วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564

“นิสิตพยาบาลชาวมุสลิม”ร้อง กมธ.กฎหมาย หลังถูก ม.เวสเทิรน์ ห้ามสวมฮิญาบ


 

“นิสิตพยาบาลชาวมุสลิม”ร้อง กมธ.กฎหมาย หลังถูก ม.เวสเทิรน์ ห้ามสวมฮิญาบ แถมบังคับให้ใส่เสื้อแขนสั้นตอนฝึกงาน รพ. อ้าง เป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 23 มิถุนายน 2564   นายหะบีบ ชิมะ สมาคมนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิม หรือ ส.น.ท.ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายสิระ  เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วยนายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ , นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ รวมถึง แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย โดยขอเรียกร้องกรณีที่มีนิสิตมุสลิม สาขาวิชาการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น วิทยาเขตวัชรพล ในประเด็นเครื่องแต่งกายฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลและชุมชน เนื่องจากเป็นเสื้อแขนสั้นและไม่สามารถสวมฮิญาบได้ถือเป็นการขัดต่อบทบัญญัติศาสนา ซึ่งทางสมาคมฯ มีความพยายามในการหารือและแนวทางแก้ไขกับทางมหาวิทยาลัยแต่ไม่สามารถหาทางออกได้ 


แพทย์หญิงเพชรดาว  กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นบทบัญญัติศาสนา เป็นเรื่องของความเชื่อ ศรัทธา ต่อหลักของแต่ละศาสนา การไปออกข้อบังคับไม่ให้สวมใส่เครื่องแต่งกายเช่นนี้ย่อมส่งผลทำให้ชาวมุสลิมไม่สบายใจ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีของโรงเรียนอนุบาลปัตตานีออกกฎไม่ให้นักเรียนมุสลิมสวมฮิญาบไปโรงเรียนเช่นกัน 


“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อทาง กมธ.กฎหมาย รับเรื่องพิจารณาแล้ว ตนเชื่อว่าน่าจะมีการเชิญผู้บริหารมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มาชี้แจงต่อคำสั่งที่ไม่ถูกต้องดังกล่าว เพราะเสรีภาพในการปฏิบัติตามความเชื่อตามศาสนาต้องได้รับความคุ้มครอง และเครื่องแต่งกายตามหลักของศาสนาก็ไม่น่าจะมีผลกระทบใด ๆ ต่อการศึกษาเหล่าเรียน ทุกฝ่ายจึงต้องเคารพหลักความเชื่อตรงนี้ด้วย”แพทย์หญิงเพชรดาว กล่าว


“รัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 31 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ ในการถือศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้อง ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความ สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน มาตรา 50 (6) บุคคลมีหน้าที่เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและ เสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม จึงขอให้ทางกรรมาธิการช่วยตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย”นายหะบีบ กล่าว 


ด้านนิสิตหญิง กล่าววว่า ตนได้ติดต่อมาเพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากประสบปัญหาเรื่องรูปแบบเครื่องแต่งกายในมหาวิทยาลัย โดยทางมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้แต่งกายตามหลักศาสนา เช่น เครื่องแต่งกายฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และเครื่องแต่งกายฝึกปฏิบัติงานในชุมชน ทางมหาลัยบังคับให้ใส่แขนสั้นไม่เลยข้อศอก และไม่อนุญาตให้ใส่ฮีญาบในขณะขึ้นฝึกที่โรงพยาบาล ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามหลักศาสนาอิสลาม 

“ดิฉันได้เข้าพบผู้ใหญ่ของทางมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ได้ข้อสรุปว่า ไม่อนุญาตให้แต่งกายตามหลักศาสนา แต่การสวมใส่เสื้อแขนสั้นและไม่สวมฮิญาบ เป็นสิ่งที่ชาวมุสลิมไม่สามารถปฏิบัติได้ การแต่งกายตามหลักศาสนา ไม่ได้มีผลอะไรต่อการเรียน แม้เป็นระเบียบของสถาบัน แต่ขัดต่อหลักการศาสนาของดิฉัน”

ด้านนายสิระ กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมาธิการ หากที่ประชุมมีมติรับเรื่องไว้พิจารณา ก็จะมีการเรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหาแนวทางแก้ไขต่อไป

 

“เฉลิมชัย”เห็นชอบ”พิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล”ดันไทยฮับฮาลาลโลก



กระทรวงเกษตรฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด “เฉลิมชัย”เห็นชอบ”พิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล”(Thailand Halal Blueprint)พร้อมเสนอครม. ดันไทยฮับฮาลาลโลก หวังเจาะตลาดฮาลาล 48 ล้านล้านบาท“อลงกรณ์”เดินหน้าระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล(Halal Economic Corridor)เผย3โครงการอุตสาหกรรมเกษตรอาหารภาคใต้คืบหน้าพร้อมขยายไปทุกภาคทั่วประเทศเล็งเป้าหมายกลุ่มประเทศมุสลิม2พันล้านคน

วันที่ 23 มิถุนายน 2564  นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริม สินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” (ฮาลาลบอร์ด-Halal Board) แถลงวันนี้ (23มิ.ย.) ที่กระทรวงเกษตรฯ ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามเห็นชอบ“วิสัยทัศน์ นโยบายและแผนพัฒนาสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล”แล้วโดยสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไปโดยเร็ว นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ นโยบาย แผนและโครงการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบครบวงจร เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลของไทยสู่เป้าหมายฮับฮาลาลโลก โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ย้ำว่า “ในยุคโควิด เราต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ สำหรับสินค้าเกษตรและอาหาร เพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติและตลาดฮาลาลคืออนาคต” ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา ตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลก มีมูลค่าสูงถึง 1,533,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (48 ล้านล้านบาท) โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% คิดเป็นมูลค่าเพิ่มปีละ 560 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (16.8 ล้านล้านบาท) และประเมินว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,285,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (68 ล้านล้านบาท) ภายใน5ปีข้างหน้า ทั้งนี้ยังไม่รวมตลาดที่ไม่ใช่มุสลิม (non-muslim market) 

“ด้วยศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าอาหารอันดับ 2 ของเอเชียและอันดับ 11 ของโลกในปี 2562 และภายใต้ “5ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรฯ” ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บนความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย สถาบันฮาลาล มอ.สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้า ศูนย์ AIC (Agritech and Innovation Center) และทุกภาคีภาคส่วนจะเป็นฐานการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีพลังและพลวัตร เมื่อเป้าหมายชัด นโยบายชัด ความร่วมมือแข็งแกร่ง”  

ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานคณะอนุกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล” กล่าวว่า วิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล มีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้นำในการผลิต การแปรรูป การส่งออกและการพัฒนาสินค้าเกษตร และอาหารฮาลาลที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากล และเข้าสู่ตลาดโลกด้วยมาตรฐานฮาลาลไทย โดยใช้หลักศาสนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายในปี 2570 ผ่านการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่กำหนดทั้งหมด 5 แนวทาง ได้แก่ (1) การเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล (2) การสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร ด้วยมาตรฐานฮาลาลไทย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (3) การเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิต และการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค (4) การเพิ่มศักยภาพทางตลาด และโลจิสติกส์ (5) การยกระดับความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งใน และต่างประเทศ ทั้งนี้ วิสัยทัศน์ดังกล่าวเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวฮาลาลไทย (Thailand Halal Blueprint) ฉบับแรกที่มีความสมบูรณ์ประกอบด้วยเป้าหมาย วิสัยทัศน์ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) โครงการและงบประมาณเป็นแผนแม่บทสำหรับ การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก

นายอลงกรณ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับสินค้าและผลิตผล การเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” และคณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าและผลิตผลการเกษตร มาตรฐาน “ฮาลาล” ในพื้นที่ชายแดนใต้ ได้รายงานความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรฮาลาล 3 โครงการ และตั้งเป้าหมายจะขยายอีก 5 โครงการในยะลา ปัตตานี และนราธิวาสโดยความร่วมมือกับ ศอบต. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นฮับของอุตสาหกรรมฮาลาลภายใต้แนวทางระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล(Halal Economic Corridor) 

“ที่ประชุมยังให้ขยายการส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลในภาคเหนือ ภาคอีสาน  ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่เป็นเมืองท่าหน้าด่านเช่น อุดรธานี เชียงราย ตาก กาญจนบุรี เป็นต้น โดยประสานกับโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์ AIC เพื่อขยายฐานการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำ ปลายน้ำไปทุกภาคทั่วประเทศ 

ฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด สร้างงานสร้างอาชีพสร้างผลิตภัณฑ์สร้างตลาดใหม่ๆให้มากที่สุดเร็วที่สุด รวมทั้งเห็นควรขยายความร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ในการพัฒนามาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพฮาลาล ตลอดจนการขยายผลการเรียนการสอนหลักสูตรการบริหารจัดการฮาลาล และโครงการโรงเชือดแพะต้นแบบมาตรฐานฮาลาลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.-หาดใหญ่) สำหรับผู้ประกอบการและเกษตรกร 

นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับทราบรายงานผลการแก้ไขปัญหาเนื้อวัวปลอม ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และได้มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค นับเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามประสบผลสำเร็จแต่ก็ต้องเฝ้าระวังต่อไป 

ดร.เฉลิมชัย ย้ำว่า “ในยุคโควิด เราต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ สำหรับสินค้าเกษตรและอาหาร เพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติและตลาดฮาลาลคืออนาคต”

 

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2564

โปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์หลวงปู่เอี่ยม ผู้เรียบเรียงหนังสือมนต์พิธี ที่"พระราชวัชรรังษี"

 


เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2564  เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ความว่า 

          พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูรกิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พระราชาคณะ จำนวน ๒ รูป ดังนี้

          ๑. พระครูอรุณธรรมรังษี เป็น พระราชวัชรรังษี พุทธมนต์พิธีธุราทร มหาคณิสสรบวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหารพระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา๑ 

         ๒. พระครูจิรวัฒนธำรง วัดทดราษฎร์เจริญมณีฤทธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระราชาคณะมีนามว่า พระโสภณวัชราภรณ์

          ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔

          ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นปีที่ ๖ ในรัชกาลปัจจุบัน

พระราชวัชรรังษี  นามเดิม เอี่ยม สิริวณฺโณ ต้นตำรับผู้เรียบเรียงหนังสือ "มนต์พิธี" ที่เป็นที่รู้จักและเชื่อถือกันทั่วประเทศ มากว่า 50 ปี ทั้งนี้สามารถติดตามประวัติได้ที่ https://www.monpitee.com/บทความสาระทั่วไป/ประวัติพระครูอรุณธรรมร/

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

"พิชัย"จี้"ประยุทธ์"ประกาศให้ชัด! 120 วันเปิดประเทศไม่ได้"ลาออก"



“พิชัย” จี้ “ประยุทธ์” ยืนยัน 120 วันเปิดประเทศ ถ้าทำไม่ได้ต้องออกไป ห่วง ไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน (Stagflation) เมื่อเงินเฟ้อและดอกเบี้ยพุ่งขึ้น แนะ เอาตำแหน่งนายกฯ จำนำเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564  นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ประกาศทั่วประเทศเป็นเหมือนสัญญาประชาคมว่าจะเปิดประเทศไทยใน 120 วันซึ่งจะตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม 2564 และจะมีวัคซีน 105.5 ล้านโดสมาฉีดให้ประชาชนก่อนเปิดประเทศ ก็อยากให้ทำให้สำเร็จเพื่อเศรษฐกิจไทยจะได้เริ่มลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่เนื้องจากที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ล้มเหลวในการบริหารและผิดคำพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์รักษาสัญญาประชาคมโดยเอาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นประกัน หากทำไม่ได้หรือล้มเหลวอีก จะต้องประกาศไม่ดำรงตำแหน่งอีกต่อไปทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งน่าจะพอทำให้ประชาชนมีความมั่นใจขึ้นมาได้บ้าง เพราะพลเอกประยุทธ์แทบจะไม่เหลือเครดิตให้ประชาชนเชื่อถือได้อีกแล้วไม่ว่าจะพูดอย่างไร จากความผิดพลาดซ้ำซ้อนที่ผ่านมา อย่าให้ประชาชนคิดว่าเพราะพี่โทนี่ ประกาศในคลับเฮ้าส์ว่าจะเปิดประเทศได้ใน 6 เดือนจึงทำให้พลเอกประยุทธ์เต้นตามและประกาศ 120 วันเพียงเพื่อเบิ้ลบลัฟฟ์พี่โทนี่ แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่ได้มีแผนงานอะไรรองรับ ไม่ต่างจากการกู้เงิน 7 แสนล้าน แล้วลดการกู้มา 5 แสนล้านได้เพราะไม่ได้มีแผนงาน กู้มาก่อนแล้วค่อยคิด แต่การเปิดประเทศจะยากกว่ามากเพราะต้องเตรียมความพร้อมหลายด้านที่พลเอกประยุทธ์อาจจะไม่มีความสามารถที่จะคิดได้ครบและอาจจะทำได้ไม่ทัน


ทั้งนี้ ยังไม่ทันไรนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน ได้ออกมาประกาศว่า 120 วันนี้ นับจากวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งไม่ตรงกับที่พลเอกประยุทธ์ประกาศไว้ ซึ่งเท่ากับไม่เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์จะเปิดประเทศได้ใน 120 วันจริง ซึ่งเท่ากับเป็นการตบหน้าพลเอกประยุทธ์อย่างแรง และต่อมาโฆษกรัฐบาลยังตบหน้าพลเอกประยุทธ์ซ้ำอีกโดยประกาศว่าไม่ใช่เป็นการเคาท์ดาวน์แต่เป็นแค่หลักการยิ่งทำให้เครดิตของพลเอกประยุทธ์ที่มีน้อยอยู่แล้วต้องกลายเป็นเครดิตติดลบทันที ดังนั้นตนจึงอยากเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ออกมายืนยันคำพูดของตัวเองที่เป็นสัญญาประชาคมไปแล้วว่าประเทศไทยจะเปิดประเทศได้ในวันที่ 14 ตุลาคม โดยเอาตำแหน่งมาเป็นประกัน ซึ่งหากทำไม่ได้จริงก็ต้องลาออกไปและไม่ต้องกลับมาอีก แต่ถ้าจะกลับคำพูดก็ควรออกมาประกาศเองเพื่อขอโทษประชาชนที่พูดเพียงเพราะต้องการจะเอาชนะพี่โทนี่เท่านั้น แต่วิธีคิดและวิธีบริหารคงสู้ไม่ได้ เลยจะขอถอนสัญญาประชาคม แล้วดูว่าประชาชนจะว่าอย่างไร เพราะทุกวันนี้ก็มีแต่ข่าวคนหมดตัว และหมดหวังกับพลเอกประยุทธ์กันแทบทั้งประเทศแล้ว ขนาดคลิปเจ้าของโกดังชาบูที่ต้องหมดตัวและออกมาระบายถึงพลเอกประยุทธ์คนยังเข้าดูหลายล้านคน 


การเร่งเปิดประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็น เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูง ราคาสินค้าเริ่มมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก โดยราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีก ในสหรัฐอัตราเงินเฟ้อได้พุ่งสูงสุดในรอบ 13 ปีหรือเงินเฟ้อสูงขึ้นถึง 5 % และเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 7% หลังจากปีที่แล้วติดลบที่ -3.5% ซึ่งทำให้คาดการณ์กันว่าดอกเบี้ยในสหรัฐอาจจะต้องขึ้นเร็วกว่าที่คาดกันไว้เดิม โดยอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยในต้นปีหน้าเลย ซึ่งทั้งอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัวไม่มีทิศทางที่จะฟื้นตัว อัตราการว่างงานยังสูง แต่ต้องมาเจอกับภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะผลักให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน หรือ Stagflation ได้ ซึ่งเป็นสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และน่ากลัวที่สุด ซึ่งอาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ต้องย่ำแย่ต่อเนื่องไปอีกหลายปีกว่าจะหลุดพ้นได้ ประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างแสนสาหัส ซึ่งจะเป็นภาวะข้าวยากหมากแพงของจริง และหนี้ต่างๆทั้ง หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ หนี้เสียธนาคาร แม้กระทั่งหนี้นอกระบบ จะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รายได้กลับน้อยลง หรืออาจจะไม่มีรายได้เลย หนี้สินจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นทั้งในภาครัฐและในภาคเอกชน


อย่างไรก็ดี การที่จะเปิดประเทศได้ต้องมีแผนรองรับทั้งแนวทางสาธารณสุขและแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ต้องคิดให้ครบทั้ง 2 ด้าน โดยแนวทางสาธารณสุขยังเป็นปัญหาอย่างมาก คนติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นกว่า 3 พันคนทุกวัน และมีคนตายวันละ 20-30 คนทุกวัน และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง วัคซีนก็ยังขาดแคลนและยังไม่มีหมายกำหนดการที่ชัดเจน อีกทั้งวัคซีนมีให้เลือกจำกัด โดยมีข้อมูลจำนวนมากยืนยันว่าวัคซีนซิโนแวคที่พลเอกประยุทธ์มีแผนงานจะฉีดให้ประชาชนเพิ่มอีกหลายสิบล้านโดส จะไม่สามารถป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่มาจากประเทศอินเดียได้ และไวรัสสายพันธุ์นี้จะระบาดมากในไทย เหมือนกับที่ประเทศชิลีที่มีประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วกว่าครึ่งประเทศแล้วแต่ใช้วัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนหลักกว่า 70% แต่ไม่สามารถควบคุมการระบาดของไวรัสได้ ต้องกลับไปปิดประเทศอีก อีกทั้งยังมีไวรัสที่กลายพันธ์ุแล้วอีกหลายสายพันธุ์ที่วัคซีนที่พลเอกประยุทธ์เลือกมาอาจจะป้องกันไม่ได้เลย ทั้งที่วัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นามีราคาใกล้เคียงกันแต่มีประสิทธิภาพการป้องกันสูงกว่าแต่รัฐบาลกลับไม่ซื้อ ไม่แน่ใจว่าเพราะสหรัฐมีนโยบายห้ามการจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ จึงไม่ยอมสั่งวัคซีนจากสหรัฐที่มีคุณภาพดีกว่าเข้ามา นอกจากนี้การกระจายการฉีดให้ครบ 100 ล้านโดสเพื่อจะเปิดประเทศได้ จะทำได้อย่างไร ภายใต้การบริหารของพลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่จะฉีดเฉพาะคนงานของบริษัทไทยเบฟตามที่เป็นข่าวและต้องยกเลิกไปเพราะถูกตำหนิอย่างมาก ส่วนแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจนี้ ตนและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้บอกไปมากแล้วและยังมีอีกมาก โดยจะต้องคิดและทำหลายๆด้านไปพร้อมๆกัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าพลเอกประยุทธ์จะเข้าใจไหม อาจจะต้องขอให้พี่โทนี่สอนอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องที่จะฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ใน 6 เดือน พลเอกประยุทธ์จะได้เต้นตามก็น่าจะเป็นประโยชน์ โดยปัจจุบันพลเอกประยุทธ์คิดได้เพียงแค่การเปิดโรงรับจำนำเพิ่ม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มหนี้ให้ประชาชนมากขึ้น แต่ไม่ได้คิดวิธีสร้างรายได้เพื่อมาใช้หนี้ได้ ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้เอาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาจำนำไว้ หากเปิดประเทศและฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้ก็น่าจะต้องยึดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคืนได้แล้ว เพราะทำประเทศไทยแหลกเหลวมานานแล้ว ส่วนจะคิดดอกเบี้ยทบต้นกันอย่างไร ก็แล้วแต่ประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นควร

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564

โฆษกพท.แนะ ส.ว.ลาออกไปสังกัดพรรค อย่าอยู่กินภาษีประชาชน หลังประกาศคว่ำร่างแก้รธน.ฝ่ายค้าน

 


วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564  นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประกาศว่า ส.ว.จะไม่ให้ผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเมืองที่เสนอตัดอำนาจ ส.ว.ในการร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีตาม มาตรา 272  ว่า ถือเป็นการกระทำที่ชัดเจนอีกครั้งแล้วว่า  กลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากประชาชน กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ไม่สนใจฟังเสียงประชาชน ยังคงภักดีในบุญคุณคนที่แต่งตั้งเข้ามา  ทั้งที่ ส.ว.คือ สารตั้งต้นที่ทำให้โครงสร้างการเมืองบิดเบี้ยว ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน จนนำพาประเทศไปสู่จุดตกต่ำสุด  การได้ฝ่ายบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมือง ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตได้เช่นนี้ล้วนเป็นผลมาจากการเข้ามามีส่วนของ ส.ว.ทั้งสิ้น 

โฆษกเพื่อไทยระบุ ด้วยว่า ผ่านมากว่า 2ปีแต่ ส.ว.ไม่ได้ทำคุณประโยชน์อันใดให้กับประเทศ  ยังคงแสดงตัวลุแก่อำนาจ แทรกแซงกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นนั่งร้านให้รัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจ  ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเปิดช่องให้ขบวนการเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดผู้นำประเทศ นอกจากนั้นยังมี ส.ว.บางคนออกตัวชัดเจนว่าจะขอรับร่างของพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ยิ่งตอกย้ำว่ากระบวนการขวางแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อปี2563 นั้น  ส.ว.และ พปชร. จับมือกันสร้างอุปสรรคขัดขวางและยืดเยื้อสถานการณ์ทุกทางเท่าที่จะทำได้เพื่อเป็นหลักค้ำยันให้พลเอกประยุทธ์อยู่ในอำนาจต่อ จนแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีของการทำหน้าที่ ที่กินเงินเดือนจากประชาชนเป็นแสนบาทต่อเดือน แถมใช้ทรัพยากรภาษีแผ่นดินแต่งตั้งผู้ช่วย มีเบี้ยประชุม มีทีมงาน  กัดกินงบประมาณนับพันล้านบาทต่อปี  ซ้ำบางคนยังแสดงออกอย่างภาคภูมิทำหน้าที่เหมือน ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล แต่บทบาทในการตรวจสอบถ่วงดุลแทบเป็นศูนย์  จึงเสนอให้ ส.ว.เหล่านั้นลาออกแล้วรอเว้นวรรค เพื่อไปสมัครสมาชิกพรรคการเมืองดีกว่า จะได้ทำตามเจตนารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในเนื้อในตนได้มากกว่านี้

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2564

โปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ เจ้าวาสวัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์ ที่"พระธรรมวชิรโมลี"


วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2564    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ความว่า 





พระธรรมวชิรโมลีนั้นนามเดิมคือ พระมหาทองสูรย์ สุริยโชโต ประโยค ป.ธ.8 สังกัดเดิมอยู่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร ตอนนั้น (พ.ศ.2531)  เรียนจบ ป.ธ.8 และ Ph.D. จากมหาวิทยาลัยพาราณสี ประเทศอินเดีย อดีตคณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ปัจจุบันปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีนครินทรวราราม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รองประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2564

MSI เปิดตัวเกมมิ่งโน้ตบุ๊กใหม่ Bravo 15 รุ่นใหม่มาพร้อม CPU AMD Ryzen™ 5000H Series

 

MSI เปิดตัวเกมมิ่งโน้ตบุ๊กใหม่ที่สืบสาน DNA ในสายพันธุ์ Thunderbird อย่าง Bravo 15 ที่ในรอบนี้มาพร้อมหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ AMD Ryzen™ 5000 ซีรีส์ ที่ให้พลังในการประมวลผลดีขึ้นกว่าเดิม และยังเพิ่มเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาใส่ไว้เพื่อสนับสนุนให้กับการเล่นเกมโดยเฉพาะเหมาะกับเกมเมอร์ที่ต้องการเพลิดเพลินไปกับการเล่นเกมระดับ Full-HD พร้อมมีเฟรมเรตระดับสูงในการเล่นเกม



Bravo 15 รุ่นใหม่นี้ มาพร้อมโลโก้ Thunderbird ที่ถูกปรับปรุงใหม่ให้มีความดุดันและเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปมากขึ้น รวมถึงยังมีดีไซน์ตัวเครื่องที่ไม่เหมือนใคร ให้ความรู้สึกดั่งอาวุธคู่ใจที่จะพาคุณทะยานออกไปบนท้องฟ้า มาพร้อมลวดลายที่บ่งบอกได้ถึงความทรงพลัง และวัสดุตัวเครื่องอันแข็งแกร่ง เพื่อให้คุณได้แข่งขันในสมรภูมิอันดุดันได้อย่างภาคภูมิใจ 

 


ในด้านประสิทธิภาพ มีการใช้งานหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ AMD Ryzen™ 5000Hซีรีส์ ที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี 7nm ให้พลังในการประมวลผลขั้นเทพทั้งการทำงานและการเล่นเกม รวมถึงยังสามารถอิ่มเอมไปกับกราฟิกในเกมได้อย่างลื่นไหล จากการใช้กราฟิกการ์ด Radeon RX 5500Mที่จะช่วยให้เห็นถึงความแตกต่างของประสิทธิภาพระหว่างการเล่นเกม   


นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีระบบระบายความร้อนแบบพิเศษ Cooler Boost 5 ที่มาพร้อม 2 พัดลมขนาดใหญ่และฮีทไปป์ช่วยในการระบายความร้อนอีก 6 เส้น ถูกออกแบบมาให้ผนังฮีทไปป์มีความบางเป็นพิเศษเพื่อการส่งผ่านลมร้อน ใช้ขั้นตอนอันซับซ้อนในการออกแบบเพื่อนำมาติดตั้งในตัวเครื่องที่มีความกระทัดรัด และยังมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ MSI Center เวอร์ชั่นใหม่ ที่จะช่วยให้คุณปรับแต่งและเร่งให้โน้ตบุ๊กเครื่องนี้มีประสิทธิภาพในการใช้งานสูงยิ่งขึ้น

 


Bravo 15 รุ่นใหม่นี้ จะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในราคาที่เกมเมอร์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และโน้ตบุ๊กรุ่นนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่จะถูกพูดถึงที่สุดนับจากวันนี้แน่นอน มาพร้อมราคาเริ่มต้นที่ 30,990 บาท

และห้ามพลาดสำหรับโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะวันที่ 10 มิถุนายน 2564 – 30 มิถุนายน 2564ผู้ที่ซื้อ Bravo 15 รุ่นที่ใช้ CPU AMD Ryzen™ 5000 Hซีรีส์รับไปทันที Loot Box No.077 เกมมิ่งบ็อกเซ็ตลิมิเต็ด อิดิชั่น มูลค่า 2,500 บาท จำนวนจำกัดสำหรับช่วงโปรโมชั่นเท่านั้น!อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่นี่ https://msi.gm/3v9LyrZ

Bravo 15 รุ่นใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 3 สเปค 3 ราคา สามารถเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้

Bravo 15 B5DD-014TH

Ryzen™ 7 5800H /Radeon RX 5500M /15.6" FHD (1920*1080), 144Hz IPS-Level /DDR-IV 8GB*2 (3200MHz) /1TB NVMe PCIe Gen3x4 SSD /Intel Wi-Fi 6 AX200(2*2 ax)+BT5.1/Single Backlight (RED) Gaming Keyboard /2 Years Warranty (1 Year for Battery and Adapter)

ราคา 36,990บาท

Bravo 15 B5DD-015TH

Ryzen™ 7 5800H / Radeon RX 5500M /15.6" FHD (1920*1080), 144Hz IPS-Level /DDR-IV 8GB (3200MHz) /512GB NVMe PCIe Gen3x4 SSD /Intel Wi-Fi 6 AX200(2*2 ax)+BT5.1/ Single Backlight (RED) Gaming Keyboard /2 Years Warranty (1 Year for Battery and Adapter)

ราคา 33,990 บาท

Bravo 15 B5DD-016TH

Ryzen™ 5 5600H / Radeon RX 5500M /15.6" FHD (1920*1080), 144Hz IPS-Level /DDR-IV 8GB (3200MHz) /512GB NVMe PCIe Gen3x4 SSD /Intel Wi-Fi 6 AX200(2*2 ax)+BT5.1/ Single Backlight (RED) Gaming Keyboard /2 Years Warranty (1 Year for Battery and Adapter) 

ราคา 30,990 บาท

Loot Box No.077 มูลค่ารวม 2,500 บาท

เกมมิ่งเซ็ตด้านในกล่องประกอบไปด้วยThunderbird Gaming headset มูลค่า 1,500 บาท,Thunderbird Gaming Mousepad มูลค่า 400 บาท,Thunderbird PVC Keychain มูลค่า 600 บาท

**ของแถมมีจำนวนจำกัด บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดและเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า**

เกี่ยวกับ MSI:

MSI เป็นที่รู้จักกันในฐานะแบรนด์เกมมิ่งชั้นนำระดับโลก รวมถึงเป็นผู้สนับสนุนและผลักดันวงการ eSports มาตลอด โดยที่ผ่านมานั้น เรายึดมั่นในหลักการที่มุ่งไปสู่ความก้าวหน้า รวมถึงแสวงหาสิ่งใหม่ๆที่จะมาเติมเต็มให้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีนั้นยกระดับเหนือไปอีกขั้น ซึ่ง MSI มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์สิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยีที่คัดสิ่งที่ดีที่สุดมาใช้ รวมไปถึงฟังก์ชั่นต่างๆที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมหรือการสตรีมมิ่ง ผลิตภัณฑ์ของ MSI ก็สามารถดึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของผู้ใช้ออกมาได้อย่างเต็มที่ โดย MSI มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์จิตวิญญาณแห่งการเล่นเกมอันแท้จริง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า 'True Gaming' เพื่อที่คอเกมตัวจริงจะได้รับสิ่งที่ดีสุดสำหรับการเล่นเกม

ดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ของ MSI เพิ่มเติมได้ที่

MSI Gaming Websitehttps://th.msi.com/

MSI Thailand Facebookhttps://msi.gm/2u6kGeX

MSI Thailand Instagramhttps://msi.gm/2QOli6R

MSI Thailand YouTubehttps://msi.gm/2ZgU1tt

MSI Thailand Twitterhttps://msi.gm/30afDZW


วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2564

โครงการ "ตามรอยพ่อฯ" ก้าวสู่ปีที่ 9 ตอกย้ำบทบาท "สื่อพอดี"

 โครงการ "ตามรอยพ่อฯ" ก้าวสู่ปีที่ 9 ตอกย้ำบทบาท "สื่อพอดี" เดินหน้าสร้างแรงบันดาลใจและองค์ความรู้ศาสตร์พระราชา ให้คนไทยสู้ทุกวิกฤตอย่างยั่งยืน

Source - MGR Online

Monday, June 07, 2021 20:30

          โครงการ “ตามรอยพ่อฯ” ก้าวสู่ปีที่ 9 ตอกย้ำบทบาท “สื่อพอดี” เดินหน้าสร้างแรงบันดาลใจและองค์ความรู้ศาสตร์พระราชา ให้คนไทยสู้ทุกวิกฤตอย่างยั่งยืน จัดกิจกรรมรณรงค์ควบคู่การสร้างองค์ความรู้ผ่านบทเรียนออนไลน์ “คู่มือสู่วิถีกสิกรรมธรรมชาติ”

          โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” (ตามรอยพ่อฯ) เดินหน้าสู่ปีที่ 9 ร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 มุ่งทำหน้าที่ “สื่อพอดี” ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับศาสตร์พระราชาและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแก่ชาวไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสู่การลงมือปฏิบัติ อันจะเป็นเกราะป้องกันจากวิกฤตโควิด-19 และวิกฤตอื่นๆ ได้อย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “9 ปี แห่งพลังสามัคคี ฟันฝ่าทุกวิกฤต สู่ทางรอดที่ยั่งยืน” ด้วยการจัดทำบทเรียนออนไลน์ “คู่มือสู่วิถี กสิกรรมธรรมชาติ” เพื่อให้ผู้สนใจได้ศึกษาทฤษฎีและแนวทางการปฏิบัติ พร้อมด้วยคลิปให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจจาก 7 บรมครู เผยแพร่บนเว็บไซต์ของและเฟซบุ๊กของโครงการฯ ควบคู่กับการจัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีที่จังหวัดนครราชสีมา และพระนครศรีอยุธยา และกิจกรรมประกาศความสำเร็จ 9 ปีของโครงการที่จังหวัดสระบุรี และรายการ “เจาะใจ” โดยวางมาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของผู้ร่วมกิจกรรมอย่างเข้มข้น

          จัดทัพรับมือโรคระบาด



          ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร นายกสมาคมดินโลก และผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวว่า “พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานข้อความ ‘สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย’ เตือนสติคนไทยผ่าน ส.ค.ส. ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะทำงานยึดมั่นถือมั่นในการทำงานอย่างมีสติมาตลอดระยะเวลา 9 ปี ของการดำเนินโครงการตามรอยพ่อฯ ซึ่งไม่ว่าจะเกิดปัญหาหรือวิกฤตใดก็ตาม ทั้งวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม โรคระบาด ภัยแล้ง หมอกควัน วิกฤตด้านเศรษฐกิจ วิกฤตด้านความเหลื่อมล้ำทางสังคม และวิกฤตด้านการเมือง ศาสตร์พระราชา คือ องค์ความรู้ในการจัดการ ดิน น้ำ ป่า และพัฒนาคน ก็จะเป็นทางรอดที่ยั่งยืนในทุกวิกฤต ทำให้เราสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างพอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น ทั้งยังสามารถแบ่งปันและสร้างรายได้ เป็นการสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก ความอดอยากขาดแคลนอาหารในโลกจะมีขึ้นอย่างแน่นอน คนที่แม้ไม่เจ็บป่วยก็จะได้รับผลกระทบจากการไม่มีอาหารกิน ฉะนั้นจึงต้องสร้างฐาน 4 พอ คือ พอกิน พอใช้ พออยู่ และพอร่มเย็น ให้แน่น ให้พึ่งตนเองให้ได้จริง ต้องมั่นคงแข็งแรงพอ จึงจะมีกำลังไปช่วยคนอื่นให้รอดไปด้วยกัน โดยเชื่อมั่นว่าความสามัคคีของเครือข่ายและคนไทยทุกคนจะเป็นพลังให้เรารอดจากทุกวิกฤตได้อย่างยั่งยืน”

          นายไตรภพ โคตรวงษา ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวว่า “เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างยิ่งกับคนไทยทุกคน มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติและเครือข่ายจึงได้เตรียมการวางแผนรับมือกับวิกฤตในครั้งนี้ เบื้องต้นได้จัดทัพรับมือโรคระบาด โดยแบ่งทีมทำงานออกเป็น 5 ทีม ได้แก่

          1. ทีมบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) มีหน้าที่รวมรวมข้อมูลแปลงของสมาชิกเครือข่ายทั้งหมดในแต่ละจังหวัด รวมทั้งวัด โรงเรียน ชุมชน เพื่อเก็บข้อมูลของทุกศูนย์และแปลงของสมาชิกเครือข่าย หากเกิดการล็อกดาวน์จะใช้ข้อมูลนี้ให้ความช่วยเหลือกันได้ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับลุ่มน้ำ

          2. ทีม CMS (Crisis Management Survival Camp) มีหน้าที่เก็บข้อมูล วิเคราะห์ข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ เพื่อประเมินสถานการณ์ แจ้งเตือนภัย เพื่อพัฒนาและเตรียมพร้อมไปสู่ขั้นการเป็นศูนย์พักพิงหลุมหลบภัย หรืออาจไปถึงขั้นเป็น Hospitel ทั้งในระดับ เล็ก(บ้าน) กลาง ใหญ่ โดยยึดหลักป้องกันบำบัด ฟื้นฟู

          3. ทีมพอรักษา มุ่งเป้าเร่งด่วนเรื่องโควิด-19 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ป้องกัน (ผู้ไม่ป่วย) บำบัด (ผู้ที่ป่วยอยู่) และฟื้นฟู (ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว) โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารและยาที่ควรใช้ รวมถึงเทคนิคต่าง ๆ ตามข้อมูลจากทางแพทย์แผนปัจจุบัน-ไทย-จีนและทางเลือกอื่น ๆ

          4. ทีมสื่อพอดี มีหน้าที่นำข้อมูลของทั้ง 3 ทีม มาสื่อสารต่อยอดและเผยแพร่ เพื่อให้ข้อมูล ให้ความรู้ แนะทางออก ผ่านช่องทางทางการเผยแพร่ต่าง ๆ

          5. ทีมข้อมูล มีหน้าที่จัดการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล และออกแบบการจัดเก็บข้อมูล เพื่อใช้ในการบริหารจัดการและขับเคลื่อนเครือข่าย เพื่อฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญในปัจจุบันและอนาคต ในภาวะวิกฤตเช่นนี้เราไม่ควรรอความหวังหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานไหน ต้องพึ่งพาตัวเองและพึ่งพากันเองให้ได้มากที่สุด เชื่อมั่นว่าความสามัคคีของเครือข่ายและคนไทยทุกคนจะเป็นพลังให้เรารอดจากทุกวิกฤตได้อย่างยั่งยืน

          โดยที่ผ่านมาเราได้เปิดรับศิษย์ เครือข่าย คนมีใจ และประชาชนที่สนใจมาเป็นอาสาสมัครให้กับทีมงานขับเคลื่อนทั้ง 5ทีม ตามความถนัดเฉพาะด้านของแต่ละคน ซึ่งการรวมกันเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งและพึ่งพากันในยามวิกฤตด้วยองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาจะทำให้เราทุกคนอยู่รอดปลอดภัย”

          ตามรอยพ่อฯ ปี 9 เดินหน้าภารกิจ “สื่อพอดี”

          ด้าน นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิตจำกัด เปิดเผยว่า “โครงการตามรอยพ่อฯ พร้อมที่จะเข้าไปเสริมและสนับสนุนยุทธศาสตร์การเตรียมการรับมือวิกฤตโควิด-19 ของมูลนิธิฯ อย่างเต็มที่ ในฐานะสื่อพอดี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกิดการนำองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาไปลงมือปฏิบัติจนเกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่โครงการตามรอยพ่อฯ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงปีนี้เป็นปีที่ 9 ผ่านกิจกรรมลงพื้นที่และการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากทั่วประเทศกว่า

          20,000 คน และยังมีผู้ที่ได้รับความรู้และแรงบันดาลใจจากสื่อที่โครงการผลิตขึ้นอีกมากมาย โดยเราจะมุ่งทำหน้าที่นี้อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องเพื่อสื่อสารว่าศาสตร์พระราชาคือทางรอดจากทุกวิกฤตอย่างแท้จริง

          ทั้งนี้ โครงการตามรอยพ่อฯ ปี 9 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘9 ปี แห่งพลังสามัคคี ฟันฝ่าทุกวิกฤต สู่ทางรอดที่ยั่งยืน’ จะเดินหน้าจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ โดยเน้นช่องทางออนไลน์เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีไฮไลท์คือการจัดทำบทเรียนออนไลน์คู่มือสู่วิถีกสิกรรมธรรมชาติในรูปแบบบทความและวีดิทัศน์ บอกเล่าเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ รวม 14 บท เพื่อให้ผู้สนใจสามารถนำองค์ความรู้ไปลงมือทำเองได้ หากติดขัดหรือสงสัยเรามีช่องทางถามตอบในสื่อออนไลน์ของโครงการทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊กและไลน์ (@inspiredbytheking)

          นอกจากนั้น โครงการตามรอยพ่อฯ ปี9 ยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีที่ จ.นครราชสีมา และพระนครศรีอยุธยา ณ พื้นที่ของคนมีใจที่นำศาสตร์พระราชาไปปฏิบัติจนประสบความสำเร็จ เพื่อให้ผู้สนใจได้มาเรียนรู้และเกิดแรงบันดาลใจผ่านการทำกิจกรรมลงแขกอย่างโบราณ และยังกำหนดจะจัดงานสรุปผลการดำเนินโครงการ 9 ปี ที่ สวนล้อมศรีรินทร์ จ.สระบุรี ที่เป็นจุดเริ่มต้นโครงการอีกด้วย โดยจะวางมาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและ การเว้นระยะห่างของผู้ร่วมกิจกรรมอย่างเข้มข้น และส่งท้ายด้วยการรวบรวมคนต้นแบบและบรมครูผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ ตลอดทั้ง 9 ปี เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวความประทับใจในรายการเจาะใจซึ่งจะออกอากาศทางช่อง MCOT HD”

          สร้างความมั่นคงทางอาหาร สู้วิกฤต

          ด้านนายโจน จันใด ผู้ก่อตั้งสวนพันพรรณ ศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเองและศูนย์เมล็ดพันธุ์ และประธานธรรมธุรกิจ กล่าวแนะนำการดำเนินชีวิตในช่วงวิกฤตโรคระบาดนี้ว่า “เราประเมินไม่ได้ว่าเหตุการณ์จะยาวนานขนาดไหน การรอให้เศรษฐกิจดีขึ้นแล้วหวังว่าเราจะดีขึ้นเอง ก็ดูจะเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่แทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรจะทำ คือ การกลับมาคิดถึงการพึ่งตนเองในเรื่องของอาหารเป็นอันดับแรก เราจะหาอาหารมาจากไหน ถ้าอยู่ในเมืองก็อาจต้องคิดถึงการปลูกอาหารเองง่าย ๆ เช่น การเพาะถั่วงอก หรือการปลูกผักแนวตั้ง อีกวิธีหนึ่งคือการเชื่อมต่อกับกลุ่มเกษตรกรที่เขาทำอยู่แล้ว ให้เขาส่งวัตถุดิบมาให้ ซึ่งควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาวะปกติด้วย ที่เราควรจะรู้แหล่งที่มาของอาหารที่เราบริโภค ฉะนั้นการเชื่อมต่อกันอีกครั้งจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในสภาวะปัจจุบัน การหันกลับมาพึ่งตนเองมากขึ้น กลับมาพึ่งกันเองมากขึ้น ต่อให้ระบบพังหรืออะไรจะเกิดขึ้นเราก็ยังอยู่ได้ นี่คือแนวทางที่เราควรจะต้องกลับมาใคร่ครวญพิจารณา

          เครือข่ายของเรามีครบทุกอย่างไม่ว่าจะข้าว ปลา กะปิ เกลือ ผัก ฯลฯ และยิ่งถ้าคนสนใจทำแบบนี้มากขึ้นจะทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจแนวใหม่ ระบบการค้าแนวใหม่ ที่ทำให้คนได้คุยกันตรงมากขึ้นโดยไม่อ้อม นี่คือสิ่งที่ผมเห็นว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ นี่คือแนวโน้มที่จะทำให้เราอยู่ได้ในช่วงโควิด-19”

          ผู้ที่สนใจติดตามกิจกรรมในโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” ได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking หรือดูรายละเอียดที่ https://ajourneyinspiredbytheking.org

 

กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...