วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2568

เพลง: คานธรรม


เพลง: จุดคานงัด

[Verse 1]
เราอยู่ในรัฐที่คล้ายสมดุล
แต่ลึกในนั้นคือแรงต้านหน่วง
อุปถัมภ์วนซ้ำ อำนาจวนเวียน
เหมือนวงล้อหมุนไม่พาใครพ้น

[Pre-Chorus]
คำว่า “เปลี่ยนแปลง” ไม่พอเพียง
ถ้ายังไม่รู้ว่าจุดหมุนอยู่ไหน
ในคานชีวิตที่ถ่วงไว้
แรงเล็กก็พลิกโลกได้ ถ้าลงตรงใจ

[Chorus]
นี่คือ… จุดคานงัด
ที่เราต้องใช้หัวใจแทนแรงกล
พลิกคุณค่าบิดเบี้ยวให้คืนกลับ
หยุดวงจรหลงผิดที่เราสร้างกันเอง
ให้ไทยไม่ตกใน “หลายทศวรรษแห่งความสูญเปล่า”

[Verse 2]
Fulcrum อยู่ตรง “ระบบคุณค่า”
Load คือสิ่งที่เรายอมให้กดทับ
Effort ไม่ใช่แค่พลัง
แต่คือ “จิตสำนึก” ที่พร้อมจะเปลี่ยน

[Pre-Chorus]
เส้นทางไม่ง่าย…แต่เริ่มที่เรา
ด้วย Mindset ใหม่ ที่ไม่ขายฝัน
ถอดอวิชชา ใส่ความเข้าใจ
ให้มรรคเป็นโมเมนต์ ที่ปลุกทั้งแผ่นดิน

[Chorus]
นี่คือ… จุดคานงัด
ที่เราต้องใช้หัวใจแทนแรงกล
พลิกคุณค่าบิดเบี้ยวให้คืนกลับ
หยุดวงจรหลงผิดที่เราสร้างกันเอง
ให้ไทยไม่ตกใน “หลายทศวรรษแห่งความสูญเปล่า”

[Bridge – Spoken Word]
“อวิชชาไม่ใช่ความโง่…
แต่คือความเคยชินที่ไม่ถามว่า 'ทำไม?'
จงตั้งคำถามใหม่กับทุก ‘ความถูกต้อง’
เพราะบางที… ความผิดปกติ มันเคยถูกจัดวางให้ดูปกติ”

[Final Chorus – ร้องช้ากว่าเดิม หนักแน่นขึ้น]
นี่คือ… จุดคานงัด
จุดเริ่มแห่งชาติที่พ้นกับดัก
เปลี่ยน Mindset หนึ่งเดียว เป็นพลังกล
จากเสรีชน สู่พลเมืองผู้รับผิดชอบ
และนี่ไม่ใช่เพลงปลุกใจ… แต่มันคือแรงโมเมนต์

[Outro – คลอด้วยเสียงลมหายใจ + synth เบา ๆ]
"จงวางแรงให้ตรงจุด… แล้วโลกจะเปลี่ยน"


หากต้องการเวอร์ชันเน้นดนตรีอิเล็กโทร-โปรเกรสซีฟ หรือแปลงเป็น Key Visual หรือ MV moodboard บอกได้เลยครับ

 วิเคราะห์แนวคิดคานงัดประเทศไทยของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์: การสังเคราะห์ด้วยอริยสัจสี่ ปฏิจจสมุปบาท และทฤษฎีคานในเชิงฟิสิกส์ 

 วิเคราะห์แนวคิดคานงัดประเทศไทยของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์: การสังเคราะห์ด้วยอริยสัจสี่ ปฏิจจสมุปบาท และทฤษฎีคานในเชิงฟิสิกส์ 

บทคัดย่อ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิด “คานงัดประเทศไทย” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผ่านกรอบแนวคิดทางฟิสิกส์เกี่ยวกับคานและแรงงัด (Lever Mechanics) เชื่อมโยงกับหลักพุทธปรัชญา ได้แก่ อริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท โดยสังเคราะห์ให้เห็นถึงธรรมชาติของปัญหา (ทุกข์), เหตุแห่งปัญหา (สมุทัย), แนวทางดับทุกข์ (นิโรธ) และวิถีทางแห่งการเปลี่ยนแปลง (มรรค) ผ่านมุมมองของโครงสร้างเชิงระบบที่บิดเบี้ยวในสังคมไทย ซึ่งสะท้อนออกมาทางระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ โดยชี้ให้เห็นถึง “จุดคานงัด” ทางสังคม (Social Leveraging Point) ที่สามารถใช้เปลี่ยนทิศทางการพัฒนาของประเทศจาก Falling State สู่ Forefront State ได้อย่างมีระบบและยั่งยืน

1. บทนำ

แนวคิดเรื่อง “คานงัดประเทศไทย” ที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เสนอไว้ เปรียบเสมือนการวิเคราะห์ฟิสิกส์เชิงกลศาสตร์ว่าด้วยคานงัด (lever system) ซึ่งเป็นระบบกลที่สามารถขยายแรงเล็กให้เกิดผลลัพธ์ใหญ่ได้ หากรู้จักตำแหน่งจุดหมุน (fulcrum) และใช้แรงในทิศทางที่ถูกต้อง ในบริบทของสังคมไทย จุดคานงัดคือการปฏิรูประบบคุณค่า ซึ่งจะสามารถปลดล็อกโครงสร้างอันซับซ้อนของวงจรอุบาทว์ที่ฝังลึกในทุกระดับของสังคม

แนวทางนี้สามารถอธิบายได้ด้วยกรอบ “อริยสัจ 4” ที่เป็นระบบวิเคราะห์เหตุและผลของความทุกข์ รวมถึง “ปฏิจจสมุปบาท” ที่แสดงถึงความสัมพันธ์แบบเหตุปัจจัยต่อเนื่อง ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับกระบวนการย้อนกลับของแรงและโมเมนต์ในฟิสิกส์เชิงระบบ

2. ทฤษฎีคาน: การประยุกต์เชิงฟิสิกส์

ในทางฟิสิกส์ คาน (lever) คือเครื่องกลอย่างง่ายที่ประกอบด้วย:

แรงกระทำ (Effort)

น้ำหนักหรือต้านทาน (Load)

จุดหมุน (Fulcrum)

สมการโมเมนต์ของคาน (Moment of Force) คือ

M = F × d

โดยที่ M คือ โมเมนต์, F คือ แรง, และ d คือ ระยะห่างจากจุดหมุน

ในเชิงสังคม จุดหมุน (fulcrum) คือ “จุดเปลี่ยนของคุณค่า”

แรงกระทำ (Effort) คือ การขับเคลื่อนจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และผู้นำ

น้ำหนักหรือต้านทาน (Load) คือ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนที่ฝังลึก

การเปลี่ยนประเทศไทยจึงไม่ใช่การเพิ่มแรงอย่างไร้ทิศทาง แต่คือการหาจุด “d” ที่แม่นยำ ซึ่งในที่นี้หมายถึง “จุดคานงัดเชิงคุณค่า” เพื่อสร้างผลกระทบทางโครงสร้าง

3. อริยสัจ 4: กรอบวิเคราะห์ความทุกข์แห่งรัฐไทย

องค์ประกอบ ความหมาย การสังเคราะห์กับแนวคิดของ ดร.สุวิทย์

ทุกข์ ความเสื่อมถอยของรัฐไทย ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม สุขนิยม ทุนนิยมพวกพ้อง

สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ ระบบคุณค่าบิดเบี้ยว บ่มเพาะปัจเจกนิยมไร้บรรทัดฐาน (Anomic Individualism)

นิโรธ ความดับทุกข์ การปฏิรูประบบคุณค่า เสริมสร้างจิตสำนึกพลเมือง

มรรค หนทางดับทุกข์ คานงัด: การขับเคลื่อนผ่านจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของคุณค่า

4. ปฏิจจสมุปบาท: โซ่เหตุปัจจัยเชิงระบบ

อวิชชา → สังขาร → วิญญาณ → นามรูป → สฬายตนะ → ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา มรณะ

ระบบคุณค่าที่บิดเบี้ยวในสังคมไทยสามารถเทียบได้กับ “อวิชชา” ทางสังคม เช่น ความไม่รู้ต่อหน้าที่พลเมือง ความหลงในอภิสิทธิ์ และความอยากได้อำนาจแบบผิดธรรมชาติ (ตัณหา) ซึ่งนำไปสู่ “ภพ” ทางโครงสร้าง เช่น รัฐประชาธิปไตยเทียม และระบบเศรษฐกิจแบบปรสิต และจบลงที่ “ชรา มรณะ” ของรัฐ คือ สถานะ Falling State ที่เป็นความเสื่อมถอยถาวรของชาติ

5. คานงัดเชิงคุณค่า: จุดเปลี่ยนที่สามารถสร้างโมเมนต์แห่งการปฏิรูป

การปฏิรูประบบคุณค่าคือการเคลื่อนย้าย “Fulcrum” ของระบบให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการขับเคลื่อน (Optimal Leverage Point) ซึ่งตรงกับแนวคิดของ Donella Meadows นักระบบศาสตร์ที่กล่าวว่า การเปลี่ยนระบบได้ดีที่สุดคือต้องเปลี่ยนที่ “mindset” หรือระบบคุณค่ารากฐาน

สองชุดระบบคุณค่าที่ต้องปฏิรูป:

อุปถัมภ์นิยม – อำนาจนิยม – อภิสิทธินิยม

บริโภคนิยม – วัตถุนิยม – สุขนิยม

จุดคานงัดไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายนอก แต่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ทางจิตสำนึก

6. สรุป

แนวคิด “คานงัดประเทศไทย” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ มิได้เป็นเพียงคำเปรียบเปรยเชิงการเมือง หากแต่เป็นโมเดลการเปลี่ยนแปลงที่มีพื้นฐานทั้งทางฟิสิกส์ สังคมศาสตร์ และปรัชญา โดยการเชื่อมโยงจุดคานงัด (leveraging point) กับหลักพุทธปรัชญา อริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท ทำให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยทั้งการวิเคราะห์เหตุแห่งทุกข์อย่างเป็นระบบ และการกำหนดแรงกระทำที่มีทิศทาง ถูกจุด และสอดคล้องกับโครงสร้างเชิงจิตวิญญาณและจริยธรรมของสังคมไทย

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า  คานงัดประเทศไทย

หลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)

ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก 

ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร

แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลง

หลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาค

ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องาน

ความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น 

ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์

หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้

ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือ

ชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม

ชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม

บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบัง

ระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น 

• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย 

• การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม 

• การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”

• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) 

• ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ

• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวัง

ที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัย

ดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ

ระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุด

โครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรม

ถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21 บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่ง...