วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563

อธิบดี พช.น้อมนำศาสตร์พระราชาเปิด "ฝายมีชีวิตวัดช้าง" เพื่อชุมชนยั่งยืน


 อธิบดี พช. น้อมนำศาสตร์พระราชาเปิด “ฝายมีชีวิตวัดช้าง” ป้องกันน้ำท่วม-น้ำแล้งอย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยฟื้นฟูรักษาระบบนิเวศน์ป่าไม้อย่างยั่งยืน ชู “ฝายวัดช้าง” เป็นต้นแบบต่อยอดเป็นตลาดริมน้ำหนุนการท่องเที่ยววิถีพุทธ วิถีธรรมชาติ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากมั่นคงและชุมชนพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนเมื่อ

วันที่ 31 ตุลาคม 2563 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานในพิธีเปิดฝายมีชีวิตวัดช้าง “สามัคคี สร้างสรรค์ แบ่งปัน” ณ ริมคลองบ้านนา วัดช้าง ตำบลบ้านนา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก โดยน้อมนำศาสตร์พระราชาของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริทฤษฎีการพัฒนาและฟื้นฟูป่าไม้ ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” รวมถึงการบริหารจัดการน้ำ ธนาคารน้ำใต้ดิน และการสร้างฝายมีชีวิต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมี พระครูโสภณนาคกิจ เจ้าคณะอำเภอบ้านนา และเจ้าอาวาสวัดช้าง นายอุดมเขต ราษฎร์นุ้ย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นายอำนาจ แย้มศิริ ปลัดจังหวัดนครนายก นางวจิราพร อมาตยกุล นายอำเภอบ้านนา นายเสฏฐชัย ยุทธเศรษฐสิริ พัฒนาการจังหวัดนครนายก ตลอดจนผู้นำท้องถิ่น และประชาชนอำเภอบ้านนาเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพียง          

พระครูโสภณนาคกิจ กล่าวสัมโมทนียกถาความเป็นมาของฝายมีชีวิตวัดช้างว่า เมื่อก่อนลำคลองบ้านนา อำเภอบ้านนาซึ่งเป็นพื้นที่สูง เวลามีน้ำหลากมาก็จะไหลท่วมลงไปที่อำเภอองครักษ์ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำ ในฤดูน้ำหลากไหลมาน้ำก็จะไหลหายไปหมด เมื่อถึงฤดูที่จะปลูกพืชผักสวนครัวหลังจากอาชีพทำนาก็ไม่มีน้ำเหลือใช้ อย่างไรก็ตามหลังจากได้มีการหารือกับพัฒนาการจังหวัดนครนายก และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จึงได้มีการสร้างฝายมีชีวิตขึ้นมาเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ ถือว่าเป็นสิ่งมีประโยชน์ต่อชุมชนที่ได้มีน้ำไว้ใช้ในการเกษตรและอื่นๆในยามหน้าแล้ง          

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่ารู้สึกปลื้มใจที่พระเดชพระคุณท่านเอาใจใส่รวมกับศรัทธาญาติโยมในการช่วยกันสร้างฝายมีชีวิตกักเก็บน้ำ เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ เป็นประโยชน์เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งกำลังความคิด กำลังกาย กำลังทรัพย์ นับเป็นคุณูปการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราจะได้ช่วยกันอุปถัมภ์ค้ำจุนช่วยเหลือดูแลให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนในชุมชนเพิ่มมากขึ้น          

อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวด้วยว่าปัญหาอุทกภัย หรือภาวะน้ำท่วมในฤดูฝน และปัญหาภัยแล้ง หรือภาวการณ์ขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง รวมถึงสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ ได้ทำความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้น การบุกรุกทำลายป่าพื้นที่ต้นน้ำลำธารและการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่เหมาะสม เป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญของปัญหาการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน์ จึงจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อลดความรุนแรง และบรรเทาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในทุกรูปแบบ          

ทั้งนี้ วิธีการหนึ่งที่สำคัญและได้ผลดี คือ “ฝาย” ซึ่งเป็นแนวพระราชดำริทฤษฎีการพัฒนาและฟื้นฟูป่าไม้ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ผลักดันและสนับสนุนให้ชุมชนและประชาชนทั่วประเทศได้เห็นความสำคัญแล้วหันมา “สร้างฝาย” ในพื้นที่ชุมชนของตนเองให้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูรักษาระบบนิเวศน์ป่าไม้ด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติ          

นอกจากเรื่องของการทำฝายมีชีวิตแล้ว ยังมีเรื่องของหลุมขนมครก การปลูกป่า 5 ระดับ ซึ่งการปลูกต้นไม้จะช่วยทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ขณะที่รากของต้นไม้ก็ทำหน้าที่เป็นธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด ช่วยทำให้น้ำไม่ไหลไปอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อน้ำซึมลงไปที่รากแล้วโคนต้นไม้ก็ช่วยให้น้ำใต้ดินอุดมสมบูรณ์ รวมถึงการบริหารจัดการด้วยการใช้หญ้าแฝกที่จะช่วยป้องกันการพังทลายหน้าดินด้วย          

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เคยกล่าวตอนหนึ่งในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ความตอนหนึ่งว่า การสร้าง "ฝายมีชีวิต" ที่เป็นการผสมผสาน "หลักการทรงงาน" ของในหลวง รัชกาลที่ 9 เช่น การมีส่วนร่วม การระเบิดจากภายใน การปลูกป่าในใจคน การให้ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ไปจนถึงการพัฒนาที่ต้องคำนึงถึง "ภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม" เป็นกลไกบรรเทาความรุนแรงน้ำหลากและเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง และยังเป็นการเติมน้ำใต้ดิน หรือ "ชลประทานใต้ดิน" ด้วยกลไกทางธรรมชาติ ทำให้พื้นที่โดยรอบตัวฝายมีความชุ่มชื้น ฝายมีชีวิตวัดช้าง อำเภอบ้านนา เป็นฝายที่เกิดจากพลังความสามัคคีของทุกภาคส่วนที่มารวมกัน ณ สถานที่แห่งนี้          

“ผมกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณท่านเจ้าคณะอำเภอบ้านนา พัฒนาการจังหวัดนครนายก นายอำเภอบ้านนา ผู้นำท้องถิ่น พี่น้องประชาชนทุกตำบลของอำเภอบ้านนา ตลอดจน ข้าราชการทหาร ตำรวจ ภาคเอกชน ผู้มีจิตศรัทธาที่สนับสนุนบริจาคทุนทรัพย์ ในการจัดหาวัสดุ ทราย เชือก ไม้ไผ่ กระสอบทราย น้ำ อาหาร และอื่นๆ ในการสร้างฝายมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่สุดของจังหวัด โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูรักษาระบบนิเวศน์ของวัดช้าง และเทศบาลตำบลบ้านนา ต่อยอดเป็นตลาดริมน้ำ การท่องเที่ยววิถีพุทธ วิถีธรรมชาติ เพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน สินค้า OTOP สินค้าการเกษตร นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากมั่นคงและชุมชนพึ่งตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยพลังของคนอำเภอบ้านนา บารมีของเจ้าคณะอำเภอบ้านนา การประสานงานของจังหวัดนครนายก โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครนายก กรมการพัฒนาชุมชน และจิตใจอันแข็งแกร่ง สู้ไม่ถอยของครูฝาย ผู้เข้าถึงจิตวิญญาณของการเป็นครูฝาย....ศรัทธาที่เดินได้” อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนกล่าวทิ้งท้าย          

โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ได้มอบประกาศเกียรติคุณบัตรแก่ผู้มีส่วนร่วมในการสร้างฝายมีชีวิต จำนวน 27 คน และร่วมกิจกรรมปลูกต้นไทรบริเวณหูช้างของฝายมีชีวิต เพื่อให้รากยึดโยงตัวฝายสร้างความแข็งแรง และร่วมกิจกรรมลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคา นอกจากนี้ยังได้จัดการแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP เด่นของจังหวัดนครนายก


 

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

โควิดระบาดทั่วโลก! พระธรรมทูตไทยในต่างแดนทนทุกข์หนักปฎิบัติศาสนกิจ


เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2563  พระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร) รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแผ่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลกขณะนี้ส่งผลให้ผู้คนในหลายทวีป หลายประเทศได้รับผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาตมาได้คอยติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด ได้พูดคุยถามทุกข์ สุขกับพระธรรมทูตไทยที่ไปปฎิบัติศาสนกิจอยู่ทั่วโลก เช่นในอินเดีย เนปาล อเมริกาและยุโรป        

ในอินเดีย เนปาล พระธรรมทูตท่านหนึ่งเล่าว่าขณะนี้ไวรัส19ได้ระบาดทั่วประเทศ ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก พระธรรมทูตในแดนพุทธภูมิใหนจะป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ ใหนจะช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อน แต่ทุกรูปก็ยืนยันว่าจะไม่กลับไทย ยินดีจะปฎิบัติศาสนกิจถวายเป็นพุทธบูชาในแดนพุทธภูมิ       

ในอเมริกา ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา พระเทพพุทธิวิเทศ ได้แจ้งเตือนพระธรรมทูตทุกรูป ทุกวัดให้ระมัดระวัง อย่าประมาท การ์ดอย่าตกและจะต้องให้การช่วยเหลือดูแลชุมชนไทยให้เต็มกำลัง       

ประเทศในยุโรปและแถบสแกนดิเนเวีย พระธรรมทูตรูปหนึ่งเล่าว่า ขณะนี้การระบาดของไวรัส 19 รอบสองรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมงาน กฐินในหลายวัดต้องจำกัดจำนวนโยม และกิจกรรมภายใน พระธรรมทูตก็อยู่กันอย่างลำบาก แต่ทุกรูปก็ยังมีกำลังใจดี ไม่เสียขัวญคอยดูแลให้กำลังใจญาติโยม        

"สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม วัดยานนาวา ในฐานะประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศก็ได้ออกมาตรการให้การช่วยเหลือพระธรรมทูตทั่วโลกทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลางและมาตรการระยะยาวโดยให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยรวมขณะนี้พระธรรมทูตไทยทั่วโลกยังมีกำลังใจดี เข้มแข็ง และพร้อมปฎิบัติศาสนกิจเพื่อพระศาสนาในทั่วทุกภูมิภาคของโลก" 

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563

หลวงพ่อไม่ต้องร้องไห้! "เนวิน" นำทีมส.ส.ภูมิใจไทย-บิ๊กขรก.-ชาวบุรีรัมย์ ทอดกฐินโจร 297 วัด



วันที่ 28 ตุลาคม 2563 เวลา10.00น. ที่วัดกลางพระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นางกรุณา ชิดชอบ อดีตนายก อบจ.บุรีรัมย์ พร้อมด้ว ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์,หัวหน้าส่วนการ, ข้าราชการ, ผู้นำท้องถิ่น, นักธุรกิจ นักฟุตบอล สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และประชาชน รวมกว่า 500 คน ทั้งใน จ.บุรีรัมย์ และอีกหลาย จ.ภาคอีสาน ได้เดินทางมาร่วมพิธีทอดกฐินโจร หรือกฐินตกค้าง ถวายแก่วัดต่างๆ ในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ที่ยังไม่มีเจ้าภาพนำกองกฐินมาทอดในปีนี้ รวมจำนวน297วัด 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ได้มีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวหลวงพ่อวัดหนึ่งในประเทศไทยถึงกับร้องไห้เพราะไม่มีโยมทอดกฐิน

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2563

"บิ๊กตู่"วอนทุกฝ่ายหันหน้ามาเจรจากันอย่างประนีประนอม



วันที่ 28 ตุลาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า  พร้อมสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญและการตั้ง กก.สมานฉันท์ตามกระบวนการรัฐสภา จึงขอให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาเจรจากันอย่างประนีประนอมสันติวิธีหาทางออกประเทศ

"เห็นด้วยกับการหารือ แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นฝั่งสภาพิจารณาตั้งขึ้นมาจากหลายฝ่าย ทั้งส.ส. ส.ว. กลุ่มที่เห็นด้วย กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย รวมถึงกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อหาข้อยุติให้ได้ ส่วนคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะถูกครอบงำหรือไม่นั้น พูดอย่างนี้ไม่ได้ ต้องให้เกียรติสภา เคารพซึ่งกันและกัน ลองเชื่อใจกันสักครั้ง ถ้าไม่เชื่อใจกันเลย ก็ทำอะไรไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวและว่า

ยืนยันหลายครั้งว่าจำเป็นต้องนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤติทุกเรื่อง โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งปัญหาการเมืองที่เกิดในครั้งนี้คงไม่ใช่ตนหรือรัฐบาลฝ่ายเดียว ทุกคนต้องร่วมมือกัน หันหน้ามาเจรจาพูดคุยกัน ในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกันอย่างประนีประนอม สันติวิธี จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะนี่คือประเทศไทย

          

"ทุกคนคือคนไทย ผมไม่ได้เกลียดชังใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะใครว่าร้ายอะไรก็ตาม ผมก็ฟังได้ ผมก็ต้องอดทนเพราะเป็นนายกรัฐมนตรี คงโมโหอะไรมากไม่ได้ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีไง นายกรัฐมนตรีต้องอดทน ต้องไม่โมโห ไม่โกรธง่าย พูดจาให้ไพเราะ วันนี้ผมก็พูดเพราะกว่าหลายๆ คนที่ได้ยินมาในขณะนี้ ทางออกมีอยู่แล้ว ขอให้เจอทางออกที่ว่า ไม่มีปัญหาใดที่เราแก้ไม่ได้ ขอให้เชื่อมั่นและมั่นใจว่าเราจะต้องช่วยกันเลือกหนทางที่ดีที่สุดให้กับประเทศของเรา ไม่ใช่ผมคนเดียว ทุกคนจะต้องร่วมมือกัน" 

          

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวขอบคุณการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งมีการอภิปรายหารือกันโดยสงบเรียบร้อย แม้จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นบ้าง ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสภาประเทศไทย เป็นเรื่องที่ประชาชนพิจารณาความเหมาะสมกัน ไม่ควรจะเหมือนต่างประเทศเขาทำ นอกจากนี้ จากการประชุม 2 วัน มีหลายเรื่องเห็นด้วย ที่สำคัญคือสนับสนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐสภา ต้องผ่านหลายกระบวนการ ตอนนี้ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไปด้วยเพราะยังมีผลบังคับใช้อยู่จนกว่าจะมีฉบับใหม่ อยู่ดีๆ จะไปตั้งกฎกติกาใหม่ตามต้องการเป็นไปไม่ได้ เราต้องอยู่ด้วยรัฐธรรมนูญกฎหมายหลักของประเทศ

          

ส่วนกรณีที่จะให้ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า แล้วแต่ เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญตรงนี้ จะไม่เลือกตนก็ได้ ไม่ได้ขัดข้องอะไร ต้องไปหารือกันในรัฐสภา รวมไปถึงเห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาหาทางออกจากแนวทางที่เสนอในรัฐสภา วันนี้หารือในที่ประชุม ครม. แล้ว แต่คาดว่าทางรัฐสภาจะเป็นผู้ตั้งขึ้นมาจากหลายฝ่ายด้วยกัน แต่ขอให้หารือโดยสงบ หาข้อยุติออกมาให้ได้ กำลังหารือว่าจะได้ข้อสรุปเช่นไร

          

สำหรับคำถามว่าคณะทำงานชุดนี้จะถูกครอบงำหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่า พูดอย่างนี้ไม่ได้ ต้องให้เกียรติสภา เป็นความเห็นของสภา ต่างคนต่างต้องเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าตั้งธงไว้ก็ไม่ชอบกันหมด ลองเชื่อใจกันสักครั้ง ถ้าไม่เชื่อใจเลยก็ทำอะไรไม่ได้ ขณะเรื่องท่าทีต่างประเทศ เรื่อง NGO ไม่ขอแสดงความคิดเห็นเพราะเป็นกิจการของแต่ละประเทศ บางครั้ง NGO ทำให้กระบวนการต่างๆ ช้าลง ขอฝากบรรดา NGO ในไทยทั้งหมด ในเมื่ออาศัยและทำงานในประเทศไทยก็ต้องช่วยประเทศไทยพัฒนาชาติบ้านเมือง เหมือนกับที่คนไทยไปอยู่ต่างประเทศ และต้องเคารพกฎหมายของประเทศนั้นๆ

          

อย่างไรก็ตาม คำถามว่านายกรัฐมนตรีจะอยู่ครบวาระ 4 ปี และไม่รับข้อเสนอของผู้ชุมนุมใช่หรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ถามกลับว่า "ทำไมผมต้องตอบอันนี้ผมก็ไม่รู้ ผมเข้ามาด้วยอะไรก็ว่ากันไป จะออกด้วยอะไรก็ว่ากันมา ไม่อยากให้เป็นบรรทัดฐานต่อไปในอนาคต เพราะรัฐบาลไม่ได้หยุดแค่รัฐบาลผม กระบวนการเลือกตั้ง กระบวนการรัฐธรรมนูญต่างๆ มีอยู่แล้ว" 


เสียงแตก!"ไพบูลย์"เสนอตัดไพรมารี่โหวต


คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา จัดสัมมนา เรื่อง “พรรคการเมืองของประชาชน : แนวทาง การเสริมสร้างและการพัฒนา” โดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการ เปิดงาน โดยมีตัวแทนองค์กร และพรรคการเมือง เข้าร่วม อาทิ นายเจษฎ์ โทณะวนิก กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง, นายแสวง บุญมี รองเลขา กกต., นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล

          

นายเสรี ระบุ การสัมมนาวันนี้ อยากเห็นการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม ได้นักการเมืองที่ดี ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อรวบรวมข้อมูล ใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่ถกเถียงกันมาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องไพรมารี่โหวต ขั้นแรกของการให้ได้ตัวแทนของประชาชน ที่แท้จริงในพื้นที่ เพื่อทลายระบบนายทุน ที่เข้ามาลงทุนในพรรคการเมือง และครอบงำ ตัดวงจรการต่อรองสัดส่วน ส.ส. เพื่อหวังตำแหน่งรัฐมนตรี

          

ด้านนายชัยธวัช ยังชี้ให้เห็น ความลักลั่นของการส่งเสริม การมีส่วนร่วมของประชาชนกับพรรคการเมือง ที่ล่าสุด กกต. มีความเห็นไม่ให้ ผู้ช่วยส.ส. และ ส.ส. ช่วยผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น ด้านนายแสวง ชี้แจงว่า ตามบทกฎหมาย ม.34 ห้ามไม่ให้ ส.ส. หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐ ห้ามให้คุณให้โทษกับการเลือกตั้ง จึงเป็นเรื่องที่ กกต. ต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้ และย้ำว่า ที่ผ่านมา กกต. ก็ทำหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด สนับสนุนทุกพรรคการเมือง ไม่เลือกปฏิบัติกับพรรคหนึ่งพรรคใด

          

ขณะที่นายไพบูลย์ ไม่เห็นด้วยกับการทำไพรมารี่โหวต ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะมาจากสมาชิกพรรคการเมือง เพียง 100 คน ในเขตนั้นๆ ที่ไม่ได้สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของประชาชน และบางครั้งทำให้เกิดความขัดแย้ง จึงเห็นว่าการทำไพรมารี่โหวต เป็นเพียง พิธีกรรม ที่ควรต้องตัดออกไป ซึ่งตนจะเสนอผ่านพรรค เพื่อแก้ในประเด็นนี้ ส่วนการลดอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ นั้น ตนมองว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ไทยชูนโยบาย 3S-เกษตร4.0 ต่อที่ประชุมรมต.ความมั่นคงอาหารเอเปค

 


ไทยร่วมประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหาร APEC 2020 รับมือผลกระทบโควิด 19 ชูนโยบาย 3S-เกษตร4.0 ยืนยันความพร้อมเป็นแหล่งอาหารสำรองอาเซียนและครัวโลก เดินหน้าเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการผลิตสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2563 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหาร APEC 2020 วันนี้ (28ต.ค) ว่า ตามที่ตนได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย พร้อมด้วยนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในการร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค (APEC Virtual Ministerial Policy Dialogue on Food Security) ร่วมกับรัฐมนตรี และผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคทั้ง 21 เขต เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีสหพันธรัฐมาเลเซียเป็นเจ้าภาพการประชุม โดยประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ นายฉู ตงหยู (Mr. Qu Dongyu) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ทุกประเทศจำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบายที่จะเสริมสร้างนวัตกรรมด้านอาหาร ทั้งด้านการตลาด การส่งเสริมเทคโนโลยี ความปลอดภัยทางด้านอาหาร รวมถึงการผลิตอาหารให้เพียงพอกับประชากรโลก

สำหรับการประชุมผ่านระบบทางไกลดังกล่าว มีการรับรองแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความสำคัญของการดำเนินงานเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารระหว่างสมาชิกเอเปค โดยไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งสมาชิกสามารถพิจารณาให้ความร่วมมือตามความสมัครใจ โดยสาระสำคัญของแถลงการณ์ฯ ได้กล่าวถึง ผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ความมั่นคงอาหาร การเกษตร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและประมง รวมทั้งห่วงโซ่อาหารในภูมิภาค ตลอดจนผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้เปราะบาง 

ทั้งนี้ สมาชิกเอเปคได้เน้นย้ำการเสริมสร้างความร่วมมือที่ต่อเนื่อง การสนับสนุนในด้านการผลิตอาหารและการเข้าถึงอาหาร เพื่อให้แน่ใจว่าระบบอาหารทั่วโลกยังคงเปิดกว้าง มีนวัตกรรม เชื่อถือได้ มีความยืดหยุ่น และยั่งยืน รวมทั้งการให้ความสำคัญของการทำงานร่วมกับองค์กรอื่นๆ อาทิ FAO และ WHO เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเน้นการอำนวยความสะดวกของสินค้าและบริการ ผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตร รวมถึงปัจจัยการผลิตข้ามพรมแดนที่เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการค้าอาหารทั่วโลก โดยมาตรการฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาหารและสินค้าเกษตรเพื่อรับมือต่อโรคโควิด-19 จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม โปร่งใส และต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบของ WTO

อีกทั้ง ต้องเสริมความร่วมมือและการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนความสำคัญของเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม เช่น การเกษตรดิจิทัล การทำฟาร์มอัจฉริยะ และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งในโอกาสเดียวกันนี้ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากากรระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับนโยบายของไทยในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน เพื่อตอบสนองการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ในครั้งนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามประเทศไทย ได้เน้นย้ำนโยบาย 3 ด้าน หรือ 3S ของ ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้แก่ ความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) ความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร (Food Security) และความยั่งยืนของภาคการเกษตร (Sustainability) ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นครัวโลก (Kitchen of the World) และมีความพร้อมเป็นแหล่งอาหารสำรองอาเซียน(ASEAN Food Reserve) รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 โดยได้มีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม หรือ AIC ทั่วประเทศ 77 จังหวัด เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เกษตรวิถีใหม่ ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ภายใต้แนวคิด Public-Private Partnership (PPP)

ทั้งนี้ การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีที่กำหนดจัดขึ้นทุก 2 ปี เพื่อสร้างเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารภายในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก โดยการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงบทบาทของไทยในการดำเนินงานด้านความมั่นคงอาหาร ที่มีความพร้อมเป็นแหล่งสำรองอาหารของภูมิภาคอาเซียน และมาตรการรับมือต่อโรคโควิด-19 แล้ว ยังเป็นการติดตามความคืบหน้าการดำเนินนโยบาย มาตรการ แผนงาน และโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงอาหารของสมาชิก อันจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงอาหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปคครั้งถัดไป ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมในปี 2565

สรุปรัฐสภาถกแก้วิกฤติชาติ! วิปค้านจ่อยื่นซักฟอกซ้ำ วิปรบ.ชงตั้งกก.ปรองดอง "ประยุทธ์" ลั่นไม่ลาออก




 
สรุปรัฐสภาถกแก้วิกฤติชาติ! วิปค้านจี้ "บิ๊กตู่" ลาออกจ่อยื่นซักฟอกซ้ำ วิปรบ.ชงตั้งกก.ปรองดอง "ประยุทธ์" ลั่นไม่ลาออก  

เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2563 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน อภิปรายปิดท้ายส่วนของส.ส.ฝ่ายค้าน ในการประชุมร่วมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เพื่ออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 วันที่สอง ว่า พรรคฝ่ายค้านสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม การเจรจากับผู้ชุมนุมซึ่งเชื่อว่าแนวทางเจรจาไม่สายไป ส่วนการลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งการลาออกไม่ขัดต่อหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส.ส.ฐานะตัวแทนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถเรียกร้องให้ลาออกได้ เพราะไม่เชื่อมั่นต่อการบริหาร หากนายกฯ ไม่ออก สภาฯ มีสิทธิปลด,ถอดถอน และประชาชนมีสิทธิขับไล่ ทั้งนี้หากพล.อ.ประยุทธ์ตัดปัญหาตนเอง เชื่อว่าการปฏิรูปสถาบันตามข้อเรียกร้องของม็อบจะเดินหน้าได้

"หากนายกฯไม่ออก เขาจะยกระดับ หากท่านไม่ออก พวกผมทำได้คือ เดือนหน้าอภิปรายไม่ไว้วางใจท่านเท่านั้นเอง ทั้งนี้หากท่านไม่ออก ผมวิตกสิ่งที่จะพัฒนาขึ้นมากกว่านี้ ดังนั้นขอให้ท่านเสียสละ อย่าเดินซ้ำบทเรียนเดิมเมื่อปี 2557 ที่นายกฯบอกว่าวันนั้นเป็นเผด็จการรัฐสภา ต้องเข้าใจว่าประชาชนเลือกเราเยอะ แต่วันนี้เกิดเผด็จการรัฐสภาเพราะพวกท่านเลือก"นายสุทิน ระบุ            

ขณะที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล และ ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายสรุปว่า คนที่ไปเดินก็ฟังแต่มือถือ ฟังคำสั่งจากมือถือ ดูแต่มือถือ ต้องมีคนสั่งการมา เราจึงเห็นการชุมนุมที่เป็นรูปแบบใหม่ ส่วนการสลายการชุมนุม มีการเตือนผู้ชุมนุมว่าจะฉีดน้ำ และเวลาฉีดก็ฉีดขึ้นไปข้างบน ผู้ชุมนุมก็เฮ น้ำตกมาโดนร่มก็ร่มเป็นเหมือนเดิม น้ำก็เป็นความดันต่ำ แต่ถ้าดูภาพเห็นทั้งคีมและค้อนไม่กระทำต่อเจ้าหน้าที่ มีการบอกว่ามีการใส่สีในน้ำที่ฉีด ตนไปถามว่าสีอะไร มีใครเข้าโรงพยาบาลหรือไม่ ผู้ชุมนุมมีรายเดียวที่เยื่อตามอักเสบ แต่เจ้าหน้าที่มีบาดเจ็บหลายราย โดนทั้งคีม ทั้งก้านร่ม แต่เจ้าหน้าที่เขาถือว่าผู้ชุมนุมคือลูกหลาน พยายามอดทนอดกลั้น

อย่างไรก็ตามความเห็นที่แตกแยกเกิดเป็นสงครามระหว่างวัย ความแตกแยกที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะสถาบันครอบครัว จากความรักและความเข้าใจกลายเป็นความไม่เข้าใจ พ่อแม่อาจจะเป็นห่วงลูก แต่ลูกก็อาจจะมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง หลายคนบอกว่าให้นายกฯ ลาออก แต่ตนมีความเห็นว่านายกฯ ไม่ต้องลาออก เพราะถ้าลาออกแล้วสภาเลือกนายกฯ คนเดิมกลับมาจะทำยังไง ที่ผ่านมานายกฯ ตั้งใจทำงาน เช่นเรื่องการควบคุมการระบาดของโควิด จนมาเป็นอับดับต้นของโลก เป็นเหตุหลักที่ท่านสมควรอยู่ต่อ นายกฯ มาจากกระบวนการประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ 2560 นายกฯ บอกว่าถอยมาแล้วหนึ่งก้าว ตนก็คิดว่าความจริงอาจจะถอยมาแล้วหลายก้าว 

นายวิรัช เห็นว่า ควรตั้งกรรมาธิการปรองดองเหมือนปี 2552 ในสมัยนายชัย ชิดชอบ เป็นประธานสภา และทำอย่างไรว่ากรรมการชุดนี้จะสร้างความรักความปรองดองให้เกิดขึ้น ใกล้เคียงกับรูปแบบที่นายจุรินทร์ เป็นผู้เสนอ แต่ให้เพิ่มเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเข้ามา ตนจึงขอตั้งคณะกรรมการปรองดอง

ต่อมาเวลา 21.24 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวชี้แจงระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 ว่า หลายอย่างที่พูดกันในสภาและโจมตีตนเองในสภานั้นส่วนตัวรับได้และยิ้มรับไปทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องอื่นๆ            

"การให้ผมลาออกเพราะบริหารประเทศ ถ้าย้อนกลับไปปี 2549 หรือ 2557 มีใครลาออกหรือไม่ แล้ววันนี้คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน กรณีการชุมนุมผมรักลูกหลานทุกคน เป็นพลังแผ่นดินในวันข้างหน้า ทุกคนเป็นคนไทย ผมรับฟังมีทั้งทำได้และทำไม่ได้ 

ผมเห็นด้วยหากจะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อนำไปสู่การพูดคุยและหาทางออก โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและฝ่ายที่เห็นต่าง มิเข่นนั้นก็นั่งเปล่าๆ ผมกังวลอยู่ว่าจะไปเจรจากับใคร ทุกคนเป็นหัวหน้าหมด คงต้องใช้สถานที่กว้างๆ และผมขอสงวนสิทธิในข้อเรียกร้องที่ไม่ได้เป็นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่"          

"ผมไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวและผมไม่ลาออกในยามที่ชาติบ้านเมืองมีปัญหา"      

จากนั้น นายชวน ได้ขอบคุณทุกฝ่ายโดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีได้สนับสนุนการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ส่วนข้อเสนอต่างๆ จะต้องไปหารือกับทุกฝ่ายอีกครั้ง ต่อมาได้ให้เลขาธิการสภาฯอ่านพระบรมราชโองการปิดการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ และสั่งปิดประชุมในเวลา 22.00น.

 

  

"วิสาร"แจงเหตุกรีดแขนกลางสภา ลั่นขอเป็นเลือดสุดท้ายพร้อมพลีชีพเพื่อคนไทย

 


"วิสาร" ลั่นขอเป็นเลือดสุดท้ายของคนไทย! แจงเหตุกรีดแขนกลางสภาต้องการให้นายกฯ ฟังข้อเรียกร้องบ้าง อัดอั้นแทนเยาวชน หลังประชุมสภาไม่เห็นทางออก ถ้าตัวคนเดียวพร้อมพลีชีพ

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563  นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวหลังกลับมาจาก รพ.วชิรพยาบาล หลังจากที่กรีดเลือดกลางสภาว่า ขออภัยทำให้ตกอกตกใจ เย็บไป 9 เข็มตลอดระยะเวลาเล่นการเมืองมา 34-35 ปี ไม่มีครั้งไหนกดดัน ตนเห็นเด็กชุมนุมในวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ดูแล้วไม่เป็นที่สนใจของนายกรัฐมนตรี ยังคิดเหมือนเดิม อยากให้อันนี้เป็นเลือดสุดท้ายของคนไทย ตนเคยผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคมมาแล้ว ตนก็ไม่อยากให้คนไทยเสียเลือดเนื้ออีก วงล้อประวัติศาสตร์ดูแล้วจะไม่มีทางออก เวลาในสภาน้อยไปหน่อย น่าจะให้ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอยู่ด้วย เพราะต้องการสื่อสารกับท่านโดยตรง 

อยากเตือนว่าอย่าไปฟังเสียงอวยอย่างเดียว ในสภาเหมือนกะลาครอบ ควรจะเรียกร้องให้ท่านสนใจ และหลังจากนี้ท่านคนไปย้อนดู และไม่อยากให้ตัดสินใจผิดๆ ตอนนี้ท่านอำนาจล้นฟ้าก็อยากให้ลดลงมามองเด็กๆ เปิดโอกาสให้นั่งคุยกันอย่างเปิดอก การประชุมรัฐสภา มันไม่ใช่คู่ขัดแย้งที่ประชาชนจะเชื่อใจได้ ต้องให้เด็กๆ มาเล่าให้ฟัง ตนห่วงข้อเรียกร้องสุดท้ายก็ต้องลดทิฐิมาคุยกัน รวมทั้งการแก้รัฐธรรมและการลาออกทุกอย่างจะแก้ได้ ถ้าตนตัวคนเดียวพร้อมฆ่าตัวตาย แต่มันไม่เกิดประโยชน์ อยากเรียกร้องให้นายกฯ ลงมา ตอนนี้ประชาชนข้างนอกเลยไปกว่านั้น

ตนขออภัยประธานและสภา ตั้งแต่เป็น ส.ส. 9 สมัยไม่เคยทำผิด แต่นายกรัฐมนตรีต้องลงมาแก้ปัญหาและใช้โอกาสตรงนี้ ย้ำว่า ท่านจะเป็นวีรบุรุษหรือทรราชก็อยู่ตรงนี้ ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงใย และขออภัยให้วุ่นวายไม่มีความเป็นอย่างอื่น ยืมมีดปลอกผลไม้ของแม่บ้าน ไม่ได้พกมาเอง และไม่ได้บอกคนในครอบครัว เป็นการประท้วงและยอมเจ็บตัวคนเดียวให้

นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาที่จะลงมาเยี่ยม และพบกับนายวิสารที่ชั้น 1 ของอาคารสุริยันพอดี กล่าวว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็เป็นห่วง ตนให้เจ้าหน้าที่รายงาน ตนกำลังจะไปเยี่ยม ขณะที่นายวิสาร เดินเข้ามาไหว้ขอโทษประธานรัฐสภา นายชวนกล่าวว่า ต้องอดทน มีดปลอกผลไม้ก็ไปล้างก่อน และถือว่าไม่ได้เอาอาวุธเข้าไปในรัฐสภา เพราะมีดปลอกผลไม้อยู่ในสภาอยู่แล้ว ยอมรับว่าตนไม่เห็นด้วย ก็ห้ามแล้ว ตอนนี้ก็เข้าใจ และบอกว่าการเมืองก็ต้องอดทนในการแก้ไข กว่าจะไปสู่เป้าหมายความสำเร็จไม่มีอะไรง่าย และกลัวเป็นบาดทะยัก

นายวิสาร กล่าวอีกว่า ตนไม่อยากโต้ตอบ ส.ส. ปารีณา ไกรคุปต์ ตนเก็บความรู้สึกในใจอัดอั้นมาตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม ตนไม่ได้กินข้าวกลางวันและกินยาความดัน เพราะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำอย่างไร ตอนนี้ก็อาการดีขึ้นแล้ว ยอมรับว่าตนเตรียมมา 2-3 วัน ยังไงก็เหมือนเป็นการแสดงและเรียกร้องยังไงเขาก็ไม่เชื่อ ส.ว. ก็อวยกันเอง ฝ่ายค้านก็ติกันเอง แต่ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ตนกลัววงล้อประวัติศาสตร์ ตนทำให้นายกรัฐมนตรีหันมามอง เพราะที่ผ่านมาที่ตนเรยเรียกร้องก็ฟังแต่พวกกันเอง แล้วขณะนี้ก็บานปลาย แถมยังไม่มีการให้ใช้สื่อประกอบ ตนอยากให้เป็นการเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีโดยตรง ไม่อยากให้ใครเสียเลือดเนื้อหรือคนไทยฆ่ากันเอง ตนไม่มีวิธีไหนสื่อให้นายกฯ ได้รู้ อีกทั้งนายกรัฐมนตรียังเอาสถาบันมาปกป้องตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ตนวางแผนแล้วก็รู้ว่าแม่บ้านที่ปลอกผลไม้อยู่หน้าห้องประชุม ก็บอกแม่บ้านว่าลับให้คมๆ ไม่ต้องการให้นายกฯ ฟังแต่พวกตัวเอง ฟังพวกเราบ้าน ไม่ใช่ไปเชื่อว่าจักรวรรดิมาครอบงำการชุมนุม ควรชวนเด็กๆ เข้ามานั่งคุยกันในสภา เพื่อหาทางออกของปนะเทศชาติ ถ้าขึ้นไปเจอหน้านายกรัฐมนตรีตนยินดีกราบ ถ้าจะให้น้องๆ ไม่อันตราย ย้ำว่าตั้งใจและอยากให้เสียงดังไปถึงนายกรัฐมนตรี ไม่อยากให้ฟังความข้างเดียว

สภาเดือด! ส.ส.กรีดเลือดกลางห้องประชุม




เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการประชุมรัฐสภาวิสามัญ โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธาน เพื่อพิจารณาญัตติแก้ไขปัญหาของชาติ โดยขณะที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย 9 สมัย ได้ลุกขึ้นมาอภิปรายถึงการชุมนุมของเยาวชน นักเรียน และนักศึกษา และวิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรีที่เป็นคู่ขัดแย้งของผู้ชุมนุมโดยระบุว่า  


"ไม่อยากเห็นเหตุการณ์เหมือน 14 ตุลา อีก และขอให้นายกรัฐมนตรี เริ่มต้นในการแก้ไขปัญหานี้ จึงขออนุญาตประธานรัฐสภา กรีดเลือด ให้พล.อ.ประยุทธ์ เห็น และขอให้เป็นตัวอย่างสุดท้าย 3 แผล" แต่นายชวนบอกว่า "ไม่อนุญาตให้กรีดเลือด" 

แต่ไม่ทันนายวิสารได้ถอดเสื้อสูทรออกแล้วควักมีดปลอกผลไม้กรีดแขน สร้างความตกตะลึงกับสมาชิกที่เข้าร่วมประชุม เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปช่วยเหลือ และนำส่ง รพ.วชิรพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เณรร่วมม็อบราษฎรชูป้ายถาม "ทำไมพระไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง"



วันที่ 26 ต.ค.2563 ตามที่ผู้ชุมนุมกลุ่ม "ราษฎร" ได้ชุมนุมที่แยกสามย่าน นั้นปรากกว่าได้มีกลุ่มสามเณรที่เคยชุมนุมร่วมกับกลุ่มราษฎรทั้งแต่แยกปทุมวัน แยกอโศก ประมาณ 4 รูป ได้นั่งร่วมกันกลางถนนพร้อมกับข้อความว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 กดให้พระเป็นทาสไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง ทำไมพระไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง

ทั้งนี้จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามเณรดังกล่าวได้ถูกสำหนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติออกมาชี้แจงว่าเป็นการขัดกับคำสั่งมหาเถรสมาคมที่ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้พระสงฆ์จากประเทศกัมพูชาและเมียนมา มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งในระดับต่างๆ  รวมถึงประเทศศรีลังกาก็ให้สิทธิ์พระสงฆ์ลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นส.ส.ในสภา ทั้งนี้สามารถอ่านงานวิจัยเรื่อง"แนวโน้มบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" ได้ที่ http://www.cubs.chula.ac.th/2018/12/11/แนวโน้มบทบาทพระสงฆ์กับ/


CR.ภาพจากเฟซบุ๊ก Uthai Manee

“สมศักดิ์”แจงพบแกนนำม็อบในคุก ปัดต่อรองยุติชุมนุม


“สมศักดิ์”แจงตัด-ย้อมผม “รุ้ง”จนท.ห่วงเรื่องความสะอาด-ความปลอดภัย ยัน “3 แกนนำ”สบายดีไม่ต้องห่วง เผยประสานขอหนังสือเตรียมสอบ ปัดภาพหลุดคุยต่อรองยุติชุมนุม

เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2563 เวลา 14.30 น.ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีมีเผยแพร่ภาพพูดคุยกับแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร 63 ที่ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ ว่า ที่ผ่านมาตนได้ติดตามการชุมนุมหน้าเรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯว่ามีร่องรอยความเสียหาย หรือต้องซ่อมแซมอะไรหรือไม่ จึงถือโอกาสเข้าไปตรวจเยี่ยมในเรือนจำ และได้มีโอกาสสอบถามความเป็นอยู่และสารทุกข์สุขดิบของแกนนำทั้ง 3 คน คือ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง ว่าได้รับความสะดวกสบายหรือไม่ ซึ่งได้รับการร้องขอกึ่งเล่าให้ฟังว่า อยากได้หนังสือและเป็นห่วงเรื่องของการสอบ ตนจึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และประสานงานกับทางมหาวิทยาลัยให้ส่งหนังสือมาให้

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับความสะดวกสบายในเรือนจำฯของทั้ง 3 คนนั้นก็เป็นไปตามอัตภาพ เพราะเป็นผู้ต้องหาก็ต้องมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ส่วนข่าวที่ออกไปว่ามีการซอยผม ย้อมผมนั้น ก็ถือเป็นความห่วงใยของเจ้าหน้าที่ที่เห็นว่ามีความแตกต่าง โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำหญิงกลาง เพราะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว เมื่ออยู่คนเดียว เจ้าหน้าที่เรือนจำฯจึงห่วงใย เพราะไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลา เนื่องจากในห้องอยู่กัน 30 กว่าคนค่อนข้างคับแคบ อาจไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ด้านนอก อย่างไรก็ตาม การตัดผม หรือซอยผมให้อยู่ในมาตรฐานพอเหมาะ พอควรก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อห่วงใย การทำสีผมไม่ได้มีปัญหา แต่เป็นเรื่องความปลอดภัย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อโรคต่างๆ เพราะหากผมยาวและอยู่ในสถานที่คับแคบอาจมีปัญหาในเรื่องของเชื้อราได้ หรือเวลาอาบน้ำ ทั้งห้องใช้เวลาอาบน้ำเพียง 30 นาที ดังนั้นด้วยเวลาจำกัดจึงไม่ควรไว้ผมยาว หรือไม่ควรจะมีสีผมแบบนี้ โดย น.ส.ปนัสยา ก็เข้าใจ ยืนยันว่าที่มีภาพข่าวออกมานั้นไม่มีอะไร ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง

เมื่อถามว่ายืนยันใช่หรือไม่ว่าแกนนำผู้ชุมนุมยังอยู่ดีมีความปลอดภัย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อยู่ดีทั้งหมดที่อยู่ในเรือนจำ 8 คน ที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ 5 คน เรือนจำกลางบางขวาง 1 คน ทัณฑสถานหญิงกลาง 1 คนและเรือนจำกลางเชียงใหม่อีก 1 คน ทุกคนยังอยู่สบาย

เมื่อถามว่ามีการพูดคุยกันเรื่องอะไรบ้าง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการถามสารทุกข์สุขดิบ ขาดเหลืออะไรหรือมีปัญหาการเรียนการสอนอย่างไร

เมื่อถามว่าการพูดคุยกันนั้นเหมือนเป็นการเจรจาให้การชุมนุมยุติ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ที่ไปเพราะไปดูว่าหน้าเรือนจำมีอะไรเสียหายจะต้องดูแลหรือไม่ ก็ไปดูให้ครบทั้งในเรือนจำด้วย ซึ่งเป็นการไปดูหลังจสกที่กลุ่มผู้ชุมนุมกลับไปแล้วไม่ได้เข้าไปในเรือนจำบ่อย ยืนยันว่าตนต้องดูแลความเรียบร้อย เพราะรัฐบาลเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้ต้องหา รวมถึงไม่อยากให้นายกฯมาตำหนิตน และไม่คิดว่าจะให้เป็นข่าวใดๆทั้งสิ้น

เมื่อถามว่าดูจากสภาพจิตใจของทั้ง 3 คนอุดมการณ์และท่าทีของทั้ง 3 คนเป็นอย่างไรบ้าง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุยถึงอุดมการณ์อะไรมากมาย เพียงแต่เราทำตามหน้าที่ เพื่อให้รู้ว่าเขาอยู่สบายหรือไม่ ส่วนมีการพูดคุยเพื่อขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ทั้ง 3 คนไม่ได้ขอจากตน เพราะเขาเข้าใจและรู้ดีว่าตนไม่ได้มีอำนาจอะไรที่เกี่ยวข้องกับตรงนี้ เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้ตามสมควรเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

เมื่อถามว่ามีมาตราการเตรียมการรับมืออย่างไรหากม็อบยังมาชุมนุมอยู่เรื่อยๆหากแกนนำยังคงถูกคุมขังในเรือนจำต่อไปอีก นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้เตรียมตั้งรับอะไร แต่ในสถานที่ราชการม็อบต้องอยู่ข้างนอกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีการมาเพ้นสีหน้าเรือนจำ ซึ่งตนอยากบอกว่าอย่าไปเพ้นเลยเสียดายสี

เมื่อถามว่าผมสีทองไม่ปลอดภัยอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษบางคนเทิดทูล และอาจจะมีความเห็นต่างจากกลุ่มผู้ชุมนุมจึงไม่อยากให้เกิดปัญหา ส่วนกลุ่ม 32 คน ที่เป็นผู้ต้องหาใหม่ต้องกักตัว 14 วัน ถ้าเราไม่มีห้องกักโรคก็จะทำให้เชื้อติดกันได้ง่าย



 

ถอดสลัก! "บิ๊กตู่"รับปากเดือนธ.ค. แก้ไขรธน.เสร็จ



วันที่ 26 ตุลาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ยืนยันต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ คาดรัฐสภาน่าจะพิจารณาในวาระ 1-3 แล้วเสร็จในเดือนธันวาคม และในสัปดาห์หน้ารัฐบาลจะเสนอร่างกฎหมายประชามติเข้าที่เข้าประชุมสภา

"เพนกวิน-รุ้ง-ไมค์"นอนคุกต่อ! ศาลอาญายกคำร้องขอประกันตัว

 


วันที่ 26 ตุลาคม 2563  ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง 3 ผู้ต้องหา แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มราษฎร 2563 ในคดีชุมนุม 19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งนัดชุมนุมที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ที่ผ่านมา          

ทั้ง 3 สำนวนประกอบด้วยสำนวนของนายภาณุพงศ์ 2 สำนวน คือสำนวนประเด็นชุมนุม ตามข้อหายุยงปลุกปั่นฯ กับข้อหาอื่นๆ และสำนวนปักหมุดคณะราษฎร 2563 บนพื้นสนามหลวง ตามข้อหาผิด พ.ร.บ.โบราณสถานฯ กับอีกสำนวนของนายพริษฐ์และ น.ส.ปนัสยา ซึ่งเป็นการชุมนุมวันเดียวกัน สำนวนเดียวกัน โดยศาลพิเคราะห์คำร้องปล่อยชั่วคราวแล้วเห็นว่า กรณียังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมยกคำร้องทั้ง 3 สำนวน          

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้ง 3 ในระหว่างฝากขัง ต่อมาทนายความได้ขอยื่นอีกครั้ง ซึ่งศาลอาญาก็ยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงมีการอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2563 ไม่ให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสาม ก่อนที่จะมายื่นขอปล่อยชั่วคราวใหม่และศาลมีคำสั่งในวันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางเข้าไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง  เพื่อตรวจสอบการเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ภายหลังที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางมาปักหลักปราศรัยเมื่อหลายวันก่อน

อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปในครั้งนี้ของ นายสมศักดิ์ ยังได้มีการพูดคุยกับแกนนำผู้ชุมนุม อย่าง นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง , นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน , นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง  แต่การพูดคุยเป็นเรื่องอะไรยังไม่มีการเปิดเผย


วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

"เสรีพิศุทธ์"เสนอตั้งคณะทำงานร่วมรัฐบาลกับนักศึกษาถก



วันที่ 26 ตุลาคม 2563    พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย อภิปรายว่า การเรียกร้องให้ถอยคนละก้าวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แม้จะดูดีในการให้เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ แต่เป็นเวทีให้รัฐบาลฟอกตัวมากกว่าแก้ ปัญหาให้ประชาชน ไม่ได้ประโยชน์ เพราะนักเรียน นักศึกษาไม่มีโอกาสได้แสดงความเห็น กลายเป็นสภา คิดทำฝ่ายเดียว ไม่ได้ข้อยุติ เสียเวลาเปล่าๆ ขอเสนอควรใช้สันติวิธีเจรจากันให้เกิดข้อยุติ โดยตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับนักศึกษา คุยกันให้จบว่าจะยุติเหตุการณ์ให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ภายใต้จิตใจเป็นธรรม เสียสละ ถอยคนละก้าว ในส่วนรัฐบาลควรให้แก้รัฐธรรมนูญ นำร่างฉบับประชาชนเป็นหลักในการพิจารณา แก้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องหมวดสถาบัน แต่พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออก เพื่อเปิดทางให้การแก้รัฐธรรมนูญง่ายขึ้น

"พล.อ.ประยุทธ์ต้องรู้จักพอ อย่าเสพติดอำนาจ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ลาออก นักศึกษาต้องยุติชุมนุม ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ลาออก ขอให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถอนตัวจากรัฐบาลเพื่อให้ประเทศเดินต่อได้" 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อภิปรายว่า ขณะนี้ไปที่ไหน ได้ยินแต่เพลง I hear too ทำให้นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ตัดบทขอให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ถอนคำพูดทันที เพราะเป็นการคำพูดไม่สุภาพ แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยืนยันไม่ถอนคำพูด โดยยอมยุติการอภิปรายของตัวเองลงเพียงเท่านี้

กระหึ่มกลางสภา! "บิ๊กตู่" ลาออก-ไม่ต้องลาออก


วันที่ 26 ตุลาคม 2563  นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาญัตติตามที่รัฐบาลเสนอ  โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เสนอญัตติเรียบร้อยแล้ว  นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าฝ่ายค้าน ได้อภิปรายระบุถึงความล้มเหลวในการบริหารของพล.อ.ประยุทธ์ เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อขจัดปัญหาที่เกิดขึ้น และแสดงความรับผิดชอบต่อสถานการณ์ตึงเครียด เพราะนายกรัฐมนตรีคืออุปสรรคสำคัญ และเป็นภาระของประเทศ 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า ขอพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกจากตำแหน่งกลางสภา และเมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็ให้ยุบสภาเพื่อจัดเลือกตั้งใหม่  

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายว่า  ขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่งต่อไป 

"จุรินทร์" วอนทุกฝ่ายชักฟืนออกจากไฟ หนุนเร่งแก้รธน. 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และรมว.พาณิชย์ อภิปรายว่า  ทุกฝ่ายต้องช่วยกันลดเงื่อนไขที่เป็นปมแห่งความขัดแย้ง ต้องช่วยกันชักฟืนออกจากกองไฟ ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์มีความเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ควรนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 1 ทันทีที่สามารถทำได้ และไม่ควรมีเงื่อนไขใดๆ เพิ่มเติมจนสังคมเข้าใจว่าเป็นการยื้อเวลา


นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า นายกรัฐมนตรีต้องยกเลิกการดำเนิคดีกับผู้ที่ชุมนุมโดยสงบ ถึงเวลาที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องทบทวนการร่วมรัฐบาล 


"หมอประเวศ" แนะนอกสภาเสนอ  3 ทางออกจากวิกฤตบ้านเมือง


ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วะสี ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ได้แสดงความคิดเห็นถึงทางออกจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยว่า ทางออกจากวิกฤตการณ์ปัจจุบันที่ดีที่สุด โดยสันติวิธี ทุกฝ่ายมีศักดิ์ศรี และนำไปสู่การร่วมสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ คือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกองทัพ ประกาศสนับสนุนการสร้างประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ขอให้ทุกฝ่ายมาประชุมปรึกษาหารือกันถึงกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดให้สำเร็จโดยรวดเร็ว

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ กล่าวว่า 2.นายกรัฐมนตรีประกาศว่าตนจะดำรงตำแหน่งต่อไปหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้เป็นไปตามกระบวนการรัฐสภา แม้ไม่มีตำแหน่งก็จะขอสนับสนุนกระบวนการสร้างประชาธิปไตยต่อไป ขอให้คนไทยรู้รักสามัคคีกัน 3.เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่าทำด้วยอารมณ์ แต่ใช้ปัญญาอย่างประณีต


"นั่นคือใช้ข้อมูล ความรู้ ความสุภาพ ปรึกษาหารือกันในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญว่าจะยกสถาบันให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไรจึงจะดีที่สุด สำหรับคนไทยที่จะร่วมกันสร้างอนาคตประเทศไทยที่ถูกต้องดีงาม คนไทยทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และภูมิใจในประเทศของตน" ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ กล่าว

ภาพหลุด"สมศักดิ์"เข้าเรือนจำ คุย"รุ้ง -เพนกวิน -ไมค์ระยอง"



วันที่ 26 ตุลาคม 2563    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางเข้าไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง  เพื่อตรวจสอบการเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ภายหลังที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางมาปักหลักปราศรัยเมื่อหลายวันก่อน


อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปในครั้งนี้ของ นายสมศักดิ์ ยังได้มีการพูดคุยกับแกนนำผู้ชุมนุม อย่าง นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง , นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน , นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง  แต่การพูดคุยเป็นเรื่องอะไรยังไม่มีการเปิดเผย

คณาจารย์ มธ. เข้าเยี่ยม "เพนกวิน-รุ้ง" ในคุก นำตำราเรียนมาให้ ห่วงเรื่องสุขภาพ

 เวลา 10.00 น. บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ พร้อมด้วย คณาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางเข้าเยี่ยม "เพนกวิน" นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ถูกคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และ "รุ้ง" น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่ถูกคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง โดยนำหนังสือและเอกสารประกอบการเรียนเพื่อส่งเข้าเรือนจำให้ทั้ง 2 คน          

นายประจักษ์ ได้อ่านแถลงการณ์ว่า คณาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้ติดตามการชุมนุมและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างใกล้ชิด ด้วยความห่วงใยต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของนักศึกษาและประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "รุ้ง" น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ "เพนกวิ้น" นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ จึงมาเยี่ยมนักศึกษาและประชาชนที่ถูกจับกุม ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับนักศึกษา คณาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง และสังคมดังต่อไปนี้          

1.ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัตินักศึกษาที่อยู่ในเรือนจำอย่างเป็นธรรม และดูแลสวัสดิภาพของนักศึกษาตามหน้าที่อย่างดี เนื่องจากคณาจารย์มีความห่วงใยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่และการดำเนินชีวิตในเรือนจำของนักศึกษาที่ถูกจับกุม นักศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงผู้ถูกล่าวหา ยังมิได้มีความผิดตามกฎหมายแต่อย่างใด โดยเฉพาะนักศึกษที่ยังมีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียน ขอให้พวกเขาสามารถเข้าถึงหนังสือ ตำราเรียน และคำบรรยายที่เพื่อนและคณาจารย์ส่งให้ เพื่อที่เขาจะได้ศึกษาเล่าเรียนไปพร้อมกับการทำหน้ที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย          

2.ขอให้ศาลพิจารณาให้นักศึกษาได้รับการประกันตัว เนื่องจากนักศึกษามีภาระต้องเข้าเรียนเสนองาน และสอบให้ครบตามกำหนด หากไม่ได้รับการประกันตัว จะกระทบโดยตรงต่อสถานภาพและอนาคตทางการศึกษาของนักศึกษาอย่งร้ายแรง นอกจากนั้นทั้ง น.ส.ปนัสยา และ นายพริษฐ์ มีโรคประจำตัว หากถูกกักขังไว้ในเรือนจำที่แออัดอาจทำให้เกิดอการกำเริบของโรคจนเป็นอันตราย          

ทั้งนี้ ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และรัฐธรรมนูญ 2560 ล้วนยืนยันในหลักการที่ว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด ผู้ต้องหาจึงต้องได้รับสิทธิในการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นการคลื่อนไหวทางความคิดเพื่อปฏิรูปสังคมการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย มิใช่การก่อความวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อบ้านเมือง เราควรมองพวกเขาเป็นเยาวชนที่ตื่นตัวทางการเมืองมิใช่อาชญากร นอกจากนี้ แม้จะถูกฟ้องร้องในหลายข้อหา นักศึกษาก็มิได้มีพฤติกรรมที่จะหลบหนีแต่ประการใดนับตั้งแต่เริ่มการชุมนุมจนถึงวันนี้ จึงขอให้ศาลพิจารณาให้นักศึกษาได้รับสิทธิประกันตัวและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งนี้ ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมทุกคนควรได้รับสิทธิในการประกันตัวเช่นเดียวกัน          

3.ขอเรียกร้องให้สังคมเคารพการแสดงออกของนักศึกษา หยุดสร้างวาทกรรมเกลียดชังหรือการยุยงปลุกปั่นด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จต่อการชุมนุมเคลื่อนไหวของนักศึกษา ซึ่งมีแนวโน้มที่จะนำสังคมไปสู่หนทางแห่งความรุนแรง สังคมควรตระหนักว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นการใช้สิทธิตามหน้าที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย เฉกเช่นเดียวกับผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นๆ ทั้งที่เห็นต่างและเห็นตรงกับนักศึกษา ซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยได้รับรองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของพลเมืองทุกคนในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมอย่างสงบสันติ และอยู่ในกรอบของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เท่าที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การแสดงออกของนักศึกษาเป็นไปด้วยความสุจริตใจ ด้วยความมุ่งหวังให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า และคนในชาติมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน          

เพื่อให้นักศึกษาได้ดำเนินชีวิตที่มีอิสรภาพตามปกติ สามารถทำหน้าที่เป็นนักศึกษาที่ดี ไปพร้อมกับ การเป็นพลเมืองที่อุทิศตนต่อสังคมได้โดยสมบูรณ์ เราถือเป็นความรับผิดชอบและพันธะทางศีลธรรมของคน          

เป็นครูที่จะต้องช่วยเหลือลูกศิษย์ที่เป็นนักศึกษาอย่างเต็มกำลังความสามารถในยามที่พวกเขาเดือดร้อน ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยและความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของนักศึกษาและประชาชน          

นายประจักษ์ กล่าวอีกว่า กลุ่มคณาจารย์และผู้ปกครอง เข้าเยี่ยมนักศึกษาทั้งสองคนที่ถูกควบคุม หลังย้ายมาจากเรือนจำอำเภอธัญบุรี โดยที่ผ่านมามีเพียงทนายความเท่านั้นที่ได้เข้าเยี่ยม ขณะที่ผู้ปกครองและอาจารย์ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม ซึ่งวันนี้ทนายความจะเพิ่มหลักทรัพย์เป็นเงินสดที่ใช้ประกันตัวในวงเงินที่มากขึ้นเพราะทั้งสองคนมีโรคประจำตัว โดยเพนกวินป่วยเป็นโรคโรคหืดหอบ ขณะที่รุ้งเป็นโรคไมเกรน จึงเกรงว่าสุขภาพจะทรุดโทรมช่วงที่อยู่ภายในเรือนจำ และเชื่อว่าศาลจะเมตตา​ นอกจากนี้ ทั้งสองคนเป็นเด็กเรียนดี โดยเฉพาะ เพนกวิน ได้รับเกียรตินิยม          

"ในวันนี้ทางทนายความจะยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง หากเทียบเคียงกับการที่ศาลปล่อยชั่วคราวไผ่ ดาวดินแล้ว ไม่มีการกำหนดเงื่อนไข หวังว่าทั้งเพนกวินและรุ้งจะได้รับบรรทัดฐานเดียวกัน คือ การปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไข"          

นายประจักษ์ กล่าวต่อว่า การชุมนุมของนักศึกษาเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธี ไม่มีความวุ่นวาย หากตำรวจไม่มากดดัน เด็กๆ ประกาศยุติการชุมนุมเอง การชุมนุมของนักศึกษาเป็นการแสดงออกทางความคิด ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมร้ายแรง เป็นการต่อสู้เพื่อปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น ถ้าทุกฝ่ายเคารพการเคลื่อนไหวของนักศึกษา เราจะไม่เห็นการสลายการชุมนุมเหมือนอย่างเช่นวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา หวังว่ารัฐจะได้รับบทเรียนแล้วว่ายิ่งใช้ความรุนแรงกับนักศึกษาคนก็จะมาร่วมชุมนุมมากขึ้น


"ประยุทธ์"เสนอญัตติแก้ปัญหาชาติ ต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา

 


"ประยุทธ์"เสนอญัตติแก้ปัญหาชาติ ต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา รัฐบาลเข้าใจดีโลกจะต้องมีการเปลี่ยน ต้องหาความสมดุล  

เมื่อเวลา 09.50 วันที่ 26 ตุลาคม 2563 ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาญัตติตามที่รัฐบาลเสนอ โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เสนอญัตติโดยยกเหตุการระบาดของไวรัสโควิดและการชุมนุมเกี่ยวกับการดำเนินการที่ผ่านมา ซึ่งการชุมนุมก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและการใช้เทคโนโลยีในการนัดการชุมนุม แต่รัฐก็จำเป็นต้องการดำเนินการตามกฎหมาย มั่นใจว่าประชาชนรักชาติ วัฒนธรรมไทย สังคมไทยที่มีรากเหง้า จะต้องหาหนทางแก้ไขให้ประเทศดำเนินไปได้ แต่ต้องยึดกฎหมายทั้งสิ้น รัฐบาลเข้าใจดีว่าโลกจะต้องมีการเปลี่ยน แต่ไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย จึงต้องหาความสมดุล จำเป็นต้องฟังความเห็นของสมาชิกรัฐสภา

"มั่นใจว่าประชาชนรักชาติ วัฒนธรรมไทย สังคมไทยที่มีรากเหง้า จะต้องหาหนทางแก้ไขให้ประเทศดำเนินไปได้ แต่ต้องยึดกฎหมายทั้งสิ้น รัฐบาลเข้าใจดีว่าโลกจะต้องมีการเปลี่ยน แต่ไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย จึงต้องหาความสมดุล จำเป็นต้องฟังความเห็นของสมาชิกรัฐสภา แม้เรามีความเห็นที่ต่างกันแต่ก็ยังรักกันได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว



ต่อจากนั้นนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย  ได้อภิปรายว่า เมื่อได้อ่านญัตติของรัฐบาลแล้ว ผมมีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่า ญัตตินี้ เป็นญัตติที่ไม่สร้างสรรค์ เนื้อหาสาระของญัตติ มีแนวโน้มที่จะสร้างความแตกแยกร้าวฉานในสังคมไทย ให้ขยายเป็นวงกว้าง ทั่วประเทศ การตั้งญัตติเช่นนี้ รังแต่จะซ้ำเติมสถานการณ์ให้บานปลาย ไม่สามารถเป็นทางออกของสังคมไทยได้ แต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้น พวกเราก็ยังมีความตั้งใจ ที่จะใช้โอกาสการอภิปรายครั้งนี้ เพื่อเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ

ผมจึงขอร้องให้ที่ประชุมแห่งนี้ ทุกฝ่าย ทุกคนต้องช่วยกันประคับประคอง ให้การอภิปรายในครั้งนี้ เป็นการถกเถียงเพื่อคลี่คลายสถานการณ์วิกฤติของประเทศ

ท่านประธานรัฐสภา ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนที่รับฟังการอภิปรายครั้งนี้ทุกท่าน

การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการร่วมกันหาหนทางแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ เพราะมีแนวโน้มว่าการบริหารจัดการปัญหาภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยิ่งนำพาไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากถ้อยคำ การกระทำ และมาตรการต่างๆ ที่ออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นการราดน้ำมันลงไปในกองเพลิง ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติม
และยั่วยุให้สถานการณ์ต่างๆ ยุ่งยากมากขึ้นไปอีก

สถานการณ์การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันนี้ ประเด็นข้อเรียกร้องล้วนเกิดมาจากเงื่อนปมที่ผูกไว้โดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่ขาดความชอบธรรมตั้งแต่การเข้ามาสู่อำนาจ สร้างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลักของประเทศ เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจของตน มากกว่าเป้าประสงค์ที่รัฐธรรมนูญควรจะเป็น

นั่นคือ สิทธิความเป็นธรรมที่ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ
ความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
ชี้ชัดว่า ท่านนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำที่ล้มเหลว ไร้ความสามารถ บริหารประเทศด้วยนโยบายที่ผิดพลาด เพราะเริ่มต้นการเข้าสู่อำนาจ มาอย่างไม่ชอบธรรม จากกฎกติกาที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อสืบต่ออำนาจของตน และเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องของตน เป็นหลัก ทำให้ผลงานในการบริหารประเทศของท่าน ไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จนต้องออกมาชุมนุมเรียกร้องโดยสันติอย่างต่อเนื่อง เพื่ออนาคตของพวกเขา จนกระทั่งเกิดเหตุที่ไม่ควรจะเกิด นั่นคือ การสั่งการภายใต้ความรับผิดชอบโดยตรงของท่านนายกรัฐมนตรี ให้มีการกระทำรุนแรง สลายการชุมนุมของประชาชนผู้บริสุทธิ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา อีกทั้งมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก ถูกจับกุมคุมขัง ตั้งข้อกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม สถานการณ์ดังที่กล่าวนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลของประชาชน และประชาคมโลก ซึ่งไม่มั่นใจว่ารัฐบาลภายใต้การนำของท่าน จะใช้มาตรการรุนแรง และเลือกปฏิบัติต่อนักเรียน นักศึกษา ประชาชน อีกหรือไม่

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ
สิ่งที่ประเทศของเรากำลังเผชิญอยู่ขณะนี้คือ เรากำลังก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของสังคม และการยืนกรานของท่านในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยแนวคิดอำนาจนิยม ยึดติดกับอำนาจที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม ใช้กลไกมาตรการของรัฐมาควบคุม คุกคามประชาชนในทิศทางที่ไม่ได้เกิดการแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม ไม่ให้พื้นที่ ไม่เปิดโอกาสในการรับฟังเสียงของประชาชน ที่มีสิทธิในฐานะพลเมืองของชาติ เป็นแนวทางที่ยิ่งขยายความขัดแย้ง ความรุนแรง จนไม่สามารถสร้างโอกาส และทางเลือกที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาของชาติ

หลายปีที่นายกรัฐมนตรีปกครองบริหารประเทศ ยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่ขยายช่องว่างระหว่างประชาชน พลเมืองกลุ่มต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ปัญหาพื้นฐานด้านเศรษฐกิจก็ยิ่งดิ่งลง จนไม่สามารถคาดเดาอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้ ปัญหาการศึกษาที่มุ่งแต่การกดหัว ใช้อำนาจกระทำต่อนักเรียน นักศึกษา ประชาชนในสถานศึกษา โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้ครู อาจารย์ ผู้บริหารรับฟังปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชนในฐานะหุ้นส่วนที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจากระบบการศึกษา ไม่ได้สร้างบรรยากาศของการยอมรับกันในฐานะมนุษย์ที่เป็นพลเมืองแห่งอนาคต ไม่นับปัญหาด้านแรงงานที่ขาดหลักประกันด้านสวัสดิการสังคม และปัญหาอื่นๆ ที่สืบเนื่องเชื่อมโยงกัน จนปะทุกลายเป็นกระแสเรียกร้องให้ผู้นำรัฐบาลต้องรับฟัง และตระหนักถึงความต้องการที่แท้จริง หลังจากที่ต้องทนทุกข์ภายใต้การกดทับของกลไกอำนาจของรัฐบาลมาอย่างยาวนาน

การเผชิญสภาพเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ ที่จะปล่อยให้ผู้ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านการทหาร อย่างพลเอกประยุทธ์ มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งที่มาจากความคิดและการกระทำที่เป็นเผด็จการ เพราะพวกท่านไม่อาจเข้าใจว่า จะสร้างสรรค์นโยบาย ขับเคลื่อนกิจกรรมเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด พวกท่านไม่เข้าใจประชาชน และไม่เคยคิดถึงความทุกข์ของประชาชน เพราะท่านไม่ได้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะกล่าวอ้างว่าพวกตนมาจากการเลือกตั้ง ก็เป็นการเลือกตั้งที่ท่านสมคบกันตอกหลักสร้างฐานอำนาจให้แก่ตนเองและพวกพ้อง ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ออกแบบอย่างซับซ้อน ซ่อนกลไกเพื่อทำลายหลักการประชาธิปไตยที่พึงมี แค่เป้าหมายสูงสุดของพวกท่าน คือร่วมกันสืบทอดอำนาจ อย่างเบ็ดเสร็จ

สถานการณ์เป็นประจักษ์พยานอย่างดีว่า พลเอกประยุทธ์และรัฐบาลของท่าน
ไม่เคยเข้าใจประชาชน ไม่แม้แต่จะใส่ใจรับฟัง ไม่แม้แต่จะคิดถึงผลกระทบที่จะส่งผลต่ออนาคตของชาติ คือ การที่รัฐบาลออกมาแถลงข่าว บอกปัดไปวัน ๆ ท่านอ้างว่าได้ใช้หลักการควบคุมดูแลฝูงชนตามหลักสากล แต่ไม่เคยยอมรับว่า มาตรการที่รัฐบาลใช้กับประชาชนของตน เป็นมาตรการแบบก้าวกระโดด ที่รุนแรง และนำออกมาใช้เกินกว่าเหตุ จนสาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก มาตรการรุนแรงเช่นนั้น เกิดจากความกลัวและความเกลียดชังประชาชนของตน มากกว่าจะเอาใจใส่ถึงความปลอดภัยต่อชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา เยาวชนที่โดยหลักแล้ว รัฐต้องให้ความคุ้มครอง ให้ความสําคัญกับข้อเรียกร้องของพวกเขา สิ่งที่ปรากฏคือ พวกเขาถูกความทุกข์ทับถม จนต้องออกมาแสดงตัว แสดงความเห็น และเสนอข้อเรียกร้องที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาหลากหลายมิติ

การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนในวันนี้ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย การแสดงออกซึ่งความคิดและมุมมองทัศนะที่มีต่อสังคม ความคิดเห็นต่างๆ ต่อข้อเสนอและแนวคิดที่ถูกนำเสนอออกสู่สาธารณชนนั้น ควรจะได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง ถึงความเหมาะสม ความถูกต้อง และร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ อย่างเปิดเผย ไม่ใช่เพียงการซื้อเวลา ออกมากล่าวหาและบอกปัดอย่างไม่ตระหนักถึงปมรากปัญหาที่แท้จริง

ภาพที่สะท้อนออกมา ต่อท่าทีการจัดการปัญหาของพวกท่าน คือทัศนคติที่คับแคบ ถือตนเป็นใหญ่ ไม่เห็นหัวประชาชนอยู่ในสายตา เพราะความคิดแบบนี้ พวกท่านจึงเลือกใช้วิธีจัดการกับผู้เห็นต่างด้วยการปราบปราม จับกุมคุมขัง จนถูกประณามคัดค้านจากผู้รักประชาธิปไตยและผู้ที่มีใจเป็นธรรมทั้งในและนอกประเทศ

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ

• การแก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้นในประเทศ ต้องไม่ใช่การใช้กำลังประทุษร้าย หรือการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง และยั่วยุให้เกิดการปะทะกัน

• การใช้กำลังสลายการชุมนุม การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง อันเป็นมาตรการที่เกินเลย จากสถานการณ์และความเป็นจริง การใช้กฎหมายที่ไม่ชอบธรรม ไม่เท่าเทียมกัน เป็นสองมาตรฐานในการเอาผิดกับประชาชนผู้เห็นต่าง หรือแม้กระทั่งการสั่งปิดสื่อมวลชนที่เห็นต่างจากรัฐบาล ล้วนเป็นการกระทำที่รังแต่จะสร้างแรงกดดันเพิ่ม หรือท่านตั้งใจจะสร้างความไม่พอใจ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะที่ยากต่อการควบคุม และหยิบฉวยสถานการณ์นั้นมาต่อยอดอำนาจของตนให้มากขึ้นอีก ซึ่งเป็นภาวะที่พวกเราทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น และยอมรับไม่ได้

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ
ผมเห็นว่าสภาแห่งนี้ควรใช้เวลาที่มีอยู่ 2 วัน เสนอต่อรัฐบาลให้พิจารณาและหาข้อสรุปในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดังนี้...

1) ต้องพิจารณา...ข้อเสนอของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน อย่างจริงจัง เปิดใจรับฟังแต่ละปัญหาที่นำเสนอ อย่างมีวิจารณญาณ

2) ต้องเร่ง...แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว ไม่เตะถ่วงหรือดึงเวลาให้ล่าช้า ไม่ทันสถานการณ์วิกฤติที่กำลังบานปลาย
ต้องเร่ง..พิจารณา “ต้นเหตุสำคัญของปัญหา โดยเฉพาะ “รัฐธรรมนูญ” ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศ”

3) ต้องเร่ง...ปลดเงื่อนไข ที่เป็นมูลเหตุของวิกฤติ เร่งปล่อยตัวนักเรียน นักศึกษา ประชาชนที่ถูกจับกุมคุมขัง จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง โดยพลัน
ปลดเงื่อนไขที่จะทำให้สถานการณ์บานปลาย ยุติการปิดกั้นสื่อ เปิดช่องทางการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และยุติการใช้กฎหมายที่ดำเนินคดีกับประชาชนผู้เห็นต่างจากรัฐบาล โดยเร็วที่สุด

4) ที่สำคัญ... “นายกรัฐมนตรี ต้องลาออก”

เพราะท่านคือ อุปสรรคสำคัญ ที่เป็นภาระของประเทศ
หากท่านลาออก จะถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาด และความล้มเหลวทั้งปวง ที่ได้กระทำลงไป

ท่านประธานรัฐสภาที่เคารพ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า

สภาที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จะไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเตะถ่วงเวลา และฟอกความล้มเหลวให้แก่รัฐบาล



พระพรหมบัณฑิตชี้อภัยทาน จุดเริ่มต้นความปรองดอง ยก "เนลสัน" คนต้นแบบไม่จองเวร

       


เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2563 พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส รศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  และคณาจารย์เจ้าหน้าที่    นำนิสิตระดับปริญญาโทและเอก หลักสูตรสันติศึกษา มจร เข้ารับฟังการบรรยายเรื่อง "พระพุทธศาสนากับสันติภาพ" จากพระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร.กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร   อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ในฐานะอาจารย์ประจำหลักสูตรสันติศึกษา ที่อาคารสิริวัฒนภักดีธรรม วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร         

พระพรหมบัณฑิตได้ให้ความรู้เริ่มจากการนิยามความหมายของคำว่าสันติภาพทั้งในมุมของพระพุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ กระบวนการแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่สันติภาพในพระพุทธศาสนาคืออริยสัจ 4   และขั้นตอนตามหลักปธาน 4 ที่เป็นหัวใจของสันติศึกษา ในข้อ 2 ปหานปธาน คือ การแก้ไข ได้ยกตัวอย่างของพระพุทธเจ้าทรงห้ามญาติ และโทณพราหมณ์ห้ามสงครามแย่งพระบรมสารีริกธาตุได้สำเร็จ หรือบทบาทของพระเจ้าอโศกมหาราชที่เลิกใช้สงครามวิชัยหันมาใช้ธรรมวิชัย 

ข้อ 3 ภาวนาปธาน การสร้างความปรองดองนั้น  พระพรหมบัณฑิตได้ยกหลักอภัยทานคือการให้อภัยในการสร้างความปรองว่า ที่ผ่านมานั้นมีการสอนหลักอภัยทานน้อยไปจึงต้องเริ่มจากภาวนาขันติธรรม มีความรักความเมตตา ทุกคนต่างรักประเทศชาติ กรุณาต่อกัน และต้องมีการให้อภัยยกโทษซึ่งกันและกัน เราจะมีกระบวนการปรองดองสมานฉันท์อย่างไร ภายในจิตใจของผู้ความขัดแย้งภายในจิตใจ ต้องศึกษาวิธีการ เป็นการสร้างความปรองดอง เมื่อเกิดความขัดแย้งทำอย่างไรจะลืมหรือให้อภัยกัน ซึ่งเป็นเรื่องยากเพราะบางคนมองว่า 10 แก้แค้นก็ยังไม่สาย 

ภาวนาปธานเป็นการซ่อมแซมสิ่งที่ถูกทำลายไปเพื่อให้เกิดสมานฉันท์ มีพระพุทธพจน์ที่เกี่ยวข้องคือ สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมะเป็นทานเป็นการให้ชนะทั้งปวง รวมถึงการให้อภัยทานเป็นธรรมทานอย่างหนึ่งซึ่งเป็นการให้ที่ยากมาก แต่การให้อภัยเหนือกว่าให้ทั้งปวง สังคมไทยต้องการการให้อภัย ด้วยการให้อภัยกัน อภัยทานจึงสร้างสามัคคี ดังคำกล่าวที่ว่า "ถ้าไม่มีการให้อภัยผิด และไม่คิดที่จะลืมซึ่งความหลัง จะหาสามัคคียากลำบากจัง ความผิดพลั้งย่อมมีทั่วทุกตัวคน"  สามัคคีไม่เกิดถ้าไม่ให้อภัยกัน เริ่มจากตัวเราต้องให้อภัยก่อน 

พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า การไม่จองเวร นะ หิ เวเรนะ เวรานิ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร หรือความรุนแรงไม่ระงับด้วยการตอบโต้กัน แต่ อะเวเรนะ จะ สัมมันติ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ความรุนแรงระงับด้วยการให้อภัยกัน ทำอย่างไรคนถึงจะให้อภัยกัน ต้องเริ่มจากใจของคน สอดคล้องกับนายเนลสัน แมนเดลา  อดีตประธานาธิบดีประเทศแอฟริกาใต้  เป็นกรณีศึกษาที่การไม่จองเวร ที่ชีวิตติดคุก 27  ปี  ก่อนถูกจับติดคุกนายเนลสันได้พูดว่า "ตลอดชีวิตของผม ผมได้อุทิศชีวิตให้กับคนแอฟริกา แต่ไม่ต้องการให้คนขาวเป็นใหญ่และไม่ได้ต่อสู้ให้คนผิวดำเป็นใหญ่ แต่อุดมการณ์เพื่อให้เกิดประชาธิปไตย ถือว่าเป็นเป้าหมาย เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติมีโอกาสเท่าเทียมกัน มีความหวังเกิดขึ้น ถ้าจำเป็นขอสละชีวิตนี้เพื่ออุดมการณ์นี้"  เมื่อออกจากคุกได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีประเทศแอฟริกาใต้

"ดังนั้นนายเนลสันจึงเป็นบุคคลต้นแบบของการไม่จองเวร จากเหตุการแบ่งแยกผิว นิยมใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาความขัดแย้ง เขาติดคุก 27  ปี ทำให้พบความทุกข์จึงเห็นธรรมะ จึงสู้ด้วยอหิงสาไม่ใช้ความรุนแรง ใช้รูปแบบของการประนีประนอมและสมานฉันท์ เราต้องการคนฝ่ายขาวฝ่ายดำเพื่อพัฒนาประเทศร่วมกัน จึงมีการจับมือเพื่อเดินไปด้วยกัน ประเทศกำลังต้องการคนให้อภัย  จึงย้ำว่า คนฉลาดเรียนรู้ความผิดพลาดของตนเอง แต่คนฉลาดกว่าเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น การรักษาสันติภาพจะต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ทำงานร่วมกัน ทำผลประโยชน์ร่วมกัน ทุกศาสนาจัดเวทีในการพัฒนาชาติบ้านเมือง  การทำงานร่วมกันจะทำให้เราเห็นมิติของ บวร บ้าน วัด โรงเรียนอย่าแท้จริงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข" พระพรหมบัณฑิต ระบุ       

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2500551803576826&id=100008660918012

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

"บิ๊กตู่"ไม่ลาออก! ม็อบนัดสี่โมงเย็น 25 ต.ค.ชุมนุมแยกราชประสงค์


วันที่ 24 ตุลาคม 2563  เวลา 22.10 น. หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ ที่พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้เดินทักทายและถ่ายรูปเซลฟี่ชูสองนิ้วกับประชาชนที่มาร่วมพิธีอย่างเป็นกันเอง ซึ่งประชาชนได้ให้กำลังใจ พร้อมกับกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องลาออก เราเป็นกำลังใจให้ โดยนายกฯ ได้ตอบกลับในทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ออกๆ”

กลุ่มเยาวชนปลดแอกได้โพสต์ข้อความทันทีระบุว่า หลังจาก 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ประชาชนผู้รักในประชาธิปไตยได้ให้เวลา 3 วัน ในการเซ็นใบลาออกของประยุทธ์ จนถึงตอนนี้ ครบ 3 วันแล้ว ประยุทธ์ไม่มีทีท่าว่าจะลาออกแม้แต่อย่างใด ฉะนั้น วันที่ 26 ตุลาคม 2563 เวลา 17.00 น. จะมีการนัดชุมนุมที่แยกสามย่าน

ม็อบเรือนจำสลายตัวนัด 25 ตุลาที่แยกราชประสงค์

เวลา 22.10 น. ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน แกนนำม็อบราษฎรพร้อมผู้ชุมนุม ประกาศบนเวทีปราศรัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งตามข้อเรียกร้อง ดังนั้น ขอให้ราษฎรเจอกันในวันพรุ่งนี้(25 ต.ค.63)ที่แยกราชประสงค์ เวลา 16.00 น. เพื่อไล่พล.อ.ประยุทธ์          

ทั้งนี้ ในส่วนของการชุมนุมที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายจตุภัทร์ เปิดเผยว่า จะยุติการทำกิจกรรมและการปราศรัยในเวลาเที่ยงคืนวันนี้

พิมพ์เขียว! สันติโคกหนองนาโมเดล สันติศึกษาลงดิน สันติภาพกินได้


วันที่ 24 ตุลาคม 2563  พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Hansa Dhammahaso" หลังจากนำคณาจารย์และเจ้าหน้าที่หลักสูตรสันติศึกษา มจร ลงพื้นที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จ.ชลบุรี เพื่อเข้าศึกษาและเรียนรู้แนวทางการออกแบบและพัฒนาสวนสันติธรรมชาติภายใต้กรอบของโคกหนองนาโมเดลและธนาคารน้ำ โดยมี ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร (อาจารย์ยักษ์) พระอาจารย์สังคม ธนปัญโญ  และคณะเป็นที่ปรึกษา ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคมนี้ ความว่า   

สันติภาพลงดิน สันติภาพกินได้ โคกหนองนา สันติศึกษาโมเดล

รับบรีฟจากหลวงพ่อสังคม ธนปัญโญ ผู้เชี่ยวชาญด้านโคกหนองนาโมเดล และธนาคารน้ำ ที่ได้เสนอแนะกรอบแนวคิดและแนวทางการพัฒนาเพื่อต่อยอดโคกหนองนา สันติศึกษาโมเดล บนพื้นที่ 12 ไร่ โดยใช้ใบโพธิ์เป็นกรอบคิดในการออกแบบ

การนำสันติธรรมไปลงมือทำครั้งนี้ หลักสูตรสันติศึกษาจะระดมนิสิต กัลยาณมิตร รุ่น 633 จากหลักสูตรกสิกรรมธรรมมาบเอื้อง และชาวอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ มาร่วมกันพัฒนา โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป

องค์ประกอบสำคัญของโคกหนองนา สันติศึกษาโมเดล จะแบ่งพื้นที่ น้ำ 30% ป่า 30% ข้าว 30% และที่พักอาศัย 10% ภายในจะมีคลองใบ้โพธิ์ ลานธรรมจักร เพื่อปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์จากอินเดีย พืชสวนนาป่าค้นนาทองคำ อุโมงต้นยางนา และพืชพักมากมาย

ทั้งหมดจะอยู่ภายในสวนสันติธรรมชาติ สวนแห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์การ้รียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ แนวคิดโคกหนองนา ธนาคารน้ำ แนวคิดกสิกรรมธรรมชาติ ศาสตร์พระราชา และอื่นๆ ของชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ อย่างยั่งยืน

ในขณะที่วิชาชีวิตที่เป็นสถานที่พาคนไปนิพพานนั้น จะถูกเตรียมพร้อมไว้ ณ สถาบันสติภาวนาเพื่อสันติภาพ เพี่อเป็นแหล่งในการพัฒนาสันติภาพภายในของกลุ่มคนที่มีความพร้อมทางกายแต่ต้องการความอิ่มเอมทางใจ ที่มุ่งให้เกิดความรู้ ตื่น และเบิกบานภายใน


ก่อนหน้านี้ได้โพสต์ว่า ทุกข์กายก็ทำมาหากิน #ทุกข์ใจก็ทำมาหาธรรม 

เจตนารมณ์ที่แท้จริงของการเดินทางมาเป็น #ศิษย์มาบเอื้อง รุ่น 633 ก็เพิ่อต้องการที่จะเข้าใจเบื้องหลังของชุดความคิด (Mindset) กสิกรรมธรรมชาติสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงว่าถือกำเนิดมาด้วยเหตุผลอันใด เพราะการเรียนรู้ที่ผ่านมาแค่ตำตา และตำหู ไม่ได้ตำมือ และตำตีน จนทำให้ตำใจของตนเอง 

เพราะเหตุใด? ผู้คนมากมายจึงถอยห่างและปล่อยวางการพัฒนาเศรษฐกิจ #ทุนนิยม และ #สังคมนิยม โดยหันมา #นิยมเศรษฐกิจพอเพียง  วันนี้ จึงเข้าใจว่า การที่ใครสักคนสามารถพึ่งพาศักยภาพตนเองได้ มันมีคุณค่าและนำมาซึ่งความภาคภูมิใจเพียงไร 

"ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ และ เธอทั้งหลาย จนมีตนเป็นเกาะ จงมีตนเป็นที่พึ่ง  เธอทั้งหลาย จงมีธรรมเป็นเกาะ จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง" เสียงของพระพุทธองค์ผุดขึ้นในใจทันใดที่ได้ยินคำว่าพึ่งตนเองจากอาจารย์ยักษ์ 

การพึ่งตนก็คือคือการพึ่งธรรม ธรรมในความหมายนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ ถ้ามิใช่ธรรมชาติ ทั้งธรรมชาติที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมที่แสดงตัวตนผ่านสิ่งที่จับได้ และเห็นได้ อันได้แก่ ดิน น้ำ และป่า 

ดิน น้ำ และป่า จึงเป็นที่มาของอาหาร ต้นไม้ ข้าวปลา เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และร่มเงา เป็นต้น การพึ่งพาตนเองคือการพึ่งธรรมอันได้แก่ธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ จึงมีกลุ่มคนจำนวนมาก ได้หันหลังให้ทุนนิยม และสังคมนิยม ที่ต้องพึ่งพาคนอื่น รวมถึงรัฐ กลับมาทำมาหากินด้วยลำแข็งตนเองโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน 

มนุษย์ก่อกำเนิดมาจากธรรมชาติ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม การกลับไปหาธรรมชาติจึงเป็นการกลับไปหารากเหง้าที่เป็นต้นตระกูลของตนเองที่ให้ชีวิต และลมหายใจตัวเองมาใช้สอยจนถึงวันนี้  

เพราะมนุษย์หลงลืมธรรมชาติที่เป็นรากเหง้าของตนเอง จึงพากันทำลายธรรมชาติอย่างโหดร้ายทารุน ต่อเนื่อง และยาวนาน ถึงกระนั้น ก็มีมนุษย์บางคนมีจิตสำนึกรู้ในคุณค่าที่แท้จริงของธรรมชาติที่ให้กำเนิดมา จึงหันกลับไปดูแล และใส่ใจธรรมชาติ 

ความจริงคือ ไม่มีธรรมชาติ จะไม่มีดิน น้ำ ป่า ไม่มีป่าจะมีอากาศ แหล่งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ให้มนุษย์ได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตตั้งแค่ปูย่าตายายจนถึงลูกหลานได้อย่างไร 

การเป็นศิษย์มาบเอื้อง จึงเป็นการกลับไปเข้าใจรากเหง้าที่แท้จริงของตัวเองให้ลึกซึ้งอีกครั้ง และที่สำคัญคือการหันกลับมาทบทวนชีวิตของตัวเอง และกำหนดบทบาท และเป้าหมายของชีวิตตัวเองให้คม ชัด และลึกมากขึ้น  

การทำมาหากินคือเรื่องของกาย การทำมาหาธรรมคือเรื่องของใจ ไม่มีกาย จะหาใจมาจากที่ไหน ไม่มีกาย ใจจะได้เรียนรู้ธรรม เพื่อให้เจริญในธรรมได้อย่างไร การเลี้ยงกายก็เพื่อให้กายเป็นแหล่งเรียนรู้ของใจ การเลี้ยงใจจึงมีค่าเท่ากับการหล่อเลี้ยงกายให้สามารถทำมาหากินได้อย่างมีสติปัญญา  

การทำมาหากินจึงไม่จบที่การพออยู่ พอกิน พอใช้ หากแต่ในบั้นปลายแล้ว จะนำไปสู่ความพอร่มเย็นของชีวิต แล้วแบ่งปันความร่มเย็นไปสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติ  อันเป็นความหมายที่แท้จริงอย่างแท้จริง

 

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส

ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง ชลบุรี

23 ตุลาคม 2563



วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

"อนุชา"นำพุทธศาสนิกชนเจริญจิตตภาวนา ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.5



"อนุชา"นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีสวดมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.5  เตรียมจัดสวดมนต์ทุกสัปดาห์จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม  2563 เวลา 17.00 น. ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร พระครูวิจิตรธรรมคุณ ประธานฝ่ายสงฆ์  พร้อมด้วย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฝ่ายฆราวาส ร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 23 ตุลาคม 2563 เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ และถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ของปวงชนชาวไทย

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 23 ตุลาคม 2563 ครั้งนี้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคมให้ดำเนินการจัดพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาพร้อมกันทั่วประเทศ โดยในส่วนของกรุงเทพมหานคร จัดขึ้นที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ส่วนต่างจังหวัดกำหนดจัดพิธี ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดและสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งในวันนี้เป็นวันที่คนไทยได้ระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงได้สร้างสิ่งต่างๆ อันเป็นคุณูปการแก่ประชาชนชาวไทย เช่น การมีสิ่งสาธารณูปโภคที่ดีในทุกวันนี้ การเป็นสังคมประชาธิปไตยของประเทศชาติ ซึ่งการที่พุทธศาสนิกชนได้มาร่วมสวดมนต์ในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงการมีจิตใจที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นการร่วมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา 

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้ลูกหลานไทยได้ระลึกถึงสิ่งที่พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงสร้างไว้ให้จวบจนทุกวันนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธสาสนาแห่งชาติ จัดกิจกรรมสวดมนต์ทุกสัปดาห์ จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563  ซึ่งตรงกับ "วันพ่อแห่งชาติ"  เป็นวันประวัติศาสตร์ที่เราชาวไทยจะได้ร่วมน้อมรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงขอเรียนเชิญพี่พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมกิจกรรมอันเป็นกุศลนี้โดยพร้อมเพรียงกัน

24 ต.ค.! "บิ๊กตู่"นำครม. ทำบุญประเทศที่วัดโพธิ์



รัฐบาลเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ ในวันพรุ่งนี้เวลา 19.00 น.   

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม  2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ และเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ในวันพรุ่งนี้ (24 ต.ค. 63) เวลา 19.00 น. ส่วนกลางจัดขึ้น ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีเข้าร่วมในพิธี  จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดขาว เข้าร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล อย่างพร้อมเพรียงกัน ณ วัดหรือสถานที่จัดพิธีใกล้บ้านทั่วประเทศ ในวันพรุ่งนี้ เวลา 19.00 น.  

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563

สังฆสามัคคี! รวมพลัง“มจร-มมร”สร้างสังคมสุขภาวะ



เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม  2563 เพจ Phramaha Boonchuay Doojai ได้โพสต์ข้อความว่า รวมพลัง “มจร-มมร” สร้างสังคมสุขภาวะ

@ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาสถาบันอุดมศึกษาขึ้นสองแห่ง เมื่อราวสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ในนาม “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” และ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ในปัจจุบัน ด้วยทรงมีพระราชปณิธานในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงมีความสามารถในการรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น และมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สองแห่งก็ได้กลายเป็นขุมพลังทางปัญญาที่มีรากฐานจากพุทธธรรม แห่งองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกื้อกูลต่อสังคมไทยอย่างเป็นรูปมาเป็นเวลาช้านาน บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันทั้งสองได้เป็นกำลังในการธำรงพระพุทธศาสนาและเป็นขุมพลังทางศีลธรรมของสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง

@ ในด้าน “การสร้างเสริมสุขภาวะ” ในสังคมไทย ภายใต้การปฏิรูประบบสาธารณสุขของไทย การรณรงค์เรื่อง "สร้างนำซ่อม" คือ เน้นการ “สร้างสุขภาพ” มากกว่า “การซ่อมสุขภาพ” เช่น รณรงค์เรื่องการบริโภคอาหารสุขภาพ การออกมีกิจกรรมทางกาย การผ่อนคลายอารมณ์และความเครียด การลดละเลิกสุรา บุหรี่ สารเสพติดที่เป็นพิษภัยต่าง ๆ การป้องกันโรคติดต่อ การป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน การรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เป็นต้น “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” และ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ซึ่งเคยมีบทบาทที่อาจไม่ชัดเจนนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้รวมพลังในการขับเคลื่อนงาน “สร้างเสริมสุขภาพ” อย่างเป็นรูปธรรมโดยมี “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ” เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน ภายใต้หลักการสำคัญ คือ “ทางธรรมนำทางโลก” เริ่มต้นแต่การร่วมยกร่าง รับฟังความคิดเห็น ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานองค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ และขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่

@ การขับเคลื่อนงาน “สร้างเสริมสุขภาพ” ของ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก “สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ” หรือ “สสส” ให้ดำเนินโครงการ “ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจสู่การสร้างสังคมสุขภาวะ” ในฐานะที่เป็นโครงการวิจัยที่มีเป้าหมายในการพัฒนาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยให้มีศักยภาพ ทำหน้าที่เป็นพระสงฆ์นักสร้างเสริมสุขภาวะสู่ชุมชนและสังคม โดยใช้กลไก “การปฏิบัติศาสนกิจ” ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนสังคมอย่างมียุทธศาสตร์ ทั้งการพัฒนากลไกคณะอนุกรรมการปฏิบัติศาสนกิจที่เพิ่มองค์ประกอบของภาคีเครือข่ายที่หลากหลาย และพัฒนายุทธศาสตร์การปฏิบัติศาสนกิจในระดับพื้นที่วิทยาเขต/วิทยาลัย ที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ด้วย พัฒนาศักยภาพบัณฑิตด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้โครงการเป็นฐาน (Project Base Learning) รวมถึงการพัฒนา “ระบบปฏิบัติศาสนกิจ” ออนไลน์ เพื่อสนองตอบความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันด้วย

@ ด้านการขับเคลื่อนงาน “สร้างเสริมสุขภาพ” ของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ยังมีปัจจัยอันเป็นข้อจำกัดบางประการ ซึ่งต้องการการหนุนเสริมจากหน่วยงานองค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ซึ่งมีประสบการณ์เคลื่อนงานในพื้นที่มาระยะหนึ่งแล้ว จึงได้กำหนดเป้าหมายและกิจกรรมในการหนุนเสริมการเคลื่อนงานของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ไว้ในโครงการ “ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจสู่การสร้างสังคมสุขภาวะ” ด้วย ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างความร่วมมือระหว่างสองมหาวิทยาลัย ด้วยการจัดกิจกรรม “การประชุมเชิงปฏิบัติการ” ในหัวข้อ “เครือข่ายความร่วมมือปฏิบัติศาสนกิจเพื่อสังคมสุขภาวะ” ซึ่งมีรองอธิการบดี ด้านกิจการคณะสงฆ์ (พระมงคลธรรมวิธาน, ผศ.ดร.) และรองอธิการบดี ด้านการวิจัยและประกันคุณภาพการศึกษา (พระมหามฆวินทร์ ปริสุตฺตโม, ผศ.ดร.) ผู้ได้รับมอบหมาย ร่วมนำการประชุม

@ จากการดำเนินกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการ 3 ครั้งที่ผ่านมา มีข้อค้นพบหลากหลายประการที่น่าสนใจ ดังนี้

R1 ผู้เข้าร่วมการประชุมที่มาจากทั้งสองมหาวิทยาลัยได้ร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และฝึกปฏิบัติการวิเคราะห์ “ทุน” ของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ทั้งทุนกายภาพ ทุนมนุษย์ ทุนเครือข่าย และอื่น ๆ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาโครงการพัฒนาศักยภาพบุตลากรและพระนิสิต/นักศึกษา เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมหรือโครงการที่เป็นประโยชน์ไปสู่ “ชุมชนสุขภาวะ”

R2 บุคลากร “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ทั้งสายวิชาการและสายปฏิบัติการวิชาชีพกว่า 50 รูป/คน ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีความรู้ความเข้าใจในความสำคัญ บทบาท และกระบวนการขับเคลื่อนงาน “สร้างเสริมสุขภาพ” การจัดทำแผนงาน โครงการ รวมถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มากยิ่งขึ้น


R3 พัฒนา Concept Paper ยกร่างแผนงาน โครงการ “การพัฒนาแกนนำศาสนบุคคล เพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ” และภายใต้แผนงาน โครงการนี้

Obj> กำหนดวัตถุประสงค์ไว้อย่างน้อย 4 ประการ คือ

          O1 พัฒนาหลักสูตรและคู่มือการฝึกอบรมที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

          O2 พัฒนาแกนนำศาสนบุคคล เพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ

          O3 พัฒนานวัตกรรมการสร้างเสริมสุขภาวะของกลุ่มบุคคลและชุมชนระดับพื้นที่

           O4 พัฒนาพื้นที่ต้นแบบ “ชุมชนสุขภาวะวิถีพุทธ”


TG> มีกลุ่มเป้าหมายหลักจำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่

          TG1 กลุ่มพระนักศึกษา ซึ่งมีจำนวนกว่า 1,000 รูป

          TG2 กลุ่มแม่ชีนักศึกษา ซึ่งมีจำนวนกว่า 100 คน และ

          TG3 กลุ่มพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน พระวิทยากรและพระนักเทศน์ ซึ่งมีจำนวนกว่า 5,000 รูป

TG> นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมายระดับบุคคลและชุมชนพื้นที่ต้นแบบในการสร้างเสริมสุขภาวะอีกจำนวนมาก ทั้งพื้นที่ซึ่ง “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ได้มีส่วนร่วมดำเนินโครงการพัฒนามาก่อนและพื้นที่ใหม่ ๆ ที่มีความต้องการและมีความพร้อมในการขับเคลื่อนโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัย

Act> กิจกรรมสำคัญในแผนงาน โครงการ ได้แก่

          Act1 กิจกรรมการพัฒนาหลักสูตร (Module) และคู่มือการฝึกอบรม “แกนนำศาสนบุคคล เพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ” ที่มีอัตลักษณ์ของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ที่มีทั้งภาคทฤษฎี และการฝึกปฏิบัติการในพื้นที่

          Act2 กิจกรรมการฝึกอบรม “แกนนำศาสนบุคคล เพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ” โดยความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ที่มาร่วมคิด ออกแบบกิจกรรม ฝึกอบรม ติดตามหนุนเสริมการลงพื้นที่ฝึกปฏิบัติงานสร้างเสริมสุขภาวะของกลุ่มบุคคลและชุมชนต้นแบบ

          Act3 กิจกรรมการถอดบทเรียนทั้งเชิงประเด็นและเชิงพื้นที่ ค้นหานวัตกรรมการพัฒนาแกนนำศาสนบุคคลเพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ นวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาและสร้างเสริมสุขภาวะระดับบุคคลและระดับชุมชน และพื้นที่ต้นแบบในการแก้ปัญหาและสร้างเสริมสุขภาวะ

          Act4 กิจกรรมการสื่อสารสาธารณะ เผยแพร่บทเรียน ขยายผลนวัตกรรม และต่อยอดสู่เป้าหมายการสร้างสังคมสุขภาวะ

@ ความร่วมมือระหว่างสองมหาวิทยาลัย นับเป็นจุดเริ่มต้นอันดีที่จะก่อให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคมสุขภาวะ ในพื้นที่เป้าหมายและสังคมไทย ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพและความยั่งยืนมากกว่าการทำงานอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

>> “สังคมสุขภาวะ คือ สังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข คำถามคือ ‘จะทำอย่างไรที่จะนำไปสู่สังคมที่พึงปรารถนาได้?’ ในฐานะที่เราเป็นพระสงฆ์ หน้าที่ของพระสงฆ์คือการนำธรรมมาขัดเกลาตนเอง นำไปเผื่อแผ่ยังพระสงฆ์รูปอื่น ๆ และเผยแผ่ไปสู่คนในสังคม เพื่อให้พระสงฆ์เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และสร้างให้เกิดเป็นสังคมแห่งสุขภาวะที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง” << : พระมงคลธรรมวิธาน รองอธิการบดี ด้านกิจการคณะสงฆ์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (22 ตุลาคม 2563)

xxxxx "เป็นหนึ่งเดียวกัน" xxxxx ครับ

>>>>>>><<<<<<<

ขอบคุณภาพ และศึกษาเพิ่มเติมที่:

ทีมวิจัย “โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจสู่การสร้างสังคมสุขภาวะ”

https://www.buddhistfordev.com/event125...

https://www.thaihealth.or.th/Content/44084-ทำความรู้จัก"ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์".html

https://www.csdi.or.th/2018/08/ยุทธศาสตร์ปฏิรูประบบสา-2/

https://www.nationalhealth.or.th/taxonomy/term/520

http://stud.mcu.ac.th/sas/

https://www.thaihealth.or.th/Aboutus.html

https://www.facebook.com/phanomnakorn.me/videos/3553240781365741

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...