วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2568

ธรรมกาสิโน

 

สนามเดิมพันแห่งชีวิต

(แนวเพลง: ลึกลับ–อภิปรัชญา–อีเล็กโทร–เนิบช้า)

[ท่อนแรก: โลกที่ไม่แน่นอน]
เงียบงันดั่งฟังก์ชันคลื่น
ใจคนพลิ้วไหว ไร้ขอบเขตจำกัด
สนามเดิมพันไม่มีเสียงใด
มีเพียงสายตา…ที่รอคำตอบ

[ท่อนรอง: เสียงแห่งเหตุปัจจัย]
มีมือที่มองไม่เห็น
เคลื่อนลูกเต๋าในใจเรา
ตัณหา คือพลังศักย์
อุปาทาน คือแรงสะเทือนเบา ๆ

[ฮุก: เดิมพันชีวิตในเกมกรรม]
นี่คือกาสิโนแห่งธรรม
เดิมพันด้วยอัตตาที่ไม่มีอยู่จริง
ทุกความคิดคือสมการ
ที่ไร้ตัวแปรผู้สังเกตการณ์

[ท่อนดนตรี: อินโทรสั้น ๆ ด้วยเสียงคลื่นควอนตัมสังเคราะห์]

[ท่อนสอง: ระหว่างฟิสิกส์กับพุทธะ]
เธอถามว่า "กรรม" คืออะไร
ฉันตอบด้วยโมเมนตัมสะสม
เธอบอกว่า "ภพ" คือสนาม
ฉันจดชื่อเธอไว้…บนคลื่นความน่าจะเป็น

[ฮุกซ้ำ: เดิมพันชีวิตในเกมกรรม]
นี่คือกาสิโนแห่งธรรม
เดิมพันด้วยอัตตาที่ไม่มีอยู่จริง
ทุกเวทนาเป็นคลื่นชั่วคราว
ที่ถูกรู้ แล้วจางไป…ในความว่าง

[ท่อนพิเศษ: คำพูดของดร.มะปราง – Spoken word + เสียง background สังเคราะห์]

"คุณพร้อมหรือยัง ที่จะเข้าสู่สนามนี้?
ที่นี่ไม่มีรางวัล…นอกจากการเห็นความจริง
เดิมพันไม่ใช่เงิน…แต่คือความยึดมั่น
และรางวัลเดียว คืออิสรภาพจากมัน"

[ปิดท้าย: ซ้ำฮุกเบา ๆ แล้ว fade out]

วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2568

"วิเคราะห์แนวคิดแนวปลดล็อก 'วงจรอุบาทว์เชิงซ้อน' โดย... ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ด้วยแนวคิดทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ อริยสัจ และปฏิจจสมุปบาท"


บทความวิชาการ

บทนำ: วงจรอุบาทว์เชิงซ้อนในบริบทประเทศไทย

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้ชี้ให้เห็นถึง “วงจรอุบาทว์เชิงซ้อน” (Complex Vicious Circles) ซึ่งเป็นระบบของปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ที่ส่งผลให้ประเทศไทยตกอยู่ใน “หลายทศวรรษแห่งการสูญเปล่า” ไม่สามารถทะลุกรอบแห่งการพัฒนาได้อย่างแท้จริง แม้มีทรัพยากร มนุษย์และธรรมชาติเพียบพร้อม

จากมุมมองทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ระบบนี้สามารถวิเคราะห์ผ่านแนวคิด “ระบบพลวัตย้อนกลับ (feedback dynamics)”, ทฤษฎีระบบซับซ้อน (Complex Systems Theory) และ ความไม่เสถียรของสมดุล (Instability of Equilibrium) ได้อย่างชัดเจน และเมื่อเชื่อมโยงเข้ากับแนวคิดของ อริยสัจสี่ และ ปฏิจจสมุปบาท ก็จะเห็นภาพชัดถึง “เหตุปัจจัย” ที่ทำให้วงจรนี้ดำรงอยู่ และแนวทางที่สามารถปลดล็อกได้อย่างยั่งยืน


1. การวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์-ฟิสิกส์: วงจรย้อนกลับและเสถียรภาพของระบบ

1.1 วงจรย้อนกลับเชิงลบ (Negative Feedback) และเชิงบวก (Positive Feedback)
วงจรอุบาทว์เป็นตัวอย่างของ Positive Feedback Loops ที่แต่ละองค์ประกอบยิ่งส่งเสริมกันและกันจนเกิดภาวะ “วุ่นวายไม่สิ้นสุด” เช่น

  • ระบบคุณค่าที่อิงอุปถัมภ์ → การศึกษาที่ยึดอำนาจ → คนไทยขาดศักยภาพ → ระบบการเมืองที่ไม่เปิดกว้าง → เศรษฐกิจที่ผูกขาด → คนไทยยิ่งขาดโอกาส → กลับไปสู่ระบบคุณค่าที่อิงอุปถัมภ์อีกครั้ง

สิ่งนี้คล้ายกับปรากฏการณ์ในฟิสิกส์ที่เรียกว่า Runaway Reaction หรือ Chain Reaction ที่ไม่มีตัวหักล้าง (Damping Mechanism)

1.2 จุดสมดุลเสถียร-ไม่เสถียร (Stable vs. Unstable Equilibrium)
ประเทศไทยจึงตกอยู่ใน “สมดุลจอมปลอม” ที่แม้ดูเหมือนสงบแต่แท้จริงคือความ “นิ่งในความเสื่อม” ไม่สามารถสร้างแรงเฉือน (Shear Force) ที่เพียงพอในการทำลายสมดุลที่ไม่พึงประสงค์


2. การปลดล็อกด้วย 4 Loops และฟิสิกส์ของ “การเปลี่ยนสถานะ”

แนวทาง “4 Loops” ที่เสนอโดย ดร.สุวิทย์ จึงเสมือนกับการ “เปลี่ยนสถานะ” ของระบบ (Phase Transition) จากสภาวะหนึ่งสู่สภาวะใหม่ เช่น

  • จากคนไทยผู้ถูกลดทอนอำนาจ → สู่เสรีชน

  • จากการเมืองผูกขาด → สู่ประชาธิปไตยมีส่วนร่วม

  • จากเศรษฐกิจที่เอารัดเอาเปรียบ → สู่เศรษฐกิจแบ่งปัน

  • จากรัฐที่ไร้ความรับผิด → สู่รัฐที่มีคุณธรรม

ในเชิงฟิสิกส์ ระบบนี้เสมือน “พลาสมา” ที่ต้องใช้พลังงานมากในช่วงแรกเพื่อหลุดจากโครงสร้างเดิม แต่เมื่อเข้าสู่สภาวะใหม่ได้แล้ว ระบบจะคงตัวในรูปแบบใหม่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็คือ การเปลี่ยนผ่านเชิงคุณภาพ (Qualitative Transition)


3. สังเคราะห์ผ่าน "อริยสัจสี่" และ "ปฏิจจสมุปบาท"

การวิเคราะห์วงจรอุบาทว์สามารถสังเคราะห์เข้ากับ อริยสัจ 4 ได้ดังนี้:

องค์ประกอบระบบไทยในปัจจุบันแนวทางปลดล็อก
ทุกข์ (Dukkha)วงจรอุบาทว์ที่วนซ้ำทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการยอมรับว่าระบบปัจจุบันไม่ยั่งยืน
สมุทัย (Cause)ระบบคุณค่าอุปถัมภ์ + ความไม่รู้ + ความโลภวิเคราะห์ให้เห็น Feedback Loops ที่ผิดพลาด
นิโรธ (Cessation)การยุติวงจรอุบาทว์ → สู่สุขภาวะแปลง Feedback Loops ให้กลายเป็นวงจรคุณธรรม
มรรค (Path)4 Loops: Empowerment, Inclusion, Responsibilityวิถีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและจิตสำนึก

ขณะที่ ปฏิจจสมุปบาท (ปัจจัยแห่งการเกิดขึ้นโดยอิงอาศัย) สามารถใช้เพื่อถอดรหัสว่า “เหตุใดความทุกข์จึงเกิดซ้ำซาก” ผ่านเส้นทาง:

อวิชชา → สังขาร → วิญญาณ → นามรูป → สฬายตนะ → ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา มรณะ

ในระบบสังคมไทย:

  • อวิชชา = ความไม่รู้ของประชาชน → สร้างสังขาร (แนวคิดการเมืองแบบอุปถัมภ์) → นำไปสู่เวทนา (ความรู้สึกว่าต้องพึ่งรัฐ) → ตัณหา (แสวงหาผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม) → สู่ ชาติ/ระบบการเมือง/รัฐแบบรวมศูนย์ → กลับไปสู่วงจรเดิม

แนวทางการปลดล็อก คือการ “หยุดที่เหตุ” เช่น ตัดอวิชชาด้วยการศึกษา ตัดตัณหาด้วยระบบคุณธรรม และสร้างมรรคเพื่อไม่ให้เวียนว่ายกลับสู่ทุกข์


4. ข้อเสนอเชิงระบบ: การเปลี่ยนแปลงแบบฟรัคทัลและการขยายคลื่น

การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถเกิดได้เฉพาะจากส่วนบน แต่ต้องเกิด การสั่นสะเทือนคล้าย “คลื่นในระบบ” ซึ่งคล้ายกับ ทฤษฎี Chaos และ Fractal ที่ระบบเล็ก (เช่น โรงเรียน ชุมชน) สามารถกระเพื่อมระบบใหญ่ได้ถ้าออกแบบวงจรใหม่ได้สำเร็จ

การสร้าง เสรีชน และ พลเมืองผู้รับผิดรับชอบ คือการ “กำเนิดคลื่นปฐมภูมิ” ที่จะขยายออกเป็น Wave Propagation สู่การเมือง เศรษฐกิจ และระบบราชการ จนสามารถนำพาออกจาก “สมดุลจอมปลอม” ได้จริง


สรุป

การปลดล็อกวงจรอุบาทว์เชิงซ้อนของประเทศไทย ไม่ใช่เพียงการแก้ไขนโยบายเฉพาะหน้า แต่ต้องใช้แนวคิดเชิงระบบ (System Thinking), หลักพลวัตย้อนกลับ (Feedback Loops), อริยสัจสี่ และปฏิจจสมุปบาท ร่วมกัน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไม่เป็นเพียง “ความฝันเชิงอุดมคติ” แต่เป็น “การออกแบบความจริงใหม่” ที่มีเหตุผลรองรับทั้งในทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และธรรมะอย่างลึกซึ้ง

ตามบทความเดิม"ปลดล็อก “วงจรอุบาทว์เชิงซ้อน” ที่ทำให้ไทยตกอยู่ในหลายทศวรรษแห่งการสูญเปล่า โดย… ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์" ความว่า ผมได้โพสต์บทความก่อนหน้านี้ ว่าด้วย “วงจรอุบาทว์เชิงซ้อน” (Complex Vicious Circles) ที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ใน “หลายทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” 


วันนี้ผมขอนำเสนอแนวทางในการ “ปลดล็อค” Vicious Circles ดังกล่าว โดยเปลี่ยนเป็น Virtuous Circles  ผ่าน 4 Loops ย่อย ประกอบไปด้วย


Loop I: การเปลี่ยนจาก People Disempowerment เป็น People Empowerment

Loop II: การเปลี่ยนจาก Extractive  Politics เป็น Inclusive Politics

Loop III: การเปลี่ยนจาก Extractive Economy เป็น Inclusive Economy 

Loop IV: การเปลี่ยนจาก Irresponsible Government เป็น Responsible Government


~ People Empowerment Loop


รากเหง้าของวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน มาจากระบบคุณค่า (Value System) ของคนไทย ที่ยังติดอยู่ในกับดักของอุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยมและ อภิสิทธิ์นิยม x วัตถุนิยม บริโภคนิยม และสุขนิยม 


ระบบคุณค่าดังกล่าวได้หล่อหลอมคนไทยให้มีอุปนิสัยที่เน้นผลประโยชน์พวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม  เรียกร้องสิทธิ์มากกว่าหน้าที่ เน้นความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าเนื้อหาสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นสายสัมพันธ์มากกว่าเนื้องาน 


มิเพียงเท่านั้น ระบบคุณค่าดังกล่าวได้สร้างผลกระทบเชิงลบต่อ “การพัฒนาทุนมนุษย์” ในวงกว้าง  ในระบบการศึกษาของไทยนั้น จะยึดตัวผู้สอนมากกว่ายึดตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เน้นการสอนมากกว่าการเปิดโอกาสให้เรียนรู้ เน้นการปรุงสำเร็จมากกว่าการกระตุ้นต่อมคิด เน้นการลอกเลียนมากกว่าความคิดสร้างสรรค์ เน้นท่องจำทฤษฎีมากกว่าการลงมือปฏิบัติ เน้นการพึ่งพาคนอื่นมากกว่าการพึ่งพาตนเอง และเน้นการสร้างความเป็นตนมากกว่าการสร้างความเป็นคน


ดังนั้น การปรับเปลี่ยนระบบคุณค่าจะเป็นจุดคานงัด (Leveraging Point) ที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่เพียงพอที่จะทะลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อนได้  การเปลี่ยนระบบคุณค่าจะตามมาด้วยการเปลี่ยนระบบความคิด (Thought System) เป้าหมายเพื่อสร้างให้คนไทยเป็น “เสรีชน” ที่


-มีความเชื่อมั่นในตัวเอง รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้จักปรับตัว ล้มแล้วรู้จักลุก มีความคิดอ่านและการตัดสินใจที่เป็นอิสระ และมีความสามารถในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี


-สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีความไฝ่รู้ มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ เพื่อเติมเต็มศักยภาพ และสร้างประโยชน์จากความรู้ที่เกิดขึ้น


-ทำประโยชน์ต่อส่วนรวม ทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่น มีจิตอาสา รู้จักรับผิดรับชอบ และสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองและส่วนรวม


ดังนั้น จะต้องมีการปฎิรูประบบการศึกษาอย่างจริงจัง ที่ไม่เพียงแต่จะเน้นเรื่องการสร้างสังคมที่สามารถ และสังคมแห่งโอกาสที่เท่าเทียม แต่ต้องเน้นการสร้างคนไทยให้เป็น “เสรีชน” เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็น ”พลเมืองผู้รับผิดรับชอบ“ นั่นคือ มีจิตสำนึกของความเป็นพลเมือง รู้จักสิทธิ์และหน้าที่ รู้จักเสรีภาพ ตระหนักในความเสมอภาค มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและประเทศเป็นสำคัญ


~ Inclusive Politics Loop


ระบบการศึกษาที่เน้นระบบคุณค่าและระบบความคิดที่สอดรับกับพลวัตการเปลี่ยนแปลง ผ่านแนวคิด “การสร้างคนไทยให้เป็นเสรีชน” จะค่อยๆปรับเปลี่ยน “พลเมืองผู้เฉื่อยชา” (Passive Citizen)  ผู้ซึ่งยังติดอยู่ใน ”กับดักความยากจน” และ “กับดักความไม่รู้” ให้เป็น “พลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบ” (Engaged Citizen) 


พลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบ จะเป็นเฟืองตัวสำคัญในการสร้าง “รัฐที่น่าเชื่อถือ” (Credible Government) เพราะพลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบจะไม่ยอมปล่อยให้ “รัฐที่ไม่น่าเชื่อถือ” (Low-Trust Government) ปกครองประเทศ


รัฐที่น่าเชื่อถือ คือรัฐที่มาด้วยความชอบธรรม ขับเคลื่อนด้วยระบบคุณธรรมและจริยธรรม และมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับพลวัตที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอก ผู้นำของรัฐน่าเชื่อถือจึงต้องเป็นผู้นำที่ครบเครื่อง กล่าวคือ เป็นผู้นำที่นอกจากจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล (Visionary Leader) แล้วยังเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมจริยธรรม (Moral Leader) และเป็นผู้นำที่มุ่งผลสำเร็จ (Achievable Leader) ในเวลาเดียวกัน


พลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบ x รัฐน่าเชื่อถือ เท่านั้นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง


~ Inclusive Economy Loop


นอกจากจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนจาก Extractive Politics สู่ Inclusive Politics ผ่านการสร้างรัฐที่น่าเชื่อถือ และการมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว  พลเมืองผู้มีส่วนรับผิดรับชอบยังมีบทบาทสำคัญต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ  จาก Extractive Economy เป็น Inclusive Economy ผ่าน “โมเดลเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและยั่งยืน”


ประเทศไทยมีหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ในขณะที่ประชาคมโลกมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) “โมเดลเศรษฐกิจ BCG” จะเป็นตัว Connecting the Dots  กล่าวคือ SDGs เป็น “Common Goals” SEP เป็น “Common Value” และ BCG เป็น “Common Ground” ที่จะเชื่อมโยง Common Goals และ Common Value เข้าด้วยกัน


BCG เป็นโมเดลเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและยั่งยืน เพราะ


1.มองธรรมชาติเป็นแหล่งกำเนิดทรัพยากร (Nature as Source) ที่ต้องใช้อย่างรู้คุณค่า การปกป้องทรัพยากรร่วม (Protecting the Commons) รวมถึงการผลักดัน Climate Action

2.ตอบโจทย์ความมั่นคงของมนุษย์ เศรษฐกิจ และสังคมได้ในเวลาเดียวกัน

3.เน้นคุณค่าของความหลากหลาย ยึดมั่นในแนวคิดไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมถึงการเติมเต็มพลังประชาชน

4.เน้น Science for Sustainability, Technology for Humanity และ Inclusive Innovation


BCG จึงเป็นโมเดลเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ใหญ่ของการสร้าง “สุขภาวะทั้งระบบ” (Total System Wellbeing) ที่ครอบคลุม “สุขภาวะส่วนบุคคล” “สุขภาวะสังคม”  และ“สุขภาวะโลก” ในเวลาเดียวกัน


-สุขภาวะส่วนบุคคล  (Individual Wellbeing) เป็นความสมดุลระหว่างสุขภาวะทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ  

-สุขภาวะสังคม (Social Wellbeing) เป็นความสมดุลของผู้คนในสังคมผ่านการสร้างสังคมที่เป็นธรรม สังคมแห่งโอกาส และสังคมที่เกื้อกูลและแบ่งปัน 

-สุขภาวะโลก  (Planetary Wellbeing) เป็นความสมดุลของมนุษย์กับธรรมชาติ ผ่านการเติบโตเชิงคุณภาพ การแบ่งปันความมั่งคั่ง  การรักษ์โลก และการสร้างศานติภาพที่ถาวร


โมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงเป็นกลไกสำคัญของการสร้างสุขภาวะทั้งระบบ และนำพาไปสู่การสร้าง Inclusive Economy อย่างเป็นรูปธรรม


การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองสู่ Inclusive Political Economy เท่านั้น ที่จะเป็นหลักประกันของการสร้างความเป็นปกติสุข ประโยชน์สุข และสันติสุขให้เกิดขึ้นกับประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง


~ Responsible Government Loop


รัฐที่ไม่น่าเชื่อถือก่อให้เกิด “ระบบราชการที่มีนักการเมืองเป็นศูนย์กลาง” ในกลไกการทำงานของภาครัฐจึงเต็มไปด้วยการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง การสร้างอาณาจักรขึ้นของหน่วยงานรัฐ ผ่านความเป็นนิติบุคคลของส่วนราชการ การสร้างกลไกให้เกิดการพึ่งพิงทรัพยากรจากส่วนกลางในรูปแบบของงบประมาณ การสร้างกฎระเบียบต่างๆ เพื่อเป็นข้อจำกัดมากกว่าที่จะเป็นปัจจัยเอื้อให้กับภาคเอกชนและภาคประชาชน


รัฐที่น่าเชื่อถือจะสร้าง “ระบบราชการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” และยึด “ระบบคุณธรรม” อย่างที่ควรจะเป็น “ระบบการเมือง” และ “ระบบราชการ” จึงเป็นฐานรากสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางที่จะสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในทางกลับกันถ้าระบบการเมืองและระบบราชการไม่ได้วางอยู่บนฐานรากที่ถูกต้องก็จะนำไปสู่การจมปรักอยู่กับประเด็นปัญหาเชิงฐานรากคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการไร้ซึ่งคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารบ้านเมืองและนำพาไปสู่รัฐที่ล้มเหลวในที่สุด


ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการทะยานสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่งของหลายประเทศในเอเซีย  มาจากการมีรัฐที่น่าเชื่อถือ ที่สร้างให้เกิด Responsible Government ผ่าน 4 เงื่อนไขสำคัญ


1) นักการเมืองมีคุณภาพภายใต้ระบบการเมืองที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ

2) มีผู้นำการเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ประเทศพัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง

3) มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนสอดรับกับพลวัตที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกอย่างเป็นรูปธรรม

4) มีระบบราชการ สถาบัน และกลไกขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ให้เกิดผลสัมฤทธิ์


การปลดล็อค  Vicious Circles และปรับเปลี่ยนสู่ Virtuous Circles ผ่าน 4 Loops ของ People Empowerment, Inclusive Politics, Inclusive Economy และ Responsible Government นั้น


1) ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้  

2) ต้องมีภาพใหญ่ที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน และมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลง

3) ต้องมีการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ที่ประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนไม่ได้

4) ต้องยอมรับว่าหลายอย่างที่จะต้องปรับเปลี่ยนนั้น No Pain, No Gain ต้องรู้จักอดทน อดเปรี้ยวไว้กินหวาน 

5) ต้องค้นหาจุดคานงัด ให้พบแล้วรีบดำเนินการ

6) ใช้ Strategic Pragmatism Approach ด้วยการผสมผสาน Idealism x Realism และ Determination/Strategic Intent  x  Adaptation/ Flexibility และการขับเคลื่อนในทางปฎิบัติ จะเป็นเรื่องของ Transition x Transformation

7)  Action Bias ต้อง Lead by Examples

8)หา Quick-win เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ แต่อย่าติดกับดัก Quick-in ต้องเดินหน้าต่อในเรื่องยากๆที่สร้างผล ทบเชิงลึกและในวงกว้างไปพร้อมๆกัน

 9) อย่าเบื่อหน่ายกับคำว่า “ปฎิรูป” ซึ่งแม้จะผลักดันได้เชื่องช้าและไม่ต่อเนื่องในห้วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเน้น Functional-Based Reforms ไม่ใช่ System-Based Reforms และเป็น Mandatory 

Reform มากกว่า Participatory Reform 

10) เริ่มจากการเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนแปลงครอบครัว ก่อนคิดจะเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลก]


วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2568

นามรูปแห่งรัฐ

 

ตอนที่ 6: นามรูปแห่งรัฐ

ฉาก: โถงทรงกลมใน “คลังนามรูป” ของไตมยุรา
ภาพลอยตัวเหมือนแผนที่เชิงโครงสร้างรัฐ
เส้นใยข้อมูลเชื่อมโยงเป็นโครงตาข่ายคล้ายสมอง


สันติสุข (ยืนมองเงียบงัน):
“นี่คือ...โครงสร้างของประเทศ?”


ไตมยุรา (เสียงราบเรียบ):
“ค่ะ คุณกำลังมองเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘นามรูปแห่งรัฐ’
ซึ่งหมายถึงรูปธรรมของสถาบัน และนามธรรมของค่านิยม
เมื่อทั้งสองผสานกันอย่างผิดเพี้ยน
สังคมจะเกิดการ บิดเบี้ยวทางโครงสร้าง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”


ดร.มะปราง (ชี้ไปที่ภาพโครงสร้างข้อมูล):
“เห็นไหม เส้นเชื่อมจาก ‘รัฐธรรมนูญ’ → ‘ระบบงบประมาณ’
→ ‘โครงการประชานิยมเฉพาะกลุ่ม’ → ‘โครงสร้างภาษีแบบถอยหลัง’
คือ กราฟเวกเตอร์ ที่พุ่งวนเข้าหาจุดศูนย์กลางอำนาจเดียว”


สันติสุข (ขมวดคิ้ว):
“แบบนี้มันคือระบบสมการที่ไม่มีทางสมดุล...ใช่ไหม?”


ไตมยุรา (แสดงภาพสมการ):

∑F_internal ≠ 0
∇·σ ≠ 0

“สมการนี้คือภาวะที่ ‘ความเครียดโครงสร้าง’ (Stress Tensor)
ไม่ถูกถ่ายเทอย่างเป็นธรรม
ทำให้เกิดการบิดของนามรูป
เช่นเดียวกับที่ในฟิสิกส์
วัตถุที่รับแรงเฉพาะด้านจะเกิดการเสียรูปถาวร (Plastic Deformation)”


สันติสุข (นิ่งไป):
“แปลว่าประเทศนี้ไม่ได้อยู่ในสมดุล...
แต่กำลัง คงอยู่ด้วยความเครียดสะสม?”


ไตมยุรา:
“ใช่ค่ะ และเราสามารถสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์ของมันได้
ด้วยระบบ Non-linear Dynamic Systems
ซึ่งโครงสร้างรัฐไทยคล้ายกับฟังก์ชันที่พึ่งพา ‘เงื่อนไขเริ่มต้นที่ไม่เป็นธรรม’
ทำให้ผลลัพธ์ยิ่งห่างจากความเสถียรทุกที”


ดร.มะปราง:
“เช่นนโยบายการศึกษา
ถ้า f(x) = โอกาสชีวิต
แต่โดเมนของ x = กลุ่มรายได้สูงเท่านั้น
คนอีกจำนวนมากจะหลุดออกจากฟังก์ชันตั้งแต่ต้น
เกิด ‘ช่องว่างที่ไม่มีสมการใดอธิบายได้’ นอกจากคำว่า... อยุติธรรม


ไตมยุรา (สแกนภาพรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ):
“นี่คือ Matrix ขนาด 20xN
แสดงความเปลี่ยนแปลงของหลักการประชาธิปไตยในแต่ละฉบับ
พบว่ามีค่าคงที่ K (ค่าความกลัวประชาชน)
ที่ไม่เคยลดลงเลย
K ∝ ความเข้มข้นของมาตราแทรกแซง”


สันติสุข (พูดเบา ๆ):
“โครงสร้างที่ไม่ไว้วางใจประชาชน
คือ ‘รูป’ ที่บิด...
และคำลวงซ้ำซากในสื่อ คือ ‘นาม’ ที่บังตา”


ไตมยุรา:
“ทั้งสองประสานกันเป็น นามรูปแห่งอวิชชา
เมื่อ ‘รูป’ ไม่ยอมเปลี่ยน และ ‘นาม’ ไม่ยอมรู้
เราจะเห็นแต่ ‘ภาพลวงที่เสถียร’
แต่ข้างในกำลังสั่นสะเทือนจากสมดุลปลอม”


(ภาพสุดท้ายปรากฏเป็นสะพานที่ดูมั่นคง
แต่เส้นแรงภายใน (stress lines) เต็มไปด้วยสีแดงเตือนภัย)


ดร.มะปราง (เสียงเรียบเยือกเย็น):
“หากไม่รื้อโครงสร้าง
และตั้งสมการใหม่ด้วยความเป็นธรรม
ต่อให้คานงัดใดมาก็จะงัดไม่ได้…
เพราะฐานรองรับคือความลวง”


(สันติสุขเดินออกจากโถง
เสียงจังหวะเท้าเงียบงัน
แต่ดวงตาเริ่มเปล่งแสงแห่งปัญญา)


จบตอนที่ 6

วิเคราะห์วิวาทะระหว่างพระมหานรินทร์กับเจ้าคุณประสารเพื่อสังเคราะห์ลงในอริยสัจและปฏิจจสมุปบาท

 


วิเคราะห์วิวาทะระหว่างพระมหานรินทร์กับเจ้าคุณประสารเพื่อสังเคราะห์ลงในอริยสัจและปฏิจจสมุปบาท: การถอดบทเรียนผ่านกรอบแนวคิดฟิสิกส์เชิงระบบและคณิตศาสตร์เชิงสัญลักษณ์

บทคัดย่อ บทความนี้นำเสนอการวิเคราะห์วิวาทะทางพุทธปรัชญาระหว่างพระมหานรินทร์และเจ้าคุณประสาร โดยอาศัยกรอบคิดจากฟิสิกส์เชิงระบบ (Systems Physics) และคณิตศาสตร์เชิงสัญลักษณ์ เพื่ออธิบายพลวัตของความคิดเห็น การเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาในคณะสงฆ์ไทย โดยสังเคราะห์เข้ากับหลักอริยสัจสี่และปฏิจจสมุปบาทในพระพุทธศาสนาเพื่อวิเคราะห์รากเหง้าของปัญหา ความทุกข์ และการดับทุกข์ในระดับสถาบัน


1. บทนำ วิวาทะระหว่างพระมหานรินทร์กับเจ้าคุณประสาร เป็นมากกว่าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่สะท้อนปรากฏการณ์เชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาสงฆ์ไทย บทความนี้พยายามวิเคราะห์องค์ประกอบเหล่านี้ผ่านกรอบคิดของฟิสิกส์เชิงระบบ ซึ่งเปรียบเทียบมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เป็นระบบพลวัตที่มีองค์ประกอบย่อย มีแรงภายนอกกระทำ และมีการตอบสนองภายใน

2. กรอบทฤษฎี: ฟิสิกส์เชิงระบบและคณิตศาสตร์เชิงสัญลักษณ์ ฟิสิกส์เชิงระบบศึกษาองค์ประกอบของระบบ (system components) การตอบสนองต่อแรงกระทำ (response to external/internal forces) และสถานะสมดุล (equilibrium) ในขณะที่คณิตศาสตร์เชิงสัญลักษณ์ (symbolic mathematics) ใช้ในการแทนค่าความหมายเชิงนามธรรม เช่น ศักดิ์ศรี = α(ยศ) + β(วิชาการ) + γ(จิตวิญญาณ)

หากค่าของ β และ γ มีค่าน้อยหรือเป็นศูนย์ ขณะที่ α สูงสุด เราอาจได้ศักดิ์ศรีจำแลงที่ไร้เนื้อแท้

3. วิเคราะห์ผ่านอริยสัจสี่

3.1 ทุกข์ (Dukkha): ความไม่พอใจในสถานะของ มจร ที่เปลี่ยนไปเป็น "สินค้าทางวิชาการ" (ตามคำพระมหานรินทร์)

3.2 สมุทัย (Samudaya): ความยึดมั่นในยศ ทรัพย์ อำนาจ และระบบอุปถัมภ์ ซึ่งสามารถแทนได้เป็นฟังก์ชัน S(t) = f(A,Y,P) เมื่อ A = อำนาจ, Y = ยศ, P = ผลประโยชน์สะสม ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามเวลา

3.3 นิโรธ (Nirodha): ความดับของทุกข์คือการคืนกลับสู่จิตวิญญาณแห่งการศึกษา ความหมายเชิงพุทธะ และการผลิตบัณฑิตเพื่อสังคม มิใช่เพื่อการค้าทางปริญญา

3.4 มรรค (Magga): ทางแห่งการพัฒนา คือการฟื้นฟูคุณค่า 4 ประการตามที่เจ้าคุณประสารเสนอ (1) ผลิตบัณฑิต (2) วิจัย (3) บริการวิชาการ (4) ทำนุบำรุงพระศาสนา แต่ต้องดำเนินด้วยสติปัญญา มิใช่ KPI แบบเชิงพาณิชย์

4. วิเคราะห์ผ่านปฏิจจสมุปบาท อาศัยการวิเคราะห์ causal loop diagram แบบฟิสิกส์ระบบ:

  • อวิชชา → สังขาร → วิญญาณ → นามรูป → สฬายตนะ → ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา มรณะ

ในบริบท มจร:

  • อวิชชา = การไม่เข้าใจพันธกิจที่แท้จริงของมหาวิทยาลัย

  • ตัณหา = ความอยากมีอำนาจ ยศถา และชื่อเสียง

  • อุปาทาน = การยึดมั่นใน KPI แทนหลักธรรม

  • ภพ = สถานะทางวิชาการจำแลง

  • ชาติ = การเกิดสถาบันที่เน้นเปลือกมากกว่าเนื้อ

การตัดวงจรนี้คือการให้ปัญญานำหน้า และละตัณหาแห่งอำนาจทางการศึกษา

5. สรุป วิวาทะนี้มิใช่เพียงการปะทะระหว่างบุคคล แต่คือการสั่นสะเทือนของระบบคุณค่าในสถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนา หากจะรักษาสมดุลและศักดิ์ศรีที่แท้ของ มจร. ต้องอาศัยการปรับระบบภายในให้กลับมาสู่จุดสมดุล ผ่านการมองเห็น ทุกข์, การรู้ เหตุแห่งทุกข์, การเชื่อว่า การดับทุกข์เป็นไปได้, และการเดินตาม ทางสายกลาง อย่างมีสติ


คำสำคัญ: วิวาทะ, อริยสัจ, ปฏิจจสมุปบาท, ฟิสิกส์เชิงระบบ, คณิตศาสตร์เชิงสัญลักษณ์, การศึกษาเชิงพุทธ, มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

วิเคราะห์แนวคิดคานงัดประเทศไทยของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์: การสังเคราะห์ด้วยอริยสัจสี่ ปฏิจจสมุปบาท และทฤษฎีคานในเชิงฟิสิกส์



 วิเคราะห์แนวคิดคานงัดประเทศไทยของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์: การสังเคราะห์ด้วยอริยสัจสี่ ปฏิจจสมุปบาท และทฤษฎีคานในเชิงฟิสิกส์ 

บทคัดย่อ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิด “คานงัดประเทศไทย” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผ่านกรอบแนวคิดทางฟิสิกส์เกี่ยวกับคานและแรงงัด (Lever Mechanics) เชื่อมโยงกับหลักพุทธปรัชญา ได้แก่ อริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท โดยสังเคราะห์ให้เห็นถึงธรรมชาติของปัญหา (ทุกข์), เหตุแห่งปัญหา (สมุทัย), แนวทางดับทุกข์ (นิโรธ) และวิถีทางแห่งการเปลี่ยนแปลง (มรรค) ผ่านมุมมองของโครงสร้างเชิงระบบที่บิดเบี้ยวในสังคมไทย ซึ่งสะท้อนออกมาทางระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ โดยชี้ให้เห็นถึง “จุดคานงัด” ทางสังคม (Social Leveraging Point) ที่สามารถใช้เปลี่ยนทิศทางการพัฒนาของประเทศจาก Falling State สู่ Forefront State ได้อย่างมีระบบและยั่งยืน

1. บทนำ

แนวคิดเรื่อง “คานงัดประเทศไทย” ที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เสนอไว้ เปรียบเสมือนการวิเคราะห์ฟิสิกส์เชิงกลศาสตร์ว่าด้วยคานงัด (lever system) ซึ่งเป็นระบบกลที่สามารถขยายแรงเล็กให้เกิดผลลัพธ์ใหญ่ได้ หากรู้จักตำแหน่งจุดหมุน (fulcrum) และใช้แรงในทิศทางที่ถูกต้อง ในบริบทของสังคมไทย จุดคานงัดคือการปฏิรูประบบคุณค่า ซึ่งจะสามารถปลดล็อกโครงสร้างอันซับซ้อนของวงจรอุบาทว์ที่ฝังลึกในทุกระดับของสังคม

แนวทางนี้สามารถอธิบายได้ด้วยกรอบ “อริยสัจ 4” ที่เป็นระบบวิเคราะห์เหตุและผลของความทุกข์ รวมถึง “ปฏิจจสมุปบาท” ที่แสดงถึงความสัมพันธ์แบบเหตุปัจจัยต่อเนื่อง ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับกระบวนการย้อนกลับของแรงและโมเมนต์ในฟิสิกส์เชิงระบบ

2. ทฤษฎีคาน: การประยุกต์เชิงฟิสิกส์

ในทางฟิสิกส์ คาน (lever) คือเครื่องกลอย่างง่ายที่ประกอบด้วย:

แรงกระทำ (Effort)

น้ำหนักหรือต้านทาน (Load)

จุดหมุน (Fulcrum)

สมการโมเมนต์ของคาน (Moment of Force) คือ

M = F × d

โดยที่ M คือ โมเมนต์, F คือ แรง, และ d คือ ระยะห่างจากจุดหมุน

ในเชิงสังคม จุดหมุน (fulcrum) คือ “จุดเปลี่ยนของคุณค่า”

แรงกระทำ (Effort) คือ การขับเคลื่อนจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และผู้นำ

น้ำหนักหรือต้านทาน (Load) คือ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนที่ฝังลึก

การเปลี่ยนประเทศไทยจึงไม่ใช่การเพิ่มแรงอย่างไร้ทิศทาง แต่คือการหาจุด “d” ที่แม่นยำ ซึ่งในที่นี้หมายถึง “จุดคานงัดเชิงคุณค่า” เพื่อสร้างผลกระทบทางโครงสร้าง

3. อริยสัจ 4: กรอบวิเคราะห์ความทุกข์แห่งรัฐไทย

องค์ประกอบ ความหมาย การสังเคราะห์กับแนวคิดของ ดร.สุวิทย์

ทุกข์ ความเสื่อมถอยของรัฐไทย ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม สุขนิยม ทุนนิยมพวกพ้อง

สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ ระบบคุณค่าบิดเบี้ยว บ่มเพาะปัจเจกนิยมไร้บรรทัดฐาน (Anomic Individualism)

นิโรธ ความดับทุกข์ การปฏิรูประบบคุณค่า เสริมสร้างจิตสำนึกพลเมือง

มรรค หนทางดับทุกข์ คานงัด: การขับเคลื่อนผ่านจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของคุณค่า

4. ปฏิจจสมุปบาท: โซ่เหตุปัจจัยเชิงระบบ

อวิชชา → สังขาร → วิญญาณ → นามรูป → สฬายตนะ → ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา มรณะ

ระบบคุณค่าที่บิดเบี้ยวในสังคมไทยสามารถเทียบได้กับ “อวิชชา” ทางสังคม เช่น ความไม่รู้ต่อหน้าที่พลเมือง ความหลงในอภิสิทธิ์ และความอยากได้อำนาจแบบผิดธรรมชาติ (ตัณหา) ซึ่งนำไปสู่ “ภพ” ทางโครงสร้าง เช่น รัฐประชาธิปไตยเทียม และระบบเศรษฐกิจแบบปรสิต และจบลงที่ “ชรา มรณะ” ของรัฐ คือ สถานะ Falling State ที่เป็นความเสื่อมถอยถาวรของชาติ

5. คานงัดเชิงคุณค่า: จุดเปลี่ยนที่สามารถสร้างโมเมนต์แห่งการปฏิรูป

การปฏิรูประบบคุณค่าคือการเคลื่อนย้าย “Fulcrum” ของระบบให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการขับเคลื่อน (Optimal Leverage Point) ซึ่งตรงกับแนวคิดของ Donella Meadows นักระบบศาสตร์ที่กล่าวว่า การเปลี่ยนระบบได้ดีที่สุดคือต้องเปลี่ยนที่ “mindset” หรือระบบคุณค่ารากฐาน

สองชุดระบบคุณค่าที่ต้องปฏิรูป:

อุปถัมภ์นิยม – อำนาจนิยม – อภิสิทธินิยม

บริโภคนิยม – วัตถุนิยม – สุขนิยม

จุดคานงัดไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายนอก แต่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ทางจิตสำนึก

6. สรุป

แนวคิด “คานงัดประเทศไทย” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ มิได้เป็นเพียงคำเปรียบเปรยเชิงการเมือง หากแต่เป็นโมเดลการเปลี่ยนแปลงที่มีพื้นฐานทั้งทางฟิสิกส์ สังคมศาสตร์ และปรัชญา โดยการเชื่อมโยงจุดคานงัด (leveraging point) กับหลักพุทธปรัชญา อริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท ทำให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยทั้งการวิเคราะห์เหตุแห่งทุกข์อย่างเป็นระบบ และการกำหนดแรงกระทำที่มีทิศทาง ถูกจุด และสอดคล้องกับโครงสร้างเชิงจิตวิญญาณและจริยธรรมของสังคมไทย

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า  คานงัดประเทศไทย

หลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)

ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก 

ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร

แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลง

หลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาค

ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องาน

ความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น 

ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์

หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้

ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือ

ชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม

ชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม

บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบัง

ระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น 

• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย 

• การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม 

• การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”

• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) 

• ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ

• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวัง

ที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัย

ดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ

ระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุด

โครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรม

ถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง

 


ธรรมกาสิโน

  สนามเดิมพันแห่งชีวิต (แนวเพลง: ลึกลับ–อภิปรัชญา–อีเล็กโทร–เนิบช้า) [ท่อนแรก: โลกที่ไม่แน่นอน] เงียบงันดั่งฟังก์ชันคลื่น ใจคนพลิ้วไหว ไ...