วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

"บิ๊กตู่" สั่ง สสว.หนุนสินค้าอาหารฮาลาล! ให้ได้รับการยอมรับในตลาดตะวันออกกลาง



วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เปิดเผยระหว่างเป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด สสว.) ขอให้ช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องมาตรฐานอาหารฮาลาลของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ไทยอย่างจริงจัง ให้ได้รับการยอมรับในตลาดประเทศตะวันออกกลางและซาอุดีอาระเบีย เพื่อเพิ่มตลาดใหม่ให้กับสินค้าเอสเอ็มอีไทยได้มากขึ้นนอกจากตลาดเดิมที่มีอยู่แล้ว ควบคู่กับการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเอสเอ็มอีไทยไปขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งสินค้าไทยในต่างประเทศได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพบว่าหลายอย่างมีความก้าวหน้าและพัฒนาไปมาก ผลผลิตที่ออกมาก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งตรงกับนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม โดยเฉพาะการนำมาใช้ในการพัฒนาด้านการเกษตรและปศุสัตว์ของประเทศ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากในการทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิตดังกล่าว และมีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับสากล รวมทั้งต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและทิศทางของโลก เช่น เรื่องของการปลูกพืชในพื้นที่ที่ถูกกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกกีดกันทางการค้า เป็นต้น


นอกจากนี้ นายกฯสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันดูแลไปถึงเรื่องของยางพาราไทย โดยเฉพาะการสนับสนุนส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศให้เพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงสนับสนุนส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์และสินค้าภายในประเทศไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันตลอดจนมาตรการกีดกันทางด้านการค้าต่างๆด้วย


นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานสถานการณ์การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ณ สิ้นสุดไตรมาส 4 โดย สสว. มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของ MSME มูลค่า 6.11 ล้านล้านบาท ขยายตัว 4.5% คิดเป็นสัดส่วน 35.2% ของมูลค่าจีดีพีประเทศ ขณะที่การส่งออกของ MSME ปี 2565 มีมูลค่า 1,060,207 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30,508 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 6.0% สัดส่วนของมูลค่าการส่งออกของ MSME ต่อมูลค่าการส่งออกรวมเท่ากับ 10.6% ด้านการจ้างงาน จำนวน 12.63 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.25%.

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

"บิ๊กตู่" สะดุ้งบนเวทีกล่าวต้อนรับ "กราบเรียนท่านนายกฯพล.อ.ประวิตร" โอกาสเยี่ยมชมนวัตกรรมฮาลาลจุฬาฯ


เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับฟังบรรยายและเยี่ยมชมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน โดยศูนย์ฯ มีภาระหน้าที่หลักในการวิจัยและพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และบริการฮาลาลของประเทศ ให้การส่งเสริมฮาลาลทั้งที่เป็นอาหาร ที่มิใช่อาหาร และงานบริการ ตลอดจนการบริการทางวิชาการและให้บริการทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมฮาลาล รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ฮาลาลแก่หน่วยงานต่าง ๆ พร้อมผลักดันงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมฮาลาล ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงใหม่ในโลกวิทยาศาสตร์ ให้มีบทบาทต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมฮาลาล ตลอดจนการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยมีผู้บริหารศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย อาจารย์ นิสิต นักศึกษาและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีในโอกาสเยี่ยมชมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลเห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลให้เป็นแหล่งศึกษานวัตกรรมฮาลาลซึ่งเป็นที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยศูนย์แห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้สินค้าฮาลาลของไทยมีมาตรฐานในระดับสากล สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ โดยจะต้องมุ่งพัฒนาการร่วมมือและการวิจัยให้มากขึ้น แม้ประเทศไทยจะทำการเกษตรกรรมแต่ต้องเพิ่มรายได้ทางอุตสาหกรรมควบคู่กันไปด้วย รวมทั้งการแปรรูปอาหารเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และสามารถขยายตลาดอาหารฮาลาลสู่ตลาดโลกได้ เพราะอาหารเป็นหนึ่งใน soft power ที่ต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนไปให้ได้ แม้มีอุปสรรคก็ต้องมีแนวทางในการแก้ปัญหาให้ผ่านไปให้ได้ พร้อมเน้นย้ำการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งการพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยสร้างแรงจูงใจผู้บริโภค นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการเกษตรทั้งพืชและปศุสัตว์ เชื่อมโยงการพัฒนาด้านฮาลาล และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจระดับบนให้มีความเข้มแข็ง

นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความห่วงใยในปัญหาด้านการสงคราม ภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการความเข้มงวดการกีดกันทางการค้า โดยใช้มาตรการทางสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่ปลูกพืชในพื้นที่บุกรุกป่าหรือไม่มีกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ในบางพื้นที่ และต้องมีการตรวจสอบต้นทางการผลิตให้ได้ ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา เพื่อลดการสูญเสียโอกาสทางการค้า ร่วมมือกันโดยไม่แบ่งแยก ไม่แบ่งพวกแบ่งฝ่าย รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ในสาขาที่ตรงตามความต้องการของตลาด จัดการเรียนการสอนแบบ active learning  สอนกระบวนการคิดที่เป็นระบบและมีภูมิต้านทานทางความคิด

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีศักยภาพและจุดแข็งในด้านการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งรัฐบาลได้ผลักดันนโยบาย “อาหารไทย อาหารโลก” ที่มุ่งเน้นการขยายตลาดอาหารไทยไปยังตลาดโลกมาโดยตลอด โดยรัฐบาลได้ส่งเสริมการผลิตและการส่งออกสินค้าฮาลาลมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยในการผลักดันอาหารฮาลาลไทยให้มีมาตรฐานฮาลาลที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อให้สินค้าฮาลาลของไทยสามารถสร้างความมั่นใจและขยายตลาดไปยังผู้บริโภคชาวมุสลิมทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหาร และภาคการส่งออกของไทยให้สามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมและขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมมือกันขับเคลื่อนและพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลให้มีความก้าวหน้า และยังเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของไทย รวมถึงการพัฒนาการศึกษา กำลังคน และบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ และขอให้การดำเนินงานของศูนย์วิจัยฮาลาลสำเร็จบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อยกระดับรายได้และเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงสืบไป

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาลาลต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เส้นปลาจากปลาทับทิมเสริมคุณค่าทางอาหารด้วยสมุนไพรไทย การพัฒนาคัสตาร์ดมันหวานญี่ปุ่นเสริมสารห่อหุ้มจากน้ำมันสมุนไพร นวัตกรรมไข่จากพืช พร้อมชมองค์ความรู้ความเป็นมาของระบบมาตรฐานฮาลาล HAL-Q และผลงานวิจัยนวัตกรรมภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ฯ ที่นำไปสู่การพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ครีมกันแดด อาหารเสริม สบู่เหลว 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัย ประกอบด้วย 1) ห้องปฏิบัติการวิจัยชีววิทยาโมเลกุล 2) ห้องปฏิบัติการวิจัยและนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ฮาลาล ตันสรี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ และ 3) ห้องปฏิบัติการวิจัยชีวเคมีโภชนาการ ซึ่งเป็นห้องวิจัยทดสอบนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านอาหาร โภชนาการ และคอสเมติก รวมทั้งการพัฒนาวิเคราะห์ DNA แลปทางชีวโมเลกุล การเลี้ยงเซลล์ การศึกษาความเป็นพิษของสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อด้วย เยี่ยมชมสํานักงานและศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จุฬาลงกรณ์ฯ และมีศูนย์สาขา ณ จังหวัดปัตตานี เชียงใหม่ และนครนายก ซึ่งเป็นศูนย์พัฒนานวัตกรรมฮาลาลในด้านต่าง ๆ พร้อมสร้างเครือข่ายระหว่างศูนย์เรียนรู้กับชุมชน พัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ฮาลาลในพื้นที่ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์ฝึกและห้องทดลองต่าง ๆ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบการเกษตร งานพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ งานเกษตรอัจฉริยะฮาลาล เป็นต้น รวมทั้งการให้บริการหน่วยงานภายนอกเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการให้ได้รับมาตรฐานการส่งออก ลดการปนเปื้อน เสริมสร้างความเชื่อมั่นของมุสลิมทั่วโลก 

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับ SMEs ผลิตภัณฑ์ฮาลาลต่าง ๆ  และเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล ดังนี้ 1) ห้องปฏิบัติการอณูชีววิทยาฮาลาลวันมูหะมัดนอร์มะทา 2) ห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล (ห้องปฏิบัติการด้านเคมี 3) MainLaboratory1108SamplePreparation ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ให้บริการวิจัย ตรวจสอบผลิตภัณฑ์แก่หน่วยงานภายนอก เช่น การตรวจสอบกรดไขมัน ปริมาณแอลกอฮอล์ และการตรวจหาสารปนเปื้อนในอาหาร

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการดำเนินงานของศูนย์ฯ ขอให้ร่วมกันพัฒนาคิดค้นและวิจัยงานด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลต่อไป ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายภาคประชาสังคม การให้ความรู้ สร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับผลผลิตและประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ฮาลาลสู่กระบวนการรับรองผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ช่วยส่งเสริมมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพิ่มโอกาสและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และร่วมกันพลิกบทบาทนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ฮาลาลไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติต่อไป” นายอนุชา  กล่าว

ทั้งนี้ก่อนที่นายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวมอบนโยบาย ได้มีการกล่าวต้อนรับว่า "กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร" ก่อนจะรีบขออภัยและระบุว่าตื่นเต้น ทำให้ผู้ที่มาร่วมงานภายในห้องต่างพากันหัวเราะ

ด้านรศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม็อตโตของนายกฯ ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ตรงกับคำในศาสนาอิสลาม ที่แปล​ว่า​ เราได้รับทราบแล้วและเราได้ปฏิบัติแล้ว พอได้ยินคำนี้จากนายกรัฐมนตรีว่านี่คือความโปรดปราน เพราะเราฟังอย่างเดียวไม่ได้จะต้องปฏิบัติด้วย​ ซึ่งถือได้ว่าเป็นแนวคิดเดียวกัน​ นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า​ลูกเขยของตนเป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตสวนหลวง พรรครวมไทยสร้างชาติ​ ซึ่งต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างยิ่ง​ที่ให้ความไว้วางใจ​


 


วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

เจ้าคุณอายุ 101 ปีร่วมพิธีเปิดงาน ปิดทองหลวงพ่อต่อศักดิ์สิทธิ์บางพลัด พูดถึงสมเด็จอาจ


เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566  น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางพลัด-บางกอกน้อย พรรคพลังประชารัฐ  เปิดเผยว่า  วันนี้(18ก.พ.) ไปร่วมพิธีเปิดงานประจำปี พ.ศ.2566 ปิดทองหลวงพ่อต่อศักดิ์สิทธิ์ ณ อุโบสถมหาอุตม์ ณ วัดภาณุรังษี เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร งานมีตั้งแต่วันที่ 17 -26  กุมภาพันธ์ 2566 (10 วัน 10  คืน)  โดยพระมหาอุดร สุทฺธิญาโณ ป.ธ.9 ,ดร. เจ้าอาวาสวัดภาณุรังษี  ในงานมีพิธีสงฆ์อันศักดิ์สิทธิ์ โดยได้รับเมตตาจากพระธรรมวชิรมุนี เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร  เป็นประธานฯ  พระราชอุดมมงคล (วิสิทธิ์ นนฺทิโย) อายุ 101 ปี ร่วมในพิธีโดยพูดถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ ดวงมาลา ฉายา อาสโภ ) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

"อุตตม"แนะต้องปฏิรูประบบงบฯ วิธีแก้หนี้สาธารณะของรัฐบาลมากสุด



วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566    ดร.อุตตม สาวนายน ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่ถูกหยิบมาอภิปรายในสภาฯว่า 

เวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 152 ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวานนี้ ประเด็นหนี้สาธารณะประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอีกครั้ง  โดยมีการยกตัวเลขหนี้สินประเทศปัจจุบัน ที่มากกว่า 10.6 ล้านล้านบาท ซึ่งในมุมของประชาชนย่อมมีความเป็นห่วง เพราะหนี้สาธารณะเป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ชี้วัดความกินดีอยู่ดีของประชาชนในอนาคต

หนี้ก้อนใหญ่ที่สุดคือหนี้รัฐบาล ที่กู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เนื่องจากประเทศไทยทำงบประมาณขาดดุลติดต่อกันมากว่า 10 ปี ซึ่งเข้าใจได้ว่าเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมถึงหนี้ที่กู้เพื่อใช้ในมาตรการดูแลเยียวยาและฟื้นฟูโควิด ช่วงปี 2563-64 ก็ถือว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน

รัฐบาลประเมินว่าจะสามารถจัดทำงบประมาณให้สมดุลได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า นั่นหมายความว่ารัฐบาลต้องจัดหารายได้เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีเพื่อให้ทันกับค่าใช้จ่าย จากที่ผ่านมามีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละ 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำได้ตามที่คาดหวังต้องขึ้นกับปัจจัยสำคัญคือเศรษฐกิจประเทศขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามล่าสุดสภาพัฒน์ ได้ประกาศจีดีพี 2565 โตเพียงร้อยละ 2.6 ต่ำกว่าที่คาดมาก และยังลดเป้าปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.2 ซี่งผมได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ว่า เราไม่ควรประมาทกับภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกับเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญ ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว

การที่ประเทศไทยพึ่งฟื้นไข้จากพิษโควิด ยังจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดูแลประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก ขณะเดียวกันก็ต้องลงทุนที่มุ่งเป้าให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผมยังเห็นว่าการปฏิรูประบบงบประมาณของประเทศเป็นสิ่งจำเป็น หากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง และสามารถกลับมาทำงบประมาณสมดุลได้ ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป


วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

“สมเด็จพระมหาวีรวงศ์-ปลัดมท.-ขรรค์ชัย" ร่วมปลูก “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” สถานปฏิบัติธรรม “สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร)” ปทุมธานี



สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่สถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ปทุมธานี เพื่อเป็น Landmark ธรรมะและธรรมชาติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้นแบบพื้นที่การพัฒนาที่ยั่งยืน 

มื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566  เวลา 14.00 น. เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นำนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขรรค์ชัย บุญปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ร่วมลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาสถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ณ คลอง 9 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยได้รับเมตตาจาก พระธรรมรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต พระอารามหลวง พระราชสารเวที เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม พระอารามหลวง และพระเถรานุเถระ ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี  นายอดิเทพ กมลเวชช์ นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายคมสัน ญาณวัฒนา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดปทุมธานี นางสาวกันตรัตน์ เริ่มสูงเนิน ปลัดจังหวัดปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศิษยานุศิษย์ กว่า 200 คน ร่วมลงพื้นที่

(คลิปบรรยากาศ https://youtube.com/shorts/Dahpld-Aw40?feature=share)

โอกาสนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะ ได้ร่วมเอามื้อสามัคคี ขุดหลุม ปลูกต้นจามจุรี (ต้นก้ามปู) และต้นมะฮอกกานี ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่และเติบโตเร็ว อันเป็นการน้อมนำหลักการตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เป็นต้นแบบการพึ่งพาตนเอง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา นำไปสู่การพัฒนาพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเดินเยี่ยมชมบริเวณพื้นที่ก่อสร้างพระวิหาร กุฏิ อาคารเสนาสนะ แปลงโคก หนอง นา และพื้นที่โดยรอบบริเวณ พร้อมทั้งร่วมรับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าของการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วย 1) เรื่องการดูแลรักษาต้นไม้ในพื้นที่ โคก หนอง นา สัปปายะและรมณียสถาน 2) การสำรวจ ออกแบบและประมาณการราคาค่าก่อสร้างถนนและท่อระบายน้ำ 3) การหารือการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 4) การดำเนินงานติดตั้งระบบไฟฟ้า 5) การยื่นขอรังวัดที่ดิน เพื่อตรวจสอบแนวเขตที่ดินสำหรับการย้ายเสาไฟฟ้า 6) เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ 


นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการพัฒนาสถานปฏิบัติธรรมสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นโครงการที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) ทรงประทานที่ดิน จำนวน 127 ไร่แห่งนี้ให้ก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ขนาดพื้นที่ 60 ไร่ เป็นสถานปฏิบัติธรรม ดำเนินการโดย วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ส่วนที่ 2 ขนาดพื้นที่ 27 ไร่ เป็นแปลงเกษตรสาธิต ดำเนินการโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ส่วนที่ 3 ขนาดพื้นที่ 40 ไร่ ดำเนินการพัฒนาเป็นแปลงโคก หนอง นา เพื่อเป็นสัปปายะและรมณียสถานศูนย์ปฏิบัติธรรมสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) โดยจังหวัดปทุมธานี ได้บูรณาการภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนาและขยายผลให้เป็นแหล่งเรียนรู้พัฒนาตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ที่เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม กระทรวงมหาดไทย และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ลงนามร่วมกันเพื่อให้เกิดการบูรณาการภาคีเครือข่ายการพัฒนาทุกมิติ ส่งเสริมสัมมาชีพ สัมมาปฏิบัติ เสริมสร้างสังคมสุขภาวะ สร้างความสุขสังคมไทยขยายผล ช่วยสังคมโลกให้มีความสุขอย่างยั่งยืน โดยใช้หลักธรรมนำทางโลก เพื่อให้เกิดสุขภาวะ 4 มิติ คือ กาย จิต สังคมและปัญญา


“ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยร่วมกับวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ภาครัฐ ภาคเอกชน จิตอาสา และภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ดำเนินการบ่มเพาะฝึกอบรมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ในรูปแบบวิถีชาวบ้าน ด้วยการปั้นโคก ขุดหนอง และทำนา โดยมีข้าราชการ ประชาชน และจิตอาสา ได้นำไปดำเนินการจนสามารถพึ่งพาตนเองได้ เช่น ในพื้นที่อำเภอลำลูกกา เป็นต้น ซึ่งได้ดำเนินการผ่านการฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพและการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติควบคู่กับการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้มีความสมบูรณ์ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2565 โดยได้มีการนัดหมายกันมาร่วมเอามื้อสามัคคี สัปดาห์ละ 1 ครั้งในทุกวันอาทิตย์” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว


นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้บูรณาการภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ รวมทั้งทำให้ท่านนายอำเภอทุกอำเภอ ได้เป็น “ผู้นำ” ของ “ทีมอำเภอ” ที่เกิดจากพลังจิตอาสาทุกภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีในพื้นที่ อันได้แก่ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อมวลชน มาร่วมกันบูรณาการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา เป็น “Landmark ธรรมะและธรรมชาติของจังหวัดปทุมธานี” เพื่อให้ประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานี รวมถึงประชาชนผู้สนใจ ได้มาศึกษาแล้วนำไปพัฒนาและต่อยอดในพื้นที่ของตนเอง อันจะทำให้ชาวปทุมธานีสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับตนเอง และชุมชน ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เกิดความสุขแบบชาวบ้าน ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน

 


ผอ.สันติศึกษา"มจร" บรรยายสันติภาพ แก่นักศึกษา๔ส.รุ่น๑๓ สถาบันพระปกเกล้า


(คลิป https://youtube.com/shorts/haL6l_4Kgxs?feature=share)

วันที่ ๑๖  กุมภาพันธ์  ๒๕๖๖  พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์, ศ.ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตรนานาชาติและผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  บรรยายแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาหลักสูตร "เสริมสร้างสังคมสันติสุข" รุ่น ๑๓ สถาบันพระปกเกล้า โดยกล่าวประเด็นสำคัญว่า "ตัวรู้ กับ ความรู้" โดยเรามุ่งตัวความรู้มากกว่าความตัวรู้ แต่แท้จริงแล้วตัวรู้มีความสำคัญมากกว่าความรู้ จึงต้องพัฒนาสันติภาพที่มีความเย็นสงบ โดยInner Peace มีความสำคัญอย่างไร ? อะไรคือสันติภาพภายนอกโดยมอง ๕ P. ประกอบด้วย มิติสังคม (People) มิติเศรษฐกิจ (Prosperity) มิติสิ่งแวดล้อม (Planet) มิติสันติภาพและสถาบัน (Peace) และมิติหุ้นส่วนการพัฒนา (Partnership) โดยมิติของสันติภาพมี ๔ มิติ อันประกอบด้วย 

๑)สันติภาพเชิงกายภาพ   เป็นมิติสิ่งแวดล้อม  การอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ  จึงมุ่งพัฒนาสันติศึกษาโคกหนองนา ธนาคารน้ำ ใส่ใจดินน้ำลมป่าอาหาร อาชีพ เป็นการรับผิดชอบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒)สันติภาพเชิงพฤติภาพ  เป็นมิติการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างและความขัดแย้งในสังคม การเข้าไม่ถึงความยุติธรรม จึงมีการขับเคลื่อนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน สันติศึกษาพัฒนาผู้ไกล่เกลี่ยอย่างมืออาชีพ  ๓)สันติภาพเชิงจิตตภาพ เป็นมิติด้านจิตใจ คนมีความทุกข์มากในสังคม แต่เราหายใจไม่เป็น จึงมุ่งพัฒนาสันติภายใน เป็น  ๔)สันติภาพเชิงปัญญาภาพ มิติการทำงานร่วมกัน ใช้ปัญญาออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์  

จึงสะท้อนว่า การสร้างสันติภายในคือ การพัฒนาสติ จึงมุ่งพัฒนาเชิงรับเพื่อสนับสนุนเชิงรุก  เหมือนน้ำในเขื่อนมีความนิ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้า สติเป็นมารดาของทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงสนใจสติตัวเดียวเท่านั้นจบมีพลังอำนาจแต่อำนาจภายในสำคัญที่สุด โดยอำนาจภายใจประกอบด้วย "ศรัทธาเชื่อมั่นตนเอง วิริยะมีความกล้า  สติปักมุดชีวิต  สมาธิมีความแน่วแน่  และปัญญาจะหาเครื่องมือมาช่วย" สติไม่ได้อยู่ภายนอกแต่สติอยู่ภายในของเรา จึงต้องไม่สงสัยในความสามารถของตนเอง 

"มหานิยม" ติง "บิ๊กตู่" ไม่จริงใจแก้ปัญหาให้กับชาวพุทธชายแดนใต้



เมื่อเวลา 15.08 น. วันที่ 16 ก.พ. 2566 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือ เสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 โดยนายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีโดยระบุว่า ชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มองว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความจริงใจ ใส่ใจแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรม รวมถึงประเด็นศาสนสมบัติย่านประตูน้ำ

อย่างไรก็ตามได้มี ส.ส.พรรคประชารัฐ ลุกประท้วงการอภิปรายของนายนิยม  ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม จึงได้กล่าวตักเตือนนายนิยม โดยเฉพาะคำว่ากอดคอน่าจะใช้คำว่าโอบไหล่พระสงฆ์แทน  เพราะจากภาพคือการโอบไหล่และความหมายของ 2 คำนี้ ต่างกัน  

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

กรมการศาสนา (ศน.) บูรณะฟื้นฟูศาสนสถานประสบภัยในพื้นที่ 58 จังหวักว่า 600 แห่ง



วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566  นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 การดำเนินงานตามนโยบาย “9 ดี 12 เดือน 12 เด่น นำธรรมะสู่ใจประชาชน” ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนให้ศาสนสถานทุกศาสนาเป็นศูนย์กลางของประชาชน ส่งเสริมสนับสนุนให้ศาสนิกชนเข้าไปประกอบศาสนกิจตามศาสนาที่ตนนับถือ ซึ่งศาสนสถานนั้นควรมีสภาพที่มั่นคง ปลอดภัย สะอาดและสวยงาม เหมาะสมสำหรับการเข้าไปประกอบกิจกรรมทางศาสนา แต่เมื่อมีการใช้ศาสนสถานเป็นเวลานานย่อมเกิดความเสียหาย ทรุดโทรม และเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา อีกทั้ง ความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือเหตุอื่นที่ส่งผลให้ไม่สามารถใช้ศาสนสถานประกอบศาสนกิจได้ตามปกติ จึงได้ดำเนิน “โครงการเงินอุดหนุนการบูรณะศาสนสถาน” เพื่อสมทบในการบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานที่มีอยู่แล้ว ให้สามารถใช้ในการประกอบศาสนกิจได้ตามความเหมาะสม คุ้มค่า โดยไม่จำเป็นต้องสร้างศาสนสถานขึ้นใหม่ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการจัดสรรเงินอุดหนุนบูรณะศาสนสถานในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 58 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 678 แห่ง ประกอบด้วย ศาสนสถานของศาสนาอิสลาม 560 แห่ง ศาสนาคริสต์ 115 แห่ง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 1 แห่ง และศาสนาซิกข์ 2 แห่ง 

อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยจะสำรวจและรวบรวมแบบคำขอรับเงินอุดหนุนบูรณะศาสนสถานทั่วประเทศ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาจัดสรรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อีกทั้ง ในช่วงต้นปีงบประมาณที่ผ่านมา หลายพื้นที่ของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากมรสุม และสถานการณ์พายุโนรู (NORU) ทำให้มีฝนตกหนักพร้อมกับมีลมแรง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำท่วมขัง เป็นเหตุให้บ้านเรือนประชาชน และศาสนสถานของศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรองได้รับความเสียหาย กรมการศาสนาได้ขอความร่วมมือสำนักงานวัฒนธรรมทุกจังหวัด สำรวจข้อมูลศาสนสถานที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในครั้งนั้น พบว่า มีศาสนสถานที่ประสบภัยขอรับการสนับสนุน 14 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ เชียงใหม่ นครนายก บุรีรัมย์ พระนครศรีอยุธยา ร้อยเอ็ด ระยอง เลย ศรีสะเกษ สตูล สมุทรปราการ และอุบลราชธานี สำหรับศาสนสถานได้รับผลกระทบทั้งสิ้น จำนวน 34 แห่ง ประกอบด้วยศาสนสถานของศาสนาอิสลาม 23 แห่ง และศาสนาคริสต์ 11 แห่ง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนศาสนสถาน กรณีประสบภัยแล้ว และจะได้สนับสนุนงบประมาณในการบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานให้กลับมามีสภาพพร้อมใช้สำหรับการประกอบศาสนกิจทางศาสนาต่อไป

"ภาคีเพื่อนหมอสุภัทร" ยื่นหนังสือ "ชวน-กมธ.การกฎหมายฯ" จี้ สอบ "อนุทิน" ปมโยกย้าย



เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.30 น.  ที่รัฐสภา นายสมบูรณ์ คำแหง ตัวแทนภาคีเพื่อนหมอสุภัทร ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านน.ส.ศิริภา อินทวิเชียร ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน โดยมีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ในฐานะกมธ. เป็นตัวแทนรับยื่นหนังสือ กรณีขอให้ตรวจสอบนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ฐานผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 

เครือข่ายเกษตรกรชาวสวนลำไย 8 จว.เหนือ ขอบคุณ "บิ๊กตู่" ช่วยเยียวยาสำเร็จ

เครือข่ายเกษตรกรชาวสวนลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือขอพบนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยผลักดันเงินช่วยเหลือโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยผลสำเร็จ “พีระพันธุ์”ย้ำเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการดูแลความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่ม

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566   เวลา 13.30 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 111 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ นำตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ นำโดย จ่าสิบเอกนิกร บุญชัย ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ นำเกษตรกรจากภาคเหนือขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อขอบคุณที่ช่วยผลักดันให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จ่ายเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนใกล้เป็นผลสำเร็จ โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการเร่งรัดการปฏิบัติงานราชการ เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีมาพบรับมอบดอกไม้ และกระเช้าลำไยอบแห้ง พร้อมพูดคุยกับตัวแทนเกษตรกรชาวสวนลำไยที่เดินทางมาในครั้งนี้

นายพีระพันธ์ุ กล่าวว่า ปัญหาของชาวสวนลำไยหลังจากนายกรัฐมนตรีทราบเรื่องก็ได้สั่งการให้เร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยมีการตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า สาเหตุที่มีความล่าช้าเกิดจากมีขั้นตอนบางอย่างที่ผิดระเบียบจนไม่สามารถนำเข้า ครม. ได้ เมื่อตรวจสอบแล้วก็ได้ให้มีการแก้ไข และขณะนี้ทราบว่าได้มีการดำเนินการไปตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่า จะสำเร็จเสร็จสิ้นภายในเร็วๆ นี้

“ก่อนหน้านี้ท่านนายกฯ ยังไม่ทราบเรื่อง แต่เมื่อท่านทราบถึงปัญหาแล้วก็ได้เร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบแก้ไขอย่างเร่งด่วน มาถึงเวลานี้น่าจะเป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน เชื่อว่าจะเสร็จสิ้นในเร็วๆ นี้ จึงอยากให้ทุกคนสบายใจว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อทราบปัญหาของเกษตรกรแล้วก็เร่งดำเนินการให้ทันที เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้วที่จะต้องดูแลประชาชน” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าว

สำหรับ ความเดือดร้อนดังกล่าวเป็นผลมาจากเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2565 กลุ่มตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือได้ยื่นหนังสือขอเยียวยาจากปัญหาลำไยราคาตกต่ำต่อนายกรัฐมนตรี พร้อมให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกฯ ติดตาม เรื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้ว่าจะเกิดปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนการตรวจสอบจนกระทั่งกระทรวงเกษตรฯ ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กษ 1011/90 ลงวันที่ 6 มกราคม 2566 แจ้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ปรับปรุงรายละเอียดโครงการตามข้อแนะนำเรียบร้อยแล้ว โดยมีงบประมาณค่าใช้จ่ายตามโครงการ รวมทั้งสิ้น 3,806,631,678 บาท โดยใช้แหล่งเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยขอให้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 และในปีถัดไปตามเกิดขึ้นจริงให้แก่ ธ.ก.ส.ชำระคืนไม่เกิน 5 ปี

อย่างไรก็ตาม แต่เนื่องจากหนังสือจากกระทรวงเกษตรฯ ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนามถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไม่เป็นไปตามขั้นตอนการเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล กระทรวงเกษตรฯ และเรื่องเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย จึงได้ส่งคืนกระทรวงเกษตรฯ กลับไปดำเนินการให้ถูกต้องใหม่อีกครั้ง กระทั่งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมานายจุรินทร์จึงได้ลงนามหนังสือขออนุมัติโครงการเยียวยาชาวสวนลำไยในที่สุด

จากนั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้อนุมัติเงินงบประมาณกว่า 3.8 พันล้านเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือมองว่าเป็นการผลักดันของนายกรัฐมนตรีที่สั่งการให้นายพีระพันธุ์ติดตามเรื่องจนสำเร็จ แม้จะมีปัญหาติดขัดระหว่างทางก็ตาม จึงได้นัดรวมตัวกันมาพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งเรื่องราคาลำไยตกต่ำ พร้อมกับช่วยเร่งผลักดันเงินเยียวยาลำไย ให้กับเกษตรกร ชาวสวนลำไย จนมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก

 

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

"หมอระวี" จับมือ "เครือข่ายกัญชาเพื่อ ปชช." ชูนโยบายพัฒนากัญชา



เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 12.00 น.นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.พรรคพลังธรรมใหม่ รับยื่นหนังสือจาก นายต้นน้ำ นิยมาภา บุตรชายของนายบัณฑูร นิยมาภา ผู้ได้รับการขนานนามว่า บิดากัญชาไทยภาคประชาชน และคณะ เพื่อแสดงความขอบคุณที่เสนอนโยบายเพื่อพัฒนากัญชา ในแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

โดย นพ.ระวี ได้กล่าวขอบคุณภาคเครือข่ายกัญชาเพื่อประชาชน  และทางเพจกัญชามหาชน ที่มายื่นหนังสือเพื่อจะประกาศทิศทางของเครือข่ายกัญชาเพื่อประชาชน สำหรับพรรคพลังธรรมใหม่ได้กำหนดนโยบาย ให้ชัดเจนว่า ข้อที่ 1 คือ เราคัดค้านกัญชาเสรี ขณะเดียวกัน เราก็คัดค้านการที่จะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จากความเห็นของนักการเมืองบางคน ดังนั้นเราจะต้องสู้กันในสมัยหน้าต่อไป

"ทิศทางพรรคของพลังธรรมใหม่เห็นว่า กัญชาต้องเกิดขึ้นเพื่อทางการแพทย์ กัญชาเพื่อเศรษฐกิจ กัญชาเพื่อสังคม ก็คือกัญชาต้องเป็นส่วนหนึ่งของสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ ในการที่จะใช้ร่วมกับแพทย์ผสมผสาน คือแพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือก และแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อผนึกกำลัง ทั้งนี้ประชาชนในครัวเรือน ต้องปลูกได้ ใช้เป็น โดยต้องสามารถปลูกกัญชาตัวที่เหมาะสม เพื่อ ดูแลสุขภาพ และเพื่อรักษาโรคของประชาชนได้"

นพ.ระวี กล่าวต่อว่า ส่วนนโยบายกัญชาเพื่อเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเกิดความผิดพลาด ฝ่ายประชาชนปลูกเยอะ แต่ไม่มีการตลาด และที่สำคัญกัญชาทางการแพทย์ ต้องนำด้วยการตลาดก่อน รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ปัญหาการตลาดในประเทศ  นอกประเทศให้ได้ก่อน จึงจะส่งเสริมประชาชนปลูกด้วยกฎหมายที่เหมาะสม เคร่งครัด ชัดเจน ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดผลเสีย ต่อสังคมไทย หรือผลเสียต่อเยาวชน 

"ข้อสุดท้ายขอฝากประชาชนทุกท่าน ใครเห็นด้วยกับกัญชาทางการแพทย์ กัญชาทางเศรษฐกิจ  กัญชาทางสังคม และเห็นด้วยกับการคัดค้านไม่ให้กัญชากลับมาเป็นยาเสพติด เพราะถ้ากัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ประชาชนทั่วประเทศ ปลูกกัญชาใช่ทุกครัวเรือนผิดกฎหมายหมด ครับ ดังนั้นเราคัดค้านตรงจุดนี้ครับ ก็อันนี้เป็น นโยบาย พรรคพลังธรรมใหม่"


 

“จุรินทร์” ยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ประชาธิปัตย์ขอทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรจนนาทีสุดท้าย



เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.20 น.ที่รัฐสภานายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงจุดยืนของพรรคเกี่ยวกับการอภิปรายทั่วไปครั้งนี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าพรรคไม่ล่มองค์ประชุม และได้ยืนยันมาก่อนหน้านี้แล้วว่า เราสนับสนุนในเรื่องการที่จะให้เปิดสภาได้ และประชาธิปัตย์ก็ยืนยันว่าเราไม่กลัวการตรวจสอบ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเป็นพรรคการเมืองแรกที่ประกาศว่าเราจะร่วมประชุมในครั้งนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพิ่งจะมาประกาศวันนี้ 

“ประชาธิปัตย์ไม่มีความปรารถนาใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้องค์ประชุมล่ม แต่ทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือหลายพรรค ที่จะทำให้การประชุมเดินหน้าต่อไปได้ ผมได้กำชับ ส.ส.ของพรรคไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเรามาประชุม และ ส.ส. ของพรรคทุกคนเข้าใจบทบาทหน้าที่อยู่แล้ว และผมยืนยันเลยไปเลยว่าเราจะทำหน้าที่จนนาทีสุดท้าย ในฐานะผู้แทนราษฎร” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว 


ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการประเมินการอภิปรายในครั้งนี้ไว้อย่างไรนั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า ไม่คิดว่าจะมีผลกระทบที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะการอภิปรายครั้งนี้ไม่ใช่ญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เป็นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายค้าน หรือผู้ยื่นญัตติสามารถแสดงความคิดเห็น แนะนำรัฐบาล หรือสอบถามรัฐบาลได้ เป็นญัตติทั่วไปเกิดมาหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่ของใหม่ บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญเกือบจะเรียกว่าทุกฉบับ 

ส่วนที่มีข่าวว่าฝั่งรัฐบาลพยายามล็อบบี้ให้องค์ประชุมไม่ครบนั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ประชาธิปัตย์ไม่ทำอย่างนั้น ตนยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ 

ส่วนที่มีความเป็นห่วงว่าจะมีการขยายผลไปถึงการหาเสียงเลือกตั้งนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริงมันก็ไม่มีผลอะไร และการเอาไปขยายผลนอกสภามันก็ต่างกับในสภา ในสภานี้รัฐบาลก็สามารถชี้แจงได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถามมาก็ตอบไป ถ้าเรามั่นใจในความสุจริตของเรา ก็ไม่ต้องกลัวการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น

“สุทิน” ห่วงองค์ประชุมอภิปราย 152 ไม่ครบ จ่ออภิปรายนอกห้องประชุมหากสภาล่มทั้งสองวัน

    


เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 น.  ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ในวันนี้ซึ่งเป็นวันแรก ว่า จะเริ่มโดยผู้นำฝ่ายค้านแถลงญัตติ และขยายความภาพรวม จากนั้น จะเป็นกลุ่มหัวหน้าพรรค ก่อนเริ่มการอภิปรายตามลำดับ สำหรับวันแรกฝ่ายค้านจะอภิปรายถึงประเด็นเศรษฐกิจ พลังงาน และต่างประเทศ ส่วนพรุ่งนี้ (16 ก.พ.) จะอภิปรายประเด็นปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม และการทุจริต      

เมื่อถามว่า คาดว่าจะเปิดประชุมได้หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านมากันครบ ขอให้มั่นใจว่าฝ่ายค้านไม่มีปัญหา หากจะมีปัญหาก็มีที่รัฐบาล ดังนั้น วันนี้องค์ประชุมจะครบหรือไม่ก็คง 50 - 50 ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างน้อยพรรคประชาธิปัตย์ก็ยืนยันมาร่วมประชุม แต่องค์ประชุมคงหวุดหวิดพอสมควร คงต้องลุ้นกัน        

“เรากำชับวิปรัฐบาลให้ช่วยกันรักษาระบบสภา เพราะการอภิปรายใหญ่ ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ คงอยู่ที่ความสำนึก แต่เรายังหวังว่าไม่น่าจะถึงขั้นทำให้ระบบนี้หายไป อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้ายเตรียมแผนไว้แล้วว่าหากองค์ประชุมล่มวันนี้ และพรุ่งนี้ประชุมต่อแล้วล่มอีก เราจะอภิปรายนอกห้องประชุมสภาที่โพเดี่ยมห้องโถงแห่งนี้” นายสุทิน กล่าว

    เมื่อถามว่า เป็นห่วงพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนเป็นพิเศษหรือไม่ที่อาจไม่มาร่วมประชุม นายสุทิน กล่าวว่า ก็ห่วงทุกพรรคตามที่เป็นข่าว ซึ่งพรรคภูมิใจไทยยังไม่ส่งสัญญาณอะไร พรรคพลังประชารัฐก็บอกไม่มั่นใจ มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์ที่แสดงความชัดเจน     

เมื่อถามถึงสาเหตุที่พรรคร่วมรัฐบาลอาจไม่ร่วมเป็นองค์ประชุม นายสุทิน กล่าวว่า คิดอื่นไกลไม่ได้นอกจากกลัว หนีการตรวจสอบ เพราะกลัวเสียเครดิตก่อนเลือกตั้ง ส่วนที่บางพรรคไม่กำชับส.ส.โดยบอกว่าเป็นเอกสิทธิ์นั้น เห็นว่าเป็นคำแก้ตัวเพื่อหาเหตุผลไม่ร่วมประชุม ตามมาตรา 152 ซึ่งทุกพรรคต้องคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น การอ้างเรื่องเอกสิทธิ์จึงไม่มีเหตุผล และเมื่อก่อนก็ไม่เคยพูดกันแบบนี้ 

"ปุ้ย พิมพ์ภัทรา" ถือฤกษ์วันแห่งความรัก สวมเสื้อพรรค รทสช. แล้ว



“พีระพันธุ์” สวมเสื้อพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ให้ “ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” ส.ส.นครศรีธรรมราช หลังถือฤกษ์วันแห่งความรัก (14 ก.พ.) เข้าสมัครเป็นสมาชิก รทสช. ท่ามกลางผู้บริหารพรรคให้การต้อนรับ ชี้เชื่อมือหัวหน้า และความซื่อสัตย์ของ “ลุงตู่” หวังร่วมสร้างความเท่าเทียมให้ประชาชน ตามนโยบายพรรค  

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค,นายวิทยา แก้วภราดัย,นายชัชวาลล์ คงอุมดม,นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร รองหัวหน้าพรรค และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรค พร้อมด้วยผู้บริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้การต้อนรับ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ที่ถือฤกษ์วันวาเลนไทน์ เข้าร่วมงานกับ พรรคไทยร่วมชาติ โดยนายพีระพันธุ์ ได้สวมเสื้อแจ็กเก็ตโลโก้พรรคให้กับ น.ส.พิมพ์ภัทรา ท่ามกลางสมาชิกพรรคกลุ่มภาคใต้ อาทิ นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายสุพล จุลใส ส.ส.ชุมพร และ นายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ร่วมแสดงความยินดี 

 น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแห่งความรัก ตนถือเป็นตัวแทนของพี่น้องชาวนครศรีธรรมราชนำความรัก นำหัวใจมาร่วมใจสร้างชาติไปด้วยกันที่พรรครวมไทยสร้างชาติ การที่ตนตัดสินใจมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะตนเชื่อมั่นในตัวของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รวมไปถึงคณะกรรมการพรรคทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างสังคมที่เท่าเทียม อยากทำให้ปัญหาที่ติดขัดที่มีอยู่ทั้งเรื่องข้อกฎหมาย เรื่องปากท้อง ต้องการให้พี่น้องประชาชนได้อยู่ในสังคมที่เท่าเทียมกัน  

 “นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติที่ถูกใจที่สุด คือเรื่องของอะไรก็ตามที่เป็นอุปสรรค เช่น ข้อกฎหมายที่ไม่ชัดเจน หรือปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ที่พรรคต้องการเข้ามาแก้ไข ซึ่งเป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนต้องการเห็นเป็นรูปเป็นร่าง สำคัญที่สุดคือเชื่อมือในท่านหัวหน้าพรรค เชื่อในความซื่อสัตย์สุจริตของท่านนายกฯ ที่จะเดินหน้าประเทศต่อไปได้” น.ส.พิมพ์ภัทรากล่าว   

ก่อนหน้านี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา ได้เขียนข้อความเนื่องวันวาเลนไทน์ผ่านเฟซบุ๊ก ผ่านสัญลักษณ์ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” เป็นครั้งแรก โดยระบุว่า 14 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันแห่งความรัก วันนี้ “ปุ้ย" มาทำหน้าที่ผู้แทนของพี่ ป้า น้า อา ของทุกคน นับรวมเป็นเวลาถึง 3 ปี  10 เดือน 21 วันแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาปุ้ยระลึกเสมอว่าปุ้ยคือเลือดเนื้อเชื้อไขของคนบ้านเรา เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายได้รับความไว้วางใจจากทุกคนให้ “ปุ้ย” ไปทำงานเป็นผู้แทนของทุกคน ฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตลอดมาเราทุกคนต่างรับรู้กันได้เป็นอย่างดี พวกเราได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ตลอดทุกวัน ทุกชั่วโมง “ปุ้ย" มีความมุ่งมั่นตั้งใจและทำทุกอย่าง โดยมีกำลังกายกำลังใจจาก ลุง ป้า น้า อา พี่ๆ น้องๆ ชาวบ้านเราทุกคน ตลอดถึงความรักของครอบครัวที่คอยสนับสนุนส่งเสริม “ปุ้ย” เสมอมา 

 เส้นทางของปุ้ยมาถึงวันนี้ได้ “ปุ้ย” ต้องขอบคุณผู้ใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ ขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ ที่ให้โอกาสปุ้ยเข้าทำหน้าที่อันทรงเกียรติในการเป็นผู้แทนของประชาชน ตลอดที่ผ่านมาปุ้ยทำหน้าที่เต็มที่ ขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยหัวใจจริง ในทุกเส้นทางย่อมมีการตัดสินใจเกิดขึ้นเสมอ และเส้นทางการตัดสินใจของปุ้ยนั้น มีพี่น้อง ลุงป้าน้าอา ประชาชนเป็นสำคัญ   

 

วันแห่งความรักวันนี้ ปุ้ย ขอเรียนให้ พี่ ๆ น้อง ๆ ลุงป้า น้าอา ทุกคนได้ทราบว่า “ปุ้ย" ยังคงทำงานการเมืองตามภาระกิจสำคัญที่ทุกคนมอบหมายให้ปุ้ยทำหน้าที่นี้ วันนี้ปุ้ยได้ตัดสินใจในวิถีเส้นทางที่เลือกเดินมุ่งหน้าร่วมกันพัฒนาประเทศไทยของเรากับ “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  “คุณอาไตรรงค์” นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี  และบุคคลต้นแบบที่ทุ่มเททำงานให้กับบ้านเกิดเมืองนอนอีกหลายท่าน ในนาม “พรรครวมไทยสร้างชาติ” 

 

ที่ผ่านมา “ปุ้ย" ได้ยืนยันเสมอว่า ทุกคนมีศักดิ์ศรีและควรดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีเสมอหน้ากัน การตัดสินใจของปุ้ยอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นและมีเกียรติภูมิ วันนี้ “ปุ้ย” ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ว่าพี่น้องประชาชนทุกท่านคือที่หนึ่งในใจ “ปุ้ย" เสมอ “ปุ้ย” ขอเชิญชวนพี่น้องลุงป้าน้าอา ทุกท่านมาร่วมกันแสดงความรัก ความมุ่งมั่น และมาร่วมใจ กับ “รวมไทยสร้างชาติ” สร้างประเทศไทยให้งดงาม 

 

 “ปุ้ย" ขอใช้โอกาสวันแห่งความรักในวันนี้ ปวารณาว่า "ปุ้ย" จะเป็นผู้แทนที่ดีของทุกคน ของประเทศไทย พวกเรารักกันและพร้อมมุ่งเดินหน้าต่อไปรวมไทยสร้างชาติ 

 

ทั้งนี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา นับเป็นอดีต ส.ส.คนล่าสุดที่ได้เดินทางเข้ามาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติและคาดว่าจะยังคงมี อดีต ส.ส. และ ส.ส.ปัจจุบันทยอยเดินทางเข้ามาสมัครเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

"ทสท."เอาอีกติดป้ายทั่วอภิปรายล้อนอกสภา "8 ปีหนี้ท่วม" เหน็บในมีวาระซ่อนเร้น


วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พร้อมด้วย นายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส. กทม. เขตดอนเมือง และดร.ชนิดา จารุจินดา คณะทำงานด้านเศรษฐกิจยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ ร่วมติดป้ายอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาผู้แทนราษฎร ล้อกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 โดยมีเนื้อหาวิจารณ์การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพว่า “พอที 8 ปีหนี้ท่วม” “หยุดอุ้มเจ้าสัว เหยียบหัวประชาชน” “เซ็งป่ะ? แอปเป๋าตังค์ที่ไม่มีตังค์” 

https://youtube.com/shorts/IjL4Hpxf3Bc?feature=share

และมีป้ายที่เสนอนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจคนตัวเล็กและ SMEs เพื่อปิดช่องว่างของรัฐบาล ได้แก่ “สุดารัตน์-สุพันธุ์ แก้หนี้-เติมทุนให้ประชาชน” “เงินด่วนประชาชน 5,000 ถึง 50,000 บาท” “ยกเว้นภาษี SMEs 3 ปี” “พักหนี้เสียโควิด 3 ปี จ่ายดอกให้ 2 ปี”

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยไม่มี ส.ส. แต่เราเห็นหนี้ที่ประชาชนต้องแบกรับสูงขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสะท้อนถึงการบริหารที่ล้มเหลวของภาครัฐ จึงอยากจะสื่อสารไปถึงผู้บริหารประเทศให้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยด่วน รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและเติมทุนให้ประชาชนและ SMEs เดินหน้าทำธุรกิจต่อไปได้ 

นายการุณ กล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเต็มภาคภูมิเลยเพราะว่ามันมีวาระซ้อนเร้นมาตลอด มีการคุยกันหลังบ้านเพื่อเอื้อเจ้าสัว ร่วมขบวนการคอร์รัปชันและทำให้บ้านเมืองเสียหาย 

ส่วนตัวเห็นว่าแม้จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ เต็มที่ก็อาจจะทำได้แค่ประจานเรื่องส่อทุจริตกันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียหาย 

“ถ้าอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงได้คงเปลี่ยนไปหลายปีแล้ว แต่เชื่อว่าทำได้เพียงสะกิดสะเกา และเป็นการหาวาระซ่อนเร้นเพื่อออกแบบหาเสียงของแต่ละพรรคการเมือง ผมเชื่อว่าจะไม่มีอะไรในกอไผ่ มีแต่หนาม เป็นเพียงสงครามน้ำลายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้พรรคตัวเอง เป็นการเคาะปี๊บเรียกร้องประโยชน์เข้าพรรคการเมือง” นายการุณ กล่าว

นายการุณ กล่าวว่า วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่มาหน้ารัฐสภาเพื่อนำเสนอเสียงของภาคประชาชนที่ลำบาก แร้นแค้น และความเจ็บช้ำจากการจับกุมคุมขังทุกรูปแบบ แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไข อย่างน้อยวันนี้เรามาหาทางออก มานำเสนอทางออกของพรรคไทยสร้างไทยอย่างยั่งยืนและเต็มรูปแบบให้กับประชาชน

นายสุพันธุ์ กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยมีโอกาสเยอะแยะมาก แต่วันนี้รัฐบาลและเอกชนต้องร่วมกันทำ ถ้าไทยสร้างไทยได้เป็นรัฐบาลเชื่อว่าจะแก้หนี้และทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีได้ภายใน 3 ปี เราจะเน้นแก้หนี้และเติมทุนให้ประชาชนมีอาวุธในการกลับไปทำธุรกิจ และเชื่อไทยจะกลับมาเป็นยักษ์ผู้บิ่งใหญ่ในอาเซียนได้แน่นอน ป้ายทั้งหมด 7 แบบถูกติดหน้าสภาผู้แทนราษฎร ถนนทหาร หน้ากระทรวงการคลัง และหน้ากระทรวงพาณิชย์ ในเช้าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566

ก่อนหน้านี้พรรคไทยสร้างไทยได้ติดป้ายลักษณะเช่นนี้มาแล้วเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น

"ลุงป้อม700" ขึ้นรถแห่แจกดอกกุหลาบชาวป้อมปราบฯวันวาเลนไทน์ นำว่าที่ผู้สมัคร กทม.กราบพระวัดเล่งเน่ยยี่-สระเกศเอาชัย

“พลเอกประวิตร” นำว่าที่ผู้สมัคร กทม.ขึ้นรถแห่ปราศรัยเขตป้อมปราบฯ พบปะปชช. ปักธงชิงคะแนนเสียง กทม.กวาด 12 ที่นั่ง วอน เลือก พปชร.เข้าสภาฯขจัดปัญหาความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวพรรค พปชร.ใช้ฤกษ์วันวาเลนไทน์ นำผู้บริหารพรรคประกอบด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ที่รับผิดชอบพื้นที่กทม. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ลงพื้นที่หาเสียงในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เป็นพื้นที่แรก 

ทั้งนี้ก่อนเคลื่อนขบวนพลเอกประวิตร ได้เข้าไปในวัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เพื่อสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 9 จุด เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีประชาชนที่มาทำบุญรอทักทายจำนวนมาก พร้อมกล่าวว่า "ลุงป้อมสู้" ต่อจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ขึ้นรถแห่ปราศรัยหาเสียงและขอให้ชาวกรุงเทพฯ เลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาทำหน้าที่แทนประชาชน ในการขจัดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย

ขบวนรถแห่ได้เคลื่อนตัวออกจากไปยังวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดยตลอดเส้นทาง ได้ผ่านหน้า สน.พลับพลาไชย มุ่งหน้า ถ.หลวง เข้าแยกแม้นศรี เข้าวัดสระเกศฯ ด้านถนนจักรพรรดิพงษ์ โดยคณะของพล.อ.ประวิตร ได้ทักทาย พ่อค้า แม่ค้า ประชาชน ที่มาทำบุญ และจับจ่ายซื้อตลอดสองข้างทาง ซึ่งได้รับการต้อนรับที่ดีจาก กทม.ต่างโบกมือทักทาย พร้อมชูป้ายสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร เป็นจำนวนมาก 

พล.อ.ประวิตร กล่าวในการสัมภาษณ์ช่วงหนึ่งว่า เป็นเป็นครั้งแรกที่ขึ้นรถปราศรัยหาเสียง ที่ลงพื้นที่ในวันนี้เพราะเป็นวันวาเลนไทน์ ต้องการให้ความรัก ก้าวข้ามความขัดแย้ง และแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นนโบบายของพรรคพลังประชารัฐ ในวันนี้ก็ได้รับการต้อนรับจากชาว กทม.เป็นอย่างดี ตนก็ต้องขอขอบคุณทุกคนด้วย ส่วนการเลือกตั้งในจังหวัด กทม.ตนตั้งใจไว้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ 12 คน แต่สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ แต่เราพยายามคัดคนที่มีความรู้ ความสามารถ ที่จะเข้ามาทำงานให้กับประชาชน 

 ทั้งนี้ ว่าที่ผู้สมัคร กทม.ที่ร่วมขบวนการปราศรัยในวันนี้ ประกอบด้วย นายรังสรรค์ กียปัจจ์ เขตหลักสี่, น.ส.ชญาภา ปรีดาพากย์ เขตยานนาวา ,น.อ.บัญชาพล อรัณยะนาค  เขตสายไหม ,น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง เขตบึงกุ่ม  , นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ เขตวัฒนา , นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล เขตบางขุนเทียน , นางนาถยา แดงบุหงา เขตสะพานสูง ,ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช  เขตบางซื่อ  ,พ.ต.ท.วันชัย ฟักเอี้ยง เขตตลิ่งชัน  ,นายกานต์ กิตติอำพน  เขตห้วยขวาง  ,นายสฤษดิ์ ไพรทอง เขตดุสิต ,นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ เขตจตุจักร ,นพวรรณ หัวใจมั่น เขตบางเขน ,น.ส.บุณณดา สุปียพันธุ์ เขตบางพลัด ,สุชาดา เวสารัชตระกูล  เขตจอมทอง ,นายศิริพงษ์ รัศมี  เขตดอนเมือง  ,นายพีระพงษ์ รัศมี  เขตหนองจอก ,นายกิติภูมิ นีละไพจิตร  เขตมีนบุรี  ,นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา เขตคลองสามวา  ,นายเอกษัย ผ่องจิตร์  เขตราษฎร์บูรณะ ,น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน  เขตบางแค  ,นางนฤมล รัตนาภิบาล เขตทวีวัฒนา  ,นายศันสนะ สุริยะโยธิน  เขตบางกะปิ  ,ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรกร  เขตคลองสาน ,นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตพญาไท  ,นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล เขตลาดพร้าว ,นายพณิชย์ วิทยาภัทร์  เขตบางกอกน้อย  ,นายภูมิพิชัย ธารดำรงค์  เขตราชเทวี ,นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ  เขตบางรัก  ,นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ  เขตพระโขนง


"พีระพันธุ์" รับหน้าเสื่อ! สมาคมอบต.ฯบุกทำเนียบฯ พบนายกฯทวงถามขึ้นค่าตอบแทน



สมาคมอบต.ฯบุกทำเนียบรัฐบาลขอพบนายกฯทวงถามความคืบหน้าขึ้นค่าตอบแทน “พีระพันธุ์” รับหน้าเสื่อย้ำการพิจารณาใกล้เสร็จแล้วแต่ถูกมองเป็นการเมืองเลยสะดุดต้องพิจารณาต่ออย่างรอบคอบ  นายกสมาคมอบต.ฯยันไม่เกี่ยวการเมืองเลยเสนอขอมาก่อนปี 57 แล้ว พร้อมให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ช่วยสนับสนุน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566  เวลา 13.30 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 111  ผศ.(พิเศษ) ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม จังหวัดปทุมธานี ในฐานะนายกสมาคมอบต.แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนอบต.จากภาคต่างๆทั่วประเทศประมาณ 50 คน ขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อมาติดตามความความคืบหน้าการขึ้นค่าตอบแทนให้กับอบต.ทั่วประเทศ โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการเร่งรัดการปฏิบัติงานราชการ เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีมาพบกับกลุ่มตัวแทนสมาคมอบต.ฯพร้อมทั้งได้หารือร่วมกัน

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้รับทราบปัญหาของ อบต.ตามรายละเอียดที่แจ้งมา ก็ได้หน่วยงานรับผิดชอบรายงานความคืบหน้าการทำงาน ทราบว่าในช่วงที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดและกำลังจะเสร็จสิ้นเร็วๆนี้ เป็นการดำเนินการไปตามขั้นตอนอย่างเงียบๆ เพราะโดยปกติการทำงานไม่ได้อยากให้เป็นข่าวอยู่แล้ว เพราะดูที่เนื้องานมากกว่า แต่มีการแสดงความคิดเห็นในทางการเมืองขึ้นมาตามที่ทราบกันจึงอาจจะทำให้การดำเนินการสะดุด เพราะอาจจะต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อให้ชัดเจนที่สุด แต่ขอให้ทุกคนใจเย็น เพราะเรื่องนี้มีความคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว เชื่อว่าไม่มีปัญหาแม้อาจจะต้องใช้เวลาล่าช้าออกไปสักหน่อย จากการที่ถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง 

“อยากให้ทุกคนใจเย็นๆ ผมทำอะไรทำจริง การที่เข้ามาดำเนินการเรื่องนี้ไม่ได้หวังเป็นอย่างอื่น  ผมทำงานไปตามหน้าที่ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียน ก็ต้องเข้าไปตรวจสอบโดยไม่ได้แทรกแซงหน่วยงานใด จึงอยากให้เป็นอุทาหรณ์ด้วยว่าเมื่อเกิดปัญหากับตัวเราเองทุกคนก็เดือดร้อนเช่นเดียวกับชาวบ้าน จึงอยากให้ทุกคนทำงาน โดยนึกถึงชาวบ้านเป็นที่ตั้ง  ขอให้ทำงานอย่างรวดเร็ว เพราะทุกคนก็อยากให้ปัญหาของตนได้รับการแก้ไขไปได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน”นายพีระพันธุ์กล่าว

ด้าน ผศ.(พิเศษ) ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มาวันนี้มาให้กำลังใจนายกฯและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ช่วยดำเนินการในเรื่องนี้มาโดยตอลด อยากบอกว่าเรื่องนี้ได้เกี่ยวกับการเมืองเลย งบประมาณที่ขอเพิ่มมาเป็นค่าตอบแทบอบต.ก็งบประมาณของท้องถิ่นเองจึงไม่อยากให้นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมือง วันนี้จึงอยากมาให้กำลังใจและมอบดอกไม้ให้กับนายกฯและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ลงมาเร่งรัดให้เรื่องนี้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม  ขอย้ำว่ การเสนอปรับอัตราค่าตอบแทนมีต้นเรื่องมาจากสมาคม อบต.ฯ ไม่ได้มาจากการเสนอปรับโดยกลไกทางการเมืองอย่างที่เป็นข่าว การเสนอปรับอัตราคำตอบแทน ได้กระทำอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2557 จนถึงปีปัจจุบัน โดยใช้หลักการและเหตุผลความเท่าเทียมในหน้าที่ ภารกิจ และฐานะทางการคลัง เพื่อให้อัตราค่าตอบแทนเทียบเท่ากับเทศบาล และที่เคยเสนอไปล่าสุดเสนอในห้วงเวลาหลังการเลือกตั้ง อบต.เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2564 ไม่ใช่เพิ่งมาเสนอ ซึ่งทาง อบต. มีงบประมาณเพียงพอ ในการปรับอัตราค่าตอบแทนเพิ่ม โดยไม่กระทบงบประมาณด้านบริการสาธารณะของท้องถิ่นแต่อย่างใด

 

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

"ลุงป้อม700" โผล่กลางเวทีเมืองกาญจน์ด้วยระบบไฮดรอลิก ปราศรัยครั้งแรกประกาศข้ามขัดแย้ง แก้แล้งแก้จน



"ลุงป้อม700"โผล่กลางเวทีเมืองกาญจน์ด้วยระบบไฮดรอลิก ปราศรัยครั้งแรกประกาศปลุกกระแส 3 นโยบายมัดใจ ย้ำก้าวข้ามทุกปัญหา ทุกความขัดแย้ง    ส่ง 5 ว่าที่ผู้สมัคร พปชร.กวาดยกจังหวัดแก้ปัญหาน้ำ ที่ดินทำกิน ตรงจุด 

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา19.00 น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ( พปชร.)  นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค  และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม   ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน  จ. กาญจนบุรี  เป็นการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ครั้งแรกของพื้นที่ภาคกลาง   บริเวณเกาะรัตนกาญจน์ ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี  ซึ่งมีประชาชนมารอต้อนรับอย่างเนืองแน่น   และชูป้ายให้กำลังใจ ขึ้นเป็นนายกคนที่ 30  พร้อมกับการชูแคมเปญของพื้นที่จังหวัดที่มุ่งมั่น “เปลี่ยนคน เปลี่ยนเมือง เพื่อคนเมืองกาญจน์ของเรา  ผ่านการขับเคลื่อนของว่าที่ผู้สมัคร ทั้ง5 เขต และ 1 สส บัญชีรายชื่อ      

พร้อมกับการเปิดนโยบายแก้จนภายใต้แคมเปญ “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน”  “มีเรา  มีที่ทำกิน   มีที่ดินไม่มีจน” และ”ลุงป้อม 700” พร้อมไปกับการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 5 เขต และสส.บัญชีรายชื่อ   ต่อพี่น้องประชาชน   ประกอบด้วยเขต 1 นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ เขต 2 นายชูเกียรติ จีนาภัคดิ์ เขต 3 พล.ต.ต.กมลสันติ กลั่นบุศย์ เขต 4 นางสาวลำยอง  ยิ้มใหญ่หลวง เขต 5 นายประเทศ บุญยงค์ และนางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ระบบบัญชีรายชื่อ 

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวทักทายกับชาว เมืองกาญจน์ กว่า 20,000 คนที่มาร่วมรับฟังคำปราศรัย โดยขึ้นเวที ด้วยระบบไฮดรอลิก ผมรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้มาเยือนจังหวัดกาญจนบุรี โดยเราตั้งมั่นว่า จะนำความรุ่งเรือง ความยิ่งใหญ่มาให้กับชาวจังหวัดเมืองกาญจน์ และจะเป็นส่วนหนึ่งของความรุ่งเรืองในประเทศไทยบ้านของเราทุกคน วันนี้ตนมายืนอยู่ตรงนี้พร้อมกับพี่น้องพรรคพลังประชารัฐ มาเพื่อให้คนกาญจน์มั่นใจว่า แนวความคิด แนวทาง และหัวใจของพวกเราทุกคนได้คัดสรรคนเกรดเอเข้ามารับใช้ทุกท่าน

"ที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้ว่า ถ้าจะเลือกผู้สมัคร ส.ส.มาให้กับชาวเมืองกาญจน์ อย่าเลือกคนที่แค่อยากจะเป็น ส.ส.แต่ไม่มีอุดมการณ์ แต่ต้องเลือกคนที่อยากทำงานอยากแก้ปัญหา มาเพิ่มโอกาสให้กับคนเมืองกาญจน์พรรคพลังประชารัฐจึงต้องพิจารณาอย่างหนัก เพื่อสรรหาคนที่ดีที่สุด และเอาใจใส่ มีความมุ่งมั่น ทุ่มเทและรู้ถึงปัญหาของคนเมืองกาญจน์อย่างแท้จริง ที่สำคัญคือ ต้องแก้ปัญหาให้กับชาวจังหวัดกาญจนบุรีให้ได้ ผู้สมัครของพรรคในครั้งนี้เรานำคนเกรดเอ เพื่อมาช่วยพัฒนากาญจนบุรีเป็นจังหวัดเกรดเอให้ได้ และวันนี้ผู้สมัครทั้ง 6 คน ของพรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะทำงานให้กับพี่น้องชาวจังหวัดกาญจนบุรี ขอให้ชาวเมืองกาญจน์ลงคะแนนให้กับคนทำงานได้เข้าไปแก้ปัญหาอย่างรู้จริง"

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นเมืองกาญจน์หรืองพื้นที่อื่น ๆ พรรคพลังประชารัฐขอยืนยันว่า จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนให้ได้ในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำ เรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำ รวมไปถึงแหล่งกักเก็บน้ำ ท่อส่งน้ำไปให้กับพี่น้องประชาชนได้มีน้ำบริสุทธิ์ใช้บริโภคอุปโภค พรรคพลังประชารัฐยังเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่ยังมีความเดือดร้อนอยู่ รวมถึงปัญหาเรื่องที่ดินทำกินก็เป็นปัญหาเรื้อรังมานานในหลายจังหวัด พรรคพลังประชารัฐของเราก็พยายามที่จะแก้ปัญหาให้กับทุกคน ที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นการโดนไล่ที่ดิน หรือการถูกรื้อถอนที่อยู่อาศัย นโยบายของพรรคของเราจะช่วยกันขับเคลื่อนกับทุกภาคส่วน เพื่อแก้ปัญหาให้กับชาวจังหวัดกาญจนบุรีและคนไทยทั้งประเทศให้ได้

นอกจากนี้ปัญหาไม่ได้มีแค่เรื่องน้ำ หรือที่ดิน แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของการท่องเที่ยว ยาเสพติด การค้าขายตามแนวชายแดน รวมถึงปัญหามลพิษต่างๆ และราคาปุ๋ย ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เราต้องมาช่วยกันแก้ไขความยากจนให้กับคนจน พลังประชารัฐจะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และพัฒนาคน เราต้องเตรียมคน เตรียมเมืองให้พร้อม เราจะต้องต่อสู้เพื่ออนาคตของลูกหลาน เพราะเขาจะต้องมาดูแลบ้านเมืองต่อจากพวกเรา

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอให้ทุกท่านได้โปรดลงคะแนนให้กับ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐเพื่อมาทำหน้าที่คอยสื่อสารความต้องการของท่าน และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรม ส.ส.ของพรรคเราจะต้องทำให้ได้จริง เมื่อเป็น ส.ส.แล้วก็ต้องทำงานให้คุ้มกับที่ประชาชนเลือกมา จะทำให้ประชาชนหรือจังหวัดเสียโอกาสไม่ได้

"พรรคพลังประชารัฐไม่ต้องการขัดแย้งกับฝ่ายใดเพราะถ้าหากมัวแต่ทะเลาะกัน บ้านเมืองก็จะไม่ไปไหนทุกคนจะต้องมีเป้าหมายสร้างความสมานฉันท์และทำงานร่วมกันเพื่อให้ประเทศเดินหน้า และให้ประชาชนอยู่ดีกินดี พรุ่งนี้เป็นวันแห่งความรัก ผมขอถือโอกาสนี้มอบความรัก และความปรารถนาดีให้กับพี่น้องชาวจังหวัดกาญจนบุรี และพี่น้องคนไทยทั่วประเทศ ขอให้เชื่อมั่นในความรัก ความสามัคคี ขอให้บ้านเมืองของเราสงบสุข และขอให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข พรรคพลังประชารัฐจะก้าวข้ามความขัดแย้งขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่"  พล.อ.ประวิตร กล่าว 

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ได้มายืนในที่กาญจนบุรี ทำให้คิดถึงเมื่อสี่ปีที่แล้ว และครั้งนี้ก็ยังได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นเหมือนเคยต้องขอขอบคุณชาวจังหวัดกาญจนบุรีทุกคน พลเอกประวิตรตัดสินใจเลือกจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่จะนำชัยชนะมาให้ จึงเปิดการปราศรัยใหญ่ที่นี่เป็นจังหวัดแรก การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาชาวจังหวัดกาญจนบุรีได้ให้โอกาส ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐถึง 4 จาก 5 คนและครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐก็ยังมีคนคุณภาพมาให้พี่น้องเลือกเช่นเคย 

กาญจนบุรี เป็นพื้นที่แรก  หลังจากที่ พรรค ได้ออกนโยบายเพิ่มเติมเพื่อนำเสนอต่อประชาชน    โดยเน้นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และ ปัญหา ที่ทำกิน เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับประชาชนทั่วประเทศ พร้อมฝากและเลือกว่าที่ผู้สมัครทุกเขตทั้งจังหวัด  เพื่อเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน  ที่จะเข้าไปทำหน้าที่ไปผลักดันนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น พรรคไม่มีความขัดแย้งกับใคร เพราะเราจะมุ่งก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดความยากจน ทุกพื้นที่ของประเทศ

ในขณะที่นโยบายเพิ่มเงินสวัสดิการประชารัฐ เป็น 700 บาท หรือที่เรียกกันว่า “ลุงป้อม 700”  ได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากพี่น้องประชาชนในการลดภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ว่าที่ผู้สมัครทั้ง  5 คน  และ สส. บัญชีรายชื่อ อีก 1 คน ได้ขึ้นปราศรัย เพื่อปลุกพลังคนพลังประชารัฐ  แสดงจุดยืน การันตีผลงาน  และประสบการณ์ที่ผ่านมา พร้อมดูแลประชาชน อย่างต่อเนื่อง และเข้าใจปัญหาทุกด้านของคนเมืองกาญจน์ที่จะถูกนำไปแก้ไขทันที หากได้รับความไว้วางใจแบบยกทีมจากพี่น้องประชาชน  เพื่อร่วมกัน หนุน พล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรค เป็นนายกคนที่30 



"อนุทิน" ไม่เชื่อ ส.ว.มีอำนาจใหญ่กว่าปชช.เลือกนายกฯ ฝืนความต้องการไม่ได้



วันที่ 13 กพ. ที่ชุมชนหมู่บ้านพัฒนา 70 ไร่ เขตคลองเตย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าวถึงกรณีที่ ส.ว. บางคนออกมาบอกว่าอำนาจในการโหวตนายกรัฐมนตรีอยู่ในมือ ส"ว.250 คน อาจจะถูกมองว่าตั้งตัวเป็นพรรคการเมือง ว่า มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แต่เชื่อว่าไม่ อำนาจใหญ่ใดใหญ่กว่าอำนาจประชาชน ตนเองถึงได้บอกอยู่เสมอว่าอย่าไปคาดการณ์หรือตั้งคำถามหรือตั้งคำถาม อะไรไว้ก่อน ของจริงที่สุดคือหลังเลือกตั้งคนที่อยู่ในสภาฯ ก็ต้องทำตามเสียงของประชาชนนั่นแหละคือของจริง 

เมื่อถามว่า จะมองว่าเสียงของ ส.ว. จะทำให้พรรคการเมืองเสียเปรียบหรือไม่นั้นนายอนุทินกล่าวย้ำว่า “ ไม่มีใครใหญ่กว่าประชาชน และฝืนประชาชนได้ ยิ่งพรรคภูมิใจไทยยิ่งไม่กล้าฝืน”     


"บิ๊กป้อม700" อายแต่ปลื้ม! โดนคนเมืองกาญจน์กระโดดกอด-หอมแก้ม เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.พปชร.

 


เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566  เวลา 18.12 น. ที่ จ.กาญจนบุรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้าสักการะศาลหลักเมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนขึ้นเวทีปราศรัยและเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี พรรค พปชร. ประกอบด้วยนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ,นายชูเกียรติ จีนาภัคดิ์ ,พล.ต.ต.กมลสันติ กลั่นบุศย์ ,นางสาวลำยอง ยิ้มใหญ่หลวง และนายประเทศ บุญยงค์ รวมถึงนางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ อดีตกรรมการบริหาร พรรคประชาธิปัตย์ ที่ย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐที่จะลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

รวมถึงบรรดาแกนนำพรรคและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคกลางและ กทม. อาทิว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ราชบุรี และประชาชนถือดอกไม้ พวงมาลัย และป้ายข้อความ อาทิ "นายกฯคนที่ 30 มาแล้วจ้าาาา" " เลือกทั้งคนเลือกทั้งพรรค พาลุงป้อมเป็นนายกฯกันเน้อ" "เปลี่ยนคนเป็นเกรด A เปลี่ยนเมืองเป็นเกรด A" "ลุงป้อมมีใจ พวกเรารวมแรง ใจบันดาลแรง" รอต้อนรับ

โดยทันทีที่ พล.อ.ประวิตรเดินทางมาถึงประชาชนที่มารอต้อนรับเข้าสวมกอด จับมือ มอบดอกกุหลาบพวงมาลัย และหอมแก้ม พล.อ.ประวิตร โดยชาวบ้านคนดังกล่าวพอหอมพล.อ.ประวิตร แล้วบอกว่า "แก้มลุงป้อมหอมจังเลย"

จากนั้นพล.อ.ประวิตร ไหว้สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และถ่ายรูปรวมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ก่อนจะเดินทางไปร่วมเวทีปราศรัย

"อนุชา"ตื่นติดตามงานพศจ.ทั่วประเทศ จี้ทำงานเชิงรุกแพร่ข่าวดีลบภาพเสื่อมเสีย



รมต.อนุชา ติดตามงาน พศจ. ทั่วประเทศ หลังกำชับทำงานเชิงรุก เชื่อมั่น 1-3 เดือนเห็นผลชัดเจน ย้ำเร่งสร้างเครือข่าย สอดส่อง ดูแล ลบล้างความเสื่อมเสียทางพระพุทธศาสนา

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566  เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อติดตามการดำเนินงานภายหลังจากที่มอบนโยบายให้สำนักงานเร่งดำเนินงานเชิงรุก จากกรณีที่มีการนําเสนอข่าวพระพุทธศาสนาเชิงลบผ่านสื่อช่องทางต่างๆ โดยมี นายธัชชญาณ์ณัช  เจียรธนัทกานนท์  เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอินทพร จั่นเอี่ยม รองผู้อำนวยการ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายสิปป์บวร แก้วงาม ที่ปรึกษาสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าร่วม 

ภายหลังการประชุมฯ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกวันนี้มีการเผยแพร่ข่าวสร้างความเสื่อมเสียทางพระพุทธศาสนา ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางโซเชียลมีเดียมีการแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งบางเรื่องไม่เป็นความจริง และบางเรื่องยังไม่ได้รับการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง ส่งผลให้ความศรัทธาของชาวพุทธถดถอย และไม่เป็นที่ยอมรับดังอดีต โดยได้เน้นย้ำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทั่วประเทศเร่งติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่มีข่าวฉาวสร้างความเสื่อมเสีย โดยให้มีการประสานเครือข่ายที่มีความใกล้ชิดชุมชน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน เพราะคนกลุ่มนี้มีความใกล้ชิดประชาชนและมีข้อมูลจริงของพื้นที่ พร้อมกับให้ตั้งวอร์รูม ในสำนักพระพุทธฯ และให้ พศจ. รายงานผลทุกวัน ในส่วนจังหวัดให้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง และให้รายงานผลเป็นรูปธรรมชัดเจน

ด้าน นานอินทพร  ได้รายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้นำประเด็นนี้ถวายรายงานที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยที่ประชุมได้รับทราบและจะติดตามดูแลพฤติกรรมของคณะสงฆ์อย่างใกล้ชิด ด้านการประสานงานเครือข่าย ได้หารือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเพื่อบูรณาการการดำเนินงานและติดตามตรวจสอบกรณีที่สร้างความเสื่อมเสียในทางพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยังได้เตรียมตั้งคณะกรรมการและจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อติดตามและสอดส่องกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับกรณีพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ไม่สำรวม หากเกิดในพื้นที่ใดทาง พศจ. จะเร่งนำเรื่องนี้หารือเจ้าคณะปกครองพื้นที่ตามลำดับชั้น และจะสนับสนุนการดำเนินงานเจ้าคณะผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด

"สำนักพุทธฯ จะต้องปรับรูปแบบการทำงานให้เป็นองค์กรที่ตอบสนองต่อการปกป้องและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเชิงรุก โดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ดีงาม เพื่อดึงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนและประชาชนชาวไทยกลับมาเชื่อมั่นในความดีงามของพระพุทธศาสนาอีกครั้ง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของชาติ เราทุกคนต้องปกป้องมิให้สิ่งใดมาสร้างความเสื่อมเสียและทำร้าย ในส่วนที่ไม่ดี ต้องมีการตรวจสอบและลบล้างออกไป เช่น พระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ขอให้ พศจ. เร่งประสานพืันที่และรายงานมายังส่วนกลางอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่ดีต้องทำนุบำรุงไว้เพื่อให้รุ่นลูกหลานได้สืบทอดความดีงามนี้ไว้ต่อไป หากปฏิบัติต่อเนื่องเช่นนี้ คาดว่าภายใน 1-3 เดือนนี้ การดำเนินงานเชิงรุกของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

วัดราชบัณนะวิหาร วัดพระธรรมกาย มูลนิธิธรรมกาย จัดบวชสามเณรบังกลาเทศ 500 รูป ปลูกฝังศีลธรรมเยาวชน



เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566   พระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กล่าวว่า วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 วัดราชบัณนะวิหาร ประเทศบังกลาเทศ วัดพระธรรมกาย และมูลนิธิธรรมกาย ประเทศไทย ร่วมกันจัดพิธีบรรพชาสามเณร 500 รูป  ในโครงการบรรพชาสามเณร ครัังที่ 3 ณ วัดปันชารี สันติปูร์ อรัญกุฏิ เมืองคาร์กาชารี ประเทศบังกลาเทศ โดยได้รับความเมตตาจากพระศาสนรักขิตตะ มหาเถโร เจ้าอาวาสวัดปันชารี สันติปูร์ อรัญกุฏิ เป็นพระอุปัชฌาย์ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ในเครือวัดราชบัณนะวิหาร พระอาจารย์สมาน ฐานสโม และคณะสงฆ์จากวัดพระธรรมกาย ร่วมพิธีคล้องอังสะให้กับธรรมทายาท

พิธีเริ่มในภาคเช้า โดยธรรมทายาทประกอบพิธีเวียนประทักษิณ ต่อด้วย พิธีขอขมา มอบผ้าไตร และคล้องอังสะ จากนั้นภาคบ่าย เป็นพิธีบรรพชาสามเณร ซึ่งภายในพิธีมีคณะญาติผู้ปกครอง และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีด้วยความศรัทธา และปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ว่างเว้นการจัดโครงการบรรพชามานานกว่า 3 ปี การจัดบรรพชาครั้งนี้นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งระหว่างคณะสงฆ์ไทยกับบังกลาเทศ

“โครงการบรรพชาสามเณร ประเทศบังกลาเทศ จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างวัดราชบัณนะวิหาร ประเทศบังกลาเทศ วัดพระธรรมกาย และมูลนิธิธรรมกาย ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 8-22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ณ วัดปันชารี สันติปูร์ อรัญกุฏิ เมืองคาร์กาชารี ประเทศบังกลาเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อการฟื้นฟูและเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้ ให้เจริญรุ่งเรื่อง นำพาสันติสุขให้แผ่ขยายไปทั่วทั้งบังกลาเทศ และทั่วโลกสืบต่อไป โดยสามเณร 500 รูปในโครงการดังกล่าว ได้มีโอกาสในการฝึกฝนอบรมตนเองด้วยหลักปฏิบัติความดีสากล UG5 ได้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ฝึกจิตใจให้ผ่องใส และได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาเพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และฟื้นฟูเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้ต่อไป” พระครูสมุห์สนิทวงศ์กล่าว

พรรคชาติพัฒนากล้าลุยสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวเศรษฐกิจสายมู จากความศรัทธาสู่การสร้างรายได้อย่างไม่รู้จบ



เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 พรรคชาติพัฒนากล้า นำโดย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือ นายกอุ๊ ที่ปรึกษาพรรค พร้อมด้วยนางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร นางสาววิเวียน จุลมนต์ และนางสาวกชพร คีรีโชติ ทีมนโยบายพรรค เดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยวสายมู ณ วัดโบสถ์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี , วัดไชยวัฒนาราม และอุทยานหลวงปู่ทวด จ.พระนครศรีอยุธยา 

โดยวัดโบสถ์นั้น มีการสร้างหลวงพ่อโต องค์ใหญ่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา โดย นายกอุ๊ เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างเมื่อกว่า 10 ปี ที่แล้ว จากวัดเล็ก ๆ ขยายเติบโตเป็นวัดขนาดใหญ่ ที่ประชาชนจากทั่วประเทศ เข้ามาสักการะไม่ขาดสาย สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ที่นำของมาจำหน่าย สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในชุมชน ส่วนที่วัดไชยวัฒนาราม ก็เป็นแลนด์มาร์กสำหรับแหล่งเช็คอินของชาวไทยและต่างประเทศ  สร้างรายได้ให้กับร้านค้า เช่าชุดไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมใส่ถ่ายรูปกันอย่างเนืองแน่นโดยเฉพาะเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ และที่ อุทยาน หลวงปู่ทวด ซึ่งนายกอุ๊ ได้จัดสร้างขึ้นมาใหม่ จากพื้นที่นาโล่ง ๆ  กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่สร้างรายได้ให้กับร้านค้าชุมชนในพื้นที่ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 – 350,000 บาท 

นางสาวยศยา หรือ นุ่น ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทำธุรกิจสายมู กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อและความศรัทธาในศาสตร์การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่คู่คนไทยมาช้านานตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาล การกราบไหว้และบูชาในศาสตร์ต่างๆเปรียบดั่งการยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงปลุกขวัญและกำลังใจในการใช้ชีวิตทางโลกได้อย่างเสถียรภาพและมีคุณภาพ  มีบทวิจัยจากนักวิจัยหลายประเทศเป็นเครื่องยืนยันว่าศาสตร์ของการมูเตลูและการนั่งสมาธิสามารถเยียวยาจิตใจ รักษาโรคภัย และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับมวลมนุษย์ได้

นางสาวยศยา กล่าวว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าในการบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและศาสตร์การบูชาองค์เทพสายขาวทุกแขนง เริ่มต้นจากผู้ศรัทธากลายมาเป็นผู้บูชา จนมาถึงเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ one stop services เกี่ยวกับการมูเตลู นุ่นเป็นทั้งผู้ซื้อสินค้าและบริการ จนกลายมาเป็นผู้ให้บริการทางด้านสินค้าและบริการทางศาสตร์มูเตลู เป็นเครื่องยืนยันได้จากประสบการณ์จริงว่า ความศรัทธา สามารถเปลี่ยนเป็นเม็ดเงิน และ ต่อยอดทางธุรกิจและเศรษฐกิจได้อย่างไม่รู้จบ 

“ยกตัวอย่างเช่น นุ่นศรัทธาองค์ท้าวเวสสุวรรณ นุ่นจึงตัดสินใจที่ไปทำบุญวัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงครามซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของท่าน ระหว่างทางนุ่นได้ซื้อดอกไม้และเครื่องสักการะต่างๆในการบูชา เพียงเท่านี้ก็สามารถกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการและชุมชนละแวกนั้น นี่ยังไม่นับรวมถึงการเช่าบูชางานพุทธศิลป์ที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ผู้คนตัดสินใจเช่าบูชาเพราะความศรัทธา เม็ดเงินส่วนนี้ก็จะหลั่งไหลเข้าวัดเพื่อไปต่อยอดการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป  รวมไปถึงเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างความมั่นคงให้กับศิลปินช่างปั้นในประเทศไทยเราด้วย” นางสาวยศยา กล่าว 

นางสาวยศยา กล่าวอีกว่า เมื่อพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจเฉดสีขาวของพรรคชาติพัฒนากล้า หรือ เศรษฐกิจสายมู ที่เน้นสร้างรายได้กระจายสู่จังหวัดและชุมชนทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย โดยมีแรงผลักดันที่เรียกว่า ความศรัทธา และความเชื่อ นั่นเองที่จะนำพาความผาสุข และ ความอยู่ดีกินดีงานดีมีเงินของไม่แพง  ของคนไทยกลับมาสู่ประเทศอีกครั้ง ในอนาคตที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่านักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของทริปทำบุญจากประเทศอื่นมาเป็นประเทศไทย การท่องเที่ยวสายบุญซึ่งมีความศรัทธาเป็นเข็มทิศ จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรม มารวมตัวกัน และ ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างสวยงามของระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย


ประชาชาติพบปะ “บาบอ-โต๊ะครู-อุสตาส” สถาบันปอเนาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมรวมกันเป็นหนึ่งเพื่ออุมมะห์

 


นายกสมาคมปอเนาะ ขอให้รื้อฟื้น ‘มหาวิทยาลัยฟาตอนีดารุสสาลาม’ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” พบบาบอผู้บริหารปอเนาะชายแดนใต้ รับข้อเรียกร้องปลดแอกการศึกษาสถาบันปอเนาะ เปิดโอกาสให้นักเรียนที่จบศาสนาชั้น 10 เรียนต่ออิสลามศึกษาในมหาวิทยาลัยได้ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ย้ำ!  ส.ส.ประชาชาติ ยืนหยัดปกป้องกฎหมายอิสลามจากพวกสุดโต่ง ขณะที่ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ยกย่อง “ปอเนาะ” กำแพงสกัดสิ่งชั่วร้าย พร้อมประกาศยกระดับภาษามลายูเป็นภาษาราชการ

 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่โรงแรมปาร์ค อินทาวน์ อ.เมือง จ.ปัตตานี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานเปิดโครงการสัมนาสมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ "พบปะโต๊ะครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องในโอกาสอิซเราะ เมี๊ยะรอจ” 

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า 2-3 วันที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งร้องเรียนไปที่รัฐสภา ให้ยกเลิกกฎหมายเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม 4 ฉบับ (พ.ร.บ. บริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 , พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ.2524 , พ.ร.บ.ฮัจย์ พ.ศ.2559 , พ.ร.บ.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และการรับรองตราฮาลาล) ซึ่งหมายนี้กำหนดให้มีจุฬาราชมนตรี  มีคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีโต๊ะอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น เขาขอให้ยกเลิก เขาบอกว่ากฎหมายนี้ไม่มีประโยชน์ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อกฎหมายประเทศ ถ้ายกเลิกเราจะไม่มีจุฬาราชมนตรี ไม่มีประธานกรรมการอิสลาม ไม่มีอิหม่าม ไม่มีคอเต็บ บีหลั่น ไม่มีการจดทะเบียนมัสยิด 

“ไม่ทราบเป้าหมายที่เขาบอกขัดต่อรัฐธรรมมนูญ ประชาชนเราจะเอาอันไหน จะให้ยกเลิก พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ยกเลิก พ.ร.บ.ฮัจย์ และยังมีการขอให้ยกเลิก พ.ร.บ.ฮาลาล เขาบอกว่า ฮาลาลไม่จำเป็น ส่วนตัวไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าเกิดที่เมียนมาร์ก็ไม่แปลก”

“โอกาสนี้ต้องขอบคุณผผู้แทนราษฏรของพรรคประชาชาติ 6 คน ที่ต่อสู้เพื่อพี่น้องของเรา ขอให้ทุกคนรู้ไว้ว่า ศาสนากับการเมืองต้องไปด้วยกัน ทุกวันนี้เรายังมีภาษาและวัฒนธรรม เพราะเรามีปอเนาะ เรามีภาษามลายู” หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าว

โอกาสนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้บรรยายเรื่องการศึกษาสถาบันศึกษาปอเนาะกับการพัฒนาสู่เวทีอาเซียน โดยมี นายมูฮำหมัดซูวรี สาแล นายกสมาคมสถาบันปอเนาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบาบอผู้บริหารสถาบันปอเนาะกว่า 900 คน รวมทั้ง ส.ส.พรรคประชาชาติ และคณะผู้บริหารพรรคร่วม

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กล่าวว่า การศึกษาจะทำให้มนุษย์มีความแข็งแกร่งทั้งทางร่างก่ายและจิตใจ การศึกษาในปอเนาะและเป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับศาสนา มั่นใจสถาบันปอเนาะจะสามารถเป็นกำแพงและเป็นสะพานที่จะปกป้องจิตใจผู้เรียนให้มีความแข็งแกร่ง สกัดกั้นสิ่งชั่วร้าย แม้แต่พนันออนไลน์ในปัจจุบัน หนทางป้องกันคือการปฏิบัติตามหลักศาสนา โอกาสที่จะสร้างความเจริญให้ประเทศ คือโอกาสมาจากการศึกษา สิ่งที่ถูกมองข้ามที่สุดคือสถาบันปอเนาะ  

พ.ต.อ.ทวี ยังพูดถึงสถาบันปอเนาะที่เคยถูกโจมตีจากภาครัฐในอดีต หนักจนกระทั่งไม่ให้มีการขยายปอเนาะ โต๊ะครูต้องพลีชีพและต้องต่อสู้กับรัฐนิยม ภาษามลายูถูกกดทับ การโจมตีครั้งล่าสุดจากอำนาจนิยม ก็คือ 4 ม.ค.2547 สถาบันปอเนาะถูกตรวจค้น ถูกปิดล้อม  ใช้คำพูดว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะ มีหนังสือเวียนจากแม่ทัพไปถึงผู้ว่าฯ ว่าสถานที่บ่มเพาะ คือ โรงเรียนสอนศาสนา ตอนนี้มี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กำลังพิจารณาอยู่ในสภา มีการใช้ภาษาว่าบ่มเพาะ ที่ว่าร้ายปอเนาะ แต่เขากลับไปเขียนใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 

“สมัยเป็นเลขาธิการ ศอ.บต. สถาบันปอเนาะสะปอม (โรงเรียนอิสลามบูรพา) ถูกปิด ก็ได้ดำเนินการจนสามารถเปิดการเรียนการสอนปกติได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะอำนาจเลขาธิการ ศอ.บต. เขียนไว้ว่า ต้องส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา สถาบันปอเนาะคือการส่งเสริมการศึกษา นี่คือหนึ่งตัวอย่าง และพรรคประชาชาติมีแนวคิดจะยกคุณภาพ ยกศักยภาพสถาบันปอเนาะ ถึงเวลาแล้วที่ภาษามลายูเป็นภาษาราชการภาษาที่ 2 ใช้เฉพาะในสามจังหวัด  วันนี้ภาษา วัฒนธรรม และศาสนาต้องไม่มีพรมแดน” เลขาธิการพรรคประชาชาติ ระบุ


ด้านนายมูฮำหมัดซูวารี ได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อให้พรรคประชาชาติแก้ปัญหาให้กับสถาบันปอเนาะ เช่น การจดทะเบียนสถาบันปอเนาะที่กำหนดให้โต๊ะครูต้องจบปริญญาตรี ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด  145 แห่งที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (ส.ช.) ไม่สามารถจดทะเบียนให้ได้ จึงขอให้พรรคประชาชาติช่วยแก้ปัญหา ให้มีการผ่อนปรน เพื่อให้สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ปกติก่อนในระหว่างดำเนินการ และขอให้สถาบันปอเนาะสงขลา สตูล ได้รับเงินอุดหนุนเช่นเดียวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 


นอกจากนั้น ยังได้ร้องขอให้พรรคประชาชาติ แก้ปัญหาให้นักเรียนที่เรียนจบชั้น 10 ทางศาสนา สามารถรองรับวุฒิการศึกษา เข้าเรียนต่อคณะอิสลามศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศได้ เนื่องจากปัจจุบันวุฒิอิสลามศึกษาชั้น 10 (ซานาวี) สามารถไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศได้ แต่ไม่สามารถเรียนในไทยได้ และขอให้มีการพัฒนาสถาบันปอเนาะ เหมือนสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และเพื่อไทย ที่มีเงินอุดหนุนปอเนาะ จะได้นำไปพัฒนาปอเนาะ รวมถึงขอให้รื้อฟื้นการจัดตั้งมหาวิทยาลัยฟาตอนีดารุสสาลาม โดยการนำหลักสูตรมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร มาเปิดการเรียนการสอนในพื้นที่ด้วย 

 

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid028LoNdm7XyrUTffuNmAkQDGDnfeoZatUuuiYkWysGHcgyAGMfauVCyugEMo3eKfpnl&id=100069375242527&mibextid=qC1gEa

"ชทพ." เปิดปราศรัยสุพรรณครั้งที่ 2 "กัญจนา" เดือด! ฝากถึงพรรคใหม่รักษามารยาท



ชาติไทยพัฒนา เปิดเวทีปราศรัย "ประภัตร" ลั่นสุพรรณต้องแลนด์สไลด์ ส่ง "วราวุธ" เป็นนายกฯจากสุพรรณคนที่ 2 "กัญจนา" เดือด สุพรรณเมืองหลวงชทพ. ใครเข้ามาเราสู้ยิบตา ฝากถึงพรรคใหม่รักษามารยาททางการเมือง ลั่นมดเล็กๆ ตัวนี้ถ้ากัด กัดเจ็บ หัวหน้าพรรคขอเลือกทั้งคนทั้งพรรค เลือก ชทพ.ทั้งสองใบ ย้ำอภิปรายทั่วไป 152 เป็นประโยชน์ทั้งรัฐบาล-ฝ่ายค้าน-ประชาชน ปัดตอบกระแสข่าวล่มประชุม ระบุรอหารือ ส.ส. 15ก.พ.นี้

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.40 น. ที่จ.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนาเปิดเวทีปราศรัยที่ทำการสหกรณ์การเกษตรอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีแกนนำพรรค อาทิ นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการอำนวยการพรรค นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ส.ส.สุพรรณบุรี นายอุดม โปร่งฟ้า กรรมการบริหารพรรค ขึ้นปราศรัย

นายประภัตร กล่าวว่า ด้วยการแบ่งเขตใหม่ เขตบางปลาม้าจะเป็นของณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ จากเดิมเป็นสรชัด สุจิตต์ ขอให้ทุกคนจดจำไว้ให้ดี และขอสดุดีนายบรรหาร ที่สร้างโรงเรียนบรรหาร-แจ่มใส ในหลายพื้นที่ หลายอำเภอ สุพรรณบุรีต้องเป็นหนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้จะชี้ชัดว่าคนสุพรรณจะรักศิลปอาชา  รักพรรคชาติไทยพัฒนาหรือไม่ โดยพรรคชาติไทยพัฒนาต้องแลนด์สไลด์ในสุพรรณบุรี หลายพรรคก็พูดถึงคำนี้ เราต้องการให้พูดแลนด์สไลด์ กันทุกคนเพราะเป็นภาษาทางการเมืองถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็แปลว่า ชัยชนะแบบถล่มทลาย พรรคชาติไทยพัฒนาสุพรรณบุรีจะต้องไม่มีคนอื่น ส่งให้วราวุธเดินไปข้างหน้าได้  วันนี้มีคนอื่นจะเข้ามา ซึ่งตนไม่อยากเชื่อ เป็นพรรคที่อยู่ด้วยกันมาในรัฐบาล จะเอามาลงที่อำเภอบางปลาม้า ตนก็ไม่เชื่อ มีนักข่าวมาถามว่ามีพรรคอยู่ด้วยกันมาแล้วจะมาลงในพื้นที่ แต่สุพรรณบุรีพรรคชาติไทยพัฒนาต้องแลนด์สไลด์ และถ้าเราจะส่งวราวุธให้เป็นนายกรัฐมนตรีของสุพรรณบุรีคนที่2 เราจะต้องแลนด์สไลด์ 

น.ส.กัญจนา กล่าวว่า เลือกตั้งคราวก่อนกัญจนาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ปีนี้วราวุธเป็นหัวหน้าพรรค ในอดีตสุพรรณบุรี กับทุกวันนี้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือเพราะคนที่ชื่อบรรหาร ในวันนี้ลูกหลานนายบรรหารและพรรคชาติไทยพัฒนาจากสืบสานต่อไป เลือกตั้งครั้งนี้เราใช้บัตรสองใบ คือผู้สมัคร และบัญชีรายชื่อ คะแนนที่ต้องการในบัญชีรายชื่อเยอะมากกว่าจะได้หนึ่งที่นั่ง 3.5แสน ขอให้ชาวสุพรรณช่วยไหนวราวุธเข้าสภา และขอยก5เขตยกทั้งจังหวัดเข้าสภา

กัญจนาเป็นผู้แทนมาตั้งแต่ 38 พ่อสอนเสมอว่าเรามีศัตรูหนึ่งคนก็เยอะไป มีมิตร 100 คนก็น้อยไป บรรหารจะไม่เป็นศัตรูกับพรรคการเมืองไหน เป็นเหตุให้พ่อมีมิตรทางการเมืองมากมาย พ่อถือเป็นมารยาททางการเมืองที่จะไม่ส่งผู้สมัครลงในพื้นที่ ที่เป็นหัวใจของพรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่ทำงานร่วมกันมาพ่อถือเป็นมารยาทของพ่อ และพรรคการเมืองหลายพรรคเป็นเช่นนี้ พ่อจึงได้ฉายาว่า มังกรการเมือง แม้จะอยู่ตรงไหนก็มี มิตรทางการเมืองด้วยการกระทำของพ่อเยี่ยงนี้ การเลือกตั้งปี62 มีการแข่งขันรุนแรงในเขตประภัตรตอนนั้นคู่แข่งขันคืออาจองชัย เกิดจากการเข้าใจผิดเล็กๆน้อยๆ ทำให้แข่งขันกัน ดังนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่ได้เป็นเจตนารมย์ของพรรคการเมืองที่นายจองชัยไปสังกัดช่วงนั้น ที่จะส่งผู้สมัครมาแข่งกับเรา เรื่องนั้นจบไปแล้ว และบัดนี้ประภัตร จองชัยก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อชาติไทยพัฒนา"

"แต่ปี66 การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ทราบมาว่ามีพรรคการเมืองตั้งใหม่พรรคหนึ่งพยายามเหลือเกินที่จะแสวงหาที่สมัครมาแข่งกับพรรคชาติไทยพัฒนาในหลายเขต จึงอยากบอกว่ามันเสียมารยาทมาก มากที่สุดคือมาทาบทามเอาน้องชายแท้ๆ ของนายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ไปลงในเขต1แข่งกับสรชัด นี่ในทางการเมืองถือว่าเสียมารยาทมาก เอาเถอะค่ะ ท่านมาเราก็สู้ และเราสู้ยิบตาด้วย แม้เราจะเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เทียบกับท่านที่มีอำนาจบารมีมาก แต่เราเป็นมด ที่ถ้ากัดเรากัดเจ็บนะคะ

"กัญจนาขอรำพึงดังๆ ไปถึงผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่กัญจนาเคารพรักถือ และยังเคารพนับถืออยู่ทุกวันนี้  ผู้ใหญ่ท่านนั้นให้ ความเมตตากับวราวุธ กัญจนา และพรรคชาติไทยพัฒนามาโดยตลอด ให้เรามีพื้นที่ทำงานแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ซึ่งกัญจนาและวราวุธขอบพระคุณมาก และทุกครั้งเวลาวราวุธหรือท่านประภัตรไปทำงานก็จะให้เครดิตท่านเสมอมา ระลึกในคุณของท่านที่ให้โอกาส วราวุธ ประภัตร และพรรคชาติไทยพัฒนาได้ทำงาน จึงอยากฝากกราบไปถึงผู้ใหญ่ท่านนี้ว่า ท่านอยากฟังคนรอบข้างให้มากนักในเรื่องการเมือง ถ้าท่านฟังมาก วันนึงถ้าท่านเลี้ยวกลับมาดูรอบตัว ท่านอาจจะไม่เหลือมิตรสักคนหนึ่ง อยากจะบอกว่าน้ำใสใจจิงที่เรามีให้กันมันคุ้มไหมคะ กลับการที่ท่านจะส่งคนมาสมัครแข่งขันกับเรา ในพื้นที่ที่เป็นเมืองหลวงของเรา เพราะถึงอย่างไรในบ้านเราเราจะไม่แพ้อย่างแน่นอน นอกจากเราจะไม่แพ้แล้วเราจะต้องชนะแบบแลนด์สไลด์ด้วย แต่สิ่งที่ท่านจะเสียไป คือน้ำใสใจจิงที่เรามีให้ท่านตลอดมา ขอรำพึงดังๆแบบนี้ท่านจะได้ยินหรือไม่ ไม่เป็นไร แต่ขอให้ชาวบางปลาม้า ชาวสุพรรณบุรีทุกคน ได้ยินว่า ไม่ว่าใครจะมา ถ้าไม่ได้ใส่เสื้อพรรคชาติไทยพัฒนา เราจะไม่เลือกเขา อย่างที่ท่านประภัตรพูด ในอดีตที่ผ่านมาสุพรรณบุรีมีแต่พรรคชาติไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ไม่เคยมีพรรคอื่นก็ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป ใครอาจหาญเข้ามาเราสู้ มาเลย เราเลือดสุพรรณสู้ยิบตา"

ด้านนายวราวุธ ปราศรัยบนเวทีว่า ในการเลือกตั้งปี 2562 พื้นที่จ.สุพรรณบุรี มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 8 แสน แต่พบว่ามี 1 แสนคนกาคะแนนเลือกพรรคอื่น ซึ่งคะแนน 20%  ที่เลือกพรรคอื่น ตนขอถามว่ามีพรรคไหนมาทำงานในพื้นที่จ.สุพรรณบุรี หรือไม่ ซึ่งไม่เคยมีโดยพื้นที่ อ.บางปลาม้าที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องน้ำ มีแค่นายณัฐวุฒิและพรรคชาติไทยพัฒนาที่ช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้ในการแก้ปัญหา วันที่ 8 มีนาคม หน่วยงานที่เกี่่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหา พร้อมกับประชาชนจะหารือเพื่อการแก้ไขปัญหาระยะยาว ทั้งการขุดลอกคูคลอง สร้างเขื่อนกั้นน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอีก  แม้นโยบายของพรรคไม่หวือหวา แต่ยั่งยืนได้คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาในอนาคต  

นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งหน้ามีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เลือกคน และเลือกพรรค ตนขอให้เลือกผู้สมัครของพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคด้วย   ส่วนพรรคอื่นที่จะมาตนไม่กลัว เพราะคนบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรีจะพิสูจน์ให้เห็นว่าพรรคชาติไทยพัฒนาจะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ในการเลือกตั้งมีคนที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ตนฐานะลูกหลานคนสุพรรณบุรี สัญญาว่าหากได้รับเสนอชื่อเป็นนายกฯ จะไม่แพ้พรรคหรือจังหวัดใดแน่นอน

นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนา ปราศรัยตอนหนึ่งบนเวทีว่า ตนขออนุญาตใช้สิทธิพาดพิงจะเป็นการเปิดใจทางการเมืองครั้งแรกของตนไม่เคยพูดเรื่องนี้ที่ไหนเพื่อใหรับรู้กันโดยทั่วไปว่ามีอะไรเกิดขึ้น ประการแรก มีคนมาพูดคุยจริง จะขอให้ตนย้ายพรรค ตนบอกว่าจะไม่ยอมย้ายไปไหน เพราะสุพรรณบุรีต้องชาติไทยพัฒนา เพราะรู้ดีว่างานในจังหวัดจะส่งผลถึงลูกหลานไปอีกนาน จะต้องปฏิรูปแก้ไข สิ่งที่นายบรรหารทำไว้ สานต่อ และที่ผมอภิปรายทุกครั้งในสภาฯ ผมไม่เคยเอ่ยชื่่อเขาในสภาฯ เลยพูดถึงแต่ตำแหน่ง ตนไม่ศรัทธาในตัวผู้นำที่จะสนับนุนพรรคนั้นและที่สำคัญที่สุด คนที่จะสนับสนุนพรรคนั้นเป็นคนที่ตนไม่ชอบเลย 

"วราวุธ” ย้ำอภิปรายทั่วไป 152 เป็นประโยชน์ทั้งรัฐบาล-ฝ่ายค้าน-ประชาชน 

นายวราวุธ  ฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงการเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 วันที่  15 -16 กุมภาพันธ์  ซึ่งขณะนี้มีกระแสข่าววว่าพรรคแกนนำรัฐบาลล็อบบี้พรรคร่วมรัฐบาลให้ไม่ร่วมประชุม ว่า การอภิปรายแต่ละครั้งเป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายค้านจะตั้งข้อสังเเกต และรัฐบาลทำหน้าที่ชี้แจงข้อกล่าวหาและข้อสังเกตเหล่านั้นให้ประชาชนทั่วประเทศ ได้รับรู้ เพียงแต่บางครั้งการอภิปรายของฝ่ายค้าน อาจจะดุเด็ดเผ็ดมันส์ต้องรักษามารยาทให้อยู่ในองค์ประชุมตามกรอบข้อบังคับอย่าเลยเถิดไปถึงบุคคลภายนอก ทั้งนี้ตนคิดว่าเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายการล่มมองค์ประชุมหรือไม่นั้นคนที่่เสียโอกาสคือประชาชน อย่างไรก็ตามตามมธรรมเนียมของพรรคชาติไทยพัฒนา นั้นก่อนการอภิปรายครั้งใดเราจะเรียกประชุม เวลา 09.00 น. และ ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ โดยส.ส.ของพรรคทั้งหมดจะเข้าประชุม  เช่นกัน และจากกรณีกระแสข่าวทำให้สภาฯ ล่มนีั้น เราคงต้องหารือในที่ประชุมของพรรคก่อน เพราะผู้ใหญ่แต่ละคนมีควาคิดและเหตุผลแตกต่างกันไป แต่ที่สุดแล้ว ทิศทางของพรรคไปในทิศทางเดียวกัน  

เมื่อถามย้ำว่าแกนนำรัฐบาลขอรร้อง ไม่ให้พรรคชาติไทยพัฒนาร่วมเป็นองค์ประชุมมีจุดยืนอย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า พรรคชาติไทยพัมนาเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งพรรค จะตอบคนเดียวไม่ได้ ต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมพรรคก่อน ย้ำว่าการเปิดอภิปรายเป็นประโยชน์มากกว่า ทั้งประชาชน ฝ่ายค้านและรัฐบาล 

เมื่อถามว่า หากมีเหตุกรณ์ดังกล่าวว่า เกิดขึ้นจริง จะกิดผลสะท้อนทางการเมืองอย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า หากมีการอภิปรายในสภาฯ เราจะสามารถใช้เป็นเวทีตอบคำถามได้ แต่หากไม่มีการอภิปรายเกิดขึ้นจะเอาเวทีไหนมาตอบคำถามให้สังคมทราบ  อย่างไรก็ตามพรรคชาติไทยพัฒนาทำงานโดยไม่มีวาระซ่อนเร้น หากฝ่ายค้านตั้ งข้อสงสัยหรืออภิปรายเรื่องตนยินดีตอบทุกเรื่อง หากไม่มีเวทีจะไปตอบที่ไหน แน่นอนว่า ความผิดพลาดในการทำงานย่อมมีเกิดขึ้นเพราาะหากไม่มีเลยแสดงว่าไม่ได้ทำงาน แต่อยู่ที่ว่าเกิดความผิดพลาดแล้วแก้ไขอย่างไร จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้อยางไรเป็นหัวใจสำคัญ ยืนยันว่า ตลอดเวลา 3-4ปีที่ทำงานมาไม่มีเรื่องทุจริต 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ส.ว.จะขัดขวางไม่ให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย ได้เป็นนายกฯ นายวราวุธ กล่าวว่า  เชื่อว่าแต่ละคนมมีความคิดแตกต่างกันไปเมื่อการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ประชามติของประชาชนกว่า 60 ล้านคนทั่วประเทศ หรือ 52 -53 ล้านคนนั้น จะเป็นตัวชี้ว่า อยากได้พรรคการเมืองใด บุคคลใดเป็นนายกฯ ดังนั้น การออกความเห็นของสมาชิกรัฐสภาแต่ละคน เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะดำเนินการได้ 

เมื่อถามว่ากรณีที่บางพรรคเเตรียมส่งผู้สมัครลงชนกับ ส.ส.ของพรรคใน  เขต 1 นั้น นายวราวุธ กล่าว่า ตนพูดทุกครั้งว่า 5 เขตของสุพรรณบุรีนั้นหนักทุกเขต ห่วงทุกเขต และไม่ได้มองว่าใครจะลงสมัครเพราะไม่ใช่ธงของพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว สู้ไม่ถอย สู้ยิบตาเพราะที่นี่คือ ฐานที่มั่นของชาติไทยพัฒนา เราไม่ยอมถอยให้ใครง่ายๆ แน่นอน



กรมพัฒน์ ร่วม NECTEC ดันแผนพัฒนาแรงงานด้าน AI เป้า 3 ปี 10,000 คน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดันแผนพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้าหมาย 10,000 คน ในระยะ...