เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09:00 น. ศาลฎีกาได้นัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา โดยพิพากษาว่า สืบเนื่องจากคดีนี้ พนักงานอัยการในฐานะผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้ทรัพย์สินเงินฝากในบัญชีธนาคารของพระพรหมสิทธิตกเป็นของแผ่นดิน โดยมีมูลฐานมาจากการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณโครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรมสำหรับเด็กเยาวชนประชาชนและข้าราชการ ประจำปี 2559 และ โครงการศูนย์กลางการเผยแพร่กิจการพระพุทธศาสนา เพื่อความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประจำปี 2559 ให้กับวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร โดยการอนุมัติงบประมาณดังกล่าว เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กระทำโดยไม่เป็นไปตามระเบียบ และกฎหมาย และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
พระพรหมสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านในฐานะ ผู้คัดค้านที่หนึ่งว่า เงินในบัญชีเงินฝากของพระพรหมสิทธิไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับงบประมาณทั้งสองโครงการ และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการฟอกเงิน ขอให้คืนเงินในบัญชีเงินฝากให้แก่พระพรหมสิทธิ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้คืนเงินในบัญชีเงินฝาก ส่วนที่พระพรหมสิทธิมีอยู่ก่อน หรือได้มาก่อนที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะอนุมัติจัดสรรและโอนจ่ายเงินงบประมาณทั้งสองโครงการให้แก่วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เนื่องจากเงินที่มีอยู่ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มาจากการฟอกเงิน แต่มีคำสั่งให้เงินที่พระพรหมสิทธิได้มา ในภายหลังจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอนุมัติจัดสรรงบประมาณทั้งสองโครงการให้กับวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ตกเป็นของแผ่นดิน
พระพรหมสิทธิได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับ หรือแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยมีคำพิพากษาให้คืนเงินทั้งหมดให้กับพระพรหมสิทธิ เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้เงินที่มีอยู่ในบัญชีเงินฝากธนาคาร จะได้มาในระหว่างที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอนุมัติจัดสรรและโอนจ่ายเงินงบประมาณทั้งสองโครงการให้ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหารก็ตาม แต่จากหลักฐาน แหล่งที่มาของเงินจำนวนดังกล่าว มีที่มาของเงินจากเงินทำบุญเงินอุทิศให้ และ เป็นเงินบริจาคที่มีบุคคลมอบให้กับพระพรหมสิทธิ ในระหว่างที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ โดยมีแหล่งที่มาของเงินเป็นเช็คเงินสด เช็คของขวัญ ตั๋วเงินปันผลจากกองทุนต่าง ๆ และดอกเบี้ย เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เงินที่ได้มาจากงบประมาณทั้งสองโครงการ ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือฟอกเงิน
พนักงานอัยการในฐานะผู้ร้องได้ยื่นฎีกาและขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาได้มีคำสั่ง ยืนตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ โดยให้คืนเงินส่วนที่เหลือทั้งหมด ทุกบัญชีเงินฝากตามที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง ให้แก่พระพรหมสิทธิ เนื่องจากศาลฎีกา เห็นว่า แม้เงินในบัญชีเงินฝากของพระพรหมสิทธิ ในส่วนที่ได้มาในระหว่างที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอนุมัติจัดสรรงบประมาณทั้งสองโครงการ ให้กับวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหารแล้ว ก็ตาม
แต่เงินจำนวนดังกล่าว มีการพิสูจน์แหล่งที่มาของเงินได้ทุกบัญชี อาทิเช่น เงินที่ได้รับมาจากวัดพุทธธาราม ลีดส์ประเทศอังกฤษ เป็นเงินที่พุทธศาสนิกชน อุทิศถวายให้กับวัดพุทธธาราม ลีดส์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งขณะนั้น พระพรหมสิทธิ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ มีภารกิจต้องดูแลวัดพุทธาราม ลีดส์ ประเทศอังกฤษด้วยเงินที่มีแหล่งที่มาจากเช็คเงินสด ทั้งระบุชื่อผู้มอบให้และไม่ระบุชื่อ และเช็คของขวัญ และตั๋วเงิน และเงินปันผลต่าง ๆ ตลอดจนดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
และการที่พระพรหมสิทธิอุปสมบทเป็นพระภิกษุดำรงอยู่ในสมณศักดิ์สูง และมีตำแหน่งทางคณะสงฆ์ในระดับสูง เป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ซึ่งเป็นพระอารามหลวง เป็นประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ อยู่ในตำแหน่งและฐานะอันเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วไปจำนวนมาก ย่อมจะมีประชาชนทำบุญถวายเงินให้ เพื่อใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งไม่มีงบประมาณในการสนับสนุน ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา จึงต้องใช้เงินที่มีผู้ทำบุญถวายใช้ในการเผยแผ่พระพระพุทธศาสนา หากไม่ได้รับการอุปถัมภ์สนับสนุนจากญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญหรือร่วมบริจาคเงินสมทบย่อมยากที่จะปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศสืบจากสมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ต่อไปได้ โดยไม่ต้องสงสัย ซึ่งมีวัดในสาขาอยู่ถึง 18 วัด การมีเงินในบัญชีจำนวนดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เงินในบัญชีเงินฝากของพระพรหมสิทธิทั้งหมด จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการฟอกเงิน
ส่วนในกรณีเงินฝากในบัญชีของพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ซึ่งถูกฟ้องอยู่ในสำนวนเดียวกัน ศาลก็มีคำสั่งให้คืนเงินทั้งหมด เช่นเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น