วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง


รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ย้ายสังกัดสู่พรรคพลังประชารัฐในปี พ.ศ. 2568 การศึกษาใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารและข้อมูลเชิงประจักษ์ (Documentary and Empirical Analysis) โดยเน้นหนักไปที่ผลงานด้านนิติบัญญัติ การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านพระพุทธศาสนา และการบริหารจัดการปัญหาในระดับท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า ดร.นิยม มีอัตลักษณ์ทางการเมืองแบบ "พุทธรัฐศาสตร์" (Buddhist-Politicus) ที่โดดเด่น โดยใช้ทุนทางปัญญาด้านกฎหมายและพุทธจิตวิทยาในการผลักดันร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครององค์กรสงฆ์และการจัดการศาสนสมบัติ ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมสูงสุดคือการผลักดันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เรื่องการพิสูจน์สิทธิที่ดินวัดในเขตที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานาน อย่างไรก็ตาม พลวัตทางการเมืองในช่วงปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์เฉพาะด้าน (Niche Ideology) กับโครงสร้างพรรคมหาชน (Mass Party) นำไปสู่การตัดสินใจย้ายขั้วทางการเมืองเพื่อรักษาพื้นที่ในการขับเคลื่อนนโยบายศาสนา


1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองสกลนครและตัวตนของ "มหานิยม"

1.1 บริบททางการเมืองจังหวัดสกลนคร

จังหวัดสกลนครถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยมีลักษณะทางสังคมวิทยาการเมืองที่ผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองเกษตรกรรมและพื้นที่ที่มีความตื่นตัวทางวัฒนธรรมสูง โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาสายวัดป่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองในพื้นที่นี้ถูกครอบงำด้วยกระแสพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยมายาวนาน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่อง "ตัวบุคคล" ที่มีความยึดโยงกับวิถีชีวิตชาวบ้านและสถาบันศาสนายังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

1.2 สถานะและบทบาทนำของ ดร.นิยม เวชกามา

ดร.นิยม เวชกามา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ดร.มหานิยม" มิใช่เพียงนักการเมืองที่เติบโตมาจากระบบหัวคะแนนหรือทายาททางการเมือง แต่เป็น "นักวิชาการปฏิบัติการ" (Practitioner Academic) ที่สั่งสมประสบการณ์จากระบบราชการและภาคประชาสังคม  ท่านดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดสกลนคร มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จนถึงปี 2566 และมีบทบาทต่อเนื่องในฝ่ายบริหารในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดต่อมา 

จุดเด่นที่ทำให้ ดร.นิยม แตกต่างจาก ส.ส. ทั่วไป คือการวางตำแหน่งตัวเองเป็น "ผู้แทนของศาสนจักรในรัฐสภา" ท่านใช้กลไกนิติบัญญัติในการต่อสู้เพื่อสิทธิของพระสงฆ์และการจัดการทรัพย์สินของวัด ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและทับซ้อนกับกฎหมายที่ดินและป่าไม้ของรัฐ รายงานฉบับนี้จะเจาะลึกถึงกลยุทธ์และผลลัพธ์ของการดำเนินงานดังกล่าว รวมถึงการวิเคราะห์จุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญในปี 2568


2. รากฐานทางภูมิปัญญาและการก่อรูปอุดมการณ์ทางการเมือง

การวิเคราะห์พฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมืองจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Political Socialization) และพื้นฐานทางภูมิปัญญา ดร.นิยม มีพื้นฐานการศึกษาและวิชาชีพที่หล่อหลอมวิธีคิดและการทำงานที่เน้นหลักการและกฎหมาย

2.1 สหวิทยาการ: จากครู สู่นักกฎหมาย และพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต

เส้นทางการศึกษาของ ดร.นิยม แสดงให้เห็นถึงการแสวงหาความรู้ในลักษณะ "สหวิทยาการ" (Interdisciplinary) ซึ่งเป็นฐานทุนสำคัญในการทำงานนโยบายที่ซับซ้อน:

  1. รากฐานการศึกษาและการพัฒนาคน: เริ่มต้นจากการเป็น "ครุศาสตรบัณฑิต" จากวิทยาลัยครูสกลนคร  สิ่งนี้สะท้อนผ่านสไตล์การอภิปรายที่มักมีการยกตัวอย่าง การสอน และการอธิบายหลักการที่ชัดเจนเหมือนครูสอนศิษย์

  2. ความแม่นยำทางกฎหมาย: การสำเร็จการศึกษา "นิติศาสตรบัณฑิต" จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ทำให้ท่านมีความเชี่ยวชาญในการร่างกฎหมายและการตีความข้อกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่ดินและระเบียบราชการ ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับหน่วยงานรัฐเพื่อแก้ปัญหาที่ดินวัด

  3. กรอบคิดทางรัฐศาสตร์: ปริญญา "รัฐศาสตรมหาบัณฑิต" จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงช่วยให้ท่านเข้าใจโครงสร้างอำนาจและการบริหารจัดการภาครัฐ

  4. การบูรณาการขั้นสูง: จุดสูงสุดทางวิชาการคือปริญญา "พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขาพุทธจิตวิทยา)" จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง "รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชนชาวสกลนครตามแนวพุทธจิตวิทยา"  ไม่ได้เป็นเพียงงานวิจัย แต่เป็น "พิมพ์เขียว" (Blueprint) ในการทำงานการเมืองของท่าน ที่เน้นการนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้กับการมีส่วนร่วมของประชาชน

2.2 ประสบการณ์วิชาชีพก่อนเข้าสู่การเมือง

ก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ดร.นิยม สั่งสมประสบการณ์ในระบบราชการมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ:

  • ข้าราชการครูและนิติกร (พ.ศ. 2520–2536): การทำงานในตำแหน่งนิติกร สปจ.สกลนคร ทำให้ท่านเข้าใจปัญหากฎหมายในระดับปฏิบัติการและข้อจำกัดของระบบราชการ

  • นักวิชาการประกันภัย (พ.ศ. 2537–2547): ในฐานะหัวหน้าสำนักงานประกันภัยจังหวัดยโสธรและสกลนคร ท่านได้ทำงานเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดการสร้างหลักประกันทางสังคม 

  • ผู้นำสื่อมวลชนท้องถิ่น (พ.ศ. 2548–2550): การดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์วิทยุและโทรทัศน์ จังหวัดสกลนคร ช่วยสร้างเครือข่ายและความสามารถในการสื่อสารสาธารณะ 


3. บทวิเคราะห์ผลงานด้านนิติบัญญัติระดับชาติ: การขับเคลื่อน "พุทธนโยบาย"

ดร.นิยม ถือเป็น ส.ส. ที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในการขับเคลื่อนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสนา โดยไม่ได้มองศาสนาเป็นเพียงพิธีกรรม แต่มองเป็น "สถาบันทางสังคม" ที่ต้องมีการบริหารจัดการและคุ้มครองทางกฎหมาย

3.1 สถาปัตยกรรมกฎหมายเพื่อความยั่งยืนของพุทธศาสนา

จากการรวบรวมข้อมูลร่างกฎหมายที่ ดร.นิยม เป็นผู้เสนอหรือมีส่วนร่วมหลัก พบว่ามีชุดกฎหมายที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบ (Legislative Ecosystem):

3.1.1 ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย (Buddhist Bank of Thailand Bill)

นี่คือข้อเสนอเชิงนโยบายที่ท้าทายที่สุดของ ดร.นิยม โดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูประบบการเงินของวัดและส่งเสริมจริยธรรมทางการเงิน 

ตารางที่ 1: วิเคราะห์โครงสร้างร่าง พ.ร.บ. ธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย

องค์ประกอบรายละเอียดและกลไกการวิเคราะห์นัยสำคัญ
วัตถุประสงค์จัดตั้งสถาบันการเงินตามแนวพุทธวิถี ส่งเสริมการออม การลงทุน และดูแลศาสนสมบัติต้องการแยก "เงินวัด" ออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ปกติ เพื่อการบริหารที่โปร่งใสและสอดคล้องกับพระธรรมวินัย
โครงสร้างทุนทุนเรือนหุ้น 2,000 ล้านบาท (รัฐ 1,000 ล้าน / ประชาชน 1,000 ล้าน)เป็นรูปแบบ Public-Private Partnership (PPP) ที่ดึงรัฐเข้ามาค้ำประกันความน่าเชื่อถือ
ความเป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่า 51%, กรรมการไทย 2/3เน้นความเป็นชาตินิยมและปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศ
สถานะทางกฎหมายตกไป (เนื่องจากนายกฯ ไม่รับรองว่าเป็นร่างการเงิน)สะท้อนข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญ มาตรา 133 ที่ให้อำนาจนายกฯ ในการปัดตกร่างกฎหมายการเงิน

ที่มา: วิเคราะห์จากข้อมูลร่างกฎหมายรัฐสภา 

ความล้มเหลวของร่างกฎหมายนี้ในขั้นตอนการรับรองของฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรีไม่เซ็นรับรอง) สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังของรัฐบาลในการจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions - SFIs) ใหม่ ซึ่งอาจซ้ำซ้อนกับธนาคารที่มีอยู่และมีความเสี่ยงทางการคลัง อย่างไรก็ตาม การเสนอร่างนี้ได้จุดประกายการอภิปรายเรื่อง "ธรรมาภิบาลเงินวัด" ในวงกว้าง

3.1.2 ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

ดร.นิยม ได้หยิบยกประเด็นสิทธิมนุษยชนของพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นวาระสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทของกระบวนการยุติธรรม ท่านมองว่าการจับกุมคุมขังพระสงฆ์โดยไม่ให้ประกันตัวหรือบังคับให้สึกก่อนคดีถึงที่สุด เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน

  • นัยทางกฎหมาย: ร่างกฎหมายนี้พยายามสร้างมาตรฐานใหม่ในการปฏิบัติต่อพระภิกษุในฐานะผู้ต้องหา โดยให้นำหลักพระธรรมวินัยมาพิจารณาประกอบ และต้องมีกระบวนการกลั่นกรองก่อนการดำเนินคดีอาญา เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือความเข้าใจผิดทางศาสนา

  • การเชื่อมโยงกับบริบทชายแดนใต้: ดร.นิยม มักเชื่อมโยงกฎหมายนี้เข้ากับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพระสงฆ์ตกเป็นเป้าหมาย และมักไม่ได้รับความคุ้มครองที่เพียงพอ 

3.2 บทบาทการตรวจสอบถ่วงดุลในสภาผู้แทนราษฎร

นอกจากการเสนอกฎหมาย ดร.นิยม ใช้กลไกสภาในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

3.2.1 การอภิปรายไม่ไว้วางใจและญัตติด่วน

  • วิกฤตศรัทธาและสำนักพุทธฯ: ดร.นิยม เป็นหัวหอกในการอภิปรายโจมตีการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่มีการใช้อำนาจทหารและกฎหมายเข้าจัดการกับวัดและพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในคดี "เงินทอนวัด" ท่านชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่เข้าใจบริบทการบริหารจัดการวัด  

  • การบริหารสถานการณ์โควิด-19: ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 ท่านได้เสนอญัตติด่วนเรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาโควิด-19 โดยเจาะจงวิจารณ์กรณี "แขก VIP"  ที่ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องกักตัว จนนำไปสู่ความเสี่ยงในการระบาดระลอกใหม่  การอภิปรายนี้สะท้อนจุดยืนที่ยึดถือความปลอดภัยของประชาชนรากหญ้ามากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

  • การตรวจสอบเงินกู้: เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 ท่านอภิปรายเรียกร้องให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเม็ดเงินถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง 

3.2.2 การลงมติในประเด็นสำคัญทางกฎหมาย

จากการตรวจสอบบันทึกการลงมติของ ดร.นิยม (อ้างอิงข้อมูลจาก They Work For Us) พบรูปแบบการตัดสินใจที่สอดคล้องกับแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยมและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม:

  • การแก้ไขรัฐธรรมนูญ: ลงมติ "เห็นชอบ" กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยทุกฉบับที่มุ่งเน้นการเพิ่มสิทธิเสรีภาพประชาชน ปฏิรูประบบเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบ และลดอำนาจสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

  • กฎหมายปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม: สนับสนุน "ร่าง พ.ร.บ. กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม" และ "ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย" ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนจนไม่ต้องติดคุกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ และเร่งรัดคดีความให้รวดเร็วขึ้น

  • กฎหมายการกระจายอำนาจ: แม้จะสนับสนุนการกระจายอำนาจ แต่ในโหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ "ปลดล็อกท้องถิ่น" ของคณะก้าวหน้า ผลการลงมติในภาพรวมของสภาคือไม่ผ่าน แต่พฤติกรรมโหวตของท่านสะท้อนการยืนอยู่ฝั่งพรรคร่วมฝ่ายค้านในขณะนั้นอย่างเหนียวแน่น


4. ผลสัมฤทธิ์เชิงปฏิบัติการ: กรณีศึกษาการแก้ปัญหาที่ดินวัด (The Temple Land Rights Resolution)

ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมที่สุดของ ดร.นิยม และถือเป็น "Masterpiece" ในชีวิตการเมือง คือการผลักดันการแก้ปัญหาที่ดินวัดที่ตั้งอยู่ในเขตป่าและที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและเรื้อรัง

4.1 พลวัตของปัญหา

วัดจำนวนมากในประเทศไทย (ประมาณ 11,000 แห่ง) ก่อตั้งมาก่อนการประกาศเขตป่าสงวนหรือเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทำให้กลายเป็นผู้บุกรุกในทางกฎหมาย ไม่สามารถของบประมาณพัฒนาวัด และพระสงฆ์ขาดความมั่นคงในการจำพรรษา ปัญหานี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง "พุทธจักร" (วิถีปฏิบัติของพระสายวัดป่า) และ "อาณาจักร" (กฎหมายที่ดินสมัยใหม่)

4.2 กระบวนการขับเคลื่อนนโยบาย

ดร.นิยม ใช้ตำแหน่ง "ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" และ "ผู้ช่วยรัฐมนตรี" ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร เป็นฐานในการขับเคลื่อน:

  1. การตั้งคณะทำงาน: ท่านเป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาศึกษาวัดและที่พักสงฆ์ฯ ลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริง เช่น ที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี เพื่อสร้างฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-based Policy) 17

  2. การประสานข้ามหน่วยงาน: เชื่อมประสานระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พส.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) และกรมที่ดิน เพื่อหาทางออกร่วมกันแทนการบังคับใช้กฎหมายฝ่ายเดียว

4.3 มติคณะรัฐมนตรีประวัติศาสตร์ 5 สิงหาคม 2568

ผลจากการผลักดันอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 มีมติเห็นชอบ "(ร่าง) มาตรการการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ" 

ตารางที่ 2: สาระสำคัญของมาตรการพิสูจน์สิทธิที่ดินวัด (มติ ครม. 5 ส.ค. 2568)

กลไกการดำเนินการรายละเอียดผลลัพธ์ต่อวัดและพระพุทธศาสนา
หลักฐานภาพถ่ายใช้ภาพถ่ายทางอากาศออร์โธสี ปี พ.ศ. 2545 หรือ 2546 เป็นเกณฑ์หลักหากพบร่องรอยสิ่งปลูกสร้างหรือการทำประโยชน์ในภาพถ่าย แสดงว่าวัดอยู่มาก่อน สามารถเข้าสู่กระบวนการออกเอกสารสิทธิ์ได้
มาตรการพิเศษวัดป่ายกเว้น/ผ่อนปรนสำหรับวัดสายธรรมยุตที่อยู่ตามถ้ำ/เพิงหิน ซึ่งมองไม่เห็นในภาพถ่ายแก้ปัญหา "การมองไม่เห็น" ของรัฐ ยอมรับวิถีปฏิบัติธรรมตามธรรมชาติ ช่วยให้วัดป่าได้รับสิทธิเช่นเดียวกับวัดบ้าน
กรอบเวลาให้หน่วยงานทำคู่มือปฏิบัติให้เสร็จใน 90 วัน และให้ ผวจ. เร่งรัดดำเนินการลดขั้นตอนราชการ (Red Tape) ทำให้วัดสามารถขอออกโฉนดหรือขออนุญาตใช้พื้นที่ได้รวดเร็วขึ้น

กรณีศึกษาความสำเร็จ: วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นวัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้รับการอนุมัติสิทธิตามมาตรการนี้ เป็นโมเดลนำร่องที่ ดร.นิยม ภาคภูมิใจ 


5. การบริหารจัดการพื้นที่และปัญหาท้องถิ่นสกลนคร

แม้จะเน้นงานระดับชาติ แต่ ดร.นิยม ไม่ทิ้งฐานเสียงในจังหวัดสกลนคร โดยใช้วิธีการทำงานแบบ "กัดติดพื้นที่" เพื่อแก้ปัญหาปากท้องและสาธารณูปโภค

5.1 การจัดการทรัพยากรน้ำและภัยแล้ง

สกลนครมักประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก ดร.นิยม มีผลงานที่จับต้องได้ในการแก้ปัญหานี้:

  • กรณีศึกษาบ้านงิ้วใหญ่ อ.กุสุมาลย์: เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 ท่านลงพื้นที่บ้านงิ้วใหญ่ ม.5 ต.อุ่มจาน พบปัญหาระบบประปาหมู่บ้านล้มเหลวเนื่องจากบ่อบาดาลเก่า (อายุ 40 ปี) แห้งขอด ท่านได้ประสานหน่วยงานจังหวัดทันทีเพื่อขุดเจาะบ่อใหม่ โดยยึดหลัก "น้ำคือชีวิต" ประชาชนจะขาดแคลนไม่ได้ 

  • ยุทธศาสตร์น้ำเพื่อการเกษตร: ร่วมกับทีมเพื่อไทยผลักดันนโยบายเพิ่มพื้นที่ชลประทานและขุดลอกหนองหาร เพื่อเป็นแก้มลิงธรรมชาติ 

5.2 เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องปากท้องเกษตรกร

ในฐานะผู้แทนจากภาคอีสาน ดร.นิยม เข้าใจพลวัตราคาพืชผลและปศุสัตว์:

  • วิกฤตราคาหมูและเนื้อวัว: ในเดือนตุลาคม 2566 เมื่อราคาหมูตกต่ำจากการทะลักของ "หมูเถื่อน" ดร.นิยม ได้นำ นายไชยา พรหมา (รมช.เกษตรฯ ในขณะนั้น) ลงพื้นที่ อ.โพนนาแก้ว เพื่อรับฟังปัญหาจากเกษตรกรรายย่อยโดยตรง

  • การแทรกแซงตลาด: ท่านผลักดันให้มีการปราบปรามการนำเข้าเนื้อเถื่อนอย่างจริงจัง และส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตอาหารสัตว์เองเพื่อลดต้นทุน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าการแจกเงินเยียวยาเพียงอย่างเดียว


6. จุดเปลี่ยนทางการเมือง 2568: อุดมการณ์ vs พรรคสังกัด

ปี พ.ศ. 2568 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตการเมืองของ ดร.นิยม เมื่อท่านตัดสินใจลาออกจากพรรคเพื่อไทยที่สังกัดมายาวนานกว่า 17 ปี และย้ายเข้าสู่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

6.1 มูลเหตุจูงใจในการย้ายพรรค (Push and Pull Factors)

การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่วิเคราะห์ได้จากปัจจัย "ผลักและดึง":

  • ปัจจัยผลัก (Push Factors): ดร.นิยม เปิดเผยว่า "ไม่มีที่ยืนในพรรค" คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์พรรคไปสู่คนรุ่นใหม่ หรือลดความสำคัญของปีกศาสนา/วัฒนธรรม ทำให้บทบาทของท่านถูกลดทอนลง

  • ปัจจัยดึง (Pull Factors): พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในช่วงปี 2568 (ซึ่งประกาศปรับโครงสร้างพรรคและสู้ต่อ)  น่าจะให้คำมั่นสัญญาเรื่องพื้นที่ในการขับเคลื่อนนโยบายพุทธศาสนาที่ท่านยึดมั่น

  • อุดมการณ์เหนือพรรค: สโลแกน "ปกป้องพุทธศาสนา ดูแลปากท้อง ปชช." ที่ใช้ในการย้ายพรรค ยืนยันว่าสำหรับ ดร.นิยม แล้ว ภารกิจด้านศาสนาสำคัญกว่าความภักดีต่อตราพรรค  

6.2 นัยทางการเมือง

การย้ายไปสังกัด พปชร. ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พรรค พปชร. กำลังปรับทัพใหม่ (Rebranding) โดยมีอดีต ส.ส. และรัฐมนตรีหลายคนเข้าร่วม แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวของกลุ่มการเมือง "บ้านใหญ่" และกลุ่ม "อนุรักษ์นิยมท้องถิ่น" ที่ต้องการพื้นที่อิสระในการบริหารจัดการฐานเสียงของตนเอง โดยไม่อิงกระแสพรรคหลักฝ่ายรัฐบาลเดิมมากนัก  


7. บทสรุป

จากการศึกษาและวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:

  1. นักการเมืองสาย "พุทธบูรณาการ": ดร.นิยม ประสบความสำเร็จในการนำหลักวิชาการด้านพุทธจิตวิทยาและนิติศาสตร์ มาสังเคราะห์เป็นนโยบายสาธารณะที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงวาทกรรมทางการเมือง

  2. ผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง: ความสำเร็จในการผลักดันมติ ครม. 5 ส.ค. 2568 เรื่องที่ดินวัด เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการ "กัดไม่ปล่อย" และทักษะในการเจรจาต่อรองกับระบบราชการ เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนทับซ้อน

  3. ตัวแทนท้องถิ่นที่เข้มแข็ง: การดูแลปัญหาภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรในสกลนคร สะท้อนว่าท่านไม่เคยละทิ้งฐานเสียงรากหญ้า แม้จะมีภารกิจระดับชาติ

  4. ความกล้าหาญทางจริยธรรม: การตัดสินใจย้ายพรรคในปี 2568 แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ชัดเจนในการเลือก "พื้นที่ทำงาน" ที่เอื้อต่ออุดมการณ์ปกป้องพระพุทธศาสนา มากกว่าการยึดติดกับกระแสความนิยมของพรรคการเมืองใหญ่

ดร.นิยม เวชกามา จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของ "รัฐบุรุษท้องถิ่น" (Local Statesman) ผู้พยายามเชื่อมร้อยศรัทธาทางศาสนาเข้ากับกระบวนการทางกฎหมายและการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมสำหรับทั้งพุทธจักรและอาณาจักร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ส่องนโยบายปัญญาประดิษฐ์ พรรคการเมืองไทย ชูสู้ศึกเลือกตั้งไทย 2569

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ต่อนโยบายปัญญาประดิษฐ์และเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2569 ...