่อในพื้นที่นั้น เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็จะงอกงามได้เร็วขึ้น และเกิดประโยชน์ที่ยั่งยืนต่อการพัฒนาประเทศ” ดร.สุปรีดา กล่าว

               นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า ในส่วน 5 ประเด็นที่ นำเสนอมีความเป็นไปได้สูง ในการที่ภาคธุรกิจจะเข้ามาเป็นกลไกร่วมพัฒนาขุมขน สร้างความเข้มแข็งในพื้นที่ ในส่วนกลุ่มมิตรผลได้ร่วมเป็นภาคีเครือข่ายทำงานกับ สสส. โดยเฉพาะประเด็นการจ้างงานผู้พิการมาแล้วหลายปี และเชื่อว่าหากสร้างกลไกสนับสนุนให้องค์กรเอกชนที่เข้มแข็งได้รับรู้วิธีการก็จะเกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น ที่ผ่านมากลุ่มมิตรผล ได้ร่วมกับ สสส.จ้างงานผู้พิการในพื้นที่ 77 คน ผลออกมาดีมาก โดยผู้พิการสามารถเข้าไปทำงานใน อบต.และ อบจ. ก็จะช่วยได้มาก และสร้างงานให้เอกชนได้

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...