วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพียงกดไลค์!ช่วยคนจนกัมพูชามีบ้านอยู่

             "ทำบุญปีใหม่ ด้วยสร้างบ้านหลังใหม่ให้คนยากจนเพียงกดไลค์ LIKE ท่านผู้เจริญงดงามในบุญ ประสงค์ทำบุญปีใหม่เพื่อเป็นของขวัญของชีวิต ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านทำบุญด้วยการสร้างบ้านใหม่มอบให้คนยากจน เพียงกดไลค์ ที่เฟซบุ๊กนี้ Dream Foundation Australia 1,000 ไลค์ จะได้บ้านสองหลัง ขณะนี้ข้าพเจ้าต้องการเพียง 400 ไลค์ เท่านั้น ภายในสองวันนี้ หากได้ตามจำนวนดังกล่าว มูลนิธิ Dream Foundation Australia จะมอบบ้านสองหลังให้คนยากจน ครับ

             การทำบุญแบบนี้ง่ายมากครับ เพียงกดไลค์เท่านั่นเองครับ กรุณาไปยังที่เฟซบุ๊กนี้ แล้วกดไลก์ ครับ ผม
https://www.facebook.com/pages/Dream-Foundation-Australia/221430444663465?ref=stream&viewer_id=1409592375

             หากท่านมีเพื่อน กรุณาชวนกันทำบุญด้วยครับ อีกวิธีหนึ่ง ข้าพเจ้าของแนะให้ท่านไปที่เฟซบุ๊กดังกล่าวแล้ว ดูที่ See All แล้วกด และไปที่ Invite กดชวนเพื่อน ๆ ทำบุญด้วยกันครับ (ง่ายมาก ครับ ) ร่วมทำบุญด้วยกันครับ เพียงกดไลค์ บ้านใหม่สองหลังจะได้เป็นของผู้ยากจนครับ"

             ข้อความนี้เป็นคำเชิญชวนเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2556 จากเฟซบุ๊ก Sothea Yon ซึ่งเป็นพระชาวกัมพูชา ที่จบการศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  เคยเป็นอาจารย์สอนระดับปริญญาตรีที่ มจร วิทยาเขตอุบลราชธานี สอนภาษาเขมรที่วิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาอุบลราชธานีและเป็นวิทยากรวิจารณ์งานนิสิตระดับปริญญาตรีคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเป็นประจำ พร้อมกันนี้ได้เดินทางกลับไปพัฒนาประเทศบ้านเกิด

             ได้ติดตามเฟซบุ๊กของท่านตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมกัมพูชาและภาคตะวันออกของไทย ได้จัดกิจกรรมรับบริจาคนำสิ่งของไปบริจาคผู้ประสบภัย และได้เห็นกิจกรรมของท่านตลอดมาโดยมุ่งพัฒนาเยาวชนให้มีคุณธรรมจริยธรรมพร้อมเสริมความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งก็ถือว่าตรงตามวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนอกจากจะเน้นด้านการเรียนการสอนแล้วยังให้ความสำคัญกับการบริการสังคมด้วย

             วิธีการเชิญชวนกดไลค์ให้ถึงเป้าที่กำหนดของผู้ที่บริจาคเงินสร้างบ้านให้กับคนยากจน แค่เพียงกดไลค์ก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไรและมีที่มาที่ไปที่ชัดเจน จึงถือว่าเป็นกิจกรรมที่น่าสนับสนุนเพราะเป็นการช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พม่าออกบัตรพระถวาย'ครูบาบุญชุ่ม' เตรียมจัดใหญ่งานวันเกิด9วัน9คืน

             ใกล้จะถึงวันคล้ายวันเกิดของพระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร  พระเกจิล้านนาชื่อดังสายป่ากรรมฐาน  ซึ่งเป็นที่นับถือของประชาชนชาวภาคเหนือและทั่วประเทศไทยในวันที่ 5 ม.ค.2557 นี้แล้ว โดยศิษยานุศิษย์ได้กำหนดจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ 9 วัน 9 คืน ระหว่างวันเสาร์ที่ 28 ธ.ค.2556 – วันอาทิตย์ที่ 5 ม.ค.2557 ที่วัดดอนเรือง เมืองพง จ.เชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า และขณะนี้กำลังเตรียมงานอยู่

             พระครูบาบุญชุ่มนั้นเป็นชาวไทยใหญ่ได้บวชตั้งแต่เป็นสามเณร เดินทางไปเผยแพร่ธรรมหลายประเทศ และได้เดินทางจากประเทศพม่าบ้านเกิดเข้ามาจำวัดที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2547 ได้ตั้งสัจจะถือศีลที่วัดถ้ำราชคฤห์ อ.งาว จ.ลำปาง ตลอดการเข้าพรรษานานถึง 3 เดือน ไม่มีการปลงผม ไม่ฉันอาหารใดๆและไม่รับกิจนิมนต์ ไม่รับบิณฑบาต แม้ว่าจะมีคนนำไปถวาย แต่ฉันเพียงผลไม้ที่ลูกศิษย์นำมาถวาย และที่หาได้ตามป่าเท่านั้น เพราะปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดตามรอยพระพุทธเจ้า และได้ออกจากถ้ำเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2556 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา

             และเมื่อวันที่ 15 พ.ย.2556 ได้เดินทางไปยังวัดดอนเรือง เมืองพง จ.เชียงตุง ประเทศพม่า เพื่อโปรดญาติโยม โดยไม่มีกำหนดเดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกันนี้ทางการพม่าออกบัตรประจำตัวพระภิกษุถวายแก่พระครูบาบุญชุ่มแล้ว สามารถเดินทางเข้าออกประเทศพม่าได้อย่างสะดวก

             อย่างไรก็ตามช่วงที่พระครูบาบุญชุ่มพักอยู่ที่ประเทศพม่านี้ ศิษยานุศิษย์ยังสามารถติดตามการเคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่องผ่านทางเฟซบุ๊ก"ครูบาบุญชุ่มครูบาสายล้านนาสายป่ากรรมฐาน" ควบคู่ไปกับคำสอนอย่างเช่นตอนที่จะเดินทางไปประเทศพม่าได้เตือนสติคนไทยอย่าทะเลาะกันเพราะจะอายพม่าเขาพร้อมกับมอบคาถาต่างๆอย่างเช่น

             "ความสุขอยู่ไม่ไกล ถ้าใจเรารู้จักปล่อยวาง

             พระนิพพานอยู่ไม่ไกล ถ้าใจเรามีศรัทธา

             พระนิพพานอยู่ไม่ไกล ถ้าใจเรามีสติ

             พระนิพพานอยู่ไม่ไกล ถ้าใจเรามีสมาธิ

             พระนิพพานอยู่ไม่ไกล ถ้าใจเรามีปัญญา

             นิพพานปัจจโยโหตุ"

             มนต์คาถาเงินหมื่นล้าน แสนล้าน พันล้าน (ไม่จน) โอมนะโมพุทธายะ นะ มะ พะ ธะ ยะ นะ มะ อะ อุ นะโมพุทธายะ เกสุสุวัง สะสะยายันตัง สังเก นะรันยายะเป

             คาถาลอดช่อง เกสุสุวัง เกสุสุวัง เกสุสุวัง

             คาถาแคล้วคลาด นะ มะ อะ อุ นะโมพุทธายะ นะ มะ พะ ธะ ยะ นะชาลิติ

             คาถาครอบจักรวาล เกสุสุวัง สะสะยายันตัง สังเก นะรันยายะเป เกสุสุวัง สะสะยายันตัง สังเก นะรันยายะปิ

             คาถาป้องกันสารพิษ ป้องกันภัยอันตรายทุกอย่าง ทะสะขะ สะมังวิสาตุ ทะสะขะ สะมังวิสาตุ ทะสะขะ สมังวิสาตุ

             นับเป็นปัจฉิมโอวาทก้อนเดินทางออกจากประเทศไทยก็ว่าได้

             หรืออย่างเช่นคาถาที่ว่า

             "ติโลกะนาถัง อะหังวันทามิ ภควาติ

             เตสาหัง สิระปาเต วันทามิปริสุทธาเม

             วะจะสา มะสาวา วันทาเมเต

             ตะถาคะเต สะยะเน อะสะเนถาเน

             กัมมะเนจาปิ สัพพาะทา สะทา สุเขนะ

             รักขันตุ สะทาโสถี ภะวันตุเม

             โดยผู้ใช้พระคาถานี้ จะประสบแด่ความสุข ความเจริญ ในทุก ๆ ด้าน ปราศจาคโรคภัยไข้เจ็บ และภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวงมาเบียดเบียน ผู้ใช้พระคาถานี้ควรสวดมนต์ ไหว้พระ และภาวนาเป็นประจำ (ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา) รู้จักกตัญญู-ปรนนิบัติรับใช้ อ่อนน้อมถ่อมตน ต่อบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทั้งหลาย เป็นนิจ

             และในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ศิษยานุศิษย์ได้มีสร้างพระผงครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร รุ่น 49 ปี 28 พรรษา มอบเป็นของขวัญปีใหม่ฟรี โดยได้รับความเมตตาอนุเคราะห์จากพระครูบาเจ้าบุญชุ่ม อาทิ เกษรดอกไม้แสนดวง ผสมมวลสารมงคล ผงพุทธคุณ  น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ดินถ้ำพญานาคถ้ำมหาโพธิสัตว์ราชคฤห์ที่พระครูบาเจ้าบุญชุ่มอธิษฐานจิตเข้ากรรมฐาน 3 ปี 3 เดือน 3 วัน 3 ชั่วโมง 33 นาที พร้อมด้วยมวลสาร 3 มหามงคล เพื่อสร้างถวายเป็นสังฆบูชา อาจาริยบูชา น้อมถวายแก่พระครูบาเจ้าบุญชุ่มเนื่องในโอกาสครบรอบ 49  ปี 28 พรรษา วันที่  5 มกราคม 2557

: สำราญ สมพงษ์รายงาน


วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลบการเมืองร้อน!ร่วมสร้างพระพุทธรูป500ฟุตกุสินารา

             ช่วงนี้คนไทยกำลังสาละวนอยู่กับปัญหาการเมือง มวลมหาประชาชนภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. เคลื่อนพลบุกสถานที่ราชการทำเนียบรัฐบาล นอนกลางถนนราชดำเนินมาเป็นเวลาแรมเดือนแล้ว

             ตั้งธงปฏิรูปการเมืองใหม่ แก้ปัญหารัฐบาลคอร์รัปชั่นกินเมือง ราคาน้ำมันแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้านไม่รู้ใครได้ประโยชน์ ส่งผลให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภา แต่มวลมหาประชาชนยังไม่หยุดบีบต่อ ต้องลาออกจากการเป็นนายกฯรักษาการ เปิดทางตั้งสภาประชาชนปฏิรูปการเมืองก่อนถึงค่อยเลือกตั้ง แต่อีกฝ่ายหนุนรัฐบาลไม่ยอมต้องเลือกตั้งถึงค่อยปฏิรูป

             ทำให้บางคนเกิดความรู้สึกว่า "เมืองไทยวุ่นวายหนอ เมืองไทยขัดข้องหนอ" จะหลีกหนีไปหาที่สงบจิตใจก็กลัวจะเป็นอย่างพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบก.น.7 ที่ขอลาบวชที่แดนพุทธภูมิช่วงม็อบเดือดก็โดนเด้งเข้ากรุ

             จะออกไปร่วมม็อบมากก็กลัวโดนอุ้มเหมือนกับ พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท พระลูกวัดเบญจมบพิตร ที่โพสต์ข้อความล่าสุด สะท้อนความขัดแย้งระหว่างพระกับตำรวจที่เกิดขึ้นผ่านสังคมโซเชียลมีเดีย

             แผ่เมตตาก็แล้ว เตือนสติให้รู้จักพอก็แล้ว ให้ฟังความรอบข้างข้อมูลให้มากๆ ยึดหลักกาลมสูตร แต่เพราะอคติบังตายากที่จะมองอีกฝ่ายเป็นมิตรอย่างนั้น ก็ขอปลีกวิเวกคิดเสียว่า "สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม" ก็แล้วกัน

             พอม็อบเริ่มนิ่งจึงได้หามุมสงบจิตใจได้ข่าวว่า เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่เมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดียแดนพุทธภูมิ  มีพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงขนาด 500 ฟุต ปางปฐมเทศนา ก็จิตนาการไม่ออกว่าสูงขนาดไหน แต่เข้าใจว่าคงจะสูงเท่าๆกับพระพุทธรูปโบราณที่ประเทศอาฟกานิสถานที่ถูกตาลีบันระเบิดทำลายหรือสูงกว่า จึงถือว่าเป็นข่าวที่เป็นมงคลยิ่ง

             เมืองกุสินารานั้นเป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองเอกหนึ่งในสองของแคว้นมัลละ อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมือง ปาวา เป็นที่ตั้งของ สาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า

             และที่น่าปลื้มปิติไปกว่านั้นก็คือว่ามี Hon. Chief Minister Sri Akhilesh Yadav มุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ เดินทางไปเป็นประธานในพิธี และมีพระสงฆ์นิกายต่างๆและชาวพุทธร่วมถึงพระและฆราวาสคนไทยไปร่วมพิธีหลายหมื่นคน

             พระเทพโพธิเทศ ประธานสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล ได้มอบหมายให้พระครูปริยัติโพธิวิเทศ หัวหน้าฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เจ้าอาวาสวัดไทยเชตวันมหาวิหาร  ไปร่วมงานและได้มีโอกาสมอบพระพุทธชินราชให้แก่มุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ

             พระครูปริยัติโพธิวิเทศหรือพระมหาคมสรณ์ได้เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก "ท่านคมสรณ์ ข่าวสารงาน-พระธรรมทูตอินเดีย"ที่สนทนากับมุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ ความว่า ในนามคณะสงฆ์จากประเทศไทย ขอแสดงความชื่นชมและยินดีที่ท่านได้ดำเนินการจนโครงการฯ นี้เริ่มขึ้นได้หลังจากที่คณะทำงานใช้ความพยายามมากว่า 13 ปี ซึ่งนำศรัทธาสร้างโดยองค์ทะไลลามะที่ 14 แห่งทิเบตบนพื้นที่ 500 ไร่

             "เพื่อเป็นนิมิตแห่งความสำเร็จและชัยชนะในนานาปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมาขอมอบพระพุทธชินราช อันเป็นพุทธสัญญลักษณ์แห่งราชาแห่งชัยชนะ และหวังในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในโครงการต่อไป ขณะเดียวกันอาตมามีโครงการสร้างวัดอีกแห่งหนึ่งที่สาวัตถี ถ้ามีโอกาสก็ขอเชิญไปที่นั่นกำลังดำเนินการ และจะทำให้ยิ่งใหญ่กว่าที่เมืองกุสินารา อาตมาจะไปพบท่านที่เมืองลักเนาว์หากมีเรื่องที่ต้องขออุปถัมภ์ช่วยเหลือ"  พระครูปริยัติโพธิวิเทศ ระบุ

             ขณะที่มุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ กล่าวว่า "ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ผมได้ทำตามสัญญาที่เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งเข้าไปกราบพระคุณเจ้าที่วัดเมื่อครั้งก่อน หากมีเวลาผมจะไปเยี่ยมที่วัดไทยอีก มีอะไรให้ผมรับใช้กรุณาแจ้งบอกได้เลยนะครับ"

             พอวันรุ่งขึ้นเฟซบุ๊ก Namaste Dhamma ได้โพสต์ภาพการเผยแพร่พิธีดังกล่าวของสื่อประเทศอินเดียค่อนข้างเป็นข่าวใหญ่

             ผู้ที่ติดตามเฟซบุ๊ก"ท่านคมสรณ์ ข่าวสารงาน-พระธรรมทูตอินเดีย,Namaste Dhamma,วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์-อินเดีย" จะได้เห็นกิจกรรมที่เป็นพุทธานุสสติอย่างต่อเนื่อง ร่วมถึงข้อคิดเตือนสติสำหรับคนไทยอย่างเช่นล่าสุดความว่า

             "ความเมตตา คือ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความหวังดี ความปรารถนาดี ถ้าเราเป็นเพื่อนกับใคร จะสังเกตได้เลยว่า เราคิดถึงแต่จะให้ประโยชน์กับเขา ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนทำร้ายเลย นั่นคือลักษณะของเพื่อนจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นสภาพของธรรมชนิดหนึ่ง คือ เมตตา ในภาษาบาลี ซึ่งภาษาไทยก็ใช้คำว่า “มิตร” หรือ “เพื่อน” เพราะฉะนั้นเวลาไหนที่เราเกิดหวังดีต่อใคร ให้ทราบว่าสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นกำลังทำกิจหวังดี"

             พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงกระทำเป็นแบบอย่างในการใช้หลักธรรมนำการเมือง แล้วนักการเมืองไทยที่เป็นชาวพุทธจะไม่ลองทำตามบ้างหรือ

: สำราญ สมพงษ์รายงาน




วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อุทยานธารโบกขรณีชูจุดขายไฮซีซั่น

          หน.อุทยานฯธารโบกขรณีเชิญชวนสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสายงามช่วงไฮซีซั่น
         
              9ธ.ค.2556 นายวีระศักดิ์ ศรีสัจจัง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ธารโบกขรณี เปิดเผยว่า ช่วงไฮซีซั่น ทางอุทยานฯมีความพร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติเชิงอนุรักษ์และวิถีชีวิตชาวเล ซึ่งพื้นที่ 6,500 ไร่ หรือ 104 ตารางกิโลเมตรของอุทยานฯ ที่ครอบคลุมท้องที่อำเภออ่าวลึก และอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่นั้น มีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบที่มีธารน้ำไหลลอดภูเขา เหมาะสำหรับการพักผ่อน เล่นน้ำ พบแหล่งศิลปะถ้ำจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นภาพเขียนสีโบราณ ที่ถ่ายทอดให้เห็นวิธีชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษย์ยุคโบราณ
         
              โดยหมู่เกาะห้อง ที่ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวน 12 เกาะ เกาะห้องเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด จุดเด่นอยู่ที่ “อ่าวบิเละ” เป็นชายหาดที่ขาวสะอาด ทรายละเอียด แนวหาดโค้งแบ่งออกเป็นสองช่วงคล้ายปีกนกบิน น้ำทะเลใส สามารถมองเห็นปะการังน้ำ นอกจากนี้ยังมีเกาะที่ความสวยงามอีกหลายเกาะ เช่น ทะเลแหวกที่เกาะผักเบี้ย เกาะกามิด เกาะเหลาลาดิง เกาะฮันตู อีกด้วย
         
              นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ได้ให้นโยบายกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า จะเดินหน้าและปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ ทั้งคุ้มครองดูแลทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งโบราณคดีที่ทรงคุณค่าอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนฟื้นฟูทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมให้คืนสู่สภาพสมดุล และมีการบริหารจัดการพื้นที่เพื่ออำนวยประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการ การศึกษาวิจัย และการพัฒนาคุณภาพของประชาชนในท้องถิ่น ดังคำขวัญของอุทยานที่ว่า ‘ถิ่นเก่าธารอโศก มาโบกขรณี มีธารน้ำตกสวย รวยถ้ำล้ำค่า ภาพเขียนสีดึกดำบรรพ์ สวรรค์เกาะห้อง’ทั้งนี้นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป สามารถติดต่อรับบริการได้ที่ อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี 2/2 หมู่ที่ 2 ถนนอ่าวลึก-แหลมสัก ต.อ่าวลึกใต้ อ. อ่าวลึก จ. กระบี่ 81110 โทรศัพท์ 0 7568 1071, 0 7568 2058 โทรสาร 0 7568 2058 : fb/อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี
         
              ด้านนายสนิท องศารา ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ 5 (นครศรีธรรมราช) กล่าวว่า ได้กำชับให้หัวหน้าอุทยานฯ ประสานทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่บูรณาการร่วมมือกัน ในการเชื่อมโยงพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งนอกจากอุทยานฯจะคุ้มครองพื้นที่อนุรักษ์ภายใต้ดูแลของชุมชน ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาลแล้ว นักท่องเที่ยวทั้งไทยและทั่วโลกต่างเกิดความประทับใจในการให้บริการของอุทยานฯและเจ้าหน้าที่ได้อีกด้วย

ร่วมสร้างพระมหาธาตุเจดีย์พอเพียงพุทธชยันตีเฉลิมราช

              เมื่อเวลา 13.09น.วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2556ที่ผ่านมามีพิธีทอดผ้าป่าและวางศิลาฤกษ์สร้าง "พระมหาธาตุเจดีย์2600ปี พุทธชยันตีเฉลิมราช" หรือพระมหาธาตุเจดีย์พอเพียง ศูนย์ปฏิบัติธรรมมาบเอื้อง เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ตรงข้ามศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง ภายใต้การนำของพระราชญาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม9 กาญจนาภิเษก ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรืออาจารย์ยักษ์  ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ โดยมีผู้ร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

              มูลเหตุ 3 อย่างแห่งการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์พอเพียง คือ 2,600 ปี พุทธชยันตี แห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก 85 ปี พระมหากษัตริย์ภูมิพล ผู้ทรงพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยการออกแบบคล้ายเจดีย์ "สาญจี" ที่สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช

              พร้อมทั้งพระมหาเจดีย์องค์นี้ ยังได้ประโยชน์ถึง 3 อย่าง คือ 1. เป็นหอบรรจุพระบรมสารีริกขธาตุและอรหันตธาตุ  2. เป็นหอแสดงพระอัจฉริยภาพ 3 มหาบุรุษ  3. เป็นห้องเรียน หอประชุมและสถานที่ปฏิบัติธรรม

              ผู้มีจิตศรัทธาเพื่อปฏิบัติบูชาและร่วมสร้าง "พระมหาธาตุเจดีย์2600ปี พุทธชยันตีเฉลิมราช" เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความกตัญญูกตเวที ต่อมหาบุรุษทั้ง 3 พระองค์ สามารถติดต่อสอบถามที่พระอาจารย์สังคม ธนปัญโญ 089-5742528,



: สำราญ สมพงษ์รายงาน



วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

'ในหลวง'ทรงถวายบัวยอดฉัตรพุทธคยา

          โครงการหุ้มทองคำยอดฉัตรพระมหาเจดีย์พุทธคยา เป็นการทำงานที่ศาสนิกชนชาวพุทธทั่วโลกร่วมกันนำทองคำซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ที่สูงค่า มาถวายเป็นพุทธบูชา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภก ทรงตั้งสัตยาธิษฐานนำพาชาวไทยทั้งประเทศเป็นตัวแทนพุทธศาสนิกชนทั่วโลกร่วมกันถวายทองคำเป็นอามิสบูชาสู่การปฏิบติบูชา เพื่อเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา นำพาประเทศชาติและประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุขและพัฒนาสถาพรตลอดไป

             โครงการนี้เกิดขึ้นโดยรัฐบาลอินเดียและยูเนสโกได้มอบหมายให้ประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดทำโครงการหุ้มทองคำยอดฉัตรพระมหาเจดีย์พุทธคยา ณ วัดมหาโพธิมหาวิหาร พุทธคยา สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2556 เนื่องในโอกาสสมโภชพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ธรรมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งการนำทองคำมาหุ้มยอดฉัตรพระมหาเจดีย์พุทธคยานี้ เชื่อว่าสิ่งที่พุทธศาสนิกชนร่วมกันถวายเป็นอามิสบูชานี้จะอยู่ได้เป็นร้อยๆ พันๆ ปี และโครงการนี้เป็นโครงการที่คนไทยทั้งประเทศได้ร่วมกัน ในทุกภาคส่วนทั้ง  ศาสนา รัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป

             ที่ต่างร่วมใจกันทำงานเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กับทั้งถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกในโอกาสจัดงานฉลองพระชันษา 100 ปี 3 ตุลาคม 2556 และเป็นโครงการที่ทางวัดพุทธคยาจะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธที่เมืองพุทธคยาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 4 ในประวัติศาสตร์โลกที่ทรงร่วมบูรณะพระมหาเจดีย์พุทธคยาต่อจากพระเจ้าอโศกมหาราข พระเจ้าหุวิชกะ และพระเจ้ามินดง ดั่งคำจารึกในแผ่นทองคำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความว่า

             "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร์ รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก มีพระราชศรัทธา ทรงนำพาระชาชนชาวไทยทั้งชาติ ร่วมกันสร้างทองคำบริสุทธิ์ 289 กิโลกกรัม นำมาประดิษฐาน ณ ยอดพระมหาโพธิเจดีย์นี้ เพื่อเป็นพุทธกตเวทิตบูชา แด่สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่แห่งนี้ ขออานุภาพแห่งการบูชาสูงสุดนี้ บันดาลให้ชาติไทยรุ่งเรืองด้วยพุทธศาสนาตลอดกาลนิรันดร์ ให้คนไทยมีความสามัคคีกัน มีความสันติ และสุขสถาพรตลอดไปเทอญ"

              ในการนี้สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้ทรงลงพระนามในแผ่นทองคำเพื่อร่วมถวายเป็นพุทธบูชา พร้อมกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ได้เสด็จพระดำเนินมาร่วมพิธีสมโภชยอดฉัตรทองคำในวันที่ 30 สิงหาคม 2556 ด้วย   

             การทำงานในครั้งนี้จึงเป็นการทำมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ที่เริ่มจากอามิสบูชาสู่การปฏิบัติบูชา โดยการรวมทุกหัวใจของพุทธศาสนิกชนทุกคนมาร่วมกันปฏิบัติบูชาถวายพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการฉลองพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ธรรม ดังคำกล่าวของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ที่ได้กล่าวถึงความหมายของอามิสบูชาสู่การปฏิบัติบูชาว่า

             "จากการนำทองคำมาเป็นอามิสบูชาสู่การหลอมรวมให้เรามีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองใจ ในพิธีสมโภชยอดฉัตรทองคำที่ประเทศไทย เราจึงร่วมกันเจริญพุทธมนต์บท อิติปิโสภควา 5,000 จบ เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมสัมพุทธเจ้า เมื่อเราได้นำทองคำมาถวาย ณ พระมหาเจดีย์พุทธคยา ก็มีการร่วมกันเจริญพุทธมนต์บท อิติปิโสภควาอีก 5,000 จบนี่คือการหลอมรวมทุกพลังศรัทธามาปฏิบัติบูชา มาอธิษฐานจิตร่วมกันนำธรรมะกลับสู่หัวใจของคน เพื่อให้สังคมไทยอยู่เย็นเป็นสุข พ้นทุกข์ร่วมกัน"

             พลังแห่งศรัทธาที่มีต่อองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้หลอมรวมทุกดวงใจของชาวพุทธให้เป็นหัวใจทองคำ ธาตุแห่งความบริสุทธิ์ สูงค่า และ ยั่งยืน และเป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ชาวพุทธพร้อมที่จะน้อมนำหลักธรรมของสอนของพระพุทธองค์มาปฏิบัติบูชาเพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งความสงบและศานติ

.................................

: เสถียรธรรมสถานรายงาน


หลบการเมืองร้อนร่วมงานบุญแห่พระบาง


ไหว้พระธาตุพูสีที่พระธาตุ
ประทุมมาศบัวทองพนมสถาน
หนเหนือขุนน้ำคือลำคาน
พู้นย่านบรรพชนพิชัยเมือง

หนออกหันสู่ภูซวง
ภูแมนแดนสรวงสถิตเนื่อง
ผานม ผาบัง ประนังเนือง
อร่ามเรือง ลาดภู แผ่นดินงาม


หนใต้ไล้ลู่ด้วยลำโขง
ข้ามโค้งลำของบ่เคยขาม
เลี้ยงย่านเลี้ยงยุคอยู่ทุกยาม
เรืองรามขุนลอผู้หล่อแดน

หนตก กราบพระ หลวงพระบาง
โขงคว้าง ถั่งหล้า พญาแถน
ปู่เญอ ย่าเญอ ยังคงแคว้น
ใจเมือง ใจแมน ใจแผ่นดิน..

              กลอนเรื่อง "หลวงพระบาง" ของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ กวีรัตนโกสินทร์นี้ อาจารย์ตั้งใจแต่งเพื่อเป็นการเชิญชวนผู้สนใจที่จะเดินทางไปร่วมงานบุญแห่พระบาง ที่เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาวระหว่างวันที่ 13-16 ธันวาคมนี้

              ดังนั้นใครถวิลหาลมหนาว หลบเรื่องการเมืองร้อนไปค้นหาความง่ายงามของภาษาเพื่อนบ้านอย่างลาว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลงานบุญใหญ่ในเมืองมรดกโลกอย่างหลวงพระบาง ซึ่งทางการแขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว ประกาศกำหนดการรัฐพิธีเฉลิมฉลองการอัญเชิญพระพุทธรูป "พระบาง"  ไปประดิษฐานยังหอพระบาง เป็นเวลา 3 วัน ดังนี้ วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2556  เวลา 08.00 น. เคลื่อนขบวนแห่พระพุทธรูป "พระบาง" ไปรอบเมืองหลวงพระบาง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนสักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล

              ช่วงค่ำตั้งแต่เวลา 18.00 น. มีการแสดงทางวัฒนธรรมเฉลิมฉลอง การอัญเชิญพระพุทธรูป "พระบาง" อาทิ การขับทุ้มหลวงพระบาง ฟ้อนนางแก้ว ฯลฯ วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2556  เวลา 08.00 น. เคลื่อนขบวนแห่กองบุญผ้าป่าถวายพระบาง ให้พุทธศาสนิกชนรวมอนุโมทนาบุญ  ช่วงค่ำ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. มีการแสดงทางวัฒนธรรมเฉลิมฉลอง การอัญเชิญพระพุทธรูป "พระบาง" อาทิ การขับทุ้มหลวงพระบาง ฟ้อนนางแก้วฯลฯ วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2556   เวลา 06.00 น. ประเพณีตักบาตรตามธรรมเนียมชาวหลวงพระบาง เวลา 10.00 น. ถวายกองบุญผ้าป่าเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธรูป"พระบาง"  เวลา 11.00 น.ถวายภัตตาหารเพล แล้วเป็นอันเสร็จสิ้นการเฉลิมฉลอง

              ขณะเดียวกัน "ชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต" นักค้นคว้าอิสระ รองเลขาธิการมูลนิธิสโมสรมิตรภาพวัฒนธรรมสากล จัดทริปพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ระหว่าง 13-16 ธันวาคม นี้ นอกเหนือจากงานหลักคือ งานฉลองหอและแห่พระบางแล้ว ยังนำชมสถานที่ท่องเที่ยวจ่างๆ ในเมืองหลวง และวังเวียง อีกด้วย วิทยานำชมโดย "ศรัณย์ บุญประเสริฐ" ผู้เชี่ยวชาญด้านอุษาคเนย์ศึกษาและมัคคุเทศท้องถิ่นชาวลาว

              ล่าสุดสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ นำเสนองานเขียนผลงานนักการทูต "เสน่ห์ภาษาลาว" โดย "พิษณุ จันทร์วิทัน" เอกอัครราชทูตไทยประจำ สปป.ลาว นครหลวงเวียงจัน พิมพ์ใหม่ล่าสุดไฉไลกว่าเดิมสี่สีทั้งเล่ม "ฟรี" สำหรับลูกทัวร์ ทริปงานแห่พระบาง หอพระบาง เมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ระหว่าง 13-16 ธันวาคม ( 4 วัน 3 คืน)  ทัวร์เริ่มต้นที่หนองคายราคา 7,500 บาท

              ในแง่มุมทางประวัติศาสตร์และวรรณคดี เมืองหลวงพระบางมีความเกี่ยวพันกับมหากาพย์แห่งอุษาคเนย์เรื่องท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง ทั้งนี้ยังเชื่องโยงกับต้นเรื่องพระเพื่อน พระแพง และพระลอมรณา จากเอกสารประกอบการสัมมนาศูนย์สังคีตศิลป์สัญจร ธนาครกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เรื่อง ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง "มหากาพย์แห่งอุษาคเนย์"  ณ โรงละครแห่งชาติ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 บอกเรื่องราวเค้าเรื่องท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง ต้นเรื่องพระเพื่อน พระแพง และพระลอมรณา โดยเฉพาะเมืองของพระลอ

              โอกาสนี้  "ชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต" ได้คัดย่อดังนี้ "วรรณคดีเรื่องพระลอ" ฉบับที่แพร่หลายทุกวันนี้ มีร่ายเริ่มบอกความเป็นมาของตัวละครสองฝ่าย คือพระลอ กับฝ่ายพระเพื่อน พระแพง ฝ่ายพระลออยู่เมืองแมนสรวง เนื้อร่ายระบุตำแหน่งว่าอยู่ทาง "ทิศตะวันออกหล้า แหล่งไล่สีมา ท่านนา"  หนังสือพระลอไม่ได้บอกว่าเอาอะไรเป็นศูนย์กลาง? จึงไม่รู้ว่าทิศตะวันออก–ทิศตะวันตก ของอะไร? เลยต้องคาดคะเนจากจากตอนพระลอเสี่ยงน้ำข้ามแม่(น้ำ)กาหลง มีร่ายบอกว่า "ถึงแม่กาหลง ปลงช้างชิดติดฝั่ง นั่งสำราญรี่กัน แล้ว ธ ให้ฟันไม้ทำห่วง พ่วงเป็นแพสรรพเสร็จ ธ ก็เสด็จข้ามแม่น้ำแล้วไส้"

              ตรงนี้เป็นพยานให้รู้ว่าเมืองแมนสรวงของพระลออยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำกาหลง เมื่อจะต้องไปหาพระเพื่อนพระแพงด้วยแรงมนต์เสน่ห์ จึงต้องต่อแพข้ามแม่น้ำ เพราะเมืองสรวงของพระเพื่อน พระแพงอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำกาหลง ปัญหาที่นักปราชญ์ราชบัณฑิตคิดค้นถกเถียงกันมานานมาก แต่ยังตกลงกันไม่ได้คือ แม่น้ำกาหลงอยู่ที่ไหน? แท้จริงแล้ว น้ำแม่กาหลงก็คือแม่น้ำโขงหรือน้ำแม่ของ มีอยู่ในโคลงกลอนท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง ในเล่มศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ น้ำแม่กาหลงในท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง เป็นแม่น้ำเดียวกันกับน้ำแม่กาหลงในพระลอ เพราะวรรณคดีสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องต่อเนื่องกัน พูดง่ายๆ ว่าท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง เป็นเรื่องตอนต้นของพระลอ

              ส่วนพระลอเป็นเรื่องตอนปลายของท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง เป็นใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำโขง (เรียกแม่กาหลง) ชื่อดินแดน "โยนก"  บริเวณที่ราบลุ่มน้ำกก–อิง ทางเชียงแสน–เชียงราย–พะเยา ได้ขยายอำนาจข้ามน้ำแม่โขงไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นเขตของแถนกับแมน โดยมีแถนลอเป็นใหญ่ พวกแถนได้ร่วมกันต่อต้านแล้วฆ่าท้าวฮุ่งขาดคอช้างตายในสนามรบ เชื้อสายของท้าวฮุ่งสืบมาถึงพระพิษณุกร ครองเมืองสรวงอยู่ทางตะวันตกของน้ำแม่กาหลง (ในพระลอ) มีลูกสาว 2 คนชื่อ พระเพื่อน พระแพง แถนลอเป็นใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออก เรียกเมืองกาหลง บริเวณริมน้ำโขง หรือหลวงพระบาง ทุกวันนี้ เชื้อสายของแถนลอ สืบต่อมาเป็นท้าวแมนสรวง ครองเมืองแมนสรวง อยู่ทางตะวันออกของน้ำแม่กาหลง (ในพระลอ) มีลูกชายชื่อพระลอ ในวรรณคดีเรื่องพระลอได้กล่าวพาดพิงถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งยุคท้าวฮุ่งไว้ 2 ครั้ง

              ครั้งแรก เมื่อพระลอถูกเสน่ห์ จะไปหาพระเพื่อนพระแพง นางบุญเหลือผู้เป็นแม่ได้บอกพระลอว่า พวกเราไปฆ่าปู่เขามีโคลงบาทหนึ่ง "เพราะปู่เขาเรารอน ขาดเกล้า"  ครั้งหลัง เมื่อย่าเลี้ยงรู้ว่าพระเพื่อนพระแพงสมสู่กับพระลอก็โกรธแล้วสั่งให้ฆ่าพระลอ เพราะเป็นลูกศัตรู ดังมีร่ายตอนหนึ่งบอกว่า พระลอนี้เป็น "ลูกไพรีใจฉกาจ ฆ่าพระราชบิดา แล้วลอบมาดูถูก ประมาทลูกหลานเรา"  ด้วยเหตุทั้งหมดนี้เอง พระเพื่อน พระแพง และพระลอ ถึงต้องถูกพิฆาตยืนตายพร้อมกันสามคน

              สำหรับทริปนี้ รับจำนวน 35 ที่นั่งเท่านั้น และจะหมดเขตวันที่ 9 ธันวาคมแล้ว ผู้สนใจสามารถแจ้งเข้าร่วมการเดินทางได้ที่ "ชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต" โทร. 0851666473  หรือ mahashin19@gmail.com

..............................

: สำราญ สมพงษ์(FB-Samran Sompong)

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

'พระเจมส์จิ'สอนธรรมปิดฉาก'ทองเนื้อเก้า'

                 ปิดฉากเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ "ทองเนื้อเก้า" นับได้ว่าเป็นฉากทองจริงๆ  คือเป็นฉากจุดจบของ "ลำยอง" ที่แสดงโดย "นุ่น" วรนุช ภิรมย์ภักดี สิ้นใจ บีบน้ำตาให้กับผู้ชมขอบทีวีกันถ้วนหน้า ทำให้ไม่มีใครสนใจว่าห่วงนาทีนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเมืองไทยบ้าง

               และฉากทองอีกฉากหนึ่งก็คือฉาก "วันเฉลิม" ตอนโตที่แสดงโดย "เจมส์" จิรายุ ตั้งศรีสุข ได้กลายเป็นพระวันเฉลิม ที่บอกว่าเป็นฉากทองก็คือเป็นฉากที่พระวันเฉลิมเหลืองเต็มจอ ได้ฝากคติธรรมต่างๆ อย่างเช่น ฉากที่ยายแลที่บอกกับพระวันเฉลิมว่า "ยายรู้แล้วว่าชีวิตต้องการอะไร" หลังจากได้เข้าวัดฟังธรรมก่อนที่จะเสียชีวิต และคำที่พระวันเฉลิมกล่าวว่า "เพราะความลำบากทำให้อาตมาเข้าใจชีวิต"   

               นอกจากนี้เป็นฉากที่พระวันเฉลิมช่วยแก้ปัญหาน้องๆ เป็นฉากที่พระวันเฉลิมเข้าไปสอนที่มหาวิทยาลัยที่น้องชายเรียนอยู่ปรากฏว่าน้องชายได้ชกต่อยกับเพื่อน พระวันเฉลิมเห็นเหตุการณ์จึงได้เตือนสติว่า "การใช้ความรุนแรงไม่ใช่ลูกผู้ชาย" คงจะเป็นการเตือนสติคนไทยในช่วงเวลานี้

               พร้อมกันนี้ "ทองเนื้อเก้า" ได้นำเสนอฉากที่พระวันเฉลิมที่บอกกับพ่อ("ป๋อ" ณัฐวุฒิ สกิดใจ) ที่ต้องการที่บวชในระยะยาวเพื่อเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  (มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และเมื่อเรียนจบระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว มีความประสงค์ที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย  ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงการเรียนการสอนของพระสงฆ์ตั้งแต่ระดับพระปริยัติธรรมไปจนถึงระดับปริญญาตรีถึงเอกได้เป็นอย่างดี เพราะว่าพระเณรที่เรียนจบที่มหาวิทยาลัยสงฆ์แล้วนิยมที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย

               อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยสงฆ์มีการเรียนการสอนถึงระดับปริญญาเอกแล้ว และมหาวิทยาลัยต่างๆก็เปิดกว้างให้พระเณรเข้าไปเรียนมากขึ้นไม่เหมือนแต่ก่อน  จึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ พร้อมกันนี้พระเณรจากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศต่างๆทั้งเถรวาทและมหายานก็นิยมเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ของไทยซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 แห่งคือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย แต่ก็มีวิทยาเขตทั่วประเทศ

               อย่างเช่นขณะนี้บัณฑิตวิทยาลัย มจร ได้ขยายเวลาเปิดรับสมัครเรียนปริญญาเอก สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ภาคพิเศษถึงวันที่  28 พ.ย. 2556 นี้ สมัครได้ที่ ชั้น 3 ห้อง 306 อาคารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เวลา 13.00 – 19.00 น. ทุกวันราชการ เว้นวันพระ สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.081-799-8442, 089-107-9900, http://www.mcu.ac.th

               ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีให้ "อ๊อฟ" พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ผู้กำกับ ที่สอดแทรกหลักธรรมตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้าย ดังจะเห็นได้จากเมื่อจบตอนก็จะมีสรุปหลักธรรมจากพระมหาวุฒิชัย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี  พระนักเทศน์ชื่อดัง ที่เรียนจบปริญญาโทมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นคติเตือนใจผู้ชม โดยไม่ได้มุ่งแค่บันเทิงเท่านั้นแต่ยังให้ปัญญาด้วย
: สำราญ สมพงษ์รายงาน(FB-samran sompong)

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

โยมม็อบตร.ล้อมรั้ว!พระทุกข์'ทำอาหารฉันเอง'


              ทุกครั้งที่มีการชุมนุมประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องกรณีต่างๆ และจะมีการปักหลักอยู่รอบทำเนียบฯ บ้างครั้งก็จะยาวไปตามถนนราชสีมาถึงวัดเบญจมบพิตร ย่อมส่งผลกระทบกับพระและสามเณรไม่มากก็น้อย แต่พระและสามเณรก็อดทนไม่เคยที่จะแสดงออก

              การชุมนุมเพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอยเหมาเข่งครั้งนี้ ที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบผ่านวาระ 3 แล้วแต่วุฒิสภาลงมติคว่ำต้องชะลอไว้ 180 วันค้างสภาอยู่ เมื่อครบ 180 วันแล้ว สภาผู้แทนราษฎรถึงจะสามารถยกขึ้นมาพิจารณายืนยันได้ แม้นว่าทางฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยืนยันจะไม่ยกขึ้นมาเห็นชอบเพื่อลดกระแสการชุมนุมประท้วงตลอดถนนราชดำเนิน โดยมาสิ้นสุดที่สะพานมัฆวานฯ

              แต่การป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าเขตที่ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงป้องกันทำเนียบฯและรัฐสภาครั้งนี้ ตำรวจได้กั้นรั้วลวดหนามและแผ่นซิเมนต์แท่งล้อมรอบรวมถึงล้อมวัดเบญจมบพิตรด้วย เวลาผ่านไปเดือนกว่าพระและสามเณรที่วัดแห่งนี้ประสบกับความเดือดร้อนเนื่องจากมีญาติโยมไปทำบุญใส่บาตรลดลง ส่งผลต้องให้สามเณรทำภัตตาหารฉันกันเอง

              ความเดือดร้อนของพระและสามเณรวัดเบญจมบพิตรดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊กของพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท หัวหน้าพระวิทยากรวัดเบญจมบพิตร ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ความว่า "ลูกสามเณรวัดเบญจมบพิตรต้องมาช่วยกันทำภัตตาหารฉันกันเอง เพราะวัดถูกพวกตำรวจปิดทางเข้าออก ญาติโยมเข้ามาทำบุญใส่บาตรไม่ได้  เพราะกั้นรั้วลวดหนามและแผ่นซิเมนต์แท่งล้อมรอบวัดเอาไว้ ผลก็คือพระคุณเจ้าต้องเข้าครัวทำกับข้าวฉันกันเองเพื่อจะได้มีแรงเล่าเรียนพระปริยัติธรรม"

              พร้อมกันนี้ยังระบุว่า "ขอให้ผบช.น.อ่านดูบ้างก็ดีน่ะจะได้ทราบว่าสะสมบาปกรรมไปถึงขุมไหนแล้ว เพราะพระเณรทนมาเดือนหนึ่งเต็มๆแล้ว จนขนาดนี้ข้าวสารหมดถังแล้ว ทั้งวัดมี 80 รูปน่ะ ไม่ใช่ 4-5 รูป"

              เมื่อข้อมูลข่าวสารดังนี้กระจายออกไปทางผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่นำภัตตราหารไปถวายเป็นการบรรเทาความทุกข์จนกว่าสถานการณ์จะปกติ แต่ในส่วนของตำรวจและรัฐบาลยังไม่ได้เข้าไปเยียวยาแต่อย่างใด

              ทั้งนี้เวลาต่อมาในเฟซบุ๊กของพระมหาอภิชาติได้ยังระบุด้วยว่า  "โพสต์ที่เกี่ยวกับผลกระทบของการปิดถนนบริเวณแยกหน้าวัดเบญจมบพิตรและการปิดกันทางเข้าวัด ปิดทางบิณฑบาตของพระเณร ตัดการสัญจรของประชาชนที่มาเข้าวัดทำบุญ จนพระเณรในวัดเดือดร้อนอย่างหนัก จะไปมหาวิทยาลัยหรือทำกิจของสงฆ์ก็ไม่ได้ บางรูปที่ออกไปได้ก็กลับเข้ามาไม่ได้ถึงขนาดต้องเดินกลับวัดเพราะรถแท็กซี่ไม่ยอมมาแถวนี้ หลายรูปถึงขั้นเกิดอาการเครียดตามๆกัน แต่บางคนที่แชร์ภาพของหลวงพี่และยังไปโพสต์ว่าพระเณรขาดความเมตตา ไปว่าร้ายตำรวจ อย่างโน้นอย่างนี้

              เรื่องนี้หลวงพี่ไม่อยากจะไปตอบโต้อะไรมาก เพราะเหมือนที่เคยบอกไปแล้วว่า "พวกตำรวจไม่ได้ไปปิดกันทางเข้าบ้านของคุณนี่" แล้วคุณจะรับรู้ความรู้สึกของพวกเราผู้ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างไร เราอดทนมาเป็นเดือนแล้ว ยอมอยู่แบบอดๆ อยากๆ ไปไหนก็ลำบาก ตอนนี้ขาดแต่เราไม่ได้ออกมาประท้วงขับไล่ตำรวจเท่านั้น แต่อนาคตเราไม่รู้ สุดท้ายนี้ขอให้พวกท่านที่บอกว่าพระขาดเมตตากรุณาเปิดตากว้างๆดูภาพประกอบเหล่านี้ด้วยว่าใครกันแน่ที่ขาดเมตตาตัวจริง อย่าทำตัวเป็นบัฟฯให้มากนักเจริญพร"

              ขณะที่ผู้ใช้นามว่า Sue Chan ได้แนะนำว่า กรณีทีตำรวจปิดกั้นทางสัญจรและใช้ที่บริเวณวัดซ้อมการฝึกฝนต่างๆนั้น ควรจะทำวิกฤตให้เป็นโอกาส คือพระอาจารย์เปิดลำโพงเทศน์เรื่องบาปบุญคุณโทษ สั่งสอนคุณธรรมตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะได้ทราบว่าคนที่บอกว่ามีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนนั้นเป็นมนุษย์ที่เสมือนบัวชนิดใดในบัวสี่เหล่า คงจะได้รับรสพระธรรมกันบ้างไม่มากก็น้อย จะเทศน์สดหรือเปิดเป็นเทปก็แล้วแต่เหตุการณ์ทั้งนี้เป็นเพียงข้อสังเกตโดยเจตนาอันบริสุทธิ์เพื่อได้โปรดพิจารณาตามควรเท่านั้น

              ด้าน Thai Thon ขยายความว่า รอบๆวัดเบญจมบพิตรจะเป็นที่ตั้งหน่วยราชการทั้งหมด ไม่มีบ้านเรือนประชาชนอาศัย ชาวพุทธส่วนใหญ่ที่มาตักบาตรมักจะเดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัวมา พระก็จะออกมารอรับบิณฑบาตรหน้าโบถส์ทุกเช้า

              นับได้ว่าสถานการณ์การเมืองครั้งนี้ทำให้พระและสามเณรวัดเบญจมบพิตรสุดที่จะอดทนจริงๆ จึงได้ระบายให้สาธารณชนและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบ หากจะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงหัวอกพระและสามเณรบ้าง และจะย้ายวัดหนีก็คงไม่ได้

 : สำราญ สมพงษ์รายงาน



วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พระธรรมะอารมณ์ดีวางไมค์ลุยสวน'เกษตรพอเพียง ลุงเขียว'

              วันนี้(14พ.ย.2556) ได้เห็นภาพพระครูปลัดบัณฑิต อินฺทเมธี หรือ องค์ม่อน พระในกลุ่มธรรมะอารมณ์ดีพระนักเทศน์ชื่อดังระดับประเทศจากเฟซบุ๊ก"เกษตร

              พร้อมกับข้อความว่า "วันนี้ท่านพระครูปลัดบัณฑิต อินฺทเมธี หรือ องค์ม่อน ธรรมะอารมณ์ดีพระนักเทศน์ชื่อดังระดับประเทศ แห่งกลุ่มธรรมอารมณ์ดี และคณะญาติธรรมจากจังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีท่านมหาบ้านดิน อยู่กินพอเพียง (อ.เดชา ปราชญ์บ้านดิน) จากสวนรอยยิ้มพ่อ มาเยี่ยมเยียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาดูงานที่ สวนเกษตรมั่งมีของจารย์ตรัย แล้วก็มาต่อที่สวนเกษตรพอเพียง ลุงเขียว เพื่อจะนำไปต่อยอดขยายผล สานโครงการสร้าง "ศูนย์การเรียนรู้เกษตรธรรมะ สุขะยั่งยืน" ณ สำนักสงฆ์ป่าโมกข์ธรรมาราม อ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และท่านก็เมตตารับกิ่งพันธ์มะนาวไป 200 กิ่ง กราบขอบพระคุณครับ"

              ทั้งนี้คงเป็นเพราะพระครูปลัดบัณฑิตไม่ได้ร่วมคณะกับพระมหาวีรพล  วีรญาโณ แห่งวัดยานนาวา เขตสาทร กทม.  พระในธรรมะอารมณ์ดี ที่เดินทางไปประเทศออสเตรเลีย จึงมีเวลาว่างไปชมส่วน"เกษตรพอเพียงลุงเขียว" นั่้นแสดงให้เห็นว่าพระเริ่มให้ความสนใจกับเกษตรพอเพียงมากขึ้น เพื่อจะได้แนะนำญาติโยมเห็นประโยชน์ควบคู่กับสอนธรรม และยิ่งทำให้ชีวิตของพระมีความเป็นอยู่สะดวกมากขึ้นโดยเฉพาะในต่างแดน

              ดูอย่างพระธรรมทูตที่ประเทศอินเดีย-เนปาล  ภายใต้การนำของพระราชรัตนรังษี ประธานสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล ก็มีนโยบายให้วัดไทยทุกวัดในแดนพุทธภูมิ ปลูกพักสวนครัวปลอดสารพิษไว้ต้อนรับผู้แสวงบุญและถวายพระสงฆ์ อาสาสมัคร

              และวันที่ 14 พ.ย.นี้เฟซบุ๊กวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ได้โพสต์ภาพ "ผักปลอดสารพิษไว้ต้อนรับผู้แสวงบุญ" พร้อมกับระบุว่า "จากนโยบายของพระราชรัตนรังษีจึงนำภาพแปลงผักของที่วัดมาให้ชม มาทานข้าวที่วัดท่านจะได้ทานผักปลอดสารพิษเก็บสดๆ จากแปลงผัก ปุ๋ยธรรมชาติ โดยได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธ์ผักจาก คุณ ดร.ประวิทย์-คุณอรุณี โรจนเพียรสถิตง"

              นี้คือการบริหารชีวิตของพระธรรมทูตในต่างแดนควบคู่กับการเผยแพร่ธรรม 
พอเพียง ลุงเขียว" ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการปลูกมะนาว

: สำราญ สมพงษ์รายงาน



วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พรหมทัณฑ์'อารยะขัดขืน'พุทธวิธีปราบคนหัวดื้อ


              ตามที่กลุ่มประชาชนที่ออกมาคัดค้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยทั่วประเทศภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับประกาศเชิญชวนกระทำอารยะขัดขืนอย่างเข้มแข็งทั่วประเทศคือ

              1.วันที่ 12 พ.ย.ให้ทุกคนทุกบริษัท ทุกหน่วยงานราชการ สะสางงานของตัวเอง 1 วัน จากนั้นวันที่ 13-15 พ.ย. เป็นวันหยุดงาน หยุดการเรียนการสอนทั่วประเทศ ขอความร่วมมือเจ้าของกิจการโปรดสั่งพนักงานของท่านให้หยุดงานและมาร่วมชุมนุมกับเราทั่วประเทศ ไปเวทีไหนก็ได้ หน่วยงานไหนบริษัทเอกชนไหน จำเป็นจริงหยุดงานไม่ได้ให้ชะลอความรวดเร็วในการทำงานลง สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยทุกแห่งให้อาจารย์และนักศึกษาไปให้ขึ้นป้ายได้ว่า 13-15 หยุดเรียน หยุดสอน โรงเรียนทุกแห่งทั้งมัธยม ประถม อนุบาล หยุดเรียนหยุดสอนทั่วประเทศ
             
              2.ขอให้บรรดาพ่อค้านักธุรกิจช่วยกรุณาไปปรึกษากันว่า วิธีปฏิบัติในการชะลอการชำระภาษี อย่าให้รัฐบาลมีเงินภาษีออกมาใช้ หยุดให้เขาเอาเงินภาษีของเราไปโกงกิน

              3.ต่อสู้ด้วยสัญญลักษณ์ สัญญลักษณ์ของเราคนไทยคือ ธงชาติ ขอให้ทุกบ้าน ทุกสำนักงาน ชักธงชาติขึ้นทั่วประเทศ ติดธงชาติไว้บนเสื้อผ้า ร่างกาย รถยนต์ แขวนคอด้วยนกหวีด ไปไหนมาไหนพกไป 2 อย่าง คือ นกหวีดและธงชาติ

              4.ตั้งแต่นาทีนี้ ถ้าประชาชนพบเห็นนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรี และลิ่วล้อไม่ต้องพูดด้วย ไม่ต้องทำอะไร หยิบเป่านกหวีดอย่างเดียว เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่เอากับมัน!

              นายสุเทพกล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจว่านี่คือ การกระทำอารยะขัดขืนของพลเมืองดี เพื่อประวัติศาสตร์จะได้จารึก

              เมื่อมาตรการนี้ประกาศออกมาก็ได้รับการขานรับไม่น้อย ฝ่ายรัฐบาลเองก็เต้นดาหน้ากันออกมาตอบโต้สิ่งที่อ้างก็คือผิดกฎหมาย

              คำว่า "อารยะขัดขืน" นี้นับได้ว่าเป็นมาตรการสากลที่ประชาชนประกาศใช้กับชนชั้นปกครองดื้อแพร่ง ผู้นำอินเดียอย่างมหาตมะ คานธี ก็ใช้มาตรการนี้ ซึ่งก็เป็นมาตรการเดียวที่พระพุทธเจ้าใช้กับนายฉันนะ

              พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม(มส.) อธิบายว่า พรหมทัณฑ์ คือ การไม่มีใครคบหาสมาคม ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หากจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็คือ ลักษณะการถูกคว่ำบาตร

              ความจริงแล้วเคยเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการลงพรหมทัณฑ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินว้ตร นายกรัฐมนตรี เมื่องวันอังคาร ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2550 โดยใช้เชื่อว่า "เผยสูตรเด็ดปราบพยศทักษิณ" ความว่า

              "ใคร ๆ ก็รัก ทักษิณ" หรือ "ทักษิณ...ออกไป" ยังคงดังอยู่ในใจคนไทยสำหรับคนที่ชอบและไม่ชอบอยู่ พฤติกรรมของคนชื่อ"ทักษิณ" ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นอย่างไร การที่จะปราบคนชื่อ "ทักษิณ" ให้หายพยศได้นั้น เห็นจะมีอยู่ทางเดียว

              สมัยพุทธกาลนั้น มีคนที่มีลักษณะเดียวกับคนชื่อ"ทักษิณ" คือ นายฉันนะ ที่เป็นมหาดเล็กของเจ้าสิทธัตถะ ตามส่งเสด็จตอนออกผนวช ต่อมานายฉันนะคนนี้ก็บวชในภายหลัง แต่ไม่ศึกษาหรือปฏิบัติธรรมเข้าลักษณะเช้าเอน เพลนอน เย็นพักผ่อน ใครจะสั่งสอนก็ไม่ฟังไม่ทำตาม อวดตัวเองว่าเก่งรู้ทุกอย่าง

              ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ได้เข้าไปทูลถามว่า จะจัดการพระฉันนะอย่างไร พระองค์ทรงแนะให้ใช้ "วิธีพรหมทัณฑ์" คือ อย่าเข้ายุ่งเกี่ยว พระฉันนะอยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องไปสนใจ หลังจากคณะสงฆ์ได้ปฏิบัติตามเช่นนั้น พระฉันนะก็หายพยศ ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุพระอรหันต์

              ดังนั้น ทั้งสังคมไทย รัฐบาล คมช.ให้ความสำคัญกับคนชื่อทักษิณ มากไปหรือไม่ หรือติดว่าเขาเป็นเป็นคนรวย แต่สำหรับคนมีปัญญาแล้ว พูดได้คำเดียวว่าเงินจำนวนเท่านั้น"กระจอก".....อิอิ ถึงเวลาที่จะใช้วิธีพรหมทัณฑ์กับคนนี้หรือยัง

              นี้ก็ผ่านมา 2 ปีแล้วนะเพิ่งได้ยินคำว่า พรหมทัณฑ์ อีก ก็ธรรมดาอะนะอย่าว่าแต่โยมที่แบ่งเป็นสองฝ่ายแม้นแต่พระสงฆ์เองก็มีการถือหางเหมือนกัน ยังตามัวๆอยู่ จะมีสักกี่รูปที่ตาสว่าง

              บัดนี้เวลาก็ผ่านมา 6 ปีแล้วมาตรการดังกล่าวก็ยังไม่ได้ผลแสดงว่าเชื้อแรง มาคราวนี้นายสุเทพก็ได้นำมาใช้อีกครั้งจะสำเร็จหรือไม่ก็คงต้องดูกันต่อไปหรือว่าคนไทยจะสูญเสียไปมากกว่าที่เป็นอยู่

....................

(หมายเหตุ : พรหมทัณฑ์'อารยะขัดขืน'พุทธวิธีปราบคนหัวดื้อ : กระดานความคิด โดยสำราญ สมพงษ์)

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความทรงจำ!'ทะไลลามะ'เฝ้าพระสังฆราช

              ข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อเวลา 19.30น.ของวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2556ที่ผ่านมา   ได้รับความสนใจจากสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำหรับเผยแพร่ไปทั่วโลก พร้อมกับรายงานเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นสหายขององค์ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบต โดยทรงยกย่องสมเด็จพระสังฆราชว่าเป็น "พี่ชายของฉัน" 

              พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (ดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้รายงานในเวลาต่อมาว่า “ขณะนี้อาตมากำลังร่างหนังสือเพื่อแจ้งไปยังองค์ทะไลลามะอย่างเป็นทางการ เนื่องด้วยองค์ทะไลลามะกับสมเด็จพระสังฆราช มีความผูกพันอย่างใกล้ชิด ทุกครั้งที่องค์ทะไลลามะมาเยือนประเทศก็จะต้องมาเฝ้าและสนทนาธรรมกับสมเด็จพระสังฆราช โดยพระองค์ยกย่องสมเด็จพระสังฆราชว่า"เป็นพี่ชายทางธรรม"

              และวันต่อมาพระศากยวงศ์วิสุทธิ์ เปิดเผยว่า องค์ทะไลลามะได้ส่งสาส์นธรรมสังเวชผ่านเว็บไซต์ http://www.dalailama.com/ แสดงความเสียใจเมื่อทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราช มีใจความว่า
   
              "สหายทางจิตวิญญาณที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจการพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราช  ในระยะเวลาอันสั้นหลังงานฉลองพระชนมายุ 100 พรรษา ในระหว่างที่ข้าพเจ้าสวดภาวนาอุทิศถวายแด่สมเด็จพระสังฆราช ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจมายังมหาเถรสมาคมและศิษยานุศิษย์นับหลายล้านคนของพระองค์ทั้งในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก การจากไปของสมเด็จพระญาณสังวรฯนั้น เราทั้งหลายได้สูญเสียสหายทางธรรมอันวิเศษ"
   
              พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า สาส์นขององค์ทะไลลามะได้แสดงความชื่นชมอย่างสุดซึ้งต่อวิถีทางที่สมเด็จพระสังฆราชทรงปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบที่มีต่อพระศาสนาได้สมบูรณ์ยิ่งตลอดพระชนม์ชีพอันยาวนานและมีความหมายยิ่ง และยังทรงอุทิศพระองค์ในการสร้างคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างทั่วถึงตลอดมา และจะหาโอกาสส่งผู้แทนมาสวดภาวนาและแสดงความอาลัยต่อประชาชนชาวไทย เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพนับถือด้วย

              ทั้งนี้องค์ทะไลลามะเสด็จเยือนประเทศไทยครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2510  และได้เสด็จเยือนวัดบวรนิเวศวิหารด้วย ครั้งนั้นทรงปรารภกับสมเด็จพระสังฆราชขณะนั้นทรงดำรงสมณศักดิ์ที่พระสาสนโสภณว่า "อยากศึกษาการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานแบบเถรวาท"  เจ้าหน้าที่จัดการรับเสด็จจึงได้จัดให้สมเด็จพระสังฆราชถวายคำแนะนำในการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานแบบเถรวาทแก่องค์ทะไลลามะตามพระประสงค์ ณ สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง

              องค์ทะไลลามะเสด็จเยือนประเทศไทยหลายครั้ง และทุกครั้งได้เสด็จเยือนวัดบวรนิเวศวิหารและทรงพบปะสนทนากับสมเด็จพระสังฆราชเสมอ จึงทรงคุ้นเคยกับสมเด็จพระสังฆราชเป็นอย่างดี

              ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 และประทับแรมที่ศาลา 150 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร คำแรกที่องค์ทะไลลามะตรัสทักทายสมเด็จพระสังฆราชเมื่อทรงพบกันในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารก็คือ “พี่ชายคนโตของข้าพเจ้า” อันแสดงถึงความเคารพรักที่ทรงมีต่อกัน

              และวันที่องค์ทะไลลามะกราบทูลลาสมเด็จพระสังฆราชได้กราบทูลว่า "เวลาเหลือน้อยเต็มที เมื่อวานนี้กระหม่อมมีโอกาสทูลใต้ฝ่าพระบาทเพียงสั้นๆ กระหม่อมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตจะได้เห็นชาวพุทธทิเบตกับชาวพุทธไทยมีการติดต่อสัมพันธ์ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และคงจะได้มีการประชุมสัมมนาร่วมกันเป็นครั้งคราวด้วย เพื่อให้พระภิกษุไทยกับพระภิกษุทิเบตได้สากัจฉากันในเรื่องพระวินัย เรื่องสมาธิ เรื่องอภิธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากทีเดียวด้วยวิธีดังกล่าวนี้ พวกเราชาวทิเบตก็จะได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากขนบธรรมเนียมประเพณีแบบไทยและในทำนองเดียวกันชาวไทยก็จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากขนบธรรมเนียบประเพณีแบบทิเบต"

              สมเด็จพระสังฆราชได้แสดงพระทัศนะเห็นด้วยกับข้อเสนอขององค์ทะไลลามะในครั้งนั้น

              และเมื่อต้นปี2556 พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ได้เปิดเผยถึงการร่วมสนทนาธรรม "พระพุทธศาสนาหลังพุทธชยันตี 2600 ปี" กับองค์ทะไลลามะ พร้อมผู้แทนคณะสงฆ์ทิเบต ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียว่า "องค์ทะไลลามะยินดีต้อนรับพระสงฆ์ นักวิชาการ และอาจารย์มหาวิทยาลัยจากประเทศไทย ที่จะไปศึกษาที่สถาบันกลางเพื่อทิเบตศึกษาขั้นสูง หรือที่รู้จักกันในนามว่า มหาวิทยาลัยกลางเพื่อทิเบตศึกษา ที่เมืองสารนาถ ประเทศอินเดีย" ทั้งนี้คงเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างอันดีระหว่างสมเด็จพระสังฆราชกับองค์ทะไลลามะนั้นเอง

              การเยือนประเทศไทยเมื่อพ.ศ. 2536 ขององค์ทะไลลามะนี้เอง ผู้เขียนได้มีประสบการณ์โดยตรง เนื่องจากขณะนั้นเป็นผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงศึกษาธิการ ได้แจ้งจากหัวหน้าให้ไปทำข่าวสังเกตบรรยากาศ ก็งงๆเหมือนกันว่าทำไมหัวหน้าถึงใช้ให้ไปทำหน้าที่นี้ทั้งๆไม่สามารถฟังภาษาอังกฤษได้เข้าใจ หรือเป็นเพราะเราเคยเป็นคนวัดมาก่อนก็เป็นได้

              เหตุการณ์ที่ได้สัมผัสกับองค์ทะไลลามะโดยตรงนั้นก็คือตอนที่ประทับแรมที่ศาลา 150 ปี ได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษ์ ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ก็มุ่งไปที่ความขัดแย้งระหว่างทิเบตกับจีน แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็อยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำหนักเพ็ชรนั้นได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมมหาเถรสมาคม เวลาที่มีประเด็นข่าวและเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมก็จะเดินทางไปทำข่าวเสมอ

              นอกจากนี้ทุกๆปีของวันที่ 3 ตุลาคมเป็นวันประสูติของสมเด็จพระสังฆราช ทางวัดบวรฯก็จะมีการจัดงาน ก็ได้มีโอ
กาสเดินทางทำไปข่าว หลังจากนั้นก็จะได้รับแจกวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ แต่ที่ขึ้นชื่อเห็นจะเป็นพระพิมพ์ไพรีพินาศ แม้นว่าตอนนั้นจะไม่ค่อยนิยมพระเครื่องเท่าใดนัก แต่เมื่อเห็นพิมพ์แล้วถือว่าสวยงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งซุ้มเรือนแก้ว ได้เก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้ไม่ได้นำออกมาแก้จนแต่อย่างใด คงเป็นเพราะประสบการณ์เกี่ยวกับพระเครื่องวัดบวรฯนี้เองทำให้สนใจศึกษาพุทธศิลป์ ลายไทย ลายกนกในเวลาต่อไป

              ความจริงแล้วผู้เขียนได้ติดตามศาสนกิจของสมเด็จพระสังฆราชเสมอมา ตั้งแต่สมัยอยู่ในเพศสมณะได้ศึกษาระดับปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต เอกปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเมื่อปี2529 เมื่อจบการศึกษาแล้วก็ยังได้รับประทานปริญญาบัตรจากพระองค์

              จากความทรงจำดังกล่าวทำให้มีความรู้สึกว่าสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระรูปหนึ่งที่มีไม่มากนัก สามารถนำมารำลึกเป็นสังฆานุสสติได้อย่างสนิทใจ

: สำราญ สมพงษ์ อดีตผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงศึกษาธิการรายงาน(FB-samran sompong)

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เหรียญปลอดภัย'หลวงพ่อทวีป สมพงษ์'อดีตเกจิดังกำแพงเพชรทายาทราชวงศ์ลาว

                คำว่า "ปลอดภัย" ในวงการพระเครื่องถือว่าเป็นคำมงคล ถูกนำไปใช้ในการสร้างวัตถุมงคล แต่ที่มีชื่อเสียงเห็นจะเป็นเหรียญปลอดภัยหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรม(สว่าง เจริญศรี) อดีตเจ้าอาวาสวัดคฤหบดีสงฆ์ (ท่าพุทรา) อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งเหรียญปลอดภัย

                ด้วยอิทธิพลแห่งเหรียญปลอดภัยดังกล่าว ทำให้หลวงพ่อทวีป ญาณวโร นามสกุลสมพงษ์ หรือพระสิทธิธรรมเวที อดีตเจ้าอาวาสวัดจันทาราม  บ้านวังแขม  หมู่ที่ 1    ต.วังแขม   อ.คลองขลุง  พระเกจิชื่อดังแห่งเมืองกำแพงเพชรและภาคเหนือ ได้สร้างเหรียญปลอดภัยขึ้นมาด้วย โดยเรียกขานกันว่าเหรียญปลอดภัยหลวงพ่อทวีป ญาณวโร และมีการโพสต์ให้เช่าหรือประมูลในกระดานเว็บไซต์พระเครื่องอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อว่าหากมีไว้ติดตัวแล้วจะปลอดภัย

                ความจริงแล้วพระเครื่องที่หลวงพ่อทวีปสร้างขึ้นขณะที่มีชีวิตอยู่นั้นหลายรุ่น โดยลูกศิษย์ก็ได้ทำเฟซบุ๊กในนาม "ชมรมศิษย์หลวงพ่อทวีป ญาณวโร" และเว็บไซต์ lptaveep.com ให้ผู้สนใจได้ติดตาม อย่างเช่น สมเด็จปลอดภัย รูปหล่อ ตัวต่อเงินต่อทอง พระกริ่งรุ่นแรกหลวงพ่อศรีมงคล วัดจันทาราม ปี 2521

                ขณะเดียวกันที่วัดจันทรารามแห่งนี้มีพระพุทธรูปที่สาคัญคือหลวงพ่อศรีมงคล พระประธานในอุโบสถหลังเก่า "ปางมารวิชัย" เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนเป็นอย่างมากผู้ใดมีทุกข์ร้อน มักมาขอพึ่งบารมีของหลวงพ่อด้วยพวงมาลัยก็จะได้สาเร็จตามปรารถนาทุกประการ  

                วัดจันทรารามถือว่าเป็นอีกวัดหนึ่งที่เก่าแก่ในจังหวัดกำแพงเพชร ได้สร้างขึ้นเป็นวัดมาเป็นเวลานานลงทะเบียนไว้เป็นวัดนับได้ตั้งแต่ประมาณปี 2225 เป็นวัดที่ร้างมาเป็นเวลานานและได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ ชาวบ้านในแทบนั้นมักนิยมเรียกชื่อวัดตามชื่อของหมู่บ้านว่า "วัดวังแขม" ซึ่งเป็นชื่อของหมู่บ้าน และต่อมาได้รับการพัฒนาเป็นหลักฐานมั่นคงเริ่มมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2420

                และในครั้งสมัยนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้เคยเสด็จประพาททางชลมารคและทรงแวะประทับพักแรมที่ปะรำพิธีที่หาดทรายหน้าวัดนี้ด้วย และนับตั้งแต่ปี 2507 วัดจันทารามจึงได้รับการพัฒนาเรื่อย ๆ มา จนได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งหลังเมื่อวันที่ 2 เดือนเมษายน พุทธศักราช 2523 

                สำหรับหลวงพ่อทวีปนั้นมีประวัติที่น่าสนใจคือหลวงพ่อทวีป เกิดวันที่ 1 พฤษภาคม 2477 ปีจอ นามบิดา นายเฟื่อง สมพงษ์ นามมารดา นางบุญเกิด สมพงษ์ บ้านเลขที่ 205 หมู่ที่ 5 ต.แม่ลาด อ.คลองขลุง หลังจากจบการศึกษาป.4 ที่บ้านเกิดแล้ว ได้บวชเป็นสามเณรและพระที่วัดโมลี ต.บางรัก ใหญ่ ต.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เรียนนักธรรมบาลีจบนักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรม  5 ประโยคเมื่อพ.ศ.2502 หลังจากนั้นไปกลับไปพัฒนาบ้านเกิดดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจันทราราม ต.วังแขม ลำดับที่ 8 ตั้งแต่ปี 2507-2549

                และเมื่อพ.ศ.2516 ได้รับการตั้งแต่เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นโท ที่พระครูโสภณพัชรญาณ (จต.ชท.) พ.ศ.2520 เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นโท ที่ พระครูโสภณพัชรญาณ (จอ.ชท.) พ.ศ.2524 เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นเอก ที่ พระครูโสภณพัชรญาณ (จต.ชอ.) พ.ศ.2539 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ที่ พระสิทธิธรรมเวที (สป.)

                หลวงพ่อทวีปมีตำแหน่งทางการปกครองจนถึงขั้นรองเจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร ได้รับมอบหมายจากเจ้าคณะจังหวัดให้ดูแลงานด้านการศึกษา เนื่องจากได้ส่งเสริมการศึกษา จัดให้มีการเรียนการสอนพระธรรมวินัยแก่พระภิกษุ-สามเณร มีการให้รางวัลแก่พระภิกษุ-สามเณร และเด็กนักเรียน ที่เรียนดี มีความประพฤติดี ให้การสนับสนุนแก่พระภิกษุ-สามเณร ไปศึกษาต่อยังสำนักอื่น ๆ ที่มีการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม และบาลี ที่สูงขึ้นไป พร้อมกันนี้พ.ศ.2512 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูตสายที่ 3 ประจำอำเภอคลองขลุงอีกด้วย

                ในด้านงานสาธารณูปการนั้นหลวงพ่อทวีปได้เป็นเป็นประธานดำเนินการก่อสร้างอุโบสถ 1 หลัง ลักษณะทรงไทย อีกทั้งนำสร้างเมรุเผาศพศาลาการเปรียญ รวมถึงให้การสงเคราะห์ในพื้นที่การปกครองอย่างต่อเนื่อง

                พร้อมกันนี้ชาติภูมิของหลวงพ่อทวีปยิ่งน่าสนใจ คือเมื่อมีการสืบสาวที่มาที่ไปของตระกูลสมพงษ์ โดยคนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย เล่าทราบว่า คนต้นตระกูลสมพงษ์มาจากเชื้อราชวงค์พระเจ้าไชเชษฐาธิราชแห่งราชอาณาจักรลาวหลายร้อยปีมาแล้ว ตั้งแต่มีชายแดนถึงโคราชา (นครราชสีมา) พระองค์ได้ส่งพระราชบุตรไปปกครองตามหัวเมืองต่างๆ สกุลสมพงษ์ไปครองนครจำปาศักดิ์(ลาวตอนใต้)ภายหลังเกิดภัยสงครามจึงอพยพมาทางด่านจอหอปรากฏนามสกุลสมพงษ์จำนวนมากที่จังหวัดนครราชสีมาโดยมีพ.อ.วิน้ย สมพงษ์ อดีตรมว.คมนาคม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น

                ส่วนหนึ่งปักหลักอยู่ที่ อ.จัสตุรัส จ.ชัยภูมิ หัวหน้าชื่อนายทองดีภายหลังได้รับพระราชทานนามพระนริศสงครามซึ่งเป็นเพื่อนกับพระยาแล(พระนรินสงคราม)ซึ่งอพยพเลยไปตัวเมืองชัยภูมิ ปัจจุบันนี้ลูกหลานพระนริศสงครามได้แตกลูกแตกหลานเต็มพื้นที่ อ.จัสตุรัส  สายพระนริศสงครามนี้เป็นสายใหญ่แตกออกเป็นสายทหารเรือไปรบตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จึงทำให้มีลูกหลานแถวฝั่งธนบุรีก็ไม่น้อย

                ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องสืบสานกันต่อไป แต่ปัจจุบันนี้ถือได้ว่าคนตระกูลสมพงษ์ได้กระจายกันอยู่เกือบทุกจังหวัด ทางภาคใต้อย่างเช่นที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ส่วนภาคอีสานนั้นไม่ต้องพูดถึง เมื่อทราบเช่นนี้จะทำให้ความยึดติดในภาคนิยมนั้นหมดไป แต่จากประวัติของหลวงพ่อทวีปแล้วทำให้เห็นภาพว่าคนตระกูลสมพงษ์ได้สร้างความเจริญให้กับพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรไม่น้อย 

.............

: สำราญ สมพงษ์รายงาน (FB-samran sompong)

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กลุ่มนักเขียน-สื่อโดดร่วม! 'เดินด้วยใจปากบารา-จะนะ'

              ปรากฏการณ์เดินเท้าต้านโครงการยักษ์ของรัฐที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างโครงการสร้างเขือนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ภายใต้การนำของนายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียรและที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย ได้มีหลายภาคส่วนกระโดดลงมาร่วมเดินด้วย

              และวิธีการเดินเท้านี้ก็ขยายวงออกไป อย่างเช่นล่าสุดขบวนของเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล-สงขลา แสดงพลังต่อต้านโครงการเมกะโปรเจกต์ชุดใหญ่คือ  “แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล” หรือโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบารา อ.ละงู จ.สตูล และเส้นทางรถไฟสงขลา-ปากบารา ถือเป็นบิ๊กโปรเจกท์ใช้เงินลงทุนมหาศาล สำหรับการปฏิรูประบบโลจิสติกส์ในพื้นที่ภาคใต้เพื่อเชื่อมไปยังมาเลเซีย และสิงคโปร์

              หลังจากรัฐบาลได้แนบท้ายโครงการดังกล่าวในบัญชีพระราชบัญญัติเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท นั้นแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังเร่งผลักดันทั้งสองโครงการนี้

              ภายใต้ชื่อ "เดินด้วยใจปากบารา-จะนะ" โดยเริ่มออกเดินเท้าจากท่าเรือท่องเที่ยวปากบารา ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. จนถึงปลายทางที่บ้านสวนกง อ.จะนะ จ.สงขลา ด้วยระยะทาง 220 กม.ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ซึ่งก็มีประชาชนเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง
       
              เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านเป็นวันที่ 4 ของขบวน"เดินด้วยใจปากบารา-จะนะ" ได้เดินไปถึงจุดพักที่บ้านหูแร่ ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขล ทั้งนี้ในช่วงบ่ายนายระพินทร์ พุฒิชาติ หรือน้าซู แห่งวงซูซู และนายศศินได้เข้าร่วมเดินเท้าด้วย ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักขึ้น

              นายสมบูรณ์ คำแหง ผู้ประสานงานเครือข่ายฯกล่าวว่าตั้งแต่เดินเท้าเข้าเขตสงขลารู้สึกยินดีมากที่ได้รับการต้อนรับอบอุ่นจากประชาชนยิ่งขึ้น โดยมีผู้นำอาหารและน้ำดื่มมาร่วมสมทบและให้กำลังใจบ่อยเป็นระยะๆ และคิดว่าในวันที่ 26 เมื่อถึงอำเภอหาดใหญ่จะมีประชาชนเข้าร่วมมากขึ้น

              ด้านนายไกรวุฒิ ชูสกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทหลีเป๊ะเฟอรี่แอนสปีชโบ้ท ซึ่งร่วมในขบวนเดินเท้ากล่าวว่า ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในหลีเป๊ะและตะรุเตาต่างก็ไม่เห็นด้วยกับโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา ทุกคนต่างช่วยกันบริจาคเงินลงขันสำหรับทำกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง

              และวันที่ 26 ตุลาคมนี้ซึ่งเป็นวันที่ 5 ขบวน"เดินด้วยใจปากบารา-จะนะ" ได้เดินเข้าสู่ตัวเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา  ได้มีชาวหาดใหญ่ร่วมต้อนรับเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้อนุญาตใช้วิทยุของมหาลัยสื่อสารกับสังคมด้วย

              พร้อมกันนี้เครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล-สงขลายังได้เปิดเฟซบุ๊กนาม "เดินด้วยรัก ปกป้องปากบาราจะนะ" ขึ้นมา เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการสื่อสารให้กับสังคมได้ทราบการเคลื่อนไหว ปรากฏว่าวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ได้มีกลุ่มนักเขียน สื่อมวลชน ได้ออกมาสนับสนุนพร้อมกับร่วมกันเขียนบทกวีเพื่อแสดงท่าที 13 คนแล้วอาทิ "พิเชฐ แสงทอง" "ธัช ธาดา" "นายทิวา" "ประมวล มณีโรจน์" "ชนะ เสียงหลาย" โดยมี "โสพล โสภณอักษรเนียม" อดีตนักสื่อสารมวลชน เป็นผู้จุดประเด็น

              เริ่มจาก เดินด้วยรัก ฯ # 1


สู้เท่าที่สูจักสู้ได้

สู้เท่าที่ไหว ยังพอหวัง

สู้เท่าที่แรงแห่งกายยัง

สู้ทั้งที่ฝั่ง ช่างแสนไกล

เท่าที่ยุคสมัยของคนยาก

ถูกฝังฝากรอยทนซึ่งหม่นไหม้

เท่าที่หลุมความโลภอันจัญไร

ถูกกระชากลากไส้เนื้อในทราม

เรี่ยวแรงน่าดูแคลนเพียงแขนขา

หาญท้าอำนาจบาปอันหยาบหยาม

ดุ่มเดินเชื่องช้าพยายาม

กลางดงสงครามลุกลามไฟ

ปลีน่องทอดแน่วสู่แนวหน้า

แผ่นดินปู่ย่าแบกบนไหล่

ทุกรอยย่ำย่างหนทางไกล

เท่ากับย่ำหัวใจเนรคุณ

พลัง เพียงพิรุฬ
กวี-นักเขียน
ผู้เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ ปี 2556


              เดินด้วยรักฯ # 10


"ปากบารา" ถึง "จะนะ" : ตอบด้วยหัวใจ

๏ เราจะมุ่งหน้าเดินสู่หนใด

ถ้าหัวใจทุกใจถูกยีย่ำ

ไปสู่หุบเหวที่มืดดำ

โดยการกระทำที่ย่ำยี

๏ ปลายทางหายนะคือพัฒนา ?

เสียงจาก "ปากบารา" ถามทุกที่

เสียงจาก "จะนะ" ถามชั่วดี

ต่อการกระทำนี้เพื่อตอบตน

๏ บ้านของเราเมืองของเราคนของเรา

ควรหรือปล่อยให้เขาเข้ามาปล้น

อำนาจที่แท้ประชาชน

ใช่อำนาจใครบางคนข่มขืนใคร

๏ บ้านของเราเมืองของเราคนของเรา

ใครก็ไม่มีสิทธิ์ยึดเอา, ใช่-ไม่ใช่ ?

จาก "ปากบารา" ถึง "จะนะ" เพื่ออะไร

เพื่อสนองตัณหาหรือไม่ ? ช่วยตอบที

๏ บ้านของเราเมืองของเราคนของเรา

สิทธิ์นี้ไม่ใช่ของเขาทุกพื้นที่

สิทธิ์นี้เป็นของเราเท่าที่มี

เพื่อไม่ให้ใครย่ำยีอย่างริยำ

๏ เราจะมุ่งหน้าเดินสู่หนใด

ตอบได้ด้วยใจทุกใจถูกยีย่ำ

ไม่ยินยอมสู่หุบเหวที่มืดดำ

และไม่ให้ใครกระทำเพื่อย่ำยี !.

นายทิวา
กวีผู้เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ ปี 2553


              เดินด้วยรักฯ #11


“พายุครืนข่มคุกคาม

เดือนลับยามแผ่นดินมืดหม่น

ดาวศรัทธายังส่องแสงเบื้องบน

ปลุกหัวใจ...ปลุกคน...

อยู่มิวาย....

ขอเยาะเย้ย...ทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ

คน...ยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย

แม้ผืนฟ้ามืดดับ...

เดือนลับละลาย

ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน...”

อยากร้องเพลงนี้ขับกล่อมให้ทุกย่างก้าว...ชัดเจน...มั่นคง...

และด้วยเจตนาที่จะให้รู้ว่า...

คุณจะไม่เดียวดาย...ด้วยหัวใจที่เสรี

ขอพลังอยู่คู่คุณ

จุฬาลักษณ์ ทองย้อย
ครูสอนร้องเพลง
เจ้าของกิจการร้านเบเกอรี่


              เดินด้วยรักฯ # 13

อาจดูเหมือนคำใหญ่คำโตเกินไป

แต่เมื่อพิจารณาถึง ‘หัวใจ’

และเนื้อหาสาระของคณะเดินเท้าฯแล้ว

ถ้าผมขออนุญาตหยิบยืมถ้อยคำ

ของนีล อาร์มสตรอง

ที่พูดไว้เมื่อคราเหยียบเยือนดวงจันทร์ว่า

‘นี่คือก้าวเล็กๆ ของมนุษย์ (กลุ่มหนึ่ง)

แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ’

ก็ดูจะไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยไปนักครับ


โสพล โสภณอักษรเนียม
อดีตนักสื่อสารมวลชน

              นับได้ว่าการเดินเป็นวิถีหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย เพื่อแสดงออกให้ผู้ใช้อำนาจรัฐฟังเสียงรากหญ้าบ้าง ไม่ใช้ว่ามีเสียงข้างมากแล้วจะตัดสินทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาเรียกว่า "เผด็จการ" หาใช่ประชาธิปไตยไม่

........................................

(กลุ่มนักเขียน-สื่อโดดร่วม! 'เดินด้วยใจปากบารา-จะนะ' : สำราญ สมพงษ์รายงานFB-samran sompong)






วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

'มจร'นำธารน้ำใจซับน้ำตาผู้ประสบภัยน้ำท่วม แนะตั้งธ.พุทธหนุนบริการสังคม

              จากเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี ปราจีนบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรามาถึงจังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครนั้น ได้มีหลายภาคส่วนลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยรวมถึงพระสงฆ์ด้วย

              โดยเฉพาะในส่วนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ภายใต้การนำของพระพรหมบัณฑิต อธิการบดี กรรมการมหาเถรสมาคม ได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมโดยเปิดรับบริจาคสิ่งของจากญาติโยม ทั่วไป ทั้งนี้สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายธรรมวิจัย 035-248000 ต่อ 8138 หรือวัดมหาธาตุ 02-2222835 หรือเว็บไซต์ http://www.mcu.ac.th

              เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยในภาคต่างๆ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วย พระพรหมบัณฑิต พร้อมด้วยน.ส.จิตรา พรหมชุติมา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี นายสันต์ศักย์ จรูญ งามพิเชษฐ์ ส.ส.ชลบุรี ประธานกรรมาธิการการศาสนาฯ สภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมกันออกรายการที่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง NBT หรือช่อง 11 เมื่อเวลา 22.00-24.00น.ของวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา

              หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา พระพรหมบัณฑิต  ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีและคณะ พร้อมด้วยผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และพุทธศาสนิกชน จำนวน 3 คันรถบัส และรถส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่ง ได้นำถุงยังชีพซึ่งได้รับเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จำนวน 500 ชุด และถุงยังชีพพร้อมปัจจัย จำนวน  1,000 ชุด จัดถวายแก่พระสงฆ์ที่เดือดร้อนจำนวน 109 วัด และประชาชนอีก 3 จุด อีกหลายร้อยครัวเรือน ฝ่ายสงฆ์มีพระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานรับมอบ และรับช่วงดำเนินการแจกจ่ายแก่พระสงฆ์และประชาชนต่อไป

              ขณะเดียวกันสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการ ได้รับรายงานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ว่ามีวัดที่ประสบภัยแล้ว 533 วัด ใน 12 จังหวัด 63 อำเภอ ได้แก่ ภาคเหนือ จ.นครสวรรค์ พิจิตร เพชรบูรณ์ ภาคตะวันออก จ.นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ศรีษะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และปทุมธานี โดยภาคกลางสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง

              ทั้งนี้ นายนพรัตน์ ได้มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด นำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จัดเตรียมไว้กว่า 5,000 ชุด ถวายให้พระสงฆ์ที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมจัดสรรงบประมาณ 10 ล้านบาท ช่วยเหลือพระภิกษุ สามเณร ที่ไม่สามารถออกบิณฑบาตได้รูปละ 100 บาทต่อวัน ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ตั้งศูนย์ให้การช่วยเหลือระดับจังหวัดและอำเภอในพื้นที่ประสบอุทกภัย ช่วยเหลือพระสงฆ์ที่ได้รับความเดือดร้อนและประสานกองทัพจัดรถส่งเครื่องอุปโภคและเคลื่อนย้ายของมีค่ามาไว้ในที่ปลอดภัยด้วย

              ขณะเดียวกันคณะสงฆ์ก็ได้จัดทำโครงการช่วยเหลือพระภิกษุ สามเณร ญาติโยม ที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะคณะสงฆ์จากวัดโสธรวรารามวรวิหาร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา นำโดย พระพรหมสุธี หรือ "เจ้าคุณเสนาะ เจ้าคณะภาค 12 กรรมการมหาเถรสมาคม รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. และพระราชมงคลรังษี วิ. เจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร ได้มอบหมายให้พระราชภาวนาพิธาน วิ. รองเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เป็นผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วม วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

              อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 1-13  ตุลาคมที่ผ่านมา มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ กรุงเทพฯ นำโดยพระมหาสมัย จินฺตโฆสโก เลขานุการมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน และคณะครูอาสา ได้นำข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้า ยารักษาโรค และเงินสดไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ อ.ประจันตคาม อ.ศรีมหาโพธิ และอ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โดยจัดถุงยังชีพ 3,000 ชุด

              จึงขอเชิญพุทธศาสนิกชนและผู้ใจบุญทั้งหลายร่วมบริจาคสิ่งของ ข้าวสารอาหารแห้ง น้ำดื่ม ถวายพระภิกษุ สามเณร และประชาชนผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วม ตามกำลังศรัทธาโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นคณะทำงานจะได้ทยอยนำสิ่งของทั้งหมดไปถวายพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ที่ประสบภัย รวมถึงญาติโยม พุทธศาสนิกชนที่กำลังมีความทุกข์และเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ เพื่อบรรเทาเหตุการณ์เบื้องต้น เป็นการเยียวยาสร้างขวัญกำลังใจสืบไป ผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญได้ที่ศูนย์อำนวยการที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.08-1933-7714 ๔ และ 08-7146-3944 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง อีกช่องทางหนึ่งด้วย

              นับเป็นอีกบทบาทหนึ่งของพระที่ให้บริการสังคม ถ้าจะให้ดีควรจะมีการตั้งเป็นกองทุนพระพุทธศาสนาหรือธนาคารพระพุทธศาสนาเพื่อการบริการสังคมขึ้นมา เพราะความจริงแล้วเงินของวัดหรือของพระพุทธศาสนาที่ฝากอยู่ตามธนาคารต่างๆมีจำนวนไม่น้อยไม่ต้องมีการเปิดรับบริจาคก็ยังได้ เมื่อเกิดเหตุเภทภัยใดๆขึ้นมาสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้ทันท่วงที อาจจะมีการตั้งเป็นโรงครัวเคลื่อนที่หรือตั้งเป็นหน่วยบริการแบ่งเป็นด้านต่างๆ เช่นหน่วยบริการให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจเพื่อให้หายเศร้าโศกจากการสูญเสียจากภัยน้ำท่วมเป็นต้น


...................................


'มจร'นำธารน้ำใจซับน้ำตาผู้ประสบภัยน้ำท่วม แนะตั้งธ.พุทธหนุนบริการสังคม : สำราญ สมพงษ์รายงาน(FB-samran sompong)



วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วันปิยะ!พระจีนถวายสังฆทานนานาชาติที่'มจร' 'เณรอดีตศิษย์เอกชัย'เทศน์มหาชาติทำนองใต้

              เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 วันที่ 23 ตุลาคมหรือวันปิยมหาราชของทุกปี ภาครัฐและเอกชนได้จัดกิจกรรมและวางพวงมาลาถวายราชสักการะ

              เช่นเดียวกับผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นิสิต ผู้แทนส่วนงานต่างๆ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้รวมกันวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ หน้าพระบรมรูปฯ หน้าหอพระไตรปิฎก มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพระพรหมบัณฑิต อธิการบดีเป็นประธาน  และผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไปอ่านอาเศียรวาทสดุดี ในฐานะที่พระองค์ทรงสถาปนา มจร

              นอกจากนี้ มจร ยังได้จัดกิจกรรรมที่สำคัญ 2 ประการคือการถวายสังฆทานนานาชาติและการเทศน์มหาชาติ 4 ภาค

              การถวายสังฆทานนานาชาตินั้นพระธรรมาจารย์ ชุน ฝ่า เจ้าอาวาสวัดหยวนทง เมืองคุนหมิง ประเทศจีน คณะสงฆ์มหายานร่วมกับโครงการศูนย์วิปัสสนานานาชาติ (IBMC) ที่มีพระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มจร เป็นหัวหน้าโครงการ จัดขึ้น

              พระธรรมาจารย์ ชุน ฝ่า ได้นำพระและญาติโยมชาวจีนจากเมืองคุนหมิงประมาณ 50 คนมาร่วมถวายสังฆทานนานาชาติแก่พระภิกษุและสามเณรจำนวน 3,009 รูป ทั้งนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องในวันปิยมหาราชดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการทำบุญคล้ายวันเกิดของพระโพธิสัตว์กวนอิมอีกด้วย

              ทั้งนี้พระธรรมาจารย์ ชุน ฝ่า กล่าวสุนทรพจน์ว่า แม้นชาวพุทธไทย-จีนจะมีวัฒนธรรมแตกต่างกันแต่ก็ถือว่าเป็นพุทธบุตรเช่นเดียวกัน ที่มีหน้าเผยแพร่หลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้เจริญรุ่งเรื่องต่อไป มจร นั้นถือว่าเป็นสถานการศึกษาพระพุทธศาสนาที่มีคุณภาพ ประมุขสงฆ์มณฑลยูนนานก็มีความสัมพันธ์อันดีกับ มจร ซึ่งจะสานความร่วมมือจัดการศึกษาและด้านต่างๆต่อไป

              พระพรหมบัณฑิตกล่าวสุนทรพจน์ว่า การเดินทางมาถวายสังฆทานนานาชาติของพระธรรมาจารย์ ชุน ฝ่า และคณะครั้งนี้ถือว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของชาวพุทธทั้งสองประเทศให้แนบแน่นมากขึ้น อีกทั้งเป็นการเยี่ยมเยือนตอบแทนที่ผู้บริหาร มจร เดินทางไปประเทศจีนก่อนหน้านี้

              ทั้งนี้พระอุ่นเงิน มนิโต พระเถรวาทจากเมืองคุนหมิงที่ได้เดินทางมาศึกษาพระพุทธศาสนานานาชาติที่ มจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้มีพระจากเมืองคุนหมิงเข้ามาศึกษาที่ มจร 2 รูป เพราะพระและสามเณรที่เมืองคุนหมิงนั้นมีการศึกษาตามรูปแบบของไทยเฉพาะนักธรรมเท่านั้น ส่วนการเรียนภาษาบาลีต้องเข้ามาเรียนที่ประเทศไทย ซึ่งต่อไปนี้ทางรัฐบาลจีนจะให้การสนับสนุนด้านการศึกษาพระพุทธศาสนาในหลักสูตรปริญญาตรีที่เมืองคุนหมิง

              ส่วนการเทศน์มหาชาติ 4 ภาคนั้น ทาง มจร ได้ร่วมกับสมาคมศิษย์เก่าจัดขึ้น ภาคเช้านิมนต์พระสงฆ์กัมพูชา 10 รูปสดับปกรณ์  พระสงฆ์มอญ 10 รูป เจริญพุทธมนต์ และถวายภัตตาหารเพลแก่พระสงฆ์และเลี้ยงอาหารกลางวัน จำนวน 1,000 รูป/คน

              ภาคบ่ายเป็นการเทศน์มหาชาติ 4 ภาคโดยนิมนต์พระเณรนักเทศน์ประกอบด้วย ภาคกลางพระอาจารย์สาคร ปุญญการี ภาคอีสานพระครูสังฆรักษ์อรรถสิทธิ์ อริยเมธี ภาคเหนือพระมหาเอกพจน์ ปิยสีโล และภาคใต้สามเณรนัทวุธ สำเภา ซึ่งเป็นพระนิสิต มจร โดยมีลักษณ์การเทศน์เรียงไปตามกัณฑ์ทั้ง 13 กัณฑ์โดยเน้นประเด็นสำคัญโดยมีการบรรยายและเทศน์แหล่สลับกันไปตามภาคต่างๆ โดยไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นภาคใดก่อนหลัง พร้อมทั้งอธิบายความให้ผู้ฟังเข้าใจอาจจะยกเหตุการณ์ปัจจุบันประกอบบ้าง โดยใช้เวลา 2 ชั่งโมงจบ

              หลังจากเทศน์เสร็จได้สอบถามพระอาจารย์สาครได้ความว่าไม่เคยเทศน์มหาชาติ 4 ภาคมาก่อน ถือว่าเป็นการด้นสดๆตามไหวพริบปฏิภาณของแต่ละรูปก็ถือว่าผ่านไปด้วยดี  หากมีการเทศน์ร่วมกัน 2-3 ครั้งก็จะคล่องตัวมากขึ้นและเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการสั่งสอนหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพราะการเทศน์มหาชาติเช่นนี้เป็นการเทศน์ตามทำนองหลวงไม่ได้เน้นเชิงลิเกแต่อย่างใด

              ด้านสามเณรนัทวุธนั้นถือว่าเป็นจุดที่น่าสนใจปัจจุบันนี้เรียนอยู่ที่คณะครุศาสตร์ปี 3 สอบถามประวัติได้ความว่าตอนเป็นเด็กได้อยู่ในคณะโนราของ "เอกชัย ศรีวิชัย" นักร้องลูกทุ่งชื่อดังเมืองใต้ เมื่อบวชเป็นสามเณรมีแนวความคิดที่จะประยุกต์การร้องโนรามาเป็นเทศน์แหล่ทำนองภาคใต้ โดยเริ่มฝึกหัดด้วยตัวเองตั้งแต่เรียนอยู่ที่โรงเรียนปริยัติธรรมชั้น ม.3-4 เมื่อมีความชำนาญก็เริ่มรับงานเทศน์ตามจังหวัดต่างๆทางภาคใต้ รวมถึงเทศน์ผ่านทางเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น ทุกวันนี้ก็มีรับนิมนต์ไปเทศน์เป็นระยะๆ

              "นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ในรูปแบบซีดี อย่างเช่นชุดล่าสุดคือชุดเทศน์แหล่ธรรมะคีตะประยุกต์ชุดธรรมวัยใส สู่ใจวัยธรรม อย่างเช่น แหล่นกกระยาง แหล่ศีล  5 แหล่ชีวิตดีมีทางเลือก แหล่เสน่ห์ใต้ และเร็วๆนี้จะมีการออกซีดีชุดแหล่ธรรมร่วมกับ เอกชัย ศรีวิชัย ด้วย" สามเณรนัทวุธ ระบุ

........................

วันปิยะ!พระจีนถวายสังฆทานนานาชาติที่'มจร' 'เณรอดีตศิษย์เอกชัย'เทศน์มหาชาติทำนองใต้ :  สำราญ สมพงษ์(FB-samran sompong)รายงาน









   

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

'R.I.P.-ขอให้หลับสบาย'คำไว้อาลัยเหยื่อบินลาวตก

              หลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบินสายการบินลาว ตกกลางแม่น้ำโขง ที่บริเวณดอนเขาะ เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก นับเป็นความสูญเสียครั้งที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 49 คนนั้น

              ในสังคมออนไลน์ต่างแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตด้วยถ้อยคำต่างๆ แต่มีคำหนึ่งที่ใช้นั้นก็คือคำว่า 'R.I.P.' อย่างเช่นเฟซบุ๊กคนลาวนาม "Clip Ded Clip Dung - ຄລິບເດັດ ຄລິບດັງ" ได้ภาพคำนี้บนหน้าปก หรือแม้นแต่การที่อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย "เอ็กซ์" จักรกฤษณ์ ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ก็มีผู้ใช้คำนี้ไว้อาลัยเช่นกัน

              แล้วคำว่า 'R.I.P.' หมายความว่าอย่างไร

              บล็อกเกอร์นาม "จอมมาร26" ในเว็บบล็อก"oknation.net" ได้ให้ความหมายไว้ว่า "R.I.P. คำนี้เป็นคำที่มีความหมายถึง "ขอให้หลับให้สบาย" "ขอให้ไปสู่สุขคติ"  ย่อมาจาก Rest In Peace มีที่มาจากรากศัพท์ของภาษา Latin "Requiescat In Pace" แปลได้ประมาณว่า "May He Rest In Peace" หรือ ขอให้ไปสู่สุขคติ

              ส่วนคำว่า Rest In Peace เชื่อกันว่ามีที่มาจากนิกายของศาสนาคริสต์บางนิกาย ที่เชื่อกันว่า หากตายไปแล้วต้องไปรอคำพิพากษาว่าจะไปอยู่ที่ไหน ดังนั้นคำว่า Rest In Peace จึงมีความหมายประมาณว่า ขอให้ไปรอคำพิพากษา ในที่ที่สงบ แต่คำคำนี้มีการใช้อย่างมากขึ้น หลังๆคำคำนี้จึงกลายเป็นคำเขียน ที่เอาไว้เขียนบนป้ายหลุมศพ ซึ่งมีความหมายว่า ขอให้ไปสู่สุขคติ

              การใช้คำนี้อย่างถูกวิธี คำว่า R.I.P. เป็นคำเขียน ไม่ใช้เป็นคำพูด และการใช้คำนี้อย่างถูกก็คือ R.I.P. (มีจุด) แต่จะใช้โดยไม่มีก็ไม่ว่ากันเพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์อยู่แล้ว เช่น RIP Steve Jobs (RIP ตามด้วยชื่อบุคลที่เสียชีวิต) การใช้คำนี้กับคน ต้องใช้กับคนที่ตายไปแล้วเท่านั้น

              อย่างไรก็ตาม คำว่า RIP  ในส่วนของคอมพิวเตอร์ คำคำนี้หลายๆท่าน อาจเคยได้ยินมากันบ้างการ RIP File คือการนำไฟล์ต่างๆ มาทำให้มีขนาดเล็กลง หรือ สั้นลง รูปแบบคือทำให้มันน้อยลงอาจจะทั้งเวลา ขนาด หรือ สกุล เปลี่ยนไป แต่ยังคงมีรูปแบบเดิมอยู่ เช่น การ Rip video ให้เล็กลงจาก DVD เป็น VCD หรือการ Rip ไฟล์เพลง จาก Adio ให้เป็น Mp3"

              จึง "R.I.P." ขอให้หลับสบาย เป็นการไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินลาวตกครั้งนี้ 

.......................

(หมายเหตุ : 'R.I.P.-ขอให้หลับสบาย' คำไว้อาลัยเหยื่อบินลาวตก :  สำราญ สมพงษ์(FB-samran sompong)รายงาน)

เข้าใจ!ความหมายวันออกพรรษามุ่ง'ปวารณา'ต่อกันลดแตกแยก

             ในฐานะที่เป็นชาวพุทธคนหนึ่งก็ต้องขออนุโมทนาบุญกับหลายท่านที่ตื่นแต่เช้าตั้งจิตใจเป็นบุญเป็นกุศลตั้งแต่เช้าทำอาหารถวายพระตามที่พระท่านบอกว่าทานมัยบุญเกิดจากการให้ ซึ่งได้บุญตั้งแต่ก่อนให้ขณะให้และหลังให้ ทั้งที่มีลักษณะของการถวายพระธรรมดา หรือตามพิธีกรรมที่เรียกว่าทำบุญตักบาตรเทโว โดยนึกถึงว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดา

             หากมีโอกาสมากกว่านั้นก็คงไปวัดสมาทานศีลตามแต่กำลังความสามารถอาจจะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ หรือที่เรียกว่าอุโบสถศีล แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันก็คือไม่ทานข้าวเย็น คงจะได้บุญในข้อศีลมัยบุญเกิดจากการรักษาศีลกัน

             และที่มากไปกว่านั้นก็มีการฟังพระเทศน์สั่งสอน นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ ตามที่พระท่านว่าภาวนามัยบุญเกิดจากการเจริญภาวนา คงจะขัดเกลากิเลส ความเห็นแก่ตัวกู พวกพร้อง ออกไปได้บ้าง

             บุญทั้ง ๓ ประเภทนี้ท่านทั้งหลายก็คงจะเข้าใจกันดีอยู่แล้วต้องขอโทษทีที่เอามะพร้าวห้าวมาขายสวนก็ขอให้คิดว่าเป็นการทวนความจำก็แล้วกัน                             

             แต่ความหมายของวันออกพรรษาที่มีมากกว่าการทำบุญดังกล่าวแล้ว คิดว่าวันออกพรรษาน่าจะมีส่วนในการช่วยชาติที่เกิดวิกฤติแยกเป็นฝ่ายอยู่ขณะนี้ จนกระทั้งคนไทยฆ่ากันเองให้ต่างชาติเขานั่งหัวเราะจะด้วยปัจจัยต่างๆได้บ้าง

             เดิมทีนั้นก็ต้องการที่จะปลีกวิเวกเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่ทรงทนเห็นพระสงฆ์และญาติโยมเมืองโกสัมพีแตกแยกเป็นฝ่าย พระองค์ทรงตักเตือนก็ไม่ฟัง พระองค์จึงเสด็จปลีกวิเวกจำพรรษาอยู่ในป่าให้ลิง ช้าง ถวายอุปัษฐากพระองค์ เพื่อให้สองฝ่ายทดทิฐิมานะ แต่นึกดูอีกทีความเห็นนี้อาจจะมีส่วนช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยๆก็เป็นการแทนคุณข้าวก้นบาตรบ้าง

             ความหมายของวันเข้าพรรษาอีกประการหนึ่งก็คือเป็นวันมหาปวารณา ที่พระสงฆ์ท่านทดทิฐิมานะประกาศให้พระรูปอื่นสามารถตักเตือนหรือชี้แนะในความผิดหรือข้อบกพร่องที่ได้เคยกระทำในช่วงเข้าพรรษา เพื่อที่จะปรับตัวเองให้ดียิ่งขึ้น นี้คือความหมายของวันออกพรรษาอีกประการหนึ่ง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าในทางปฏิบัติแล้วจะเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น

             แต่สำหรับญาติโยมชาวพุทธแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีมานะแยกเป็นฝ่ายถือตัวดีแล้วกล่าวโทษคนอื่น วันนี้ลองมาปฏิบัติตามความหมายหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงบัญญัติพิธีที่ทรงประโยชน์ให้เป็นผล ลดทิฐิมานะแล้วยอมรับคำตักเตือนจากบุคคลอื่นบ้างแล้วปรับปรุงตัวเอง 

             หันหน้าเข้าหากันยึดคำว่าชาติไทยเป็นหลัก ทิ้งคำว่าตัวเอง พรรคพวกทิ้งหรือใส่ไว้ในลิ้นชัก ถอดปลอกคอที่ตัวเองสวมอยู่ทิ้งไป

              แล้วมาระดมความคิดว่ากติกาของบ้านเมืองที่คิดว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพราะทั้งแต่ที่จำความได้และสนใจประเด็นการเมืองจนกระทั้งเข้ามามีส่วนในการรายงานสถานการณ์การเมืองแล้วจะเห็นได้ว่า เราร่างกติกาของบ้านเมืองไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที และก็ฆ่ากันเพราะกติกาบ้านเมืองนี้ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้

             หากตราบใดที่เราคนไทยไม่หันหน้าเข้าหากันยอมกันบ้าง ยอมที่จะรับคำตักเตือนจากคนอื่นบ้าง แต่รู้จักคำว่าพอบ้าง รู้จักคำว่าแบ่งปันความสุขให้คนอื่น คนไทยสังคมไทยก็จะมีความสุขมากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วชาติไทยก็มีแต่พังกับพัง ทุกคนก็มีแต่เห็นแก่ตัวมุ่งที่จะเอาตัวรอดโดยไม่คำนึงว่าคนอื่นจะเห็นอย่างไรก็ชั่ง

             หากเราชาวพุทธยกฐานะมากกว่ากระทำตามพิธีกรรมนำความหมายของคำสอนที่แท้จริงมาปฏิบัติแก้ปัญหาแล้วก็เชื่อแน่ว่าจะสามารถแก้ได้ อยู่ที่ว่าจะตั้งใจนำมาแก้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น แต่หากยังเป็นอยู่อย่างเช่นทุกนี้ ก็แล้วแต่สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็ได้กัน แล้ววันออกพรรษาจะมีความหมายอะไร

................................

สำราญ สมพงษ์(FB-samran sompong)รายงาน


วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลาวขอบใจ!ไทยช่วยกู้ภัยเครื่องบินตก

              "ທີມງານພີ່ນ້ອງລາວໄທ ນໍ້າໃຈພີ່ນ້ອງຍາມຍາກທີ່ບໍ່ມີວັນຈາງຫາຍ" นี้คือภาษาลาวที่เฟซบุ๊กนาม "ສະເໜ່ເມືອງລາວ The Glory of Laos " ได้รายงานเหตุการณ์การกู้ภัยเครื่องบินสายการบินลาว ตกกลางแม่น้ำโขง ที่บริเวณดอนเขาะ เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก นับเป็นความสูญเสียครั้งที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 49 คน โดยแปลเป็นภาษาไทยว่า "ทีมงานพี่น้องลาวไทย น้ำใจพี่น้องยามยากไม่มีวันจางหาย" ทุกครั้งที่โพสต์ภาพเหตุการณ์จะมีการระบุข้อความนี้เสมอ

              พร้อมกันนี้ได้มีคนลาวได้แสดงความเห็นเป็นการขอบคุณรวมถึงระบุถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอย่างเช่น "Surasak Chaitee" ระบุว่า บ้านพี่เมืองน้อง มีอะไรเราจะอยู่เคียงกัน สายสัมพันธ์ที่ยาวนาน ไทย~ลาว

              Yen Davong -  Thank you Thai gov.and all thai team r helping that's so kind.ขอบคุณมากๆนะคะ ,สู้ๆค่ะ, ขอเป็นกำลังใจนะคะ !

              Mon Mon Keomaneevanh - ขอบใจแทนคนลาวหลายๆ รักคนไทยที่มีน้ำใจ

              Takob Chung- ไทยลาวเป็นเพื่อนบ้านกัน รักกันมากๆนะครับอย่าให้คนเพียงหยิบมือเดียวมาทำลายความสัมพันธ์ที่ดีของสองชาติเลยครับ เช่นเดียวกับ Manit Kwanchai  - ไทย ลาว กะพี่น้องกัน แสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตด้วยคับ

              TOon CyberHacker- แค่แม่น้ำโขงมากั้น ความสัมพันธ์บ่เคยเปลี่ยน

              Mindfulness Mac -  ขอขอบพระคุณแทน 6 ล้านคน  หัวอกของคนลาวกับพี่น้องทหารชาวไทย ขอคอบคุณเราเป็นพี่น้องกัน เป็นมนุษย์ด้วยกันช่วยกันเมื่อมีภัยขอบคุณมากๆ เป็นกำลังใจให้ สู้ๆ

              Keaw Vorachakt -  สู้ๆๆ ค่ะ พี่น้องลาวไทยขอให้พบศพ ของผู้ที่เสียชีวิตในไวๆนี้

              Pany Noy - ขอบใจกับความช่วยเหลือที่มีให้กันในยามลำบาก

              Nick Pommany - ไม่มีประเทศใดในโลกที่ติดกันและมีน้ำใจต่อกันและเหมือนกัน มีน้ำใจส่งถึงกันแบบไทย ลาว ขอขอบคุณน้ำใจจากพี่น้องชาวไทย

              Saksith Noitamyae - ไทย ลาว ช่วยเหลือกันยามลำบากมีคุณค่าทางจิตใจและมิตรภาพที่ยาวนาน รักกันตลอดไปครับ

              รวมถึงภาพที่หน่วยกู้ภัยลาวแสดงความขอบคุณต่อหน่วยภูัภัยไทยที่ต้องเดินทางกลับก่อนที่โพสต์โดยเฟซบุ๊ก"Clip Ded Clip Dung - ຄລິບເດັດ ຄລິບດັງ" พร้อมข้อความเป็นภาษาลาวว่า ภาพแห่งความประทับใจของน้ำใจทีมงานกู้ภัยจากประเทศไทยก่อนถอนตัวกลับเพราะทางการไทยจะได้ส่งมนุษย์กบเข้ามา และอีกหลายหน่วยงานขอขอบใจทีมกู้ภัยไทยหลายพวกเราจะไม่ลืมความดีและการช่วยเหลือของท่านครั้งนี้"

              พร้อมกับความเห็นตามมาในลักษณะเดียวกันเช่น Santisouk Theppanya-  ชาติลาวและไทยก่อนนั้นเคยได้สัมพันธ์ร่วมสายโรหิตเดียวกันเพียงน้ำเท่านั้นมากั้นแบ่งกลาง  หรือ อ๊อด ลั๊ลลา อย่าลู่ลู้-  ขอบใจทีมงานไทยหลายๆเด้อ สู้ๆๆๆ

              อีกทั้งมีการโพสต์เพลงสองฝั่งโขงประกอบด้วย

              นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในพันความเห็นที่คนลาวแสดงความขอบในความช่วยเหลือของคนไทยในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่นายสุทธินันท์ บุญมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้สั่งการและประสานงานไปยังมูลนิธิการกุศล 4 จังหวัดของอีสานใต้ ที่มีความพร้อมและมีผู้เชี่ยวชาญในการค้นหาใต้น้ำ และตามด้วยหน่วยงานของประเทศไทยหลายส่วนที่เดินทางได้ช่วยค้นหาศพผู้ประสบภัย

...........................................

(หมายเหตุ : ลาวขอบใจ!ไทยช่วยกู้ภัยเครื่องบินตก กระชับสายสัมพันธ์สองฝั่งโขง : สำราญ สมพงษ์(FB-samran sompong)รายงาน)


วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

'สงฆ์ไทย-ลาว'หนุนรักษาศีล5สร้างสันติภาพประชาคมอาเซียน-โลก

               ตามที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ในฐานะประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีแนวคิดจัดตั้งหมู่บ้านรักษาศีล 5 ขึ้นมา โดยสมเด็จให้แนวทางว่า จะต้องได้รับความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)  กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน พระภิกษุสงฆ์ เข้าไปในแต่ละหมู่บ้าน ช่วยกันพูดช่วยกันชวนประชาชน ญาติโยม ให้รักษาศีล 5 ข้อ

               1.ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป 2.อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ 3.กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม 4.มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ 5.สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท และหากเมื่อใดทุกคน ทุกฝ่ายยอมรับว่าหมู่บ้านนี้ช่วยกันรักษาศีล 5 ได้แล้ว จะได้รับการประกาศและขึ้นป้ายหน้าหมู่บ้านว่า หมู่บ้านรักษาศีล 5 แต่ถ้าหากยังไม่ประสบความสำเร็จก็ยังไม่ขึ้นป้ายประกาศ
   
               “แนวคิดหมู่บ้านรักษาศีล 5 นี้จะเป็นไปได้หรือไม่ จะทำได้หรือไม่ได้ก็ยังไม่รู้นะ เพียงแต่เป็นความดำริของอาตมาเอง และอยากจะดำเนินการด้วยตัวเอง ตอนนี้คงไม่เสนอให้มหาเถรสมาคมรับทราบ แต่จะพยายามหาหมู่บ้านรักษาศีล 5 ที่เป็นตัวอย่าง เป็นต้นแบบก่อนว่าสามารถปฏิบัติได้จริง ก่อนหน้านี้อาตมาได้เคยไปพูดแนวคิดนี้ที่ จ.นครสวรรค์ให้กับทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฟัง ทางนายอำเภอหลายคนก็ตอบรับว่าจะลองนำแนวคิดนี้ไปทำดู หากมีหมู่บ้านใดทำได้จริง ถึงจะเสนอให้มหาเถรสมาคมรับทราบต่อไป” สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กล่าว

               ขณะที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า แนวคิดหมู่บ้านรักษาศีล 5 ถือเป็นการต่อยอดจากโครงการอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะเป็นการนำเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาอย่างน้อยคือ ศีล 5 ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ครอบครัว ช่วยกันดูแลปกป้องหมู่บ้านของตัวเอง แก้ปัญหาสังคมเรื่องยาเสพติด อบายมุข อาชญากรรมลดลง เกิดความมั่นคงชายแดนมากขึ้น โดย พศ.จะนำแนวคิดดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ เพื่อให้คณะสงฆ์ เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค รับทราบและถือปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน

                จากแนวความคิดของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ดังกล่าว สอดคล้องกับแนวความคิดของหลวงปู่พระมหาผ่อง สะมะเลิก อายุ 98 ปี  ประธานองค์การพุทธศาสนสัมพันธ์ สปป.ลาว หรือสังฆราชลาว เจ้าอาวาสวัดพระเจ้าองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทร์ ได้ระบุผ่านสื่อมวลชนไทยว่า "เส้นทางสันติภาพก็คือ“ศีล 5” มนุษย์เป็นสัตว์เมืองไม่ใช่สัตว์ป่า ธรรมชาติสัตว์เมืองใครจะอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะ แต่มนุษย์ก็มีความคิดความเห็นไม่ตรงกัน จำเป็นจะต้องมีกฎระเบียบเพื่อให้มวลมนุษย์ปฏิบัติ"

               หลวงปู่พระมหาผ่องได้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมงานฉลองเจริญพระชันษาครบ 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช และได้เดินทางไปยังวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เพื่อเป็นประธานในการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศและอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชด้วย

               หลวงปู่พระมหาผ่องนั้นเป็นคนไทยเกิดอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี อายุ 20 ปี ข้ามโขงไปบวชที่ฝั่งลาว แล้วก็ได้มาจำพรรษาศึกษาบาลีอยู่วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ นาน 16 ปี สอบได้ประโยค 6 พร้อมกันนี้หลวงปู่ยังได้เป็นลูกเลี้ยงของ นายโฮจิมินห์  ผู้นำคอมมิวนิสต์ ประเทศเวียดนาม ทั้งนี้นายโฮจิมินห์นั้นเคยมาบวชเป็นศิษย์หลวงพ่อบ๋าวเอิ๋งอยู่วัดญวนสะพานขาว กรุงเทพฯ 1 ปีต่อมาก็เปลี่ยนไปบวชเป็นพระไทยนิกายธรรมยุตที่จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนที่จะเดินทางไปโซเวียตรัสเซีย ศึกษาวิชาคอมมิวนิสต์จากเลนิน กลับเวียดนามกอบกู้เอกราชจากประเทศฝรั่งเศส

               จะเห็นได้ว่าประเทศในอาเซียนทั้งพม่า ไทย ลาว เขมร และเวียดนาม ต่างก็มีมีผู้นำของประเทศในอดีตและปัจจุบันที่มีพื้นฐานมาจากพระพุทธศาสนา หากมีการนำหลักธรรมเบื้องต้นเพียงศีล 5 มาประยุกต์ใช้อย่างจริงจังแล้ว ก็เชื่อแน่ว่าจะสร้างสันติภาพขัดจัดความขัดแข้งในมีภูมิภาคเอเชียอาคเนย์และจะทำให้ประชาคมอาเซียนแข็งแกร่งอย่างแน่นอน แต่ส่วนใหญ่เข้าตำรามือถือสากปากถือศีลเสียมากกว่า

.........................
สำราญ สมพงษ์(FB-samran sompong)รายงาน






กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...