วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

"อธิการบดีมจร" หนุนนำโคกหนองนาโมเดลเป็นฐานแก้จน คือเทรนด์การพัฒนาของโลก


วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565   ในการสัมมนาและงานปฐมนิเทศนิสิตสาขาการพัฒนาสังคม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ประจำปี 2565 พระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) กล่าวว่า พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม ที่จัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาการพัฒนาสังคม ของมหาจุฬา เป็นหนึ่งในศาสตร์สาขาที่สำคัญของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาสังคมในระดับโลก ด้วยเหตุว่า 

พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม Engaged Buddhism เป็นหลักการสำคัญของการพัฒนาของโลก ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals ) ของสหประชาชาติ (UN) และการพัฒนาของประเทศไทย ที่เน้นเรื่อง BCG ที่เป็นการพัฒนาบนฐานทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งปรากฏในการพัฒนาของไทย เช่น การพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคกหนองนาโมเดล การพัฒนาเศรษฐกิจฐากรากวิถีพุทธ การเกษตรวิถีพุทธ หรือการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาความยากจน เป็นต้น ดังนั้น การศึกษาพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม จึงเป็นสิ่งสำคัญ 

สำหรับการศึกษาพระพุทธศาสนาในระดับสากลนั้น มีรูปแบบการเรียนรู้ใน 3 มิติที่สำคัญ คือ 

1) การเรียนรู้พระพุทธศาสนาแบบวิชาการ (Scholar Buddhism ) ที่เน้นการศึกษาในเชิงคัมภีร์ หลักพุทธธรรม หลักพุทธปรัชญา หรือหลักคำสอนตามสายครูบาอาจารย์ 

2) การศึกษาพระพุทธศาสนาในเชิงปฏิบัติ (Practical Buddhism ) ที่เน้นหลักการทางพระพุทธศาสนาไปปฏิบัติธรรม เช่น การศึกษาและปฏิบัติสมาธิ การฝึกจิตใจ เพื่อเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต และการปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน ในสายวิปัสสนาต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์ความสุขให้ดับตนเอง

3) พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม (Engaged Buddhism) เป็นการนำหลักการและวิถีปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาไปสู่การพัฒนาสังคม เกื้อกูล สร้างสรรค์ แบ่งปันต่อสังคม ซึ่งสังคมไทย ได้มีแนวปฏิบัติเชิงสังคมจำนวนมาก ไม่ว่า จะเป็น การพัฒนาชุมชนวิถีพุทธ การตั้งธนาคารข้าว กองทุนสงเคราะห์ กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์  โคกหนองนา หรือการรักษาสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน เป็นต้น

นอกจากนี้ พระธรรมวัชรบัณฑิต ยังให้คำแนะนำ นิสิตใหม่ว่า ให้หมั่นเรียนรู้เรื่องปรากฎการณ์วิทยา การพัฒนาเชิงพื้นที่ ภูมิศาสตร์การพัฒนา จิตวิทยาเชิงพุทธเพื่อสังคม และการพัฒนาร่วมกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อการพัฒนาสังคมตามหลักพระพุทธศาสนา อันจะเป็นการยกระดับพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม Engaged Buddhism ของไทยสู่สังคมโลก ต่อไป

ในงานวันดังกล่าว ยังมีการมอบรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นสาขาการพัฒนาพัฒนาสังคมของมหาจุฬา ในโอกาสครบรอบ 10 ของการก่อตั้งสาขาการพัฒนาสังคมมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ  ซึ่งปัจจุบันสาขาการพัฒนาสังคมเปิดการเรียนการสอนทั้งในระดับปริญญาโท-เอก ในส่วนกลางที่มหาจุฬาฯ อำเภอวังน้อย พระนครศรีอยุธยา วิทยาเขตนครศรีธรรมราช เชียงใหม่ เชียงราย นครปฐม พิจิตร จันทบุรี ร่วมกับภาคีการพัฒนาสังคมในประเทศไทย


 


วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

"พช.-มจร ขอนแก่น" เอามื้อสามัคคีปลูกต้นไม้แก้จน ที่แปลง "โคก หนองนา พุทธอารยเกษตร"



เมื่อวันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2565  เวลา 09.30 น. พระโสภณพัฒนบัณฑิต, รศ.ดร. รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) วิทยาเขตขอนแก่น, รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น  มอบหมายให้ พระมหาพิสิฐ วิสิฏฺฐปญฺโญ,ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตร พุทธบริหารการศึกษาระดับดุษฐีบัณฑิต เป็นประธานฝ่ายสงฆ์พิธีเปิดโครงการ "แบกจอบ เสียม หิ้วปิ่นโต ร่วมสารสัมพันธ์ เอามือสามัคคี"  ที่แปลง โคก หนองนา พุทธอารยเกษตร มจร วิทยาเขตขอนแก่น ภายใต้ความร่วมมือระหว่างพัฒนาชุมชนจังหวัดขอนแก่นกับ มจร วิทยาลัยเขตขอนแก่น 



พร้อมด้วยนายพนม  สิงห์สาย มอบหมายให้นายชัยณรงค์  กาญจะนะกันโห ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยนายประดิษฐ์  นัดทะยาย ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน  และทีมงานนักวิชาการพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดขอนแก่น ลงพื้นที่แปลงโคก หนอง นา พุทธอารยเกษตร มจร ขอนแก่น เพื่อร่วมกิจกรรมโครงการ 130 ปี กระทรวงมหาดไทย : ความสุขสร้างได้ ด้วยใจอาสา "แบกจอบ เสียม หิ้วปิ่นโต ร่วมสานสัมพันธ์เอามื้อสามัคคี"  โคก หนอง นา พุทธอารยเกษตร มจร ขอนแก่น โดยมีนายประจวบ  รักแพทย์ นายอำเภอเมืองขอนแก่น เป็นประธานเปิดกิจกรรมฯ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ประกอบด้วย หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสี คณาจารย์ มจร วิทยาเขตขอนแก่น เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนอำเภอเมืองขอนแก่น กำนันตำบลโคกสี ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน เครือข่ายโคก หนอง นา พช. อำเภอเมืองขอนแก่น จำนวน 94 แปลง ประธานศูนย์ผู้นำจิตอาสาพัฒนาชุมชนทุกตำบล คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตำบลโคกสี รวมทั้งสิ้น 120 คน

จังหวัดขอนแก่น  มอบหมายให้อำเภอเมืองขอนแก่น โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเมืองขอนแก่น ดำเนินโครงการ 130 ปี กระทรวงมหาดไทย : ความสุขสร้างได้ ด้วยใจอาสา โคก หนอง นา พุทธอารยเกษตร มจร ขอนแก่น ดำเนินการใน 4  กิจกรรมหลัก คือ  1) ศูนย์ผู้นำจิตอาสาพัฒนาชุมชน 2) ศูนย์เรียนรู้โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน และ 3) กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต กิจกรรมในวันนี้เป็นอีกกิจกรรมที่ดำเนินการในศูนย์เรียนรู้โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน  นั่นคือ กิจกรรม “แบกจอบ เสียม หิ้วปิ่นโต ร่วมสานสัมพันธ์ เอามื้อสามัคคี” ซึ่งได้รับความเมตตาจากพระโสภณพัฒนบัณฑิต รศ.ดร.รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ให้ใช้พื้นที่ แปลง “โคก หนอง นา พุทธอารยเกษตร มจร ขอนแก่น” 

วัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาพื้นที่ให้เหมาะกับพื้นที่การเกษตร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่รูปแบบ โคก หนอง นา ผสมผสานเข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สอดคล้องกับหลักกสิกรรมธรรมชาติในพื้นที่ให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยใช้พลังเครือข่ายโคก หนอง นา เป็นกลไกในการขับเคลื่อนกิจกรรม อีกทั้งยังเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี กระทรวงมหาดไทย : ความสุขสร้างได้ ด้วยใจอาสา


กิจกรรมสำคัญในวันนี้ (19ก.ค.) ประกอบด้วย (1) การปลูกต้นไม้ จำนวน 131  ต้น ซึ่งได้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา  (2) ปลูกหญ้าแฝก จำนวน 15,000 ต้น โดยได้รับการสนับสนุนจากศูนย์พัฒนาที่ดินจังหวัดขอนแก่น (3) สร้างฐานการเรียนรู้ ฐานดิน ฐานน้ำ และฐานป่า (4) ก่อสร้างอุโมงค์ไม้ไผ่ และราวสะพาน ซึ่งจะนำไปสู่การก่อเกิดศูนย์เรียนรู้ โคก หนอง นา ต้นแบบของอำเภอเมืองขอนแก่น และของจังหวัดขอนแก่น ภายใต้ชื่อ “ศูนย์เรียนรู้โคก หนอง นา พุทธอารยเกษตร มจร ขอนแก่น” ที่เกิดขึ้นจากพลังการมีส่วนร่วมของชาวเครือข่ายโคก หนอง นา อำเภอเมืองขอนแก่น และหน่วยงาน/องค์กรภาคีการพัฒนาอย่างแท้จริง และเกิดการบูรณาการความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในเชิงพื้นที่อย่างแท้จริง


กระทรวงมหาดไทย มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้แก่พี่น้องประชาชนมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม 

ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น โดยมีเป้าหมายสำคัญคือเพื่อให้พี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9  และพระราชปณิธานของล้นเกล้า รัชการที่ 10 “สืบสาน รักษา และต่อยอด” เป็นหลักในการปฏิบัติงานในทุกระดับ 


และในปีนี้ คณะกรรมการอำนวยการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาส สถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130  ปี ในปี พ.ศ. 2565 มีมติเห็นชอบโครงการ/กิจกรรมของส่วนราชการ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการในวาระพิเศษ โดยในส่วนของกรมการพัฒนาชุมชน คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการ “130 ปี กระทรวงมหาดไทย : ความสุขสร้างได้ ด้วยใจอาสา” ซึ่งจังหวัดขอนแก่น ได้จัดทำโครงการ “130 ปี กระทรวงมหาดไทย : ความสุขสร้างได้ ด้วยใจอาสา  โคก หนอง นา พุทธอารยเกษตร มจร ขอนแก่น” และมอบหมายให้ทุกอำเภอดำเนินการในสามกิจกรรมหลักคือ 1) ศูนย์ผู้นำจิตอาสาพัฒนาชุมชน 2) ศูนย์เรียนรู้โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน และ 3) กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต


นโยบายสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ที่สำคัญประการหนึ่งคือ การขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่   เพื่อให้เกิดการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้  โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคมและสถาบันพระจอมเกล้า

เจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน  โดยมีเจตจำนงร่วมกันที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในการบูรณาการภาคีเครือข่ายและเชื่อมประสานให้เกิดการพัฒนาในทุกมิติ ส่งเสริมสัมมาชีพ สัมมาปฏิบัติ เสริมสร้างสังคมสุขภาวะ สร้างความสุขสังคมไทยขยายผลไปยังสังคมโลกให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ดังนั้น การจัดกิจกรรมในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการก้าวเดินไปสู่จุดมุ่งหมายดังกล่าวข้างต้นเป็นอย่างยิ่ง นายประจวบ  รักแพทย์ นายอำเภอเมืองขอนแก่น กล่าว


ในการนี้ ผศ.ดร.วิทยา ทองดี ผช.ฝ่ายกิจการทั่วไป พร้อมด้วย ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนิสิต ร่วมโครงการ ณ โคก หนอง นา พุทธอารยเกษตร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่นตำบลโคกสี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น


ขอบคุณข้อมูลจากเพจ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น


 


วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

กมธ.ศึกษางบฯสภาฯตั้งคณะทำงานดำเนินการพิจารณางบฯจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา



วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2565  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไชยา พรหมา ส.ส. หนองบังลำภู พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในคำสั่งของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ตั้งคณะทำงานดำเนินการพิจารณางบประมาณเพื่อการจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา ความว่า


 

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

สิ่งดีที่ถูกมองข้าม! วันเข้าพรรษาต้นแบบสร้างปรองดองในสังคมไทย


 
สิ่งดีที่ถูกมองข้าม! วันเข้าพรรษาต้นแบบสร้างปรองดองในสังคมไทย ดร.สำราญ สมพงษ์  สาขาสันติศึกษา มจร รายงาน

วันเข้าพรรษาคือเป็นวันที่พระภิกษุและสามเณรในพระพุทธศาสนาจะทำพิธีกล่าวคำอธิษฐานเข้าพรรษาที่วัดใดวัดหนึ่ง ส่วนใหญ่จะประกอบพิธีในช่วงเย็น ญาติโยมทั้งหลายต้องการได้บุญเพิ่มทั้งข้อทานมัยบุญสำเร็จด้วยการบริจาคทานคือถวายดอกไม้แก่พระภิกษุและสามเณร เพื่อที่ท่านจะนำไปบูชาพระหรือใช้ประกอบในการแสดงสามีจิกรรมก่อนที่จะกล่าวคำอธิษฐานพรรษา

หากญาติโยมทั้งหลายต้องการจะได้บุญเพิ่มมากขึ้นไปอีกในข้อ "ธัมมัสสวนมัย" คือการฟังธรรมช่วงที่พระภิกษุและสามเณรทำวัตรเย็นก็จะได้บุญข้อนี้อีกคือทำให้เกิดสมาธิมีจิตใจสงบจะขั้นไหนนั้นก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล แต่หากฟังพระภิกษุและสามเณรทำวัตรเย็นเป็นภาษาบาลีนั้นรู้เรื่องก็เท่ากับว่าได้บุญข้อ "ภาวนามัย" อีกคือทำให้เกิดปัญญา หรือตั้งสติรู้เท่าทันเสียงที่พระภิกษุและสามเณรทำวัตรเย็นก็เป็นการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยกำหนดว่ารู้หนอหรือได้ยินหนอ ส่วนศีลนั้นก็คงจะได้รับกันในโอกาสต่างๆ หรือไม่ละเมิดก็คือว่ามีศีลแล้ว

เท่ากับว่าเป็นการได้บุญครบทั้ง ทาน ศีล สมาธิและปัญญา และเท่ากับเป็นการปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปดในอริยสัจ 4 ซึ่งเป็นหนทางแห่งความดับทุกข์อยู่กับความขัดแย้งได้อย่างมีความสุข

ที่นี้วันเข้าพรรษาต้นแบบสร้างความปรองดองสังคมไทยอย่างไร

ก็เมื่อทุกท่านทำบุญครบทั้ง ทาน ศีล สมาธิและปัญญา ความปรองดองก็เกิดแล้ว และเกิดนานเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะรักษาความปรองดองไว้ได้นานเท่าใด ไม่ใช่ออกนอกวัดก็แบ่งฝ่ายกันอยู่เหมือนเดิม

ที่นี่ตัวอย่างของพระภิกษุและสามเณรที่เป็นต้นแบบของการสร้างความปรองดองก็อยู่ตรงที่การแสดงสามีจิกรรมโดยกล่าวคำขอขมาเป็นภาษาบาลีพร้อมกันหลายคนว่า

ผู้ขอ - เถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต. (3 หน) แปลความว่า ท่านพระเถระ ความผิดพลาดที่ได้กระทำด้วยความประมาททั้งทวารทั้ง 3  คือกาย วาจา ใจ ขอท่านจงยกโทษหรือให้อภัยแต่ความผิดพลาดทั้งปวงนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด

ผู้รับ - อะหัง ขะมามิ ตุมเหหิปิ เม ขะมิตัพพัง. แปลความว่า เรายกโทษหรือให้อภัยแก่พวกท่านทั้งหลายและพวกท่านทั้งหลายก็ยกโทษหรือให้อภัยแก่เราด้วย

ผู้ขอ - ขะมามะ ภันเต แปลความว่า ขอรับ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายยกโทษหรือให้อภัย

นี้เท่ากับการแสดงความอโหสิกรรมหรืออภัยทานของพระภิกษุและสามเณร เท่ากับว่าพระภิกษุและสามเณรได้ให้ทานในข้ออภัยทาน ส่วนญาติโยมทั้งหลายได้ทานข้อวัตถุทาน และสามารถเอาตัวอย่างข็องพระภิกษุและสามเณรไปทำกับบุคคลที่เคยมีเรื่องทะเลาะ ความเห็นไม่ลงรอยกันบ้างก็ให้อภัยทานกัน ก็เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเกิดความปรองดองสมานฉันท์โดยยกเอาวันเข้าพรรษานี้เป็นตัวอย่าง ปัญหาอยู่ที่ว่าจะทำกันหรือไม่หรือยังถือทิฐิกันอยู่ก็อยู่กันแบบนี้ต่อไป

ส่วนอภัยทานสร้างความปรองดองในสังคมไทยอย่างไรนั้นพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,ผศ.ดร. ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เขียนไว้นานแล้วตั้งแต่วิกฤติความขัดแย้งที่ไม่สามารถมีกลไกรการบริหารจัดการให้สมดุลจนเกิดความรุนแรง สามารถติดตามได้จากลิ้งค์นี้ https://www.gotoknow.org/posts/398297

ขณะที่ เฟซบุ๊ก Naga King อาจารย์จากคณะพุทธศาสตร์ มจร  ได้ให้ความเห็นความว่า 

พระเข้าพรรษา...โยมปวารณาทำความดี ?

@ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียโอกาสและเวลาหรือเทศกาลที่มีอยู่ในวันนี้คือเทศกาลเข้าพรรษา ว่าเมื่อเวลาเข้าพรรษามาถึงพระภิกษุสามเณรก็จะพากันอธิษฐานเข้าพรรษากันตามอารามต่างๆว่า

ในช่วงพรรษานี้จะไม่ไปเที่ยวพักค้างอ้างแรมในที่อื่นนอกจาก ณ สถานที่ที่ได้อธิษฐานเอาไว้แล้ว และเพื่อให้การอธิษฐานจำพรรษาขลังยิ่งขึ้น ท่านก็จะพากันปวารณากรรมแก่กันและกันว่า

"ในช่วงเข้าพรรษานี้หากมีกรรมอันใดที่ได้ล่วงละเมิดต่อกันก็ขอให้อภัยซึ่งกันและกัน และให้ถือว่าช่วงเข้าพรรษานี้ก็ขอเปิดโอกาสให้เพื่อนสหธรรมิก ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ตักเตือนได้อย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะรับฟังและนำไปปฏิบัติตาม"

ซึ่งการปวารณาเช่นนี้ก็เพื่อ

(1) แสดงความบริสุทธิ์ใจในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ในการยอมรับและเรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น เนื่องจากบางคนมีปัญหามากเวลามากินนอนอยู่ร่วมกับคนอื่น ช่วงเข้าพรรษานี้จึงถือเป็นโอกาสดีได้เข้ามาเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกัน

(2) แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้

(3) เพื่อน้อมจิตใจไปในการศึกษา(สิกขา)เพื่อพัฒนาตนเองทั้งทางด้าน ร่างกาย ด้านระเบียบวินัย ด้านจิตใจ และด้านสติปัญญาให้เต็มที่

(4) เพื่อได้ทำหน้าที่ในการศึกษาพระธรรมวินัยได้อย่างเต็มที่ทั้งทางด้านการปริยีติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ให้ครบพร้อมบริบูรณ์

@ ถ้าเรามองภารกิจการเข้าพรรษาของพระสงฆ์ท่านได้เช่นนี้ ผมว่าก็ง่ายนะที่ชาวพุทธที่เป็นเจ้าของกิจการ หรืออย่างน้อยสุดคือหน่วยครอบครัวจะได้เอาสาระวันเข้าพรรษานี้ไป วางเป็นนโยบายเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันหรือเพื่อการดำเนินชีวิตร่วมกันในช่วงเข้าพรรษานี้

(1) ในด้านครอบครัว

ผมว่าผู้นำครอบครัวควรถือโอกาสวันเข้าพรรษานี้เรียกประชุมพ่อแม่ลูก ถือโอกาสให้ทุกคนในครอบครัวมาแสดงเจตจำนงหรือมาปวารณาร่วมกันว่า

สามเดือนนี้พ่อเปิดโอกาสให้แม่(ภรรยา)และลูกๆตักเตือนได้หากว่าพ่อทำอะไรผิดไปพ่อจะไม่โกรธและจะปฏิบัติตนเป็นคนดีของลูกๆและเมียจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี จะไม่ไปพักค้างแรมนอกบ้านนอกจากมีเหตุจำเป็นเท่านั้น

หรือคนที่เป็นภรรยาก็จะปวารณาต่อสามีและลูกๆเช่นกันว่าช่วงสามเดือนนี้แม่ขอเปิดใจกว้างๆให้พ่อและลูกๆตักเตือนได้แม่จะไม่โกรธหรือแสดงอาการเกรี้ยวกราดใดๆแม่จะอดทนทำงานเพื่อลูกเพื่อสามีค่ะ

จากนั้นผู้ที่เป็นพ่อแม่ก็จะให้ลูกๆปวารณาตนเองต่อหน้าพ่อแม่ว่า ในช่วงสามเดือนนี้ลูกๆจะเป็นลูกที่ดีจะตั้งใจเรียน จะช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านจะไม่เล่นเฟส ไลน์เกิน 4 ทุ่ม

จะขยันเรียนหนังสือจะไม่เถียงพ่อแม่ จะไม่คบเพื่อนไม่ดี มีอะไรจะพูดหรือเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดจะกลับบ้านตรงเวลา จะไม่โกรธเวลาพ่อแม่ดุหรืออบรมสั่งสอนในทางที่ดี เป็นต้น

จากนั้นก็ให้แม่พาลุกๆเอาดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปกราบขอพรจากคนที่เป็นพ่อ จากนั้นพ่อก็จะให้พรภรรยาและลูกๆก็เป็นอันเสร็จพิธี ผมว่านะถ้าทุกครอบครัวทำแบบนี้ได้สังคมบ้านเราก็คงจะมีแต่ความสุข

(2) ด้านเจ้าของกิจการ โรงเรียนครู นักเรียน

ผมว่าทุกองค์กรที่เป็นองค์กรชาวพุทธเราก็สามารถนำเอากรอบการ "ปวารณาเข้าพรรษา"ของพระท่านไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับองค์กรได้"

ตัวอย่างเช่น องค์กรบริษัทห้างร้าน เจ้าของกิจการก็สามารถเรียนพนักงานในร้านมาทำความเข้าใจและเริ่มการปวารณาได้ว่า ในสามเดือนนี้เราจะมีปฏิญญาร่วมกันว่า

(1)นายจ้างจะเปิดโอกาสให้ทลูกจ้างตักเตือนในการทำงานได้ด้วยการเปิดโอกาสให้โทรศัพท์หรือส่งคำวิจารณ์การบริหารงานได้โดยไม่มีการโกรธหรือนำไปเป็นเงื่อนไขในการตัดเงินเดือน

(2) หัวหน้าแผนกต่างๆก็ให้คำปวารณาว่าจะทำงานให้ดีและจะเปิดใจให้กับลูกน้องทุกคนได้ตักเตือนหรือแนะนำได้

(3)ลูกน้องทุกคนของบริษัทหรือห้างร้านก็ปวารณาต่อเจ้าของกิจการว่าสามเดือนนี้จะเป็นคนดี ตั้งใจทำงานและเปิดใจให้นายจ้างว่ากล่าวตักเตือนได้ จากนั้นให้หัวหน้าแผนกนำลูกน้องไปขอขมาและขอศีลขอพรจากนายจ้าง เมื่อนายจ้างให้พรแล้วก็ถือว่าจบพิธีการ

แม้แต่โรงเรียนหรือสถานศึกษาต่างๆผอ.โรงเรียนก็สามารถนำกรอบแนวคิดวันปวารณาเข้าพรรษาไปใช้ได้ ถ้านำไปใช้ได้โรงเรียนจะไม่มีกรณีนักเรียนประท้วงไล่ผอ.หรือมีกรณีครูแอบกินเด็กในโรงเรียนอันเป็นที่มาของข่าวอื้อฉาวในวงการศึกษาดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอนครับ ขอเพียงแต่นำไปทดลองใช้ให้ได้กันจริงๆก็พอ

ขอบคุณมากครับ

Naga King

จะเห็นได้ว่าสิ่งดีๆ ของวันเข้าพรรษามีอยู่มากมายไม่ได้มีแต่ประโยชน์เฉพาะพระ หรือญาติโยมเฉพาะวันนี้เท่านั้น หากนำมาสร้างเป็นกระบวนการสร้างความปรองดอก แล้วนำไปสู่การปฏิบัติการแล้ว คงจะทำให้สังคม และการเมืองไทยลดความอึมครึมลงไปได้มาก อาจจะเป็นหนทางหรือมรรคในการแก้ปัญหาความขัดแย้งลงได้ หากมี 

"มโน ปุพพังคมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโน มยา 

ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ" 

จำพรรษา@นคราสามวัสสากว่า

โควิดมาอาตมามิสัตตาหะไปไหน

อยู่เยี่ยงอนาคมามีแบบนี้ก็สุขใจ

มิอธิษฐานจำพรรษาอีกป่วยการ


ที่มา - https://www.banmuang.co.th/news/education/119792


วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

“สุดารัตน์” สั่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อิสานลุยทำงานเพื่อพลิกชีวิตคนอิสาน “ให้หายจน หมดหนี้ มีรายได้อย่างยั่งยืน”



“สุดารัตน์” สั่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อิสานลุยทำงานเพื่อพลิกชีวิตคนอิสาน “ให้หายจน หมดหนี้ มีรายได้อย่างยั่งยืน” เดินหน้าแคมเปญ “สู้เพื่อคนตัวเล็ก” ด้านว่าที่ผู้สมัครเผยชาวอิสานสนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์ เป็น “นายกฯคนอิสาน”  

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม 2565  ที่จังหวัดร้อยเอ็ด คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วย คณะผู้บริหารพรรค ได้จัดประชุมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคอีสานโซน 2,3   โดยเป็นการประชุมเพื่อเตรียมการสู่การเลือกตั้งใหญ่ ที่กำลังจะมาถึง  โดยคุณหญิงสุดารัตน์ ขอให้ว่าที่ผู้สมัครฯ ทุกคนได้ทุ่มเททำงานให้ประชาชนอย่างเต็มที่ โดยยึดหลักการและอุดมการณ์ของพรรคไทยสร้างไทยอย่างมั่นคง คือ  -ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข -ไม่สนับสนุนเผด็จการอย่างเด็ดขาด -มุ่งมั่นทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งแก้ความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะ ”คนตัวเล็ก” ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วยนโยบาย”สร้างโอกาส” และ”กำจัดอุปสรรค” ที่กดทับประชาชน ที่เกิดจากรัฐราชการรวมศูนย์ และกฎหมาย

ผู้สมัครทุกคนที่อาสามาเป็นผู้รับใช้ประชาชน ในนามพรรคไทยสร้างไทย ต้องทำงาน และลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ให้บรรลุเป้าหมายของพรรคไทยสร้างไทย คือการทำให้คนไทยส่วนใหญ่ “หายจน หมดหนี้ มีรายได้อย่างยั่งยืน” โดยคนไทยทุกคนต้องได้รับการดูแลอย่างดีตั้งแต่”เกิดจนแก่”เพื่อให้ทุกคนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม

การทำงานหลังจากนี้ จะได้เริ่มต้นขับเคลื่อนแคมเปญ #สู้เพื่อคนตัวเล็ก ตั้งแต่เกษตรจนถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยมีเป้าหมาย “สร้างให้คนตัวเล็กให้แข็งแรงและเป็นคนตัวใหญ่ให้ได้”

ในการประชุม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคอิสานโซน2,3  ได้ระดมความคิดเห็น และเสนอแนวทางการช่วยเหลือชาวนา ที่กำลังเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตสูงมาก โดยเฉพาะปุ๋ย และแนวทางการดูแลราคาข้าวในฤดูการผลิตนี้  ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลยังไม่มีแนวทางแก้ไขปัญหาให้ชาวนาเลย โดยเฉพาะราคาปุ๋ย

นอกจากนี้ นายวิสันต์ เดชเสน อดีต ส.ส. 6 สมัย และนายสาคร พรหมภักดี อดีตส.ส. 5 สมัย ได้เป็นตัวแทนผู้สมัครส.ส.ได้นำเสียงสะท้อน ของพี่น้องประชาชนมาบอกกล่าวต่อที่ประชุม ว่าจากการลงพื้นที่ทำงานต่อเนื่อง พี่น้องคนอิสาน ต้องการเห็นคุณหญิงสุดารัตน์ เป็น ”นายกคนอิสาน” เพราะคุณหญิงเป็นลูกอิสานเป็นคนโคราช เข้าใจปัญหาของคนอีสาน และตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยทอดทิ้งคนอิสานเลย จึงอยากให้คุณหญิงได้มาแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตความขัดแย้ง ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 15 ปี และเชื่อมั่นว่าประธานพรรคไทยสร้างไทยคือความหวังในการพลิกฟื้นชีวิตของพี่น้องชาวอิสานให้กลับมา มีรายได้อย่างยั่งยืนอีกครั้ง 


วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

“อุตตม” เตรียมจัดทำนโยบาย “คาร์บอนเครดิต” รุกสร้างเศรษฐกิจใหม่-รองรับการแข่งขันภาคเอกชนบนเวทีโลก



“สร้างอนาคตไทย” เปิดบ้านแลกเปลี่ยนความรู้บริหารจัดการคาร์บอน  ชี้ กระแสโลกร้อน เปลี่ยนกติกาขีดการแข่งขันภาคเศรษฐกิจ ต้องวางนโยบาย-กฎหมายให้สอดรับ เพื่อแก้ปัญหาเชิงรุก-เสริมศักยภาพการแข่งขันภาคธุรกิจไทยทั้งใน-ต่างประเทศ

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2565  พรรคสร้างอนาคตไทย จัดสัมมนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง อนาคตตลาดคาร์บอน (Carbon Market) แนวทาง และวิธีการดำเนินการจัดการคาร์บอน โดยได้รับเกียรติจากนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ร่วมบรรยาย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประกอบด้วย ผู้บริหารพรรค อาทิ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายวิเชียร ชวลิต ผู้อำนวยการพรรค นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรค น.ส.โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ รองโฆษก นายธันวา ไกรฤกษ์ รองโฆษกพรรค รวมถึงภาคเอกชน และหน่วยงานระหว่างประเทศ

นายอุตตม กล่าวว่า การบริหารจัดการคาร์บอนเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกต้องให้ความสนใจ ซึ่งประเทศไทยได้ตอบรับเงื่อนไขหลาย ๆ อย่างมาจากเวทีโลก โดยการพัฒนาประเทศหลังจากนี้ ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจไม่สามารถละเลยเรื่องดังกล่าวได้ เนื่องจากมีผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องมีนโยบายสาธารณะที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพื่อเปลี่ยนปัญหาเหล่านี้ให้เป็นโอกาสแก่ภาคประชาชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับตัวได้และมีความสามารถในการแข็งขันที่สูงขึ้น 



ทั้งนี้ ปัญหาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ องค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ได้เรียกร้องให้นานาประเทศมีมาตรการในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในกิจกรรมทั้งบนบก ทางทะเล และทางอากาศ หลายประเทศที่เป็นคู่ค้า และแหล่งทุนสำคัญของประเทศไทยก็ได้เริ่มกำหนดมาตรการเพื่อกีดกันสินค้า และการลงทุน ทั้งในภาคอุตสาหกรรม กสิกรรม การเงิน การธนาคาร และการท่องเที่ยว 

นายอุตตม กล่าวต่อว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต้องครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจ ดังนั้นการจัดทำกฎหมายสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจะต้องเป็นนโยบายที่เร่งด่วน และต้องเป็นกฎหมายที่ทันสมัย สามารถใช้บังคับได้ในทุกภาคเศรษฐกิจของไทย ไม่ใช่เป็นแบบไซโล ต่างคนต่างทำอีกต่อไป ต้องมองในเชิงนโยบาย และการบริหารจัดการ ต้องมีโต้โผดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะหากไม่มี เมื่อเอกชนจะขยับทีก็ต้องถอยครึ่งก้าว ถอยสองก้าว เพราะรัฐไม่ชัดเจน ตนมองว่าคณะกรรมการที่ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีอำนาจไม่พอ หากเปรียบเทียบเหมือนตอนทำอีอีซี จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าพวกตนไม่ไปขอนายกฯ เสนอ แต่งตั้ง และออกกฎหมาย ถ้าทำอย่างนี้จึงจะมีการยอมรับ

ดังนั้น ต้องมีตัวกลาง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานลักษณะไหนก็ตาม แต่ที่สำคัญคือ 

1. ต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าผลกระทบต่อประเทศไทยในอนาคตเป็นอย่างไร ประเทศต้องการการปรับเปลี่ยน พรรคสร้างอนาคตไทยพูดเสมอว่าเราอาสามาทำงานเพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจของประเทศ นี่คือหนึ่งในนโยบายห้าสร้างของพรรค คือ สร้างเศรษฐกิจใหม่โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต ดังนั้นเรื่องนี้จะอยู่ในนโยบายของพรรคด้วย แต่จะทำอย่างไรให้เกิด หน่วยงานต้องดูให้ลึกว่าผลกระทบเป็นอย่างไร ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ แต่ต้องเป็นดูระยะยาว ส่วนที่ท้าทาย คือจะวางยุทธศาสตร์อย่างไรให้ขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และภายในระยะเวลาเท่าไหร่  

 2. ต้องให้เอกชนเข้าร่วมตั้งแต่ต้น แค่เพียงรัฐบาลไม่พอ รัฐมีหน้าที่สนับสนุนให้เอกชนเดินอย่างมีแต้มต่อ เพราะสุดท้ายต้องเกิดการแข่งขันในเวทีโลกอย่างแน่นอน เป็นกลไกตลาดที่ต้องค้าขาย เราต้องฉลาดที่จะค้าขาย รัฐต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่าจะเดินอย่างไร เดินกับใคร 

 3. ที่สำคัญ คือเรื่องการสื่อสาร วันนี้จะทำอย่างไรให้คนไทยเข้าใจ ว่าเรื่องดังกล่าวกระทบต่อเขาอย่างไร

“เรื่องการบริหารจัดการคาร์บอน จะเป็นความท้าทายของรัฐบาลหน้าว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์กับภาคเศรษฐกิจทั้งการสร้างเศรษฐกิจใหม่ และการแก้ปัญหาเชิงรุกให้กับขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบาย 5 สร้างของพรรค ที่พร้อมจะเดินหน้าขับเคลื่อน โดยพรรคให้ความสำคัญครอบคลุมทั้งในเรื่องกฎหมายและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับเรื่องนี้ ขอย้ำว่าพรรคจะใส่เรื่องนี้ไว้ในนโยบายพรรคอย่างจริงจัง” นายอุตตม กล่าว

ทั้งนี้ พรรคสร้างอนาคตไทย เกิดจากพวกเราที่ร่วมอุดมการณ์ ตั้งใจ และยินดีให้คนภายนอกใช้พรรคเป็นเวทีเปิดเพื่อถกปัญหา หาทางออก และรับฟังทุกข้อเสนอแนะ ที่จะสร้างอนาคตเศรษฐกิจ สังคม และอนาคตประเทศไทย นอกจากนี้พรรคยังเปิดให้ทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐ และเอกชนสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการจัดอบรม เสวนาต่าง ๆ ของพรรค ไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศได้ 


 


"ไทยสร้างไทย" จัดใหญ่ชู Soft Power ของดีอีสาน ดึงหมอลำดังรัตนศิลป์อีสานนิวเจนโชว์เต็มวง @ทุ่งกุลามาเดอร์เกษตรวิสัย



พรรคไทยสร้างไทย จัดใหญ่ “มหกรรมคืนความสุข” ให้คนไทย ภายใต้แนวคิด “คนตัวเล็ก…คิดใหญ่” สร้างคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่ ดึงหมอลำวงดังร่วมโชว์  ชู Soft Power ของดีอีสาน ทั้งดนตรีพื้นบ้าน อาหาร วัฒนธรรม เครื่องแต่งกาย มาเป็นพลังสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้คนตัวเล็ก โดยมีพี่น้องพ่อค้าแม่ขาย ประชาชน แห่ร่วมงานแน่น 

ช่วงค่ำวันที่ 12 กรกฎาคม 2565  ที่ทุ่งกุลามาเดอร์ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด พรรคไทยสร้างไทย นำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรค นายชัชวาล แพทยาไทย ว่าที่ผู้สมัครส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมผู้สมัครส.ส.โซนอีสานกลางกว่า 60 คน จัดงาน "มหกรรมคืนความสุข" ครั้งที่ 1 เป็นประธานเปิดงานงานมหกรรม “คืนความสุข”ให้ประชาชน ภายใต้แนวคิด “คนตัวเล็ก…คิดใหญ่” 

ซึ่งถือเป็นงานแฟร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นการนำ Soft Power หมอลำวงดังอย่าง รัตนศิลป์อีสานนิวเจนเต็มวงมาจัดแสดง นอกจากนี้ยังมีดนตรีพื้นบ้าน อาหาร วัฒนธรรม เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้ารวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในแต่ละพื้นที่ของภาคอีสานมาจัดแสดง เป็นการรวมพลังคนตัวเล็ก สร้างความสุขและการสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคอีสาน หลังต้องประสบกับมรสุมโควิดมากว่า 2  ปี 

คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่าพรรคไทยสร้างไทย มีเป้าหมายในการสร้างพลังให้ ”คนตัวเล็ก”ให้สามารถเป็น”คนตัวใหญ่” ได้ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร พ่อค้าแม่ขาย ผู้ประกอบการรายย่อย SMEs ฯลฯ จึงเป็นที่มาของ Campaign “คนตัวเล็ก…คิดใหญ่” โดยครั้งนี้เป็นการดึง Soft Power ของชาวอีสานมาเป็นพลังให้กับคนตัวเล็ก สร้างความสุข สร้างรายได้ให้กับพี่น้องชาวอีสาน 

ซึ่งกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นตัวอย่างที่พรรคไทยสร้างไทยได้ทำให้ผู้มีอำนาจในเวลานี้ได้เห็นว่า เราสามารถสร้างความหวัง และความสุขให้พี่น้องได้ เพราะ “ไทยสร้างไทยคิดเป็น ทำได้ และลงมือทำทันที” แม้ว่าพรรคจะยังไม่มีอำนาจ ยังไม่มีส.ส. หรือยังไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ตาม

สำหรับ “มหกรรมคืนความสุข” ครั้งที่ 1 “คนตัวเล็ก…คิดใหญ่” จัดขึ้นที่ อ.เกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด มีกิจกรรมที่สร้างความสุขมากมาย ไม่ว่าจะเป็น  หมอลำวงดังรัตนศิลป์ และอีสานนิวเจน เต็มวง  โชว์ของดี ของดังอิสาน ชิม ช็อป สินค้าเด็ด ของคนตัวเล็ก  การแข่งขันฟุตบอลเยาวชน มวยไทย

 มีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมรับชมรับฟัง เข้ามาท่องเที่ยว กินช็อปใช้แน่น ลานทุ่งกุมาลาเดอร์  นอกจากนี้พบว่ามีประชาชนให้ความสนใจสมัครเป็นสมาชิก "เครือข่ายบำนาญประชาชน" ของพรรคไทยสร้างไทยอย่างคึกคัก รวมถึงมีผู้โชคดีได้รับรางวัลใหญ่เป็น "ลูกวัว"กลับไปเลี้ยง เพื่อสร้างรายได้ในอนาคตด้วย 

ทั้งนี้ภายในงานยังสามารถนำของดีประจำถิ่น ของตนเองมาจำหน่ายได้ฟรีเพียงติดต่อมาที่ Facebook พรรคไทยสร้างไทย โดยต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ ท่านจะต้องเป็นคนตัวเล็ก เท่านั้น “เพราะคนตัวเล็ก คือสเปคพรรคไทยสร้างไทย” 

"สมเด็จพระสังฆราช" ประทานพระคติธรรม "วันอาสาฬหบูชา" 2565



วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2565 เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันอาสาฬหบูชา โดยมีใจความว่า ดิถีอาสาฬหบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ควรที่สาธุชนจักได้น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นการเริ่มประกาศพระศาสนา

ทั้งนี้ท่ามกลางภาวการณ์ปัจจุบัน อันเต็มไปด้วยภยันตรายอันน่าหวาดหวั่นที่หลายคนคิดว่าคงไม่อาจเกิดมีขึ้นแล้ว ก็กลับบังเกิดมีขึ้นอีกทั่วไปในโลก เช่น ภัยสงคราม ทุพภิกขภัย และภัยอาชญากรรมร้ายแรงต่างๆ เป็นต้น

ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสวัสดิภาพของผู้คนในวงกว้าง ท่านทั้งหลายพึงหันมาพิจารณาทบทวนอริยมรรค โดยใช้หนทางแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุสำคัญประการหนึ่ง ได้แก่ “สัมมาสังกัปปะ” ซึ่งหมายถึง “ความคิดที่ถูกต้อง”

กล่าวคือ ความคิดที่จะลดละความอยากได้อยากมีจนเกินประมาณ ความคิดที่จะไม่พยาบาทจองเวรกัน และความคิดที่จะไม่เบียดเบียนกัน ขอจงช่วยกันระดมความคิดเห็นในทางสันติ ฉลาดในการปรึกษาหารือกันด้วยสัมมาวาจา เพื่อแก้ไขปัญหาของสังคมในทุกระดับ ให้คลี่คลายไปได้ด้วยความอดทนอดกลั้น รู้จักละวางทิฐิมานะ ให้อภัย และมุ่งแผ่เมตตาต่อกันด้วยใจจริง

วันอาสาฬหบูชา นอกจากจะเตือนใจให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะสูงสุดของพุทธบริษัทแล้ว ยังอาจเตือนใจให้ทุกท่านตระหนักแน่วแน่ในปณิธานแห่ง “สัมมาสังกัปปะ” ได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้น หากท่านประสงค์ให้สังคมไทยร่มเย็นเป็นสุข ก็ขอจงหมั่นเพียรศึกษาอบรมและปฏิบัติธรรมะ โดยเริ่มที่ตนเอง จากการมี “สัมมาสังกัปปะ” อยู่ทุกขณะจิต เป็นการเกื้อกูลให้ตนเอง และสรรพชีวิตผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่างสามารถปลอดพ้นจากภยันตรายทั้งที่เป็นทุกข์ประจำ และทั้งที่เป็นทุกข์จรทั้งหลาย ได้สมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ เทอญ

พร้อมกันนี้เพจสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้เผยแพร่ ประกาศ สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ที่ ๓ / ๒๕๖๕ เรื่อง การจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา พุทธศักราช ๒๕๖๕  ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ความว่า 

            อนุสนธิ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามและสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จึงประกาศแนวทางการจัดกิจกรรมเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อนุโลมแนวปฏิบัติของคณะธรรมยุต เป็นการเฉพาะสำหรับเทศกาลเข้าพรรษา พุทธศักราช ๒๕๖๕ ดังต่อไปนี้

          ๑. เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงงดเสด็จออกประทานพระวโรกาสให้พระเถรานุเถระเฝ้าถวายสักการะ

          ๒. งดกิจกรรมตักบาตรดอกไม้ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

          ๓. งดการประชุมสังฆสันนิบาต ตามประเพณีคณะธรรมยุต ในดิถีแรม ๕ ค่ำเดือน ๘ (วันจันทร์ ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕) ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง แต่ให้ประชุมสงฆ์ในวัดที่จำพรรษา ทำวัตรเย็น เจริญพระพุทธมนต์ด้วยพระสูตรและพระปริตรตามที่สำนักงานคณะธรรมยุตประกาศ แล้วเจริญจิตภาวนาถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช อนุโลมวิธีเช่นเคยปฏิบัติ

ทั้งนี้ ความทราบฝ่าพระบาทแล้ว

ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕

ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เชิญร่วมรับฟังธรรมบรรยาย เรื่อง "อาสาฬหบูชา วันเริ่มต้นเเห่งแสงธรรมจากโพธิญาณเพื่อสันติสุขของชาวโลก"

โดยพระธรรมวัชรบัณฑิต,ศ.ดร. อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ในวันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2565  เวลา 08.30 น. สามารถรับชมผ่านช่องทาง Application Zoom : 633 922 7142  หรือรับชมผ่านช่องทาง facebook live MCU TV News ,MCU TV Channel,MCU TV Live Youtube MCU TV และ tv.mcu.ac.th

"ชัชชาติ" ร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 65 รูป 

วันที่ 13 ก.ค.65 เวลา 07.00น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 65 รูป เนื่องในวันอาสาฬหบูชา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการกรุงเทพมหานคร และประชาชน ร่วมพิธี ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สนามหลวง

สำหรับ วันอาสาฬหบูชา ปีนี้ตรงกับวันที่ 13 กรกฎาคม เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และเป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย คำว่า อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก อาสาฬหปูรณมีบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฏิทินของประเทศอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนกรกฎาคมหรือเดือนสิงหาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 8 หลังแทน  

ครม.เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา 28 รูป/คน อาทิ "พระพรหมบัณฑิต"



วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จำนวน 28 รูป/คน ดังนี้

1.นายบุญเลี้ยง ไขษรศักดิ์ กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน


2.นายนุชากร มาศฉมาดล กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น


3.ศาสตราจารย์เกียรติคุณอมร ลีลารัศมี กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ


4.พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์


5.พระธรรมวิสุทธาจารย์ (แสวง ธมฺเมสโก) กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์


6.นายสมัย เจริญช่าง กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย


7.นายชัชวัสส์ เศรษฐี กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น


8.นางสาวกรองทอง บุญประคอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษา)


9.ศาสตราจารย์บังอร เสรีรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษา)


10.นายบุญรักษ์ ยอดเพชร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษา)


11.นายอำนาจ วิชยานุวัติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษา)


12.ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย)


13.นายอดุลย์ พิมพ์ทอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย)


14.รองศาสตราจารย์สุริยเดว ทรีปาตี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา)


15.นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี)


16.นายสุรศักดิ์ มุกประดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี)


17. นายเหมพงศ์ ทวีกาญจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี)


18.นางปัทมา วีระวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและประเมินผลการศึกษา)


19. รองศาสตราจารย์ดนุวัศ สาคริก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจและการบริการ)


20.นายสกล กิตติ์นิธิ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชน)


21.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประมา ศาสตระรุจิ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสื่อสาร)


22. ศาสตราจารย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสื่อสาร


23.ศาสตราจารย์อภิชาติ จิตต์เจริญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสื่อสาร)


24.นางสาวนิรมล เมธีสุวกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านสื่อสารมวลชน)


25.นายคมสัน โพธิ์คง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการเมืองการปกครอง)


26. นายชาติชาย เกตุพรหม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม)


27.นายวิริยะ รามสมภพ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต)


28.นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

"หญิงหน่อย" นำทีมไทยสร้างไทย กราบดร.หลวงพ่อแดง ชมแหนแดงตลาดพุทธเกษตร


"คุณหญิงสุดารัตน์" นำทีมไทยสร้างไทย สมุทรสงคราม  ถกแผนขับเคลื่อนจังหวัด ชูแม่กลองเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม วัดวาอาราม อาหารการกิน ดึงรายได้มหาศาลพัฒนาจังหวัด 

เมื่อวันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม 2565   ช่วงค่ำวานนี้ (10ก.ค.) ที่วัดอินทาราม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย นำทีมงานของพรรค และนายนิทรารัตน์ แพทย์วงษ์ ประธานสภาทยานความ จ.สมุทรสงคราม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคไทยสร้างไทย เดินทางไปที่วัดอินทาราม ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา เข้านมัสการพระครูพิศิษฏ์ประชานาถ (ดร.หลวงพ่อแดง นันทิโย) รองเจ้าคณะอำเภออัมพวา เจ้าอาวาสวัดอินทาราม เพื่อหารือและรับฟังคำแนะนำต่างๆในการพัฒนาจังหวัดสมุทรสงคราม 

ก่อนจะเข้ากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด เช่น หลวงพ่อโตซำปอกงอายุ 300 ปีภายในโบสถ์มหาอุด พระอรหันต์ 1,650 รูปบริเวณรอบโบสถ์หินอ่อน และกราบไหว้ขอพรท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งบนเกตุบรรจุผงพระสมเด็จวัดระฆัง นอกจากนี้ยังชมตลาดพุทธเกษตรและให้อาหารปลาตะเพียนในคลองแควอ้อมหน้าวัดและชมหิ่งห้อยบนบกบริเวณท่าน้ำวัดอินทารามอีกด้วย

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า จ.สมุทรสงครามเป็นพื้นที่ชุมชนเข้มแข็งทั้งด้านผู้นำ พระสงฆ์ และภาคธุรกิจ รวมมือกันดูแลให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์วัฒนธรรมวิถีชีวิต ความเป็นอยู่และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม วัดวาอาราม อาหารการกิน เป็นศูนย์รวมสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย จะเป็นตัวแทนเชื่อมโยงทุกภาคส่วนในการทำแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้ จ.สมุทรสงครามเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว สร้างรายได้จากวิถีชีวิต จากวัฒนธรรม จากความเป็นอยู่ของประชาชน แบบรักษาธรรมชาติ

คุณหญิงสุดารัตน์ฯ กล่าวอีกว่า พรรคไทยสร้างไทยจะสู้เพื่อคนตัวเล็ก โดยเฉพาะการทำให้แต่ละจังหวัดมีความเข้มแข็ง ส่วนที่ จ.สมุทรสงครามผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งถือเป็นคนตัวเล็กนั้น พรรคจะเข้าไปช่วยเพื่อให้ผู้ประกอบการตัวเล็กๆโตขึ้นและสามารถสร้างให้สมุทรสงครามเป็นเมืองการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทั้งวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อมต่อไป 


เพื่อไทยเดินหน้าแลนด์สไลด์ เปิดตัว 21 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.



วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม 2565  นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมาและเลขาธิการพรรค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รองประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง นายพิชัย นริพทะพันธ์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม. และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรค ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทยจำนวน 21 คน ที่จะมาเป็นตัวแทนของพรรคในการทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว กล่าวว่า การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ เพื่อต้องการบอกกับพี่น้องประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริงว่าพรรคพร้อมทำงานกับพี่น้องประชาชนเพื่อนำพาทุกท่านให้พ้นวิกฤต ด้วยการนำเสนอบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการที่จะเป็นผู้แทนของพี่น้องประชาชนมาทำงานในระดับประเทศ และหลังจากนี้ก็จะมีการเปิดตัวในส่วนของภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยตั้งใจจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในช่วง 2-3 เดือนนี้ หลังจากนั้นก็ตัวแทนของพรรคจะลงไปทำงานในพื้นที่เพื่อบอกกับพี่น้องประชาชนว่านโยบายของพรรคพื่อไทยเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ และเป็นความหวังและอนาคตของพี่น้องประชาชน

นายแพทย์ ชลน่าน กล่าวว่า การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ในวันนี้จำนวน 21 คน จากทั้งหมดที่พื้นที่ กทม. จะมี 33 เขตเลือกตั้ง ซึ่งในส่วนที่เหลือยังรอความชัดเจนในการแบ่งพื้นที่เขตเลือกตั้งของ กกต. อีกทั้งยังมีผู้ที่สนใจเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคจำนวนมาก พรรคจึงจะพิจารณาผู้ที่เหมาะสมโดยละเอียดอีกครั้ง

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ กล่าวว่า พื้นที่ กทม. มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของการบริหารประเทศ พรรคเพื่อไทยจึงให้ความสำคัญคัดสรรผู้ที่จะเป็นตัวแทนของพรรคในการลงไปดูแลพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามจากการความมุ่งมั่นในการลงพื้นที่ดูแลพี่น้องประชาชนตั้งแต่ประเทศเจอกับวิกฤตโควิด-19 จนถึงวันนี้ ทำให้ผลการเลือกตั้ง ส.ก. ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้รับความไววางใจจากประชาชน และได้ที่นั่งในสภา กทม. มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ทั้งนี้หลังจากการเลือกตั้ง ส.ก. 1 เดือน พรรคเพื่อไทยเราไม่ได้หยุดทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน โดยเรา ส.ก.ของพรรคเพื่อไทยได้เข้าไปทำหน้าที่ในการพิจารณางบประมาณของ กทม. พร้อมนำเสนอนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงไว้ในการเลือกตั้ง ส.ก. แล้ว

ด้านนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมแล้วที่จะดูแลพี่น้องประชาชน กทม. คู่ขนานกันไประหว่าง ส.ส และ ส.ก เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน ซึ่งไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไร ภายใต้กติกาแบบไหน พรรคเพื่อไทยเราก็พร้อมที่จะสู้ทุกรูปแบบ และการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทยในวันนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างดี สอดคล้องกับเสียงสะท้อนของพี่น้องประชาชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงและรอโอกาสที่จะได้ใช้สิทธิใช้เสียงในการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ผู้แทนฯ และ รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ จึงขอเรียกร้องไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาคืนให้อำนาจให้ประชาชน ให้ได้มีโอกาสเลือกรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศและแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ซึ่งพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะอาสามาแก้ไขวิกฤตประเทศ ขอให้พี่น้องประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งเพื่อให้เราได้มาร่วมกันแก้ไขวิกฤตปัญหาในครั้งนี้

โดยรายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย ทั้ง 21 คน ประกอบด้วย

1. นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ เขตสัมพันธวงศ์

2. นางสาวจุฑาพร เกตุราทร เขตบางรัก

3. นางสาวนวลละออง ศรีชุมพล เขตวัฒนา

4. นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ เขตห้วยขวาง 

5. นางสาวขัตติยา สวัสดิผล เขตจตุจักร

6. นายพชร ธรรมล เขตราชเทวี

7. นายรัฐพงษ์ ระหงษ์ เขตบางซื่อ

8. นายสุรชาติ เทียนทอง เขตหลักสี่ 

9. นายสุธนพจน์ กิจธนาภิทักษ์ เขตดอนเมือง 

10. นายอนุสรณ์ ปั้นทอง เขตบางเขน

11. นายพงศกร รัตนเรืองวัฒนา เขตบางกะปิ

12. นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ เขตคันนายาว

13. นายวิชาญ มีนชัยนันท์ เขตมีนบุรี 

14. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เขตคลองสามวา

15. นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ เขตหนองจอก

16. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ เขตลาดกระบัง 

17. นายกวีวงศ์ อยู่วิจิตร เขตบางนา

18. นายศิลปวิชญ์ น้อยสมมิตร เขตคลองสาน

19. นายศรัณยสัณฑ์ วีรกุลสุนทร เขตจอมทอง

20. นายวัน อยู่บำรุง เขตหนองแขม 

และ 21. นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา เขตภาษีเจริญ

สำหรับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ของพรรคเพื่อไทยทั้ง 21 คน ถือเป็นกระบวนการพิจารณาภายในของพรรค ซึ่งว่าที่ผู้สมัครทุกคนพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการสรรหาตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป


 


เยือนเมืองดอกบัว “มหานคร” แห่ง โคก หนอง นา



“ทีมข่าวพิเศษ”  รับรู้เรื่องราวการทำ  “โคก หนอง นา”  ตั้งแต่ สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนแล้วว่า “จังหวัดอุบลราชธานี” เป็นจังหวัดที่ขับเคลื่อนโครงการ โคก หนอง นา หรือชื่อเต็มว่า “โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา" อย่างเข้มข้นและได้ผลมากมีประชาชนให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมมากที่สุดในประเทศไทยถึง  4,044 แปลง แบ่งออกขนาด 15 ไร่จำนวน 71 แปลง ขนาด 1 ไร่จำนวน 3,973 แปลง รวมพื้นที่ 9,474 ไร่  การขับเคลื่อนที่มีผลสัมฤทธิ์แบบนี้ นอกจากมีการบูรณาการภาครัฐที่เข้มแข็งแล้ว ยังมีภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่เข้าร่วมทำงานกับภาครัฐอย่างเข้มแข็งด้วย โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานีมีที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นพระภิกษุถึง 2 รูป ทั้งจากคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายและคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย คือ พระปัญญาวชิรโมลี และ พระพิพัฒน์วชิโรภาส ซึ่งทั้ง 2 รูปถือว่าเป็นพระที่ขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจฐานรากในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชนอยู่ดีกินดี อันตั้งอยู่บนฐานเศรษฐกิจพอเพียงเจริญตามรอยศาสตร์ของพระราชาอย่างได้มรรคได้ผล มีผลสำเร็จเป็นเครื่องพิสูจน์ได้   ความร่วมมือแบบนี้สมควรให้จังหวัดอื่น ๆ นำเอาไปเป็นแบบอย่างในการขับเคลื่อนการทำงานระหว่างภาครัฐ คณะสงฆ์และประชาชนตามหลัก  “บวร”


“ดร.ภคิน ศรีวงศ์”  นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ รับอาสาพาไปดูแปลงพร้อมกับพาไปพบ “เจ้าคุณ”ทั้ง 2 รูปทั้ง พระปัญญาวชิรโมลี และ พระพิพัฒน์วชิโรภาส ผู้เป็นหลักสำคัญของการขับเคลื่อนแปลงโคก หนอง นา ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีพร้อมทั้งจะไปสอบถามแนวคิดและความคืบหน้า ที่จะให้จังหวัดอุบลราชธานีนำร่องจัดตั้ง  “เขตเศรษฐกิจพอเพียง” 

“โคกหนองนาแม่อุดมโมเดล” ของ อุดม ชอบเสียง ชาวตำบลระเว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี คือเป้าหมายแรกที่เราไปสำรวจดูซึ่งที่นี้ “รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์” ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาไทยระบุว่า “น่าจะเป็นแปลงตัวอย่างในการต่อยอดสู่ขั้นก้าวหน้า” ซึ่งหมายถึงนอกจากมีครบ 4 พ. คือ พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น มีไว้แจกจ่ายทำบุญทำทานตามหลักทฤษฎีบันได 9 ขั้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์รัชกาลที่ 9 แล้ว เหลือไว้ สำหรับต่อยอดขั้น  “ธุรกิจ” แล้ว

“พี่ดม” เล่าว่าเข้าร่วมโครงการโคกหนองนาไว้ขนาด 1 ไร่ แต่ในความจริงทำแนวเศรษฐกิจพอเพียงปลูกพืชแบบผสมผสานไว้ประมาณ 5 ไร่ ต้นไม้ป่าอยู่มุมนึง มีพริกที่ได้ผลผลิตเยอะ ทำกับสามี ตลาดมันเยอะ ทุกวันนี้มีกล้วยที่มีตลาดให้ความต้องการตลอดเลย  เราเอาไปขายเองดีกว่าให้มารับที่สวน เพราะบางอย่างที่เรามี เขาก็ไม่ต้องการ ส่วนใหญ่ขายที่ตลาดชุมชน หน้าอำเภอเฉพาะวันจันทร์และวันศุกร์ ตลาดแถวบ้านมีทุกวัน แต่เราไปวันเว้นวัน จะมีกล้วย พริก และต้นพริก เมื่อเราถามว่าชุมชนแถวนี้ส่วนใหญ่คือเกษตรกรแล้วอะไรคือจุดเด่นของเรา พี่ดมว่า


“ความคิดค่ะ คนแถวนี้เขาไม่คิดแบบเรา เราคิดว่าเราจะมีทุกอย่างแบบผสมผสาน ขายได้ทุกอย่าง อะไรที่ชุมชนเราชอบกิน เราก็ปลูก รายได้เฉพาะของในสวน เดือนนึงมีรายได้ประมาณ 20,000 บาท ขายออนไลน์ก็มี เมล็ดผักกาด เมล็ดผักชี เมล็ดข้าวโพด การขายเมล็ดทำให้มีรายได้เยอะ ขายเพาะกล้าด้วย  ลูกค้าออนไลน์ก็มีมา เรื่อย ๆ มีเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์มารับถึงสวน ทำให้มีรายได้ 2 ทาง เดือนนึงมีรายได้ประมาณ 30,000-40,000 บาท ช่วงหน้าแล้งยังขายหญ้าได้อีก  2,000 บาท  ที่นี้เป็นศูนย์เรียนรู้ด้วย ผู้ที่เข้ามาศึกษาดูงานก็จะมี กศน. กลุ่มแม่บ้าน รายได้จากการมีคนมาดูงาน ครั้งละ 1,000 กว่าบาท โครงการโคก หนองนา นี้มีประโยชน์ต่อชุมชนมาก คนในชุมชนก็มีการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  แต่คนที่ทำตรงนี้บางคนเขาคนที่ถอย เพราะใจเขาไม่เอาแล้ว อาจจะปลูกแล้วขายไม่เป็น ก็เลยคิดว่าซื้อกินดีกว่า ในหมู่บ้านคนที่ปลูกพืชผักขายมีอยู่แค่ 3 คน นอกนั้นซื้อกินหมด โดยเฉพาะหน้าฝนยิ่งไม่มีคนปลูก ทำให้เราขายดี..”


เป้าหมายต่อไปคือ สวน "ฮักแพง ฮ่องย่า นาหนองไผ่" ของ  แก้วกล้า บัวศรี ขนาด 15 ไร่ ตั้งอยู่ใน ต.โนนกุง อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี อดีตนักบวชเก่าจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ เป็นผู้มีศิลป์ในการแกะสลักเทียนเข้าพรรษา ช่วงที่ทีมงานไปถึง “ทิดจ่อย” หรือ แก้วกล้า บัวศรี กำลังแกะสลักเทียนเข้าพรรษาอยู่ในวัด ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากแปลงโคก หนอง นา ของเขามากนัก สำหรับเทียนจำพรรษาที่กำลังแกะอยู่นั้นวัดจะส่งเข้าประกวดในงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ประจำปี 2565 ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 121 แล้ว ภายใต้ชื่องานว่า “121 ปี ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา” เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนเดินทางมาท่องเที่ยวงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี และเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-17 กรกฎาคม 2565 นี้


“ทิดจ่อย” เล่าเบื้องหลังชีวิตว่า แต่ก่อนใช้ชีวิตเป็นนักบวชทั้งเณร ทั้งพระ ประมาณ 13 ปี  ได้ศึกษาแนวทางการดำเนินชีวิต หลักอิทธิบาท 4 ไปที่ไหนไม่มีอดตาย ศึกษาด้านการทำเกษตรเริ่มแรก น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อมีโอกาสลาจากร่มผ้ากาสาวพัสตร์มาสู่เพศบรรพชิต ลาสิกขามาเมื่อประมาณปี 2549 ก็มีใจรักด้านการเกษตร ยังได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ลองผิดลองถูกทุกอย่าง อยู่ในเมืองชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย มันไม่มีความสุข วนเวียนอยู่ 8 ปี สุดท้ายได้มีโอกาสกลับสู่ชนบท ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ จังหวัดสุรินทร์ เมื่อก่อนได้มาศึกษาอยู่ที่ จังหวัดอุบลราชธานี  เมื่อลองผิดลองถูกมาสักพักแล้ว ก็อยากจะมีความรู้เรื่องการทำโคก หนอง นา ตอนปี 2558 กลับมาอยู่บ้านแฟนที่อุบลราชธานี เริ่มต้นจากการทำไร่ไถนา ปกติเป็นคนรักธรรมชาติ ชอบความสงบ ลองผิดลองถูก เลี้ยงปลาดีไหม ปลูกต้นไม้ดีไหม แต่เมื่อเราลงทุนลงแรงไปแล้ว ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ลองมาทบทวนว่า เราไม่มีน้ำ เมื่อก่อนตรงนี้แห้งแล้งมาก ไม่มีน้ำเลย ตอนแรกเลี้ยงปลาในบ่อเล็ก ๆ มีการเจาะน้ำบาดาลมาใช้บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอ ต่อมาได้เข้าไปศึกษาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ดูว่ามีแนวคิดอะไรบ้าง ลองผิดลองถูกมาตลอดจนเมื่อมีโครงการโคก หนอง นา เข้ามาจึงมองเห็นว่าแหล่งน้ำมาแล้ว โครงการในฝันของเรามาแล้ว ตอนสมัครไม่มีคู่แข่งเลย มีวันหนึ่งได้ขับรถไปกับกำนัน และมีคนกรมพัฒนาชุมชนโทรมาหากำนัน เพื่อหาผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โคก หนอง นา คนเรานั้นชอบเสียดายที่ดิน จึงสนใจเพราะมันตรงกับใจ และได้ปรึกษากับภรรยา ตอนแรกภรรยาไม่เห็นด้วย ก็ได้พยายามอธิบายทำความเข้าใจกับภรรยา ตอนหลังก็เข้าใจ จนปี 2563 ก็ได้ขุดบ่อ



“ตรงนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานภาครัฐ คณะสงฆ์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรแพทย์ภายในตำบล ใช้หลัก “บวร” ในการขับเคลื่อน พระก็มาจากวัดร่องข่า วัดบ้านโคกสว่าง 2 ชุมชนมาช่วยกัน ถึงเวลาผมก็ไปช่วยวัด ช่วยชุมชน ผมทำอะไรเขาก็มาช่วยผม เหมือนการเอามื้อสามัคคี น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เกิดชุมชนสามัคคี  ทำให้เป็นแหล่งเรียนรู้ อยากสร้างเป็นแหล่งรายได้ของชุมชนและตนเองด้วย ผมว่าศาสตร์ของพระราชานี้หากขยันก็รวย ไม่ขยันก็มีกิน สุดยอดของเราแล้ว..”


สังคมน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งพามีความเกื้อกูลซึ่งกันและกันแบบนี้เป็นสังคมแห่งน้ำใจเป็นสังคมที่หลายหมู่บ้านและชุมชนอยากฟื้นฟูนำกลับมา ตลอด 2 ปีมานี้หลายชุมชนฟื้นฟูกลับคืนเอามาได้โดยใช้แปลงโคกหนองนาเป็นฐานและต่อยอดจากการ “เอามื้อสามัคคี”  ซึ่งสิ่งเหล่านี้นักวิชาการ นักปราชญ์หลายท่านสรุปตรงกันว่ามันคือ “รากเหง้าวัฒนธรรมชุมชนเดิม” ของประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ตอนหลัง ๆ วิถีชีวิตคนไทยเปลี่ยนไปทำให้วัฒนธรรมชุมชนเหล่านี้จ่างหายไปจากชุมชนหมู่บ้านและสังคมไทยไปด้วย

“ดร.ภคิน ศรีวงศ์”  ไกด์กิตติมศักดิ์ บอกว่ายังมีอีกแปลงหนึ่ง คนนี้น่าสนใจเพราะดูจาก มีบ้านหลังโตและที่ดินซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองราคาไร่ละหนึ่งล้านบาทขึ้นไปเป็นคนมีอันจะกิน ภรรยาเป็นพยาบาล แต่สนใจทำโคก หนอง นา ซ้ำที่ดินปลูกต้นไม้เศรษฐกิจเอาไว้หลายไร่ คนนี้เคยทำงานลงเรือน้ำมันแถวตะวันออกกลาง กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าเขาตั้งใจจริง ทำจริง ลงมือจริง จึงให้งบโครงการโคก หนอง นา ไว้ขนาด 1 ไร่


“ไพบูลย์ ยะระเขต” ชาวตำบลขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี  หน้าตาเหมือนชาวเหนือ บอกว่า  กล้าตัดสินใจทำโคก หนอง นา เพราะ หนึ่ง  เรามีเวลา สอง มีความตั้งใจจริงที่จะทำ และ สาม ที่ดินของเราก็พัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมทำนาอย่างเดียว ไม่มีร่มไม้เลย ที่เห็นอยู่ตรงนี้ใช้เวลาเพียง 2 ปี 2 เดือนเท่านั้นลงมือเองทำคนเดียว  ในส่วนของ 5 ไร่ที่เราตั้งใจทำก่อนหน้านี้ ที่ทำอยู่ตอนนี้ทั้งหมด  11 ไร่ ปลูกป่าผสมผสาน เข้าไปอยู่ในกลุ่ม “คนบ้าปลูกต้นไม้”  บ้านี้คือบ้าดี ลักษณะของคนกลุ่มนี้คือ ไม่บ้าจริงทำไม่ได้ เพราะมีช่วงหนึ่งที่กฎหมายมาตรา 7 ยังไม่ปลดล็อค พอปลดล็อคแล้วก็สบายเลย คนที่เริ่มต้นก่อนยิ้มเลย อันนนี้คือมูลเหตุว่าทำไมคนถึงไม่กล้า แต่คนบ้าเขากล้าทำ  ตอนนี้มีไม้ทั้งหมด 40 กว่าชนิดคือเข้าร่วมโครงการทั้งหมด ปลูกแบบผสมผสาน แต่จะเน้นยางนา เพราะเป็นไม้สูง ราชาแห่งไม้ ที่เดิมตรงนี้เป็นดินทรายมันเหมาะ ก่อนที่จะปลูกก็ต้องดูภูมิสังคมว่าไม้ดั้งเดิมคือไม้อะไร พอยางนามันปลูกได้ ก็ตามด้วย ประดู่ พะยูง ไม้สักทอง ตะเคียน แล้วก็ไม้ระดับกลาง เช่น มะฮอกกานี อายุ15-16 ปีก็ตัดได้แล้ว ต่อมาไม้กินก็ไล่เลี่ยตามมา แต่ไม่ได้ปลูกเป็นแนว เป็นแถว  ปลูกแบบป่าเลย แต่ยางนาก็ปลูกใกล้ๆกันห่าง 3-4 เมตร เผื่อเราตัดอย่างอื่นออกก่อนยางนาก็ผอมมันก็จะได้อวบขึ้น


“ระหว่างระยะห่างขอต้นยางนาก็จะปลูกไม้อื่นผสมไปหมด เพราะมองว่าเมื่อยางนาสูงชะรูดขึ้นแล้ว สูงประมาณ3-4 เมตรแล้วช่วงนั้นต้นเล็กๆมันจะเบียดกันหาแสง เมื่อต้นที่สูงได้ระดับมันแล้วเราก็ตัดได้ คือเราควรปลูกอย่าให้เป็นอวกาศ แต่ควรปลูกให้เป็นโอกาส  สาเหตุสำคัญที่ทำแบบนี้ เพราะ หนึ่ง เราไม่ได้รับราชการ ไม่มีบำนาญไว้ให้ลูก แล้วอะไรที่จะเป็นมรดกให้ลูกได้ จึงมาคิดว่าต้นไม้ก็เป็นมรดกได้ มันเพิ่มมูลค่าได้ ส่งต่อให้ลูกได้..”

“ไพบูลย์ ยะระเขต”   พาทีมข่าวเดินชมดูสวนไม้ป่าเศรษฐกิจที่ปลูกไว้อย่างหนาแน่นกว่า 40 กว่าชนิด บางแห่งมีแซม “ผักหวาน”ไว้ด้วย ภายในสวนมีการเลี้ยงไก่ มีบ่อปลา ระหว่างร่องไม้มี “คลองใส้ไก่” ขนาดเล็กที่เขาลงมือทำไว้เลี้ยงพืชให้ชุ่มด้วยน้ำหล่อเลี้ยงให้ดูเขียวขจีอยู่เสมอ พร้อมทั้งพาไปชฤมพืชผัก นาข้าว และกล้าไม้ที่รอแจกและขาย จนเราคิดว่าไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้คนเดียว ซ้ำหน้าตาก็ไม่เหมือนกับเกษตรกรทั่วไป


หากจะว่าไปแล้วตลอด2ปีมานี้ทีมข่าวพิเศษลงพื้นที่สำรวจแปลงโคกหนองนาภายใต้การสนับสนุนของ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย มาแล้วกว่า 40 จังหวัด ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นการปลูกไม้เศรษฐกิจจำนวนมากแบบแปลงของ ไพบูลย์ ระยะเขต เลย แม้แต่แปลงโคก หนอง นา ของ พระอาจารย์สังคม ธนปญฺโญ จังหวัดสุรินทร์ ที่ว่าเป็น “ปรมาจารย์แห่งโคกหนองนา” จำนวนต้นไม้และขนาดแปลงเล็กกว่านี้ แปลงของไพบูลย์ ระยะเขต จึงนับว่าเป็นแปลงที่สมบูรณ์ที่สุดที่เราเคยเจอมา

ความจริงยังมีอีก 2 แปลงที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงและเจ้าของทั้ง 2 แปลงถือว่าเป็นกลไกหนึ่งสำคัญของกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อนการทำโคกหนองนา ที่กำลังจะต่อยอดเป็น “เขตเศรษฐกิจพอเพียง” หรือชื่อเต็มว่า  “การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพอเพียงด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) มีเป้าหมายเพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย และเท่าที่ฟังจากพระคุณเจ้าทั้ง 2 รูป นอกจากเป็นที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว ถือว่าเป็น “มันสมอง” สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในการนำร่องจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพอเพียง” ในจังหวัดอุบลราชธานี ที่ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์รัชกาลที่ 9 มิใช่เพื่อตอบโจทย์ในการอยู่ดี กินดี เฉพาะคนไทยหรือนโยบายรัฐบาลเท่านั้น แต่แนวทางเขตเศรษฐกิจพอเพียง หากทำได้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของสหประชาชาติหรือ UN ได้หลายข้อ ที่เรียกร้องให้นานาประเทศร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ยั่งยืนหรือ  SDGs  ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Sustainable Development Goal” ด้วยกำหนดเป้าหมายไว้ 17 ข้อ เพื่อทำให้โลกดีขึ้นในทุกมิติภายในปี 2030 ด้วย!!


ตอนหน้าจะถอดรหัสความคิดจากสองเจ้าคุณที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพอเพียง มันดีอย่างไร ทำไมจึงตั้งใจทำให้ได้..!!


"สร้างอนาคตไทย" จัดใหญ่ ระดมกูรู กู้วิกฤตเศรษฐกิจ ชี้ "โลกเปลี่ยนไทยต้องปรับ"



"พรรคสร้างอนาคตไทย" เปิดเวทีถกทางออกวิกฤตเศรษฐกิจ  “บัณฑิต” ชี้แก้เงินเฟ้อด่วนก่อนเศรษฐกิจติดหล่ม ด้านเอกชนมั่นใจเอกชนไทยยังมีศักยภาพสูงขอเพียงรัฐบาลสนับสนุนให้ตรงจุด ขณะที่เอสเอ็มอีและภาคท่องเที่ยว วอนช่วยเร่งแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2565 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) จัดเสวนา “เจาะลึกวิกฤติร่วมคิดทางออก” ถกนักวิชาการ นักธุรกิจชั้นนำ ประกอบด้วย ดร.บัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล นายกิตติ พรศิวะกิจ  ประธาน Smart Tourism สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น และนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย โดยมีนายสันติ กีรนันทน์ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อหาทางออกของวิกฤติเศรษฐกิจประเทศ สะท้อนปัญหา และเสนอแนะแนวทางแก้ถึงรัฐบาล 

โดยนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ว่า งานวันนี้เราตั้งใจให้เป็นวงเสวนาที่อยากให้เราได้มีโอกาสร่วมกันคิดวิเคราะห์สิ่งที่ประเทศกำลังเผชิญ สถานการณ์หลายอย่างดูเหมือนดีขึ้น แต่ทั้งผู้ประกอบการ ประชาชนยังห่วงใยว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นจะไปต่ออย่างไร เรายังต้องช่วยกันบริหารจัดการ ช่วยคิด และหาทางออก จึงเป็นที่มาของการเสวนาในวันนี้ ตนและพรรคหวังว่าสิ่งที่จะออกมาวันนี้ จะเป็นประโยชน์กับส่วนรวม เป็นการช่วยกันคิด ร่วมกันทำของคนไทย เพื่ออนาคตของเรา ในภาวะที่หลาย ๆ อย่างสุ่มเสี่ยง แต่โอกาสก็มีเยอะ ถ้าช่วยกันคิด ช่วยกันบริหารจัดการความท้าทาย ทำสิ่งที่มีให้เกิดขึ้นได้ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็จะทำให้คนไทยเดินหน้าต่อไป ประเทศเติบโต พร้อมรับความท้าทายในอนาคต 


นายอุตตม กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทย เผชิญความท้าทาย แต่ไม่ใช่ทุกอย่างแย่ไปหมด แต่ทำอย่างไรจะก้าวไปด้วยกัน ไม่ทิ้งภาคใดเผชิญปัญหาให้ล้มลงเป็นภาระ นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งจำเป็น แต่แผนงานที่ขับเคลื่อนได้จริงสำคัญมากกว่า วันนี้ผู้ที่จะมารับผิดชอบการขับเคลื่อนต้องเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน รัฐต้องส่งเสริมภาคเอกชนให้ก้าวเดินต่อไปได้ กฎระเบียบที่จำเป็นต้องเปลี่ยน ให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ก็ต้องทำ วันนี้โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงจึงจะรอด และพัฒนาไปได้ ถ้าหากคิด และทำแบบเดิม ๆ ไม่อาจตอบโจทย์ไปสู่ทิศทางที่ต้องการได้ การเติมทุน การขับเคลื่อนเชิงรุก ทำอย่างไรให้ประเทศเป็นที่สนใจของนักลงทุน ซึ่งตรงนี้ได้มีการเริ่มต้นเรื่อง EEC เอาไว้แล้ว ก็ต้องใช้ EEC เป็นตัวสร้างโอกาสดึงดูดนักลงทุนเข้ามา และสุดท้ายธรรมาภิบาลคือสิ่งสำคัญที่ต้องมี เพราะจะช่วยให้การขับเคลื่อนประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน 


ขณะที่ ดร.บัณฑิต มองว่าจากปัจจัยผลกระทบเศรษฐกิจจากสถานการณ์โลกที่เผชิญอยู่ขณะนี้  ทั้งภาวะสงคราม สถานการณ์ราคาพลังงานแพง การขาดแคลนอาหาร จะมีความยืดเยื้อ ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาโดยมุ่งเน้นการใช้จ่ายจากภาครัฐนั้นไม่ตอบโจทย์ และต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะผลที่จะตามมาคือการเร่งตัวของภาวะเงินเฟ้อให้เร็วขึ้น รวมถึงการสร้างภาระทางการเงินจากเงินกู้มากขึ้น  โดยได้เสนอ 3 แนวทางแก้ปัญหาหลักสำคัญที่ประเทศต้องให้ความสำคัญ คือ 1. การแก้ไขภาวะเงินเฟ้อ ควรใช้กลไกตลาดมากกว่าการควบคุม เพราะมาตรการควบคุมเป็นมาตรการที่ใช้ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งไม่ตอบโจทย์สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และหากมุ่งเน้นมาตรการควบคุมประเทศอาจจะเผชิญปัญหาการขาดแคลนสินค้า เนื่องจากไม่คุ้มทุนการผลิตของผู้ประกอบการ 2.การช่วยเรื่องการปรับตัวของระบบเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องสภาพคล่อง การประนอมหนี้ การดูแลค่าเงินให้มีความสมดุล 3.การประหยัด ซึ่งภาครัฐต้องส่งสัญญาณให้เกิดความร่วมมือกันของคนในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นที่ขณะนี้ออกมาประกาศลดการใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เสนอแนะให้ภาครัฐใช้ศักยภาพประเทศเกษตรกรรม ในสถานการณ์ที่โลกขาดแคลนอาหาร ผลักดันผลผลิตภาคการเกษตร การผลิตอาหาร เพื่อสร้างโอกาสใหม่ สร้างรายได้ให้กับประเทศในช่วงที่โลกกำลังประสบปัญหา 


น.ส.จรีพร กล่าวว่า ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสแต่ต้องมองให้เห็น วันนี้โลกเปลี่ยนไปจากอดีตมากประเทศไทยต้องปรับตัวให้มากขึ้น ต้องก้าวไปสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ เพราะระบบเศรษฐกิจแบบเดิมไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ โดยเฉพาะการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ประเทศไทยต้องเปลี่ยน และเพิ่มขีดความสามารถด้านนี้ วันนี้ประเทศไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก เราต้องดึงพวกเขามา เพื่อสร้างเม็ดเงินลงทุนในประเทศ เป็นแรงในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ที่จะฝากไว้คือเราต้องส่งเสริมสตาร์ทอัพ ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาก ๆ 


นายแสงชัย กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มเอสเอ็มอีประสบปัญหาเรื่องรายได้ที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากต้นทุนการผลิตวัตถุดิบสูงขึ้นทุกรายการจากสถานการณ์ราคาพลังงานแพง เช่น ข้าวสาลีมีราคาสูงร้อยละ 45.60 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้นร้อยละ 26.37 ซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้นทำให้เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ และเสี่ยงต่อการทำให้ขาดทุนเป็นหนี้เพิ่ม ซึ่งขณะนี้หนี้เอสเอ็มอีสูงอยู่แล้วจากโควิด โดยระดับหนี้เสียในไตรมาสแรกปีนี้สูงเกือบ 6.7 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 19.2 ของพอร์ตสินเชื่อทั้งระบบ ขณะที่การเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งทุนยังคงมีปัญหาต่อเนื่อง และแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะออก 7 มาตรการช่วยเหลือด้านเงินทุนการประนอมหนี้แต่ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้มีความเป็นห่วงว่าจะผลักดันให้เอสเอ็มอีเข้าสู่วงจรหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงต้องการให้ธนาคารควรเพิ่มความยืดหยุ่นในการพิจารณาสินเชื่อเพื่อให้มีสภาพคล่องในการทำธุรกิจ นอกจากนี้ยังมองว่า กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีของ สสว.กระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีอยู่ยังไม่ได้ตอบโจทย์การช่วยเหลือเอสเอ็มอีรายเล็ก โดยรัฐบาลต้องบูรณาการหน่วยงานที่มีอยู่จำนวนมากและกระจัดกระจายระดมเข้ามาช่วยเหลือเอสเอ็มอี เช่น การพัฒนาแพคเกจจิ้ง แนวทางการวางแผน business model เพื่อให้ธนาคารยอมปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มเอสเอ็มอีสามารถเดินต่อไปได้


ด้านนายกิตติ กล่าวว่า รายได้ของการท่องเที่ยวปีที่แล้วติดลบ 90 เปอร์เซ็นต์ จำนวนรายได้ต่อคนต่อทริปลดลง ในปีนี้มีการผ่อนคลายมาตรการ เปิดประเทศ มั่นใจว่านักท่องเที่ยวจะต้องกลับมา โดยตั้งเป้า 12-16 ล้านคน มั่นใจว่าเป็นไปได้ แต่ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ซึ่งทางสภาฯ ได้วางกลยุทธ์ความร่วมมือ 3 ขา คือ 1.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 2.กระทรวงการท่องเที่ยวดูเรื่องนโยบาย และ3.สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นตัวแทนเอกชน ซึ่งต้องร่วมมือกันทำให้เกิดสมดุล ทั้งเรื่องดีมาน ซัพพลาย ต้องคุยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาคเอกชน ต้องใช้วิธีทำงานแบบตั้งเป้า เชื่อว่าการท่องเที่ยวไทยกลับมาได้แน่นอน สำคัญสุดคือเรื่องความรู้ ทำอย่างไรจะยกระดับผู้ประกอบการ และบุคลากร เรายังต้องการเติมทุน เติมลูกค้า และเติมความรู้ เราจำเป็นต้องออกแบบใหม่ เพราะการท่องเที่ยวเปราะบางมาก ได้รับผลกระทบตั้งแต่ปี 2019 ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ต้องออกแบบใหม่ในเรื่องของดีมาน ซัพพลาย ออกแบบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ออกแบบความสัมพันธ์สร้างสมดุลระหว่างรายเล็ก และรายใหญ่ หรือเมืองเล็กเมืองใหญ่ เกลี่ยให้พัฒนา เชื่อมโยงไปร่วมกัน และทำให้รองรับเมกะเทรนด์ของอนาคตได้อย่างแน่นอน เช่น สังคมสูงวัย สังคมที่มีสุขภาพดี เรื่องดิจิทัล เรื่องการเปลี่ยนถ่ายอำนาจในโลก ถ้าสร้างสมดุลได้โอกาสจะเป็นของเรา หลายประเทศที่เป็นตัวอย่างของการเปิดประเทศ ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เรามี 6 เรื่องเป็นข้อเสนอ ที่มาจากคำว่า FUTURE โดย F คือ Financial and fund โดยต้องการกองทุนสำหรับการท่องเที่ยวประมาณ 1 แสนล้าน ขอให้เพิ่มมิติเป็น 3 เรื่อง 1. ให้กู้ตามปกติ 2. การช่วยเหลือแบบให้เปล่าอย่างมีเงื่อนไข 3.การร่วมทุนกับบริษัทใหญ่หรือองค์กรที่จะช่วยเหลือ เมื่อเติมทุนแล้วก็นำเทคโนโลยีใส่เข้าไปให้ นำผู้บริหารมืออาชีพ และนำตลาดใส่ให้เขา จะทำให้ฟื้นขึ้นได้เร็ว U คือ Upskill และ Reskill บวกกับมีที่ปรึกษาเชิงลึกโดยผู้มีประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว เพื่อช่วยนำทางวิธีการเติบโตบูรณาการให้ครบลูปตั้งแต่ต้นทางจนปลายทาง ที่ผ่านมาภาครัฐทำงานเป็นหย่อม ๆ ต่อมา T คือ Tech ผู้ประกอบการต้องการเงินหมุนเวียนมาช่วยพัฒนาเทคโนโลยี เป็นทุนที่มาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และนำส่งคืนให้กองทุนได้หมุนเวียนต่อไป อีกตัวคือ U คือ Unique product ต้องสร้างขึ้นมา มีคนคิดนอกกรอบเรื่องการท่องเที่ยวแล้วเติบโตได้ในยุคนี้ก็มี  บางคนตกงานก็ออกมาเริ่มต้นงานด้านท่องเที่ยวแล้วสำเร็จก็มี มันมีสูตรสำเร็จอยู่ R คือ เมื่อมีสินค้าแล้ว ต้องมี Responsive marketing เพราะเราไม่สามารถวางแผนยาวเป็นปี ต้องวางแผนกันเป็นวัน ต้องมีกลยุทธ์การตลาดที่ทันเวลารวดเร็ว สุดท้ายคือ E มาจาก Extra ordinary booster มีเงื่อนไขปัจจัยพิเศษมาให้ก้าวกระโดด เติมทั้งกระสุน และกระแสมาพร้อมกันทั้งซัพพลายเชน อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายประเด็นที่จะฝากทางพรรคสร้างอนาคตไทยไว้เพื่อทำเป็นนโยบายของพรรคต่อไป


วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

"อนุชา" เข้าวัดหนองป่าพง เชิญร่วมปฎิบัติธรรม วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา



เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2565 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถวายเทียนจำนำพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และกระติกต้มน้ำร้อนแด่พระเทพวชิรญาณ (เลี่ยม ฐิตธมฺโม) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ประจำปี 2565 ณ วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้ร่วมแกะลายเทียน ติดพิมพ์บนต้นเทียน ณ วัดมหาวนาราม พระอารามหลวง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุบลราชธานี

นายอนุชาฯ กล่าวว่า ในปีนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ลดความรุนแรงลง โดยภาครัฐได้ผ่อนปรนหลายมาตรการเพิ่อให้ประชาชนกลับมาใชัชิวิตได้ใกล้เคียงสถานการณ์ปกติมากที่สุด เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษานี้ ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย และได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม บำเพ็ญจิตตภาวนา รักษาศีล ลด ละ เลิกอบายมุข สืบทอดพระพุทธศาสนา และมีส่วนร่วมทำกิจกรรมทางศาสนาร่วมกับครอบครัว ซึ่งทุกวัดทั่วประเทศไทย ได้เปิดให้ประชาชนร่วมทำบุญตักบาตร และเวียนเทียน ขอให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา

"ทุกช่วงเทศกาลของประเทศไทย จะเป็นช่วงเทศกาลที่ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เกิดการใช้จ่าย สร้ายรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะเทศกาลแห่เทียนเข้าพรรษา โดยในปีนี้จังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดงานงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ระหว่าง 11-17 กรกฎาคมนี้  ภายใต้ชื่องาน “121 ปี ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา” หวังดึงนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคัก รัฐบาลพร้อมส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเชิงวิถีพุทธ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นถึงศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เอกลักษณ์  รวมถึงการนำเสนอโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศาสนสถาน ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ" นายอนุชา ฯ กล่าว


“อลงกรณ์” เชื่อมั่น“12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน”คือคานงัดปฏิรูปสร้างจุดเปลี่ยนนำไทยสู่เกษตรมูลค่าสูงตอบโจทย์Next Normal

  


วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2565 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ เขียนบทความเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดีย วันนี้(9 ก.ค.)เรื่อง “12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน มิติใหม่การปฏิรูปภาคเกษตรของไทย” โดยเชื่อมั่นว่าเป็นคานงัดการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมและกระทรวงเกษตรฯ.ยุค”รัฐมนตรีเฉลิมชัย”เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนในมิติต่างๆอย่างน่าสนใจ


“12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน

มิติใหม่การปฏิรูปภาคเกษตรของไทย


โดย อลงกรณ์ พลบุตร

ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

9 กรกฎาคม 2565


    ท่ามกลางวิกฤติโควิด19และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบกว้างไกลทำให้เศรษฐกิจประเทศต่างๆชะลอตัว ราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ยและอาหารสัตว์แพงขึ้น กระทบต่อราคาและระบบผลิตอาหารทั่วโลก เกิดภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

   นับเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่ยาวนานมากว่า2ปีที่ยังไม่มีใครคาดเดาว่าจบลงเมื่อใด

   แต่ในวิกฤติมีโอกาสเสมอ

   องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO)วิเคราะห์ว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารที่รุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศที่ขาดความมั่นคงทางอาหาร และนี่คือโอกาสของไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับ13ของโลกที่จะปฏิรูปตัวเองสร้างความเข้มแข้งและขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทย

    ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ. ผมจะเล่าเรื่อง “12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน

มิติใหม่ภาคเกษตรของไทย”เป็นแพลตฟอร์มการปฏิรูปสร้างจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างและระบบเพื่อตอบโจทย์โอกาสของวันนี้และอนาคตที่กำลังจะมาถึง


ก้าวที่ 1>> ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม

เราจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(Agritech and Innovation Center)เรียกสั้นๆว่า ศูนย์AIC 77 จังหวัดเป็นฐานการพัฒนาเชิงพื้นที่(Area based Development)ของเทคโนโลยีในทุกจังหวัดและจัดตั้งศูนย์AICประเภทศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะด้าน(Center of Excellence:COE)อีก 23 ศูนย์ โดยศูนย์AICทำหน้าที่เป็นศูนย์การวิจัยและพัฒนา(R&D)และเป็นศูนย์วิจัยพัฒนาและเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกรผู้ประกอบการและถ่ายทอดนวัตกรรมเน้นเมดอินไทยแลนด์(Made In Thailand)เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของเราเองโดยคิกออฟพร้อมกันทุกศูนย์ทุกจังหวัดทั่วประเทศเมื่อ1มิถุนายน2563 วันนี้เรามีเทคโนโลยีเกษตร 766 นวัตกรรมที่ถ่ายทอดต่อยอดสู่แปลงนาแปลงสวนแปลงไร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า10,000รายแล้ว


ก้าวที่ 2>>ระบบบิ๊กดาต้าเกษตร

เราจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ(National Agriculture Big Data Center:NABC)ภายใต้แพลตฟอร์มดิจิตอลใหม่ๆตั้งอยู่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)เริ่มดำเนินการตั้งแต่มีนาคม2563 ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีข้อมูล(Information Technology)คือเครื่องมือเอนกประสงค์ของทุกภารกิจและทุกหน่วยงานโดยกำลังเชื่อมต่อกับBig Dataของหน่วยงานรัฐ เอกชน สถาบันเกษตรกรและศูนย์AICทุกจังหวัดโดยจะให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ข้อมูลเกษตรในมิติต่างๆบนมือถือและคอมพิวเตอร์


ก้าวที่ 3>> ดิจิตอล ทรานสฟอร์เมชั่น(Digital Transformation)

เรากำลังปฏิรูป 22หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ.ให้เป็นกระทรวงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี(TechMinistry)ภายใต้โครงการGovTech อย่างคืบหน้า

ด้วยแพลตฟอร์มดิจิตอล ทรานสฟอร์เมชั่น(Digital Transformation)เพื่อ เปลี่ยนการบริหารและการบริการแบบอนาล็อคเป็นดิจิตอล เปลี่ยนการลงนามอนุมัติด้วยมือเป็นลายเซ็นดิจิตอล(Digital Signature) และเร่งรัดพัฒนาการโครงการNational Single Windowสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ

  เป็นการปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ใหม่ในการทำงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์


ก้าวที่ 4>>เกษตรอัจฉริยะ

เราขับเคลื่อนฟาร์มอัจฉริยะ(smart farming)ตามแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆของไทยเช่น ระบบสมาร์ทฟาร์ม ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดดินน้ำอากาศและการอารักขาพืช การพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร การปรับระดับพื้นแปลงเกษตร(Land Leveling) ระบบเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์(Sead Technology) ระบบตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability) ระบบชลประทานอัจฉริยะรวมทั้งการใช้โดรนการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแพลตฟอร์มเกษตรดิจิตอล(Agrimap platform)โดยมีโครงการเกษตรแม่นยำ(Precision Agriculture)5ล้านไร่เป็นโครงการเรือธงโดยร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC : Agritech and Innovation Center) รวมทั้งการส่งเสริมการตลาดแบบออนไลน์(Digital Marketing)โดยการสนับสนุนแพลตฟอร์มร้านค้าอีคอมเมิร์ซ และโครงการพัฒนาเกษตรกรเป็นนักการค้าออนไลน์ทุกจังหวัดเช่นโครงการLocal Hero เป็นต้น โดยมีทีมเกษตรอัจฉริยะ ทีมอีคอมเมิร์ซ(E-Commerce) ทีมBig DataและGovTech ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0รับผิดชอบ


ก้าวที่ 5>>เกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง-ชนบท

เราริเริ่มโครงการใหม่ๆเช่นการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Sustainable Urban Agriculture Development )อย่างเป็นระบบมีโครงสร้างครอบคลุมทั่วประเทศเป็นครั้งแรกตอบโจทย์การขยายตัวของเมือง(Urbanization)ที่ขาดความมั่นคงทางอาหารและระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ(ประชากรไทยในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี2562) 

   ตลอดจนการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์โดยจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์PGSแห่งประเทศไทยได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และการขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์1.3ล้านไร่ การพัฒนาสวนยางยั่งยืนรวมทั้งการพัฒนาแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่บนฐานศาสตร์พระราชา4,009ตำบล และโครงการข้าวอินทรีย์1ล้านไร่ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล ฯลฯ.

   นับเป็นการวางหมุดหมายใหม่ของระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่ประกอบด้วย เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน วนเกษตรและเกษตรธรรมชาติทั้งในเมืองและในชนบทครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ


ก้าวที่ 6>>เกษตรแห่งอนาคต อาหารแห่งอนาคต

เราขับเคลื่อนนโยบายอาหารแห่งอนาคต พืชแห่งอนาคต(Future Food Future Crop)เพื่อสร้างเกษตรทางเลือกใหม่แปรรูปเป็นอาหารคน อาหารสัตว์ เวชสำอางค์ เวชกรรม น้ำมันชีวภาพเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ใหม่ๆให้เกษตรกรของเราและเป็นสินค้าส่งออกตัวใหม่สร้างรายได้ให้ประเทศเป็นการตอบโจทย์เทรนด์ของโลกยุคNext Normalที่สนใจสุขภาพมากขึ้นหลังจากเกิดโควิดแพร่ระบาดไปทั่วโลก(Covid Pandemic)ได้แก่ การสนับสนุนโปรตีนทางเลือกจากแมลง(Edible Inseat base Protein)ตามนโยบายฮับแมลงโลก ปัจจุบันมีเกษตรกรกว่า 1 แสนรายทำฟาร์มแมลงเช่น ดักแด้ไหม ดักแด้อีรี่ จิ้งหรีด แมลงวันลาย(bsf) หนอนนกฯลฯ

   สอดรับกับนโยบายขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO)ที่ประกาศว่าแมลงกินได้Edible Insectคืออนาคตใหม่ของโปรตีนโลกและทศวรรษแห่งโภชนาการ

   รวมไปถึงโปรตีนทางเลือกจากพืช(Plant base Protein)เช่น สาหร่าย ผำ เห็ด ถั่วเหลืองถั่วเขียว แหนแดง ฯลฯมีบริษัทstartupใหม่ๆเกิดขึ้นหลายบริษัท และการส่งเสริมอาหารฮาลาลซึ่งมีลูกค้ากลุ่มประชากรมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมกว่า2พันล้านคน มูลค่าตลาดกว่า 30พันล้านบาท


ก้าวที่ 7>>โลจิสติกส์เกษตร เชื่อมไทย-เชื่อมโลก

เราได้วางโรดแม็ปเส้นทางโลจิสติกส์เกษตรเชื่อมไทยเชื่อมโลกในระบบการขนส่งหลายรูปแบบ(Multimodal Transportation)ทั้งทางรถทางรางทางน้ำและทางอากาศ(Low Cost Air Cargo)เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงตลาดทั่วโลกและตลาดเป้าหมายใหม่เช่นโครงการดูไบคอริดอร์-ไทยแลนด์ คอริดอร์ (Dubai Coridor- Thailand Corridor),เส้นทางรถไฟอีต้าอีลู่(BRI)เชื่อมไทย-ลาว-จีน-เอเซียใต้-เอเซียตะวันออก-เอเซียกลาง-ตะวันออกกลาง-รัสเซียและยุโรป และกำลังเปิดประตูใหม่จากอีสานสู่แปซิฟิกไปทวีปอเมริกาเหนืออเมริกาใต้และเปิดประตูตะวันตกประตูใต้สู่ทะเลอันดามัน-อ่าวเบงกอลและมหาสมุทรอินเดียสู่เอเซียใต้ อัฟริกา ตะวันออกกลางและยุโรป


ก้าวที่ 8>>เกษตรแปลงใหญ่ สตาร์ทอัพเกษตร

เรากำลังปรับเปลี่ยนเกษตรแปลงย่อยเป็นเกษตรแปลงใหญ่(Big Farm)ซึ่งขณะนี้ขยายเพิ่มเป็น

กว่า8,000แปลงโดยมีการสนับสนุนเครื่องจักรกลเกษตรและระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปีนี้จะเริ่มโปรแกรมอัพเกรดวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ เกษครแปลงใหญ่และสถาบันเกษตรเป็นสตาร์ทอัพเกษตร(startupเกษตร)และเอสเอ็มอี.เกษตร(SME เกษตร)


ก้าวที่ 9>> ยกระดับเกษตรกรก้าวใหม่

  เราพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่เป็นyoung smart farmerได้กว่า 20,000คนและส่งเสริมพัฒนาศูนย์ศพก.เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับอำเภอโดยสมาร์ทฟาร์มเมอร์(smart farmer) ปราชญ์เกษตรและอาสาสมัครเกษตร(อกษ.)เป็นทีมงานแนวหน้าทุกหมู่บ้านชุมชนพร้อมกับยกระดับเกษตรกรที่มีประสบการณ์สู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพโดยร่วมมือกับภาคเอกชน ศูนย์AIC สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพซึ่งเป็นองค์การมหาชนในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอว.และกระทรวงพาณิชย์


ก้าวที่ 10>> เกษตรสร้างสรรค์สู่The Brand Project 

เรากำลังนำระบบทรัพย์สินทางปัญญา(Intellectual property)มาใช้ในการเดินหน้าสู่เกษตรสร้างสรรค์เกษตรมูลค่าสูงด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างแบรนด์(Branding)ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy)เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตเกษตร พืช ประมงและปศุสัตว์เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศภายใต้โครงการ เดอะ แบรนด์ โปรเจ็ค(The Brand Project)


ก้าวที่ 11>>การพัฒนาเชิงพื้นที่(Area base)ไม่มีเหลื่อมล้ำ

เราบริหารการพัฒนาเชิงพื้นที่(Area base)ควบคู่กับการบริหารการพัฒนาเชิงคลัสเตอร์เช่น โครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งหมด18กลุ่มจังหวัดครอบคลุม77จังหวัดเป็นศูนย์กลางการแปรรูปผลผลิตเกษตรตามศักยภาพของแต่ละกลุ่มจังหวัดเพื่อกระจายโอกาสการพัฒนาทุกภาคทุกจังหวัดไม่ให้เจริญแบบกระจุกตัวเหมือนที่ผ่านมาซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาโดยปลายปี2564รัฐมนตรีเกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรทุกอำเภอทุกจังหวัดและปีนี้กำลังจัดตั้งคณะทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล7,435ตำบลให้แล้วเสร็จเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนระดับพื้นที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

     เรายังริเริ่มและเดินหน้าอีกหลายโครงการเช่นการจัดตั้งองค์กรชุมขนประมงท้องถิ่น2,600องค์กรใน50จังหวัด การดำเนินการโครงการธนาคารสีเขียว(Green Bank)ตอบโจทย์Climate Changeโดยเพิ่มต้นไม้ลดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งโครงการพัฒนาระบบความเย็น(Cold Chain)ตลอดห่วงโซ่อุปทานและระบบแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลวแบบNitrogen Freezer เป็นต้น


ก้าวที่ 12 >>เปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน(Partnership platform)

ความก้าวหน้าของงานแต่ละด้านเกิดจากการบริหารแบบเปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน(Partnership platform)ในการทำงานกับทุกภาคีภาคส่วนเช่นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมต่างๆ สถาบันอาหาร มหาวิทยาลัยและวิทยาลัย สถาบันเกษตรกร

 สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย เครือข่ายองค์กรเอกชน ทุกกระทรวงและทุกพรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลโดยยึดประโยชน์บ้านเมืองมาก่อนประโยชน์ทางการเมืองได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจนำมาซึ่งความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจ ประการสำคัญคือการทำงานอย่างทุ่มเทของคนกระทรวงเกษตรฯ.


   ศักยภาพใหม่สู่เกษตรมูลค่าสูง


    งานหนักและอุปสรรครออยู่ข้างหน้าอีกมาก แต่ด้วยก้าวใหม่ๆตามโรดแม็ปที่วางไว้ เราเดินเข้าใกล้เป้าหมายในทุกก้าวที่กล้าเดินเพื่อปรับรากฐานเดิมสร้างกลไกใหม่สำหรับยกระดับอัพเกรดภาคเกษตรกรรมของไทยสู่เกษตรมูลค่าสูงภายใต้5ยุทธศาสตร์ของ รัฐมนตรี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนและการบริหารงานราชการของ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ.และผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการและบุคลากรทุกคนรวมทั้งทุกภาคีภาคส่วนโดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ที่ร่วมขับเคลื่อน”ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตโมเดลเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด”และการสนับสนุนของรัฐบาล


    ยังมีอีก”12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน”ที่จะเล่าให้ฟังเร็วๆนี้ครับ.”

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...