รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ย้ายสังกัดสู่พรรคพลังประชารัฐในปี พ.ศ. 2568 การศึกษาใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารและข้อมูลเชิงประจักษ์ (Documentary and Empirical Analysis) โดยเน้นหนักไปที่ผลงานด้านนิติบัญญัติ การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านพระพุทธศาสนา และการบริหารจัดการปัญหาในระดับท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า ดร.นิยม มีอัตลักษณ์ทางการเมืองแบบ "พุทธรัฐศาสตร์" (Buddhist-Politicus) ที่โดดเด่น โดยใช้ทุนทางปัญญาด้านกฎหมายและพุทธจิตวิทยาในการผลักดันร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครององค์กรสงฆ์และการจัดการศาสนสมบัติ ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมสูงสุดคือการผลักดันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เรื่องการพิสูจน์สิทธิที่ดินวัดในเขตที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานาน อย่างไรก็ตาม พลวัตทางการเมืองในช่วงปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์เฉพาะด้าน (Niche Ideology) กับโครงสร้างพรรคมหาชน (Mass Party) นำไปสู่การตัดสินใจย้ายขั้วทางการเมืองเพื่อรักษาพื้นที่ในการขับเคลื่อนนโยบายศาสนา
1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองสกลนครและตัวตนของ "มหานิยม"
1.1 บริบททางการเมืองจังหวัดสกลนคร
จังหวัดสกลนครถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยมีลักษณะทางสังคมวิทยาการเมืองที่ผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองเกษตรกรรมและพื้นที่ที่มีความตื่นตัวทางวัฒนธรรมสูง โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาสายวัดป่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองในพื้นที่นี้ถูกครอบงำด้วยกระแสพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยมายาวนาน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่อง "ตัวบุคคล" ที่มีความยึดโยงกับวิถีชีวิตชาวบ้านและสถาบันศาสนายังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
1.2 สถานะและบทบาทนำของ ดร.นิยม เวชกามา
ดร.นิยม เวชกามา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ดร.มหานิยม" มิใช่เพียงนักการเมืองที่เติบโตมาจากระบบหัวคะแนนหรือทายาททางการเมือง แต่เป็น "นักวิชาการปฏิบัติการ" (Practitioner Academic) ที่สั่งสมประสบการณ์จากระบบราชการและภาคประชาสังคม ท่านดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดสกลนคร มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จนถึงปี 2566 และมีบทบาทต่อเนื่องในฝ่ายบริหารในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดต่อมา
จุดเด่นที่ทำให้ ดร.นิยม แตกต่างจาก ส.ส. ทั่วไป คือการวางตำแหน่งตัวเองเป็น "ผู้แทนของศาสนจักรในรัฐสภา" ท่านใช้กลไกนิติบัญญัติในการต่อสู้เพื่อสิทธิของพระสงฆ์และการจัดการทรัพย์สินของวัด ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและทับซ้อนกับกฎหมายที่ดินและป่าไม้ของรัฐ รายงานฉบับนี้จะเจาะลึกถึงกลยุทธ์และผลลัพธ์ของการดำเนินงานดังกล่าว รวมถึงการวิเคราะห์จุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญในปี 2568
2. รากฐานทางภูมิปัญญาและการก่อรูปอุดมการณ์ทางการเมือง
การวิเคราะห์พฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมืองจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Political Socialization) และพื้นฐานทางภูมิปัญญา ดร.นิยม มีพื้นฐานการศึกษาและวิชาชีพที่หล่อหลอมวิธีคิดและการทำงานที่เน้นหลักการและกฎหมาย
2.1 สหวิทยาการ: จากครู สู่นักกฎหมาย และพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต
เส้นทางการศึกษาของ ดร.นิยม แสดงให้เห็นถึงการแสวงหาความรู้ในลักษณะ "สหวิทยาการ" (Interdisciplinary) ซึ่งเป็นฐานทุนสำคัญในการทำงานนโยบายที่ซับซ้อน:
รากฐานการศึกษาและการพัฒนาคน: เริ่มต้นจากการเป็น "ครุศาสตรบัณฑิต" จากวิทยาลัยครูสกลนคร สิ่งนี้สะท้อนผ่านสไตล์การอภิปรายที่มักมีการยกตัวอย่าง การสอน และการอธิบายหลักการที่ชัดเจนเหมือนครูสอนศิษย์
ความแม่นยำทางกฎหมาย: การสำเร็จการศึกษา "นิติศาสตรบัณฑิต" จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ทำให้ท่านมีความเชี่ยวชาญในการร่างกฎหมายและการตีความข้อกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่ดินและระเบียบราชการ ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับหน่วยงานรัฐเพื่อแก้ปัญหาที่ดินวัด
กรอบคิดทางรัฐศาสตร์: ปริญญา "รัฐศาสตรมหาบัณฑิต" จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงช่วยให้ท่านเข้าใจโครงสร้างอำนาจและการบริหารจัดการภาครัฐ
การบูรณาการขั้นสูง: จุดสูงสุดทางวิชาการคือปริญญา "พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขาพุทธจิตวิทยา)" จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง "รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชนชาวสกลนครตามแนวพุทธจิตวิทยา" ไม่ได้เป็นเพียงงานวิจัย แต่เป็น "พิมพ์เขียว" (Blueprint) ในการทำงานการเมืองของท่าน ที่เน้นการนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้กับการมีส่วนร่วมของประชาชน
2.2 ประสบการณ์วิชาชีพก่อนเข้าสู่การเมือง
ก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ดร.นิยม สั่งสมประสบการณ์ในระบบราชการมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ:
ข้าราชการครูและนิติกร (พ.ศ. 2520–2536): การทำงานในตำแหน่งนิติกร สปจ.สกลนคร ทำให้ท่านเข้าใจปัญหากฎหมายในระดับปฏิบัติการและข้อจำกัดของระบบราชการ
นักวิชาการประกันภัย (พ.ศ. 2537–2547): ในฐานะหัวหน้าสำนักงานประกันภัยจังหวัดยโสธรและสกลนคร ท่านได้ทำงานเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดการสร้างหลักประกันทางสังคม
ผู้นำสื่อมวลชนท้องถิ่น (พ.ศ. 2548–2550): การดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์วิทยุและโทรทัศน์ จังหวัดสกลนคร ช่วยสร้างเครือข่ายและความสามารถในการสื่อสารสาธารณะ
3. บทวิเคราะห์ผลงานด้านนิติบัญญัติระดับชาติ: การขับเคลื่อน "พุทธนโยบาย"
ดร.นิยม ถือเป็น ส.ส. ที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในการขับเคลื่อนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสนา โดยไม่ได้มองศาสนาเป็นเพียงพิธีกรรม แต่มองเป็น "สถาบันทางสังคม" ที่ต้องมีการบริหารจัดการและคุ้มครองทางกฎหมาย
3.1 สถาปัตยกรรมกฎหมายเพื่อความยั่งยืนของพุทธศาสนา
จากการรวบรวมข้อมูลร่างกฎหมายที่ ดร.นิยม เป็นผู้เสนอหรือมีส่วนร่วมหลัก พบว่ามีชุดกฎหมายที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบ (Legislative Ecosystem):
3.1.1 ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย (Buddhist Bank of Thailand Bill)
นี่คือข้อเสนอเชิงนโยบายที่ท้าทายที่สุดของ ดร.นิยม โดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูประบบการเงินของวัดและส่งเสริมจริยธรรมทางการเงิน
ตารางที่ 1: วิเคราะห์โครงสร้างร่าง พ.ร.บ. ธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย
| องค์ประกอบ | รายละเอียดและกลไก | การวิเคราะห์นัยสำคัญ |
| วัตถุประสงค์ | จัดตั้งสถาบันการเงินตามแนวพุทธวิถี ส่งเสริมการออม การลงทุน และดูแลศาสนสมบัติ | ต้องการแยก "เงินวัด" ออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ปกติ เพื่อการบริหารที่โปร่งใสและสอดคล้องกับพระธรรมวินัย |
| โครงสร้างทุน | ทุนเรือนหุ้น 2,000 ล้านบาท (รัฐ 1,000 ล้าน / ประชาชน 1,000 ล้าน) | เป็นรูปแบบ Public-Private Partnership (PPP) ที่ดึงรัฐเข้ามาค้ำประกันความน่าเชื่อถือ |
| ความเป็นเจ้าของ | ผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่า 51%, กรรมการไทย 2/3 | เน้นความเป็นชาตินิยมและปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศ |
| สถานะทางกฎหมาย | ตกไป (เนื่องจากนายกฯ ไม่รับรองว่าเป็นร่างการเงิน) | สะท้อนข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญ มาตรา 133 ที่ให้อำนาจนายกฯ ในการปัดตกร่างกฎหมายการเงิน |
ที่มา: วิเคราะห์จากข้อมูลร่างกฎหมายรัฐสภา
ความล้มเหลวของร่างกฎหมายนี้ในขั้นตอนการรับรองของฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรีไม่เซ็นรับรอง) สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังของรัฐบาลในการจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions - SFIs) ใหม่ ซึ่งอาจซ้ำซ้อนกับธนาคารที่มีอยู่และมีความเสี่ยงทางการคลัง อย่างไรก็ตาม การเสนอร่างนี้ได้จุดประกายการอภิปรายเรื่อง "ธรรมาภิบาลเงินวัด" ในวงกว้าง
3.1.2 ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ดร.นิยม ได้หยิบยกประเด็นสิทธิมนุษยชนของพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นวาระสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทของกระบวนการยุติธรรม ท่านมองว่าการจับกุมคุมขังพระสงฆ์โดยไม่ให้ประกันตัวหรือบังคับให้สึกก่อนคดีถึงที่สุด เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
นัยทางกฎหมาย: ร่างกฎหมายนี้พยายามสร้างมาตรฐานใหม่ในการปฏิบัติต่อพระภิกษุในฐานะผู้ต้องหา โดยให้นำหลักพระธรรมวินัยมาพิจารณาประกอบ และต้องมีกระบวนการกลั่นกรองก่อนการดำเนินคดีอาญา เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือความเข้าใจผิดทางศาสนา
การเชื่อมโยงกับบริบทชายแดนใต้: ดร.นิยม มักเชื่อมโยงกฎหมายนี้เข้ากับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพระสงฆ์ตกเป็นเป้าหมาย และมักไม่ได้รับความคุ้มครองที่เพียงพอ
3.2 บทบาทการตรวจสอบถ่วงดุลในสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากการเสนอกฎหมาย ดร.นิยม ใช้กลไกสภาในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
3.2.1 การอภิปรายไม่ไว้วางใจและญัตติด่วน
วิกฤตศรัทธาและสำนักพุทธฯ: ดร.นิยม เป็นหัวหอกในการอภิปรายโจมตีการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่มีการใช้อำนาจทหารและกฎหมายเข้าจัดการกับวัดและพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในคดี "เงินทอนวัด" ท่านชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่เข้าใจบริบทการบริหารจัดการวัด
การบริหารสถานการณ์โควิด-19: ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 ท่านได้เสนอญัตติด่วนเรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาโควิด-19 โดยเจาะจงวิจารณ์กรณี "แขก VIP" ที่ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องกักตัว จนนำไปสู่ความเสี่ยงในการระบาดระลอกใหม่ การอภิปรายนี้สะท้อนจุดยืนที่ยึดถือความปลอดภัยของประชาชนรากหญ้ามากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การตรวจสอบเงินกู้: เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 ท่านอภิปรายเรียกร้องให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเม็ดเงินถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง
3.2.2 การลงมติในประเด็นสำคัญทางกฎหมาย
จากการตรวจสอบบันทึกการลงมติของ ดร.นิยม (อ้างอิงข้อมูลจาก They Work For Us) พบรูปแบบการตัดสินใจที่สอดคล้องกับแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยมและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม:
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ: ลงมติ "เห็นชอบ" กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยทุกฉบับที่มุ่งเน้นการเพิ่มสิทธิเสรีภาพประชาชน ปฏิรูประบบเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบ และลดอำนาจสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
กฎหมายปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม: สนับสนุน "ร่าง พ.ร.บ. กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม" และ "ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย" ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนจนไม่ต้องติดคุกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ และเร่งรัดคดีความให้รวดเร็วขึ้น
กฎหมายการกระจายอำนาจ: แม้จะสนับสนุนการกระจายอำนาจ แต่ในโหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ "ปลดล็อกท้องถิ่น" ของคณะก้าวหน้า ผลการลงมติในภาพรวมของสภาคือไม่ผ่าน แต่พฤติกรรมโหวตของท่านสะท้อนการยืนอยู่ฝั่งพรรคร่วมฝ่ายค้านในขณะนั้นอย่างเหนียวแน่น
4. ผลสัมฤทธิ์เชิงปฏิบัติการ: กรณีศึกษาการแก้ปัญหาที่ดินวัด (The Temple Land Rights Resolution)
ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมที่สุดของ ดร.นิยม และถือเป็น "Masterpiece" ในชีวิตการเมือง คือการผลักดันการแก้ปัญหาที่ดินวัดที่ตั้งอยู่ในเขตป่าและที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและเรื้อรัง
4.1 พลวัตของปัญหา
วัดจำนวนมากในประเทศไทย (ประมาณ 11,000 แห่ง) ก่อตั้งมาก่อนการประกาศเขตป่าสงวนหรือเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทำให้กลายเป็นผู้บุกรุกในทางกฎหมาย ไม่สามารถของบประมาณพัฒนาวัด และพระสงฆ์ขาดความมั่นคงในการจำพรรษา ปัญหานี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง "พุทธจักร" (วิถีปฏิบัติของพระสายวัดป่า) และ "อาณาจักร" (กฎหมายที่ดินสมัยใหม่)
4.2 กระบวนการขับเคลื่อนนโยบาย
ดร.นิยม ใช้ตำแหน่ง "ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" และ "ผู้ช่วยรัฐมนตรี" ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร เป็นฐานในการขับเคลื่อน:
การตั้งคณะทำงาน: ท่านเป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาศึกษาวัดและที่พักสงฆ์ฯ ลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริง เช่น ที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี เพื่อสร้างฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-based Policy)
17 การประสานข้ามหน่วยงาน: เชื่อมประสานระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พส.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) และกรมที่ดิน เพื่อหาทางออกร่วมกันแทนการบังคับใช้กฎหมายฝ่ายเดียว
4.3 มติคณะรัฐมนตรีประวัติศาสตร์ 5 สิงหาคม 2568
ผลจากการผลักดันอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 มีมติเห็นชอบ "(ร่าง) มาตรการการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ"
ตารางที่ 2: สาระสำคัญของมาตรการพิสูจน์สิทธิที่ดินวัด (มติ ครม. 5 ส.ค. 2568)
| กลไกการดำเนินการ | รายละเอียด | ผลลัพธ์ต่อวัดและพระพุทธศาสนา |
| หลักฐานภาพถ่าย | ใช้ภาพถ่ายทางอากาศออร์โธสี ปี พ.ศ. 2545 หรือ 2546 เป็นเกณฑ์หลัก | หากพบร่องรอยสิ่งปลูกสร้างหรือการทำประโยชน์ในภาพถ่าย แสดงว่าวัดอยู่มาก่อน สามารถเข้าสู่กระบวนการออกเอกสารสิทธิ์ได้ |
| มาตรการพิเศษวัดป่า | ยกเว้น/ผ่อนปรนสำหรับวัดสายธรรมยุตที่อยู่ตามถ้ำ/เพิงหิน ซึ่งมองไม่เห็นในภาพถ่าย | แก้ปัญหา "การมองไม่เห็น" ของรัฐ ยอมรับวิถีปฏิบัติธรรมตามธรรมชาติ ช่วยให้วัดป่าได้รับสิทธิเช่นเดียวกับวัดบ้าน |
| กรอบเวลา | ให้หน่วยงานทำคู่มือปฏิบัติให้เสร็จใน 90 วัน และให้ ผวจ. เร่งรัดดำเนินการ | ลดขั้นตอนราชการ (Red Tape) ทำให้วัดสามารถขอออกโฉนดหรือขออนุญาตใช้พื้นที่ได้รวดเร็วขึ้น |
กรณีศึกษาความสำเร็จ: วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นวัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้รับการอนุมัติสิทธิตามมาตรการนี้ เป็นโมเดลนำร่องที่ ดร.นิยม ภาคภูมิใจ
5. การบริหารจัดการพื้นที่และปัญหาท้องถิ่นสกลนคร
แม้จะเน้นงานระดับชาติ แต่ ดร.นิยม ไม่ทิ้งฐานเสียงในจังหวัดสกลนคร โดยใช้วิธีการทำงานแบบ "กัดติดพื้นที่" เพื่อแก้ปัญหาปากท้องและสาธารณูปโภค
5.1 การจัดการทรัพยากรน้ำและภัยแล้ง
สกลนครมักประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก ดร.นิยม มีผลงานที่จับต้องได้ในการแก้ปัญหานี้:
กรณีศึกษาบ้านงิ้วใหญ่ อ.กุสุมาลย์: เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 ท่านลงพื้นที่บ้านงิ้วใหญ่ ม.5 ต.อุ่มจาน พบปัญหาระบบประปาหมู่บ้านล้มเหลวเนื่องจากบ่อบาดาลเก่า (อายุ 40 ปี) แห้งขอด ท่านได้ประสานหน่วยงานจังหวัดทันทีเพื่อขุดเจาะบ่อใหม่ โดยยึดหลัก "น้ำคือชีวิต" ประชาชนจะขาดแคลนไม่ได้
ยุทธศาสตร์น้ำเพื่อการเกษตร: ร่วมกับทีมเพื่อไทยผลักดันนโยบายเพิ่มพื้นที่ชลประทานและขุดลอกหนองหาร เพื่อเป็นแก้มลิงธรรมชาติ
5.2 เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องปากท้องเกษตรกร
ในฐานะผู้แทนจากภาคอีสาน ดร.นิยม เข้าใจพลวัตราคาพืชผลและปศุสัตว์:
วิกฤตราคาหมูและเนื้อวัว: ในเดือนตุลาคม 2566 เมื่อราคาหมูตกต่ำจากการทะลักของ "หมูเถื่อน" ดร.นิยม ได้นำ นายไชยา พรหมา (รมช.เกษตรฯ ในขณะนั้น) ลงพื้นที่ อ.โพนนาแก้ว เพื่อรับฟังปัญหาจากเกษตรกรรายย่อยโดยตรง
การแทรกแซงตลาด: ท่านผลักดันให้มีการปราบปรามการนำเข้าเนื้อเถื่อนอย่างจริงจัง และส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตอาหารสัตว์เองเพื่อลดต้นทุน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าการแจกเงินเยียวยาเพียงอย่างเดียว
6. จุดเปลี่ยนทางการเมือง 2568: อุดมการณ์ vs พรรคสังกัด
ปี พ.ศ. 2568 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตการเมืองของ ดร.นิยม เมื่อท่านตัดสินใจลาออกจากพรรคเพื่อไทยที่สังกัดมายาวนานกว่า 17 ปี และย้ายเข้าสู่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
6.1 มูลเหตุจูงใจในการย้ายพรรค (Push and Pull Factors)
การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่วิเคราะห์ได้จากปัจจัย "ผลักและดึง":
ปัจจัยผลัก (Push Factors): ดร.นิยม เปิดเผยว่า "ไม่มีที่ยืนในพรรค" คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์พรรคไปสู่คนรุ่นใหม่ หรือลดความสำคัญของปีกศาสนา/วัฒนธรรม ทำให้บทบาทของท่านถูกลดทอนลง
ปัจจัยดึง (Pull Factors): พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในช่วงปี 2568 (ซึ่งประกาศปรับโครงสร้างพรรคและสู้ต่อ) น่าจะให้คำมั่นสัญญาเรื่องพื้นที่ในการขับเคลื่อนนโยบายพุทธศาสนาที่ท่านยึดมั่น
อุดมการณ์เหนือพรรค: สโลแกน "ปกป้องพุทธศาสนา ดูแลปากท้อง ปชช." ที่ใช้ในการย้ายพรรค ยืนยันว่าสำหรับ ดร.นิยม แล้ว ภารกิจด้านศาสนาสำคัญกว่าความภักดีต่อตราพรรค
6.2 นัยทางการเมือง
การย้ายไปสังกัด พปชร. ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พรรค พปชร. กำลังปรับทัพใหม่ (Rebranding) โดยมีอดีต ส.ส. และรัฐมนตรีหลายคนเข้าร่วม แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวของกลุ่มการเมือง "บ้านใหญ่" และกลุ่ม "อนุรักษ์นิยมท้องถิ่น" ที่ต้องการพื้นที่อิสระในการบริหารจัดการฐานเสียงของตนเอง โดยไม่อิงกระแสพรรคหลักฝ่ายรัฐบาลเดิมมากนัก
7. บทสรุป
จากการศึกษาและวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:
นักการเมืองสาย "พุทธบูรณาการ": ดร.นิยม ประสบความสำเร็จในการนำหลักวิชาการด้านพุทธจิตวิทยาและนิติศาสตร์ มาสังเคราะห์เป็นนโยบายสาธารณะที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงวาทกรรมทางการเมือง
ผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง: ความสำเร็จในการผลักดันมติ ครม. 5 ส.ค. 2568 เรื่องที่ดินวัด เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการ "กัดไม่ปล่อย" และทักษะในการเจรจาต่อรองกับระบบราชการ เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนทับซ้อน
ตัวแทนท้องถิ่นที่เข้มแข็ง: การดูแลปัญหาภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรในสกลนคร สะท้อนว่าท่านไม่เคยละทิ้งฐานเสียงรากหญ้า แม้จะมีภารกิจระดับชาติ
ความกล้าหาญทางจริยธรรม: การตัดสินใจย้ายพรรคในปี 2568 แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ชัดเจนในการเลือก "พื้นที่ทำงาน" ที่เอื้อต่ออุดมการณ์ปกป้องพระพุทธศาสนา มากกว่าการยึดติดกับกระแสความนิยมของพรรคการเมืองใหญ่
ดร.นิยม เวชกามา จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของ "รัฐบุรุษท้องถิ่น" (Local Statesman) ผู้พยายามเชื่อมร้อยศรัทธาทางศาสนาเข้ากับกระบวนการทางกฎหมายและการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมสำหรับทั้งพุทธจักรและอาณาจักร
