บทความวิชาการ
บทนำ: วงจรอุบาทว์เชิงซ้อนในบริบทประเทศไทย
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้ชี้ให้เห็นถึง “วงจรอุบาทว์เชิงซ้อน” (Complex Vicious Circles) ซึ่งเป็นระบบของปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ที่ส่งผลให้ประเทศไทยตกอยู่ใน “หลายทศวรรษแห่งการสูญเปล่า” ไม่สามารถทะลุกรอบแห่งการพัฒนาได้อย่างแท้จริง แม้มีทรัพยากร มนุษย์และธรรมชาติเพียบพร้อม
จากมุมมองทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ระบบนี้สามารถวิเคราะห์ผ่านแนวคิด “ระบบพลวัตย้อนกลับ (feedback dynamics)”, ทฤษฎีระบบซับซ้อน (Complex Systems Theory) และ ความไม่เสถียรของสมดุล (Instability of Equilibrium) ได้อย่างชัดเจน และเมื่อเชื่อมโยงเข้ากับแนวคิดของ อริยสัจสี่ และ ปฏิจจสมุปบาท ก็จะเห็นภาพชัดถึง “เหตุปัจจัย” ที่ทำให้วงจรนี้ดำรงอยู่ และแนวทางที่สามารถปลดล็อกได้อย่างยั่งยืน
1. การวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์-ฟิสิกส์: วงจรย้อนกลับและเสถียรภาพของระบบ
1.1 วงจรย้อนกลับเชิงลบ (Negative Feedback) และเชิงบวก (Positive Feedback)
วงจรอุบาทว์เป็นตัวอย่างของ Positive Feedback Loops ที่แต่ละองค์ประกอบยิ่งส่งเสริมกันและกันจนเกิดภาวะ “วุ่นวายไม่สิ้นสุด” เช่น
สิ่งนี้คล้ายกับปรากฏการณ์ในฟิสิกส์ที่เรียกว่า Runaway Reaction หรือ Chain Reaction ที่ไม่มีตัวหักล้าง (Damping Mechanism)
1.2 จุดสมดุลเสถียร-ไม่เสถียร (Stable vs. Unstable Equilibrium)
ประเทศไทยจึงตกอยู่ใน “สมดุลจอมปลอม” ที่แม้ดูเหมือนสงบแต่แท้จริงคือความ “นิ่งในความเสื่อม” ไม่สามารถสร้างแรงเฉือน (Shear Force) ที่เพียงพอในการทำลายสมดุลที่ไม่พึงประสงค์
2. การปลดล็อกด้วย 4 Loops และฟิสิกส์ของ “การเปลี่ยนสถานะ”
แนวทาง “4 Loops” ที่เสนอโดย ดร.สุวิทย์ จึงเสมือนกับการ “เปลี่ยนสถานะ” ของระบบ (Phase Transition) จากสภาวะหนึ่งสู่สภาวะใหม่ เช่น
-
จากคนไทยผู้ถูกลดทอนอำนาจ → สู่เสรีชน
-
จากการเมืองผูกขาด → สู่ประชาธิปไตยมีส่วนร่วม
-
จากเศรษฐกิจที่เอารัดเอาเปรียบ → สู่เศรษฐกิจแบ่งปัน
-
จากรัฐที่ไร้ความรับผิด → สู่รัฐที่มีคุณธรรม
ในเชิงฟิสิกส์ ระบบนี้เสมือน “พลาสมา” ที่ต้องใช้พลังงานมากในช่วงแรกเพื่อหลุดจากโครงสร้างเดิม แต่เมื่อเข้าสู่สภาวะใหม่ได้แล้ว ระบบจะคงตัวในรูปแบบใหม่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็คือ การเปลี่ยนผ่านเชิงคุณภาพ (Qualitative Transition)
3. สังเคราะห์ผ่าน "อริยสัจสี่" และ "ปฏิจจสมุปบาท"
การวิเคราะห์วงจรอุบาทว์สามารถสังเคราะห์เข้ากับ อริยสัจ 4 ได้ดังนี้:
ขณะที่ ปฏิจจสมุปบาท (ปัจจัยแห่งการเกิดขึ้นโดยอิงอาศัย) สามารถใช้เพื่อถอดรหัสว่า “เหตุใดความทุกข์จึงเกิดซ้ำซาก” ผ่านเส้นทาง:
อวิชชา → สังขาร → วิญญาณ → นามรูป → สฬายตนะ → ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา มรณะ
ในระบบสังคมไทย:
แนวทางการปลดล็อก คือการ “หยุดที่เหตุ” เช่น ตัดอวิชชาด้วยการศึกษา ตัดตัณหาด้วยระบบคุณธรรม และสร้างมรรคเพื่อไม่ให้เวียนว่ายกลับสู่ทุกข์
4. ข้อเสนอเชิงระบบ: การเปลี่ยนแปลงแบบฟรัคทัลและการขยายคลื่น
การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถเกิดได้เฉพาะจากส่วนบน แต่ต้องเกิด การสั่นสะเทือนคล้าย “คลื่นในระบบ” ซึ่งคล้ายกับ ทฤษฎี Chaos และ Fractal ที่ระบบเล็ก (เช่น โรงเรียน ชุมชน) สามารถกระเพื่อมระบบใหญ่ได้ถ้าออกแบบวงจรใหม่ได้สำเร็จ
การสร้าง เสรีชน และ พลเมืองผู้รับผิดรับชอบ คือการ “กำเนิดคลื่นปฐมภูมิ” ที่จะขยายออกเป็น Wave Propagation สู่การเมือง เศรษฐกิจ และระบบราชการ จนสามารถนำพาออกจาก “สมดุลจอมปลอม” ได้จริง
สรุป
การปลดล็อกวงจรอุบาทว์เชิงซ้อนของประเทศไทย ไม่ใช่เพียงการแก้ไขนโยบายเฉพาะหน้า แต่ต้องใช้แนวคิดเชิงระบบ (System Thinking), หลักพลวัตย้อนกลับ (Feedback Loops), อริยสัจสี่ และปฏิจจสมุปบาท ร่วมกัน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไม่เป็นเพียง “ความฝันเชิงอุดมคติ” แต่เป็น “การออกแบบความจริงใหม่” ที่มีเหตุผลรองรับทั้งในทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และธรรมะอย่างลึกซึ้ง
ตามบทความเดิม"ปลดล็อก “วงจรอุบาทว์เชิงซ้อน” ที่ทำให้ไทยตกอยู่ในหลายทศวรรษแห่งการสูญเปล่า โดย… ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์" ความว่า ผมได้โพสต์บทความก่อนหน้านี้ ว่าด้วย “วงจรอุบาทว์เชิงซ้อน” (Complex Vicious Circles) ที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ใน “หลายทศวรรษแห่งความสูญเปล่า”
วันนี้ผมขอนำเสนอแนวทางในการ “ปลดล็อค” Vicious Circles ดังกล่าว โดยเปลี่ยนเป็น Virtuous Circles ผ่าน 4 Loops ย่อย ประกอบไปด้วย
Loop I: การเปลี่ยนจาก People Disempowerment เป็น People Empowerment
Loop II: การเปลี่ยนจาก Extractive Politics เป็น Inclusive Politics
Loop III: การเปลี่ยนจาก Extractive Economy เป็น Inclusive Economy
Loop IV: การเปลี่ยนจาก Irresponsible Government เป็น Responsible Government
~ People Empowerment Loop
รากเหง้าของวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน มาจากระบบคุณค่า (Value System) ของคนไทย ที่ยังติดอยู่ในกับดักของอุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยมและ อภิสิทธิ์นิยม x วัตถุนิยม บริโภคนิยม และสุขนิยม
ระบบคุณค่าดังกล่าวได้หล่อหลอมคนไทยให้มีอุปนิสัยที่เน้นผลประโยชน์พวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม เรียกร้องสิทธิ์มากกว่าหน้าที่ เน้นความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าเนื้อหาสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นสายสัมพันธ์มากกว่าเนื้องาน
มิเพียงเท่านั้น ระบบคุณค่าดังกล่าวได้สร้างผลกระทบเชิงลบต่อ “การพัฒนาทุนมนุษย์” ในวงกว้าง ในระบบการศึกษาของไทยนั้น จะยึดตัวผู้สอนมากกว่ายึดตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เน้นการสอนมากกว่าการเปิดโอกาสให้เรียนรู้ เน้นการปรุงสำเร็จมากกว่าการกระตุ้นต่อมคิด เน้นการลอกเลียนมากกว่าความคิดสร้างสรรค์ เน้นท่องจำทฤษฎีมากกว่าการลงมือปฏิบัติ เน้นการพึ่งพาคนอื่นมากกว่าการพึ่งพาตนเอง และเน้นการสร้างความเป็นตนมากกว่าการสร้างความเป็นคน
ดังนั้น การปรับเปลี่ยนระบบคุณค่าจะเป็นจุดคานงัด (Leveraging Point) ที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่เพียงพอที่จะทะลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อนได้ การเปลี่ยนระบบคุณค่าจะตามมาด้วยการเปลี่ยนระบบความคิด (Thought System) เป้าหมายเพื่อสร้างให้คนไทยเป็น “เสรีชน” ที่
-มีความเชื่อมั่นในตัวเอง รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้จักปรับตัว ล้มแล้วรู้จักลุก มีความคิดอ่านและการตัดสินใจที่เป็นอิสระ และมีความสามารถในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี
-สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีความไฝ่รู้ มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ เพื่อเติมเต็มศักยภาพ และสร้างประโยชน์จากความรู้ที่เกิดขึ้น
-ทำประโยชน์ต่อส่วนรวม ทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่น มีจิตอาสา รู้จักรับผิดรับชอบ และสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองและส่วนรวม
ดังนั้น จะต้องมีการปฎิรูประบบการศึกษาอย่างจริงจัง ที่ไม่เพียงแต่จะเน้นเรื่องการสร้างสังคมที่สามารถ และสังคมแห่งโอกาสที่เท่าเทียม แต่ต้องเน้นการสร้างคนไทยให้เป็น “เสรีชน” เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็น ”พลเมืองผู้รับผิดรับชอบ“ นั่นคือ มีจิตสำนึกของความเป็นพลเมือง รู้จักสิทธิ์และหน้าที่ รู้จักเสรีภาพ ตระหนักในความเสมอภาค มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและประเทศเป็นสำคัญ
~ Inclusive Politics Loop
ระบบการศึกษาที่เน้นระบบคุณค่าและระบบความคิดที่สอดรับกับพลวัตการเปลี่ยนแปลง ผ่านแนวคิด “การสร้างคนไทยให้เป็นเสรีชน” จะค่อยๆปรับเปลี่ยน “พลเมืองผู้เฉื่อยชา” (Passive Citizen) ผู้ซึ่งยังติดอยู่ใน ”กับดักความยากจน” และ “กับดักความไม่รู้” ให้เป็น “พลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบ” (Engaged Citizen)
พลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบ จะเป็นเฟืองตัวสำคัญในการสร้าง “รัฐที่น่าเชื่อถือ” (Credible Government) เพราะพลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบจะไม่ยอมปล่อยให้ “รัฐที่ไม่น่าเชื่อถือ” (Low-Trust Government) ปกครองประเทศ
รัฐที่น่าเชื่อถือ คือรัฐที่มาด้วยความชอบธรรม ขับเคลื่อนด้วยระบบคุณธรรมและจริยธรรม และมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับพลวัตที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอก ผู้นำของรัฐน่าเชื่อถือจึงต้องเป็นผู้นำที่ครบเครื่อง กล่าวคือ เป็นผู้นำที่นอกจากจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล (Visionary Leader) แล้วยังเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมจริยธรรม (Moral Leader) และเป็นผู้นำที่มุ่งผลสำเร็จ (Achievable Leader) ในเวลาเดียวกัน
พลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบ x รัฐน่าเชื่อถือ เท่านั้นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง
~ Inclusive Economy Loop
นอกจากจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนจาก Extractive Politics สู่ Inclusive Politics ผ่านการสร้างรัฐที่น่าเชื่อถือ และการมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว พลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบยังมีบทบาทสำคัญต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ จาก Extractive Economy เป็น Inclusive Economy ผ่าน “โมเดลเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและยั่งยืน”
ประเทศไทยมีหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ในขณะที่ประชาคมโลกมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) “โมเดลเศรษฐกิจ BCG” จะเป็นตัว Connecting the Dots กล่าวคือ SDGs เป็น “Common Goals” SEP เป็น “Common Value” และ BCG เป็น “Common Ground” ที่จะเชื่อมโยง Common Goals และ Common Value เข้าด้วยกัน
BCG เป็นโมเดลเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและยั่งยืน เพราะ
1.มองธรรมชาติเป็นแหล่งกำเนิดทรัพยากร (Nature as Source) ที่ต้องใช้อย่างรู้คุณค่า การปกป้องทรัพยากรร่วม (Protecting the Commons) รวมถึงการผลักดัน Climate Action
2.ตอบโจทย์ความมั่นคงของมนุษย์ เศรษฐกิจ และสังคมได้ในเวลาเดียวกัน
3.เน้นคุณค่าของความหลากหลาย ยึดมั่นในแนวคิดไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมถึงการเติมเต็มพลังประชาชน
4.เน้น Science for Sustainability, Technology for Humanity และ Inclusive Innovation
BCG จึงเป็นโมเดลเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ใหญ่ของการสร้าง “สุขภาวะทั้งระบบ” (Total System Wellbeing) ที่ครอบคลุม “สุขภาวะส่วนบุคคล” “สุขภาวะสังคม” และ“สุขภาวะโลก” ในเวลาเดียวกัน
-สุขภาวะส่วนบุคคล (Individual Wellbeing) เป็นความสมดุลระหว่างสุขภาวะทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ
-สุขภาวะสังคม (Social Wellbeing) เป็นความสมดุลของผู้คนในสังคมผ่านการสร้างสังคมที่เป็นธรรม สังคมแห่งโอกาส และสังคมที่เกื้อกูลและแบ่งปัน
-สุขภาวะโลก (Planetary Wellbeing) เป็นความสมดุลของมนุษย์กับธรรมชาติ ผ่านการเติบโตเชิงคุณภาพ การแบ่งปันความมั่งคั่ง การรักษ์โลก และการสร้างศานติภาพที่ถาวร
โมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงเป็นกลไกสำคัญของการสร้างสุขภาวะทั้งระบบ และนำพาไปสู่การสร้าง Inclusive Economy อย่างเป็นรูปธรรม
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองสู่ Inclusive Political Economy เท่านั้น ที่จะเป็นหลักประกันของการสร้างความเป็นปกติสุข ประโยชน์สุข และสันติสุขให้เกิดขึ้นกับประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง
~ Responsible Government Loop
รัฐที่ไม่น่าเชื่อถือก่อให้เกิด “ระบบราชการที่มีนักการเมืองเป็นศูนย์กลาง” ในกลไกการทำงานของภาครัฐจึงเต็มไปด้วยการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง การสร้างอาณาจักรขึ้นของหน่วยงานรัฐ ผ่านความเป็นนิติบุคคลของส่วนราชการ การสร้างกลไกให้เกิดการพึ่งพิงทรัพยากรจากส่วนกลางในรูปแบบของงบประมาณ การสร้างกฎระเบียบต่างๆ เพื่อเป็นข้อจำกัดมากกว่าที่จะเป็นปัจจัยเอื้อให้กับภาคเอกชนและภาคประชาชน
รัฐที่น่าเชื่อถือจะสร้าง “ระบบราชการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” และยึด “ระบบคุณธรรม” อย่างที่ควรจะเป็น “ระบบการเมือง” และ “ระบบราชการ” จึงเป็นฐานรากสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางที่จะสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในทางกลับกันถ้าระบบการเมืองและระบบราชการไม่ได้วางอยู่บนฐานรากที่ถูกต้องก็จะนำไปสู่การจมปรักอยู่กับประเด็นปัญหาเชิงฐานรากคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการไร้ซึ่งคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารบ้านเมืองและนำพาไปสู่รัฐที่ล้มเหลวในที่สุด
ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการทะยานสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่งของหลายประเทศในเอเซีย มาจากการมีรัฐที่น่าเชื่อถือ ที่สร้างให้เกิด Responsible Government ผ่าน 4 เงื่อนไขสำคัญ
1) นักการเมืองมีคุณภาพภายใต้ระบบการเมืองที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ
2) มีผู้นำการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ประเทศพัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง
3) มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนสอดรับกับพลวัตที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกอย่างเป็นรูปธรรม
4) มีระบบราชการ สถาบัน และกลไกขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ให้เกิดผลสัมฤทธิ์
การปลดล็อค Vicious Circles และปรับเปลี่ยนสู่ Virtuous Circles ผ่าน 4 Loops ของ People Empowerment, Inclusive Politics, Inclusive Economy และ Responsible Government นั้น
1) ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
2) ต้องมีภาพใหญ่ที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน และมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลง
3) ต้องมีการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ที่ประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนไม่ได้
4) ต้องยอมรับว่าหลายอย่างที่จะต้องปรับเปลี่ยนนั้น No Pain, No Gain ต้องรู้จักอดทน อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
5) ต้องค้นหาจุดคานงัด ให้พบแล้วรีบดำเนินการ
6) ใช้ Strategic Pragmatism Approach ด้วยการผสมผสาน Idealism x Realism และ Determination/Strategic Intent x Adaptation/ Flexibility และการขับเคลื่อนในทางปฎิบัติ จะเป็นเรื่องของ Transition x Transformation
7) Action Bias ต้อง Lead by Examples
8)หา Quick-win เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ แต่อย่าติดกับดัก Quick-in ต้องเดินหน้าต่อในเรื่องยากๆที่สร้างผล ทบเชิงลึกและในวงกว้างไปพร้อมๆกัน
9) อย่าเบื่อหน่ายกับคำว่า “ปฎิรูป” ซึ่งแม้จะผลักดันได้เชื่องช้าและไม่ต่อเนื่องในห้วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเน้น Functional-Based Reforms ไม่ใช่ System-Based Reforms และเป็น Mandatory
Reform มากกว่า Participatory Reform
10) เริ่มจากการเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนแปลงครอบครัว ก่อนคิดจะเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลก]