วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง


รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ย้ายสังกัดสู่พรรคพลังประชารัฐในปี พ.ศ. 2568 การศึกษาใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารและข้อมูลเชิงประจักษ์ (Documentary and Empirical Analysis) โดยเน้นหนักไปที่ผลงานด้านนิติบัญญัติ การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านพระพุทธศาสนา และการบริหารจัดการปัญหาในระดับท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า ดร.นิยม มีอัตลักษณ์ทางการเมืองแบบ "พุทธรัฐศาสตร์" (Buddhist-Politicus) ที่โดดเด่น โดยใช้ทุนทางปัญญาด้านกฎหมายและพุทธจิตวิทยาในการผลักดันร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครององค์กรสงฆ์และการจัดการศาสนสมบัติ ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมสูงสุดคือการผลักดันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เรื่องการพิสูจน์สิทธิที่ดินวัดในเขตที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อมานาน อย่างไรก็ตาม พลวัตทางการเมืองในช่วงปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์เฉพาะด้าน (Niche Ideology) กับโครงสร้างพรรคมหาชน (Mass Party) นำไปสู่การตัดสินใจย้ายขั้วทางการเมืองเพื่อรักษาพื้นที่ในการขับเคลื่อนนโยบายศาสนา


1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองสกลนครและตัวตนของ "มหานิยม"

1.1 บริบททางการเมืองจังหวัดสกลนคร

จังหวัดสกลนครถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยมีลักษณะทางสังคมวิทยาการเมืองที่ผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองเกษตรกรรมและพื้นที่ที่มีความตื่นตัวทางวัฒนธรรมสูง โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาสายวัดป่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองในพื้นที่นี้ถูกครอบงำด้วยกระแสพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยมายาวนาน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่อง "ตัวบุคคล" ที่มีความยึดโยงกับวิถีชีวิตชาวบ้านและสถาบันศาสนายังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

1.2 สถานะและบทบาทนำของ ดร.นิยม เวชกามา

ดร.นิยม เวชกามา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ดร.มหานิยม" มิใช่เพียงนักการเมืองที่เติบโตมาจากระบบหัวคะแนนหรือทายาททางการเมือง แต่เป็น "นักวิชาการปฏิบัติการ" (Practitioner Academic) ที่สั่งสมประสบการณ์จากระบบราชการและภาคประชาสังคม  ท่านดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดสกลนคร มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จนถึงปี 2566 และมีบทบาทต่อเนื่องในฝ่ายบริหารในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดต่อมา 

จุดเด่นที่ทำให้ ดร.นิยม แตกต่างจาก ส.ส. ทั่วไป คือการวางตำแหน่งตัวเองเป็น "ผู้แทนของศาสนจักรในรัฐสภา" ท่านใช้กลไกนิติบัญญัติในการต่อสู้เพื่อสิทธิของพระสงฆ์และการจัดการทรัพย์สินของวัด ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและทับซ้อนกับกฎหมายที่ดินและป่าไม้ของรัฐ รายงานฉบับนี้จะเจาะลึกถึงกลยุทธ์และผลลัพธ์ของการดำเนินงานดังกล่าว รวมถึงการวิเคราะห์จุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญในปี 2568


2. รากฐานทางภูมิปัญญาและการก่อรูปอุดมการณ์ทางการเมือง

การวิเคราะห์พฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมืองจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Political Socialization) และพื้นฐานทางภูมิปัญญา ดร.นิยม มีพื้นฐานการศึกษาและวิชาชีพที่หล่อหลอมวิธีคิดและการทำงานที่เน้นหลักการและกฎหมาย

2.1 สหวิทยาการ: จากครู สู่นักกฎหมาย และพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต

เส้นทางการศึกษาของ ดร.นิยม แสดงให้เห็นถึงการแสวงหาความรู้ในลักษณะ "สหวิทยาการ" (Interdisciplinary) ซึ่งเป็นฐานทุนสำคัญในการทำงานนโยบายที่ซับซ้อน:

  1. รากฐานการศึกษาและการพัฒนาคน: เริ่มต้นจากการเป็น "ครุศาสตรบัณฑิต" จากวิทยาลัยครูสกลนคร  สิ่งนี้สะท้อนผ่านสไตล์การอภิปรายที่มักมีการยกตัวอย่าง การสอน และการอธิบายหลักการที่ชัดเจนเหมือนครูสอนศิษย์

  2. ความแม่นยำทางกฎหมาย: การสำเร็จการศึกษา "นิติศาสตรบัณฑิต" จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ทำให้ท่านมีความเชี่ยวชาญในการร่างกฎหมายและการตีความข้อกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่ดินและระเบียบราชการ ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับหน่วยงานรัฐเพื่อแก้ปัญหาที่ดินวัด

  3. กรอบคิดทางรัฐศาสตร์: ปริญญา "รัฐศาสตรมหาบัณฑิต" จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงช่วยให้ท่านเข้าใจโครงสร้างอำนาจและการบริหารจัดการภาครัฐ

  4. การบูรณาการขั้นสูง: จุดสูงสุดทางวิชาการคือปริญญา "พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขาพุทธจิตวิทยา)" จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง "รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชนชาวสกลนครตามแนวพุทธจิตวิทยา"  ไม่ได้เป็นเพียงงานวิจัย แต่เป็น "พิมพ์เขียว" (Blueprint) ในการทำงานการเมืองของท่าน ที่เน้นการนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้กับการมีส่วนร่วมของประชาชน

2.2 ประสบการณ์วิชาชีพก่อนเข้าสู่การเมือง

ก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ดร.นิยม สั่งสมประสบการณ์ในระบบราชการมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ:

  • ข้าราชการครูและนิติกร (พ.ศ. 2520–2536): การทำงานในตำแหน่งนิติกร สปจ.สกลนคร ทำให้ท่านเข้าใจปัญหากฎหมายในระดับปฏิบัติการและข้อจำกัดของระบบราชการ

  • นักวิชาการประกันภัย (พ.ศ. 2537–2547): ในฐานะหัวหน้าสำนักงานประกันภัยจังหวัดยโสธรและสกลนคร ท่านได้ทำงานเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดการสร้างหลักประกันทางสังคม 

  • ผู้นำสื่อมวลชนท้องถิ่น (พ.ศ. 2548–2550): การดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์วิทยุและโทรทัศน์ จังหวัดสกลนคร ช่วยสร้างเครือข่ายและความสามารถในการสื่อสารสาธารณะ 


3. บทวิเคราะห์ผลงานด้านนิติบัญญัติระดับชาติ: การขับเคลื่อน "พุทธนโยบาย"

ดร.นิยม ถือเป็น ส.ส. ที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในการขับเคลื่อนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสนา โดยไม่ได้มองศาสนาเป็นเพียงพิธีกรรม แต่มองเป็น "สถาบันทางสังคม" ที่ต้องมีการบริหารจัดการและคุ้มครองทางกฎหมาย

3.1 สถาปัตยกรรมกฎหมายเพื่อความยั่งยืนของพุทธศาสนา

จากการรวบรวมข้อมูลร่างกฎหมายที่ ดร.นิยม เป็นผู้เสนอหรือมีส่วนร่วมหลัก พบว่ามีชุดกฎหมายที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบ (Legislative Ecosystem):

3.1.1 ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย (Buddhist Bank of Thailand Bill)

นี่คือข้อเสนอเชิงนโยบายที่ท้าทายที่สุดของ ดร.นิยม โดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูประบบการเงินของวัดและส่งเสริมจริยธรรมทางการเงิน 

ตารางที่ 1: วิเคราะห์โครงสร้างร่าง พ.ร.บ. ธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย

องค์ประกอบรายละเอียดและกลไกการวิเคราะห์นัยสำคัญ
วัตถุประสงค์จัดตั้งสถาบันการเงินตามแนวพุทธวิถี ส่งเสริมการออม การลงทุน และดูแลศาสนสมบัติต้องการแยก "เงินวัด" ออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ปกติ เพื่อการบริหารที่โปร่งใสและสอดคล้องกับพระธรรมวินัย
โครงสร้างทุนทุนเรือนหุ้น 2,000 ล้านบาท (รัฐ 1,000 ล้าน / ประชาชน 1,000 ล้าน)เป็นรูปแบบ Public-Private Partnership (PPP) ที่ดึงรัฐเข้ามาค้ำประกันความน่าเชื่อถือ
ความเป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่า 51%, กรรมการไทย 2/3เน้นความเป็นชาตินิยมและปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศ
สถานะทางกฎหมายตกไป (เนื่องจากนายกฯ ไม่รับรองว่าเป็นร่างการเงิน)สะท้อนข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญ มาตรา 133 ที่ให้อำนาจนายกฯ ในการปัดตกร่างกฎหมายการเงิน

ที่มา: วิเคราะห์จากข้อมูลร่างกฎหมายรัฐสภา 

ความล้มเหลวของร่างกฎหมายนี้ในขั้นตอนการรับรองของฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรีไม่เซ็นรับรอง) สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังของรัฐบาลในการจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions - SFIs) ใหม่ ซึ่งอาจซ้ำซ้อนกับธนาคารที่มีอยู่และมีความเสี่ยงทางการคลัง อย่างไรก็ตาม การเสนอร่างนี้ได้จุดประกายการอภิปรายเรื่อง "ธรรมาภิบาลเงินวัด" ในวงกว้าง

3.1.2 ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

ดร.นิยม ได้หยิบยกประเด็นสิทธิมนุษยชนของพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นวาระสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทของกระบวนการยุติธรรม ท่านมองว่าการจับกุมคุมขังพระสงฆ์โดยไม่ให้ประกันตัวหรือบังคับให้สึกก่อนคดีถึงที่สุด เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน

  • นัยทางกฎหมาย: ร่างกฎหมายนี้พยายามสร้างมาตรฐานใหม่ในการปฏิบัติต่อพระภิกษุในฐานะผู้ต้องหา โดยให้นำหลักพระธรรมวินัยมาพิจารณาประกอบ และต้องมีกระบวนการกลั่นกรองก่อนการดำเนินคดีอาญา เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือความเข้าใจผิดทางศาสนา

  • การเชื่อมโยงกับบริบทชายแดนใต้: ดร.นิยม มักเชื่อมโยงกฎหมายนี้เข้ากับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพระสงฆ์ตกเป็นเป้าหมาย และมักไม่ได้รับความคุ้มครองที่เพียงพอ 

3.2 บทบาทการตรวจสอบถ่วงดุลในสภาผู้แทนราษฎร

นอกจากการเสนอกฎหมาย ดร.นิยม ใช้กลไกสภาในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

3.2.1 การอภิปรายไม่ไว้วางใจและญัตติด่วน

  • วิกฤตศรัทธาและสำนักพุทธฯ: ดร.นิยม เป็นหัวหอกในการอภิปรายโจมตีการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่มีการใช้อำนาจทหารและกฎหมายเข้าจัดการกับวัดและพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในคดี "เงินทอนวัด" ท่านชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่เข้าใจบริบทการบริหารจัดการวัด  

  • การบริหารสถานการณ์โควิด-19: ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 ท่านได้เสนอญัตติด่วนเรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาโควิด-19 โดยเจาะจงวิจารณ์กรณี "แขก VIP"  ที่ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องกักตัว จนนำไปสู่ความเสี่ยงในการระบาดระลอกใหม่  การอภิปรายนี้สะท้อนจุดยืนที่ยึดถือความปลอดภัยของประชาชนรากหญ้ามากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

  • การตรวจสอบเงินกู้: เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 ท่านอภิปรายเรียกร้องให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเม็ดเงินถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง 

3.2.2 การลงมติในประเด็นสำคัญทางกฎหมาย

จากการตรวจสอบบันทึกการลงมติของ ดร.นิยม (อ้างอิงข้อมูลจาก They Work For Us) พบรูปแบบการตัดสินใจที่สอดคล้องกับแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยมและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม:

  • การแก้ไขรัฐธรรมนูญ: ลงมติ "เห็นชอบ" กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยทุกฉบับที่มุ่งเน้นการเพิ่มสิทธิเสรีภาพประชาชน ปฏิรูประบบเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบ และลดอำนาจสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

  • กฎหมายปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม: สนับสนุน "ร่าง พ.ร.บ. กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม" และ "ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย" ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนจนไม่ต้องติดคุกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ และเร่งรัดคดีความให้รวดเร็วขึ้น

  • กฎหมายการกระจายอำนาจ: แม้จะสนับสนุนการกระจายอำนาจ แต่ในโหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ "ปลดล็อกท้องถิ่น" ของคณะก้าวหน้า ผลการลงมติในภาพรวมของสภาคือไม่ผ่าน แต่พฤติกรรมโหวตของท่านสะท้อนการยืนอยู่ฝั่งพรรคร่วมฝ่ายค้านในขณะนั้นอย่างเหนียวแน่น


4. ผลสัมฤทธิ์เชิงปฏิบัติการ: กรณีศึกษาการแก้ปัญหาที่ดินวัด (The Temple Land Rights Resolution)

ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมที่สุดของ ดร.นิยม และถือเป็น "Masterpiece" ในชีวิตการเมือง คือการผลักดันการแก้ปัญหาที่ดินวัดที่ตั้งอยู่ในเขตป่าและที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและเรื้อรัง

4.1 พลวัตของปัญหา

วัดจำนวนมากในประเทศไทย (ประมาณ 11,000 แห่ง) ก่อตั้งมาก่อนการประกาศเขตป่าสงวนหรือเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทำให้กลายเป็นผู้บุกรุกในทางกฎหมาย ไม่สามารถของบประมาณพัฒนาวัด และพระสงฆ์ขาดความมั่นคงในการจำพรรษา ปัญหานี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง "พุทธจักร" (วิถีปฏิบัติของพระสายวัดป่า) และ "อาณาจักร" (กฎหมายที่ดินสมัยใหม่)

4.2 กระบวนการขับเคลื่อนนโยบาย

ดร.นิยม ใช้ตำแหน่ง "ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" และ "ผู้ช่วยรัฐมนตรี" ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร เป็นฐานในการขับเคลื่อน:

  1. การตั้งคณะทำงาน: ท่านเป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาศึกษาวัดและที่พักสงฆ์ฯ ลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริง เช่น ที่ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี เพื่อสร้างฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-based Policy) 17

  2. การประสานข้ามหน่วยงาน: เชื่อมประสานระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พส.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) และกรมที่ดิน เพื่อหาทางออกร่วมกันแทนการบังคับใช้กฎหมายฝ่ายเดียว

4.3 มติคณะรัฐมนตรีประวัติศาสตร์ 5 สิงหาคม 2568

ผลจากการผลักดันอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 มีมติเห็นชอบ "(ร่าง) มาตรการการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ" 

ตารางที่ 2: สาระสำคัญของมาตรการพิสูจน์สิทธิที่ดินวัด (มติ ครม. 5 ส.ค. 2568)

กลไกการดำเนินการรายละเอียดผลลัพธ์ต่อวัดและพระพุทธศาสนา
หลักฐานภาพถ่ายใช้ภาพถ่ายทางอากาศออร์โธสี ปี พ.ศ. 2545 หรือ 2546 เป็นเกณฑ์หลักหากพบร่องรอยสิ่งปลูกสร้างหรือการทำประโยชน์ในภาพถ่าย แสดงว่าวัดอยู่มาก่อน สามารถเข้าสู่กระบวนการออกเอกสารสิทธิ์ได้
มาตรการพิเศษวัดป่ายกเว้น/ผ่อนปรนสำหรับวัดสายธรรมยุตที่อยู่ตามถ้ำ/เพิงหิน ซึ่งมองไม่เห็นในภาพถ่ายแก้ปัญหา "การมองไม่เห็น" ของรัฐ ยอมรับวิถีปฏิบัติธรรมตามธรรมชาติ ช่วยให้วัดป่าได้รับสิทธิเช่นเดียวกับวัดบ้าน
กรอบเวลาให้หน่วยงานทำคู่มือปฏิบัติให้เสร็จใน 90 วัน และให้ ผวจ. เร่งรัดดำเนินการลดขั้นตอนราชการ (Red Tape) ทำให้วัดสามารถขอออกโฉนดหรือขออนุญาตใช้พื้นที่ได้รวดเร็วขึ้น

กรณีศึกษาความสำเร็จ: วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นวัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้รับการอนุมัติสิทธิตามมาตรการนี้ เป็นโมเดลนำร่องที่ ดร.นิยม ภาคภูมิใจ 


5. การบริหารจัดการพื้นที่และปัญหาท้องถิ่นสกลนคร

แม้จะเน้นงานระดับชาติ แต่ ดร.นิยม ไม่ทิ้งฐานเสียงในจังหวัดสกลนคร โดยใช้วิธีการทำงานแบบ "กัดติดพื้นที่" เพื่อแก้ปัญหาปากท้องและสาธารณูปโภค

5.1 การจัดการทรัพยากรน้ำและภัยแล้ง

สกลนครมักประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก ดร.นิยม มีผลงานที่จับต้องได้ในการแก้ปัญหานี้:

  • กรณีศึกษาบ้านงิ้วใหญ่ อ.กุสุมาลย์: เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 ท่านลงพื้นที่บ้านงิ้วใหญ่ ม.5 ต.อุ่มจาน พบปัญหาระบบประปาหมู่บ้านล้มเหลวเนื่องจากบ่อบาดาลเก่า (อายุ 40 ปี) แห้งขอด ท่านได้ประสานหน่วยงานจังหวัดทันทีเพื่อขุดเจาะบ่อใหม่ โดยยึดหลัก "น้ำคือชีวิต" ประชาชนจะขาดแคลนไม่ได้ 

  • ยุทธศาสตร์น้ำเพื่อการเกษตร: ร่วมกับทีมเพื่อไทยผลักดันนโยบายเพิ่มพื้นที่ชลประทานและขุดลอกหนองหาร เพื่อเป็นแก้มลิงธรรมชาติ 

5.2 เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องปากท้องเกษตรกร

ในฐานะผู้แทนจากภาคอีสาน ดร.นิยม เข้าใจพลวัตราคาพืชผลและปศุสัตว์:

  • วิกฤตราคาหมูและเนื้อวัว: ในเดือนตุลาคม 2566 เมื่อราคาหมูตกต่ำจากการทะลักของ "หมูเถื่อน" ดร.นิยม ได้นำ นายไชยา พรหมา (รมช.เกษตรฯ ในขณะนั้น) ลงพื้นที่ อ.โพนนาแก้ว เพื่อรับฟังปัญหาจากเกษตรกรรายย่อยโดยตรง

  • การแทรกแซงตลาด: ท่านผลักดันให้มีการปราบปรามการนำเข้าเนื้อเถื่อนอย่างจริงจัง และส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตอาหารสัตว์เองเพื่อลดต้นทุน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าการแจกเงินเยียวยาเพียงอย่างเดียว


6. จุดเปลี่ยนทางการเมือง 2568: อุดมการณ์ vs พรรคสังกัด

ปี พ.ศ. 2568 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตการเมืองของ ดร.นิยม เมื่อท่านตัดสินใจลาออกจากพรรคเพื่อไทยที่สังกัดมายาวนานกว่า 17 ปี และย้ายเข้าสู่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

6.1 มูลเหตุจูงใจในการย้ายพรรค (Push and Pull Factors)

การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่วิเคราะห์ได้จากปัจจัย "ผลักและดึง":

  • ปัจจัยผลัก (Push Factors): ดร.นิยม เปิดเผยว่า "ไม่มีที่ยืนในพรรค" คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์พรรคไปสู่คนรุ่นใหม่ หรือลดความสำคัญของปีกศาสนา/วัฒนธรรม ทำให้บทบาทของท่านถูกลดทอนลง

  • ปัจจัยดึง (Pull Factors): พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในช่วงปี 2568 (ซึ่งประกาศปรับโครงสร้างพรรคและสู้ต่อ)  น่าจะให้คำมั่นสัญญาเรื่องพื้นที่ในการขับเคลื่อนนโยบายพุทธศาสนาที่ท่านยึดมั่น

  • อุดมการณ์เหนือพรรค: สโลแกน "ปกป้องพุทธศาสนา ดูแลปากท้อง ปชช." ที่ใช้ในการย้ายพรรค ยืนยันว่าสำหรับ ดร.นิยม แล้ว ภารกิจด้านศาสนาสำคัญกว่าความภักดีต่อตราพรรค  

6.2 นัยทางการเมือง

การย้ายไปสังกัด พปชร. ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พรรค พปชร. กำลังปรับทัพใหม่ (Rebranding) โดยมีอดีต ส.ส. และรัฐมนตรีหลายคนเข้าร่วม แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวของกลุ่มการเมือง "บ้านใหญ่" และกลุ่ม "อนุรักษ์นิยมท้องถิ่น" ที่ต้องการพื้นที่อิสระในการบริหารจัดการฐานเสียงของตนเอง โดยไม่อิงกระแสพรรคหลักฝ่ายรัฐบาลเดิมมากนัก  


7. บทสรุป

จากการศึกษาและวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:

  1. นักการเมืองสาย "พุทธบูรณาการ": ดร.นิยม ประสบความสำเร็จในการนำหลักวิชาการด้านพุทธจิตวิทยาและนิติศาสตร์ มาสังเคราะห์เป็นนโยบายสาธารณะที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงวาทกรรมทางการเมือง

  2. ผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง: ความสำเร็จในการผลักดันมติ ครม. 5 ส.ค. 2568 เรื่องที่ดินวัด เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการ "กัดไม่ปล่อย" และทักษะในการเจรจาต่อรองกับระบบราชการ เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนทับซ้อน

  3. ตัวแทนท้องถิ่นที่เข้มแข็ง: การดูแลปัญหาภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรในสกลนคร สะท้อนว่าท่านไม่เคยละทิ้งฐานเสียงรากหญ้า แม้จะมีภารกิจระดับชาติ

  4. ความกล้าหาญทางจริยธรรม: การตัดสินใจย้ายพรรคในปี 2568 แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ชัดเจนในการเลือก "พื้นที่ทำงาน" ที่เอื้อต่ออุดมการณ์ปกป้องพระพุทธศาสนา มากกว่าการยึดติดกับกระแสความนิยมของพรรคการเมืองใหญ่

ดร.นิยม เวชกามา จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของ "รัฐบุรุษท้องถิ่น" (Local Statesman) ผู้พยายามเชื่อมร้อยศรัทธาทางศาสนาเข้ากับกระบวนการทางกฎหมายและการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมสำหรับทั้งพุทธจักรและอาณาจักร

บทบาทหน้าที่ของดร.สำราญ สมพงษ์ ในฐานะปัญญาชนสาธารณะและนักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี: พลวัตแห่งการสื่อสารเพื่อการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทยร่วมสมัย

 

การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์และสังเคราะห์บทบาทหน้าที่ของดร.สำราญ สมพงษ์ ในฐานะปัญญาชนสาธารณะและนักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี: พลวัตแห่งการสื่อสารเพื่อการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทยร่วมสมัย

บทนำ: ภูมิทัศน์ความขัดแย้งและพื้นที่ปฏิบัติการของปัญญาชนพุทธวิถีใหม่

ในห้วงทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยได้เผชิญกับวิกฤตการณ์ความขัดแย้งที่มีลักษณะซับซ้อนและหยั่งรากลึก (Deep-rooted Conflict) ซึ่งมิได้จำกัดอยู่เพียงปริมณฑลทางการเมืองในระบบรัฐสภา แต่ได้ขยายตัวครอบคลุมถึงมิติทางวัฒนธรรม โครงสร้างอำนาจ และระบบคุณค่าทางสังคม ความขัดแย้งนี้มีพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของเทคโนโลยีการสื่อสาร จากการเผชิญหน้าบนท้องถนนสู่สงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) ในโลกไซเบอร์ ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกร้องให้มีการแสวงหาเครื่องมือและกระบวนทัศน์ใหม่ในการจัดการความขัดแย้งที่ก้าวข้ามกรอบคิดแบบ "แพ้-ชนะ" (Zero-sum Game) ไปสู่การสร้างพื้นที่แห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ท่ามกลางกระแสธารแห่งความเชี่ยวกรากนี้ บทบาทของ "นักวิชาการอิสระ" (Independent Scholar) ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็น "โซ่ข้อกลาง" หรือผู้อำนวยความสะดวกในการสื่อสาร (Facilitator) ระหว่างคู่ขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักวิชาการที่นำเสนอแนวทาง "พุทธสันติวิธี" (Buddhist Peaceful Means) ซึ่งเป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคมไทยมาตีความใหม่และบูรณาการเข้ากับศาสตร์สมัยใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายในยุคโลกาภิวัตน์

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์เจาะลึกถึงบทบาท หน้าที่ และผลงานทางวิชาการของ ดร.สำราญ สมพงษ์ บุคคลผู้มีสถานะพิเศษในภูมิทัศน์ทางปัญญานี้ ด้วยพื้นฐานที่ผสมผสานระหว่างความเป็น "มหาเปรียญ" ผู้แตกฉานในคัมภีร์, "อนุศาสนาจารย์" ผู้มีวินัยแบบทหาร, "สื่อมวลชนอาวุโส" ผู้คร่ำหวอดในสนามข่าว, และ "นักวิชาการสันติวิธี" ผู้สร้างสรรค์โมเดลการสื่อสารเพื่อสันติภาพ การวิเคราะห์นี้จะมุ่งถอดรหัสกระบวนการทำงานทางความคิด (Intellectual Process) และปฏิบัติการทางสังคม (Social Praxis) ของดร.สำราญ เพื่อทำความเข้าใจว่าท่านได้ประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อระงับความรุนแรงและสร้างสรรค์สังคมสันติสุขได้อย่างไร ท่ามกลางบริบทความขัดแย้งทางการเมืองที่แหลมคมที่สุดยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย


ส่วนที่ 1: ปูมหลังและรากฐานทางปัญญา: บูรณาการข้ามศาสตร์จากจารีตสู่สมัยใหม่

การจะเข้าใจโลกทัศน์และวิธีการทำงานของดร.สำราญ สมพงษ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาถึงรากเหง้าทางภูมิปัญญาและเส้นทางชีวิตที่หล่อหลอมตัวตนของท่าน ซึ่งมีความโดดเด่นในลักษณะ "พหุวิทยาการ" (Interdisciplinary) และ "ข้ามวัฒนธรรมองค์กร" (Cross-organizational Culture)

1.1 รากฐานทางธรรมและภูมิปัญญาภาษาบาลี

จากข้อมูลประวัติเชิงลึก ดร.สำราญ สมพงษ์ ถือกำเนิดที่อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี และได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนมีความก้าวหน้าในการศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างแตกฉาน โดยสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค (ป.ธ. 7) ซึ่งถือเป็นระดับการศึกษาชั้นสูงในระบบการศึกษาคณะสงฆ์ไทย 1 การมีพื้นฐานเปรียญธรรมระดับสูงเช่นนี้มิได้มีความหมายเพียงแค่ความสามารถในการแปลคัมภีร์ภาษาบาลีเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการได้รับการบ่มเพาะวิธีคิดแบบ "ตรรกะพุทธ" (Buddhist Logic) และการเข้าถึงแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Sources) ในพระไตรปิฎกได้โดยตรง

ความเชี่ยวชาญนี้ส่งผลให้งานวิชาการและบทความของท่านมีความแตกต่างจากนักรัฐศาสตร์หรือนักนิเทศศาสตร์ทั่วไปที่มักอ้างอิงพุทธธรรมผ่านตำราทุติยภูมิ (Secondary Sources) ดร.สำราญสามารถดึงหลักธรรมที่ลึกซึ้งและเฉพาะเจาะจงมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ เช่น การนำหลัก "วาจาสุภาษิต" มาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ Fake News หรือการใช้หลัก "อธิกรณสมถะ" มาเทียบเคียงกับกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ 2

นอกจากนี้ ประวัติการศึกษาของท่านยังระบุถึงการจบปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) รุ่นแรกจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ซึ่งเป็นสถาบันหลักในการผลิตบุคลากรทางสงฆ์ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล การเป็นศิษย์เก่ารุ่นบุกเบิกสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของความเป็น "ผู้นำการเปลี่ยนแปลง" (Change Agent) ที่กล้าก้าวออกจากกรอบจารีตเดิมเพื่อแสวงหาความรู้สมัยใหม่มาพัฒนาวงการศาสนา 1

1.2 วินัยทหารและมุมมองความมั่นคง: บทบาทอนุศาสนาจารย์

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตการทำงานของดร.สำราญ คือการลาสิกขาบทเข้ารับราชการเป็น "อนุศาสนาจารย์กองทัพบก" ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2500-2528 1 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์และความไม่สงบภายใน บทบาทของอนุศาสนาจารย์คือการเป็น "ธรรมบริกร" ในเครื่องแบบ ทำหน้าที่ปลุกปลอบขวัญกำลังใจทหารและเป็นที่ปรึกษาทางจริยธรรมให้กับผู้บังคับบัญชา

ประสบการณ์กว่า 28 ปีในกองทัพได้หล่อหลอมให้ดร.สำราญมีมุมมองต่อ "สันติภาพ" ที่สัมพันธ์กับ "ความมั่นคง" (Security) และ "ระเบียบวินัย" (Order) ท่านได้เรียนรู้การบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่และการทำงานภายใต้สภาวะวิกฤต (Crisis Management) ซึ่งต่อมาได้สะท้อนอยู่ในงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกและการวิเคราะห์การเมืองที่มักมองเห็นมิติของความมั่นคงของรัฐควบคู่ไปกับสิทธิเสรีภาพ 4 การผ่านหลักสูตรโรงเรียนเสนาธิการทหารบกและวิทยาลัยการทัพบก 1 ยิ่งตอกย้ำถึงความเข้าใจในยุทธศาสตร์ระดับชาติ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในนักวิชาการด้านพุทธศาสนาทั่วไป

1.3 จิตวิญญาณสื่อมวลชนและการศึกษารัฐศาสตร์สมัยใหม่

หลังจากเกษียณจากราชการทหาร ดร.สำราญได้ก้าวเข้าสู่แวดวงสื่อมวลชนอย่างเต็มตัว โดยดำรงตำแหน่งสำคัญในฐานะบรรณาธิการและคอลัมนิสต์ของสื่อชั้นนำ เช่น หนังสือพิมพ์บ้านเมือง (บรรณาธิการข่าวการเมือง) และคมชัดลึก (คอลัมนิสต์) 6 การทำงานในสมรภูมิข่าวสารทำให้ท่านได้สัมผัสกับ "ความจริง" (Reality) ของความขัดแย้งทางการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬจนถึงวิกฤตการณ์สีเสื้อ

ควบคู่ไปกับการทำงานสื่อ ท่านได้แสวงหาความรู้เพิ่มเติมในระดับอุดมศึกษาทางโลก โดยสำเร็จการศึกษารัฐศาสตรบัณฑิตและมหาบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาเอกด้านการพัฒนาองค์กรจากฟิลิปปินส์ ก่อนจะกลับมาต่อยอดด้วยปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาสันติศึกษา ที่ มจร. ในวัยอาวุโส 4 การกลับมาศึกษาด้านสันติศึกษาในวัยผู้ใหญ่สะท้อนถึงความกระหายใคร่รู้และความต้องการที่จะ "สังเคราะห์" ประสบการณ์ทั้งชีวิตออกมาเป็นองค์ความรู้ที่เป็นระบบ

ตารางที่ 1: ไทม์ไลน์และพัฒนาการทางวิชาชีพของดร.สำราญ สมพงษ์

ช่วงเวลาบทบาท/ตำแหน่งนัยสำคัญต่อแนวคิดพุทธสันติวิธี
ยุคบุกเบิกเปรียญธรรม 7 ประโยค, พธ.บ. รุ่น 1รากฐานความรู้ภาษาบาลีและความเข้าใจในหลักพุทธธรรมดั้งเดิม
พ.ศ. 2500-2528อนุศาสนาจารย์กองทัพบกการประยุกต์ธรรมะในบริบทความมั่นคง, วินัย, และจิตวิทยาการปรึกษา
พ.ศ. 2531-ปัจจุบันสื่อมวลชน (บ้านเมือง, คมชัดลึก)ความเข้าใจในกลไกสื่อ, วาทกรรมทางการเมือง, และผลกระทบของ Hate Speech
พ.ศ. 2558-ปัจจุบันนักวิชาการด้านสันติศึกษา (Ph.D.)การสังเคราะห์ทฤษฎี "7S Model" และการบูรณาการศาสตร์ตะวันตก-ตะวันออก

ส่วนที่ 2: กรอบแนวคิด "พุทธสันติวิธี": การรื้อสร้างและบูรณาการ (Deconstruction and Integration)

หัวใจสำคัญของงานวิชาการของดร.สำราญ สมพงษ์ คือการพยายามนิยามและวางกรอบแนวคิดเรื่อง "พุทธสันติวิธี" ให้มีความเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง (Actionable) ในโลกสมัยใหม่ โดยท่านมิได้มองสันติวิธีเป็นเพียงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อความรุนแรง แต่เป็น "วิถีชีวิต" และ "กระบวนการ" ที่เป็นพลวัต

2.1 นิยามใหม่ของสันติวิธีในบริบทพุทธ

จากการสังเคราะห์งานวิจัย 11 พบว่าดร.สำราญและคณะได้จำแนก "พุทธสันติวิธี" ออกเป็น 3 มิติหลัก ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติส่วนบุคคลและสังคม:

  1. สันติวิธีในการต่อสู้และเรียกร้อง (Peaceful Methods of Fighting and Demanding): เป็นมิติที่มักถูกเข้าใจผิดว่าพุทธศาสนาสอนให้ยอมจำนน แต่ดร.สำราญชี้ให้เห็นว่าการต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นสิ่งที่ทำได้ หากกระทำด้วยจิตที่ปราศจากโทสะและใช้วิธีการที่ไม่เบียดเบียน (อหิงสา)

  2. สันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Peaceful Methods for Resolving Conflicts): เน้นกระบวนการไกล่เกลี่ย (Mediation) และการเจรจา (Negotiation) โดยใช้หลัก "ปิยวาจา" และ "สมานัตตตา" (การวางตนเสมอต้นเสมอปลาย)

  3. สันติวิธีในการดำเนินชีวิต (Peaceful Ways of Living): มิตินี้เป็นจุดเน้นสูงสุดในงานของท่าน คือการสร้าง "สันติภายใน" (Inner Peace) ผ่านการเจริญสติและปัญญา เพื่อให้เป็นฐานรองรับพฤติกรรมภายนอก

2.2 การบูรณาการทฤษฎีตะวันตกกับหลักพุทธธรรม

จุดเด่นที่ทำให้งานของดร.สำราญได้รับการยอมรับในแวดวงวิชาการ คือความสามารถในการนำทฤษฎีสันติวิธีตะวันตกมา "สนทนา" (Dialogue) กับหลักพุทธธรรมได้อย่างกลมกลืน:

  • วงจรความขัดแย้ง (Circle of Conflict): ท่านนำโมเดลของ Christopher Moore ที่แบ่งสาเหตุความขัดแย้งเป็น 5 ด้าน (ข้อมูล, ความสัมพันธ์, ค่านิยม, โครงสร้าง, ผลประโยชน์) มาวิเคราะห์ร่วมกับหลัก "ปฏิจจสมุปบาท" 12 โดยชี้ให้เห็นว่าปัจจัยภายนอกทั้ง 5 ด้านนั้น แท้จริงแล้วถูกขับเคลื่อนด้วยวงจรของกิเลสภายใน (อวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน) ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องตัดวงจรทั้งภายในและภายนอกพร้อมกัน

  • ทฤษฎีการสื่อสารเพื่อสันติภาพ (4N Model & NVC): ในงานวิจัยเรื่องการสื่อสารออนไลน์ 2 ท่านนำทฤษฎีการสื่อสารแบบสันติ (Nonviolent Communication - NVC) ของ Marshall Rosenberg และทฤษฎี 4N ของ Johan Galtung มาบูรณาการกับหลัก "โยนิโสมนสิการ" (Critical Reflection) โดยเสนอว่า ก่อนที่จะสื่อสารแบบ NVC ได้ บุคคลต้องมี "โยนิโสมนสิการ" เพื่อแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากอารมณ์ความรู้สึกเสียก่อน


ส่วนที่ 3: นวัตกรรม "โมเดล 7ส." (7S Model): สถาปัตยกรรมการสื่อสารวิถีพุทธในยุคดิจิทัล

ผลงานที่เป็น "Masterpiece" ทางวิชาการของดร.สำราญ สมพงษ์ คือการพัฒนาโมเดลการสื่อสารที่เรียกว่า "โมเดล 7ส." (7S Model: สงฆ์ส่งสารสื่อสติสุขสากล) 2 ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมทางความคิดที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการสื่อสารในยุค Social Media โดยเฉพาะ โมเดลนี้ไม่ใช่เป็นเพียงหลักการนามธรรม แต่เป็น "ระบบปฏิบัติการ" (Operating System) สำหรับผู้ใช้สื่อออนไลน์

3.1 การถอดรหัสองค์ประกอบ 7ส.

จากการวิเคราะห์เนื้อหาในงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โมเดลนี้ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบที่ร้อยเรียงกันเป็นกระบวนการ (Process) ดังนี้:

ตารางที่ 2: การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างของโมเดล 7ส.

องค์ประกอบ (The 7S)คำอธิบายและกลไกการทำงาน (Mechanism)การประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหา Fake News/Hate Speech
1. สงฆ์ (Sangha)หมายถึง "ผู้ส่งสาร" (Sender) ที่มีคุณสมบัติเป็นกัลยาณมิตร ไม่จำกัดเพียงพระสงฆ์ แต่รวมถึงฆราวาสที่มีศีลธรรม เป็นต้นแบบทางปัญญาผู้ส่งสารต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เป็นคู่ขัดแย้ง และมีสถานะความน่าเชื่อถือ (Credibility) สูง
2. ส่ง (Send)หมายถึง "กระบวนการส่ง" (Action/Encoding) ที่ประกอบด้วยเจตนา (Intention) ที่บริสุทธิ์ ปราศจากอคติ 4 (ความลำเอียงเพราะรัก โกรธ กลัว หลง)ก่อนกดปุ่ม "Post" หรือ "Share" ต้องตรวจสอบเจตนาของตนเองว่าทำไปเพื่อก่อกวนหรือเพื่อสร้างสรรค์
3. สาร (Message)หมายถึง "เนื้อหา" ที่เป็น "วาจาสุภาษิต" (Wholesome Speech) ตามหลักพุทธ: 1.คำจริง 2.ไพเราะ 3.มีประโยชน์ 4.ถูกกาลเทศะ 5.เกิดจากเมตตาเนื้อหาข่าวต้องผ่านการกรองความเท็จ (Fact-checking) และหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech)
4. สื่อ (Sue/Media)หมายถึง "ช่องทางและเครื่องมือ" (Channel) ที่เหมาะสม การเลือกใช้เทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มที่เอื้อต่อการเรียนรู้มากกว่าการยั่วยุการใช้ Facebook หรือ Line ในฐานะเครื่องมือธรรมทูต (Dhamma Messenger) แทนที่จะเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ
5. สติ (Sati/Mindfulness)หมายถึง "ตัวกำกับและควบคุม" (Regulator) ตลอดกระบวนการสื่อสาร เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของโมเดลการมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตนเองเมื่ออ่านคอมเมนต์ด้านลบ (Emotional Regulation) และรู้เท่าทันอัลกอริทึมของสื่อ
6. สุข (Suk/Happiness)หมายถึง "ผลลัพธ์ระยะสั้น" (Output) คือความสุขสงบเย็นของผู้รับสารและผู้ส่งสารการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จวัดได้จากการที่ผู้รับสารเกิดความสบายใจ ไม่เร่าร้อนด้วยโทสะ
7. สากล (Sakon/Universal)หมายถึง "ผลลัพธ์ระยะยาวและมาตรฐาน" (Outcome & Standard) คือการสร้างสันติภาพที่เป็นสากล ข้ามพ้นพรมแดนศาสนาเนื้อหาและการกระทำต้องสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

3.2 ความสำคัญของโมเดล 7ส. ในภูมิทัศน์สื่อปัจจุบัน

ดร.สำราญนำเสนอโมเดลนี้เพื่อตอบโต้กับปรากฏการณ์ "Post-Truth" (ความจริงเสมือน) ที่อารมณ์ความรู้สึกมีอิทธิพลเหนือข้อเท็จจริง ท่านชี้ให้เห็นว่าลำพังการใช้กฎหมาย (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์) ไม่สามารถจัดการปัญหา Fake News ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะต้นตออยู่ที่ "เจตนา" ภายในใจคน โมเดล 7ส. จึงทำหน้าที่เป็น "Soft Power" หรือกลไกการกำกับดูแลตนเอง (Self-regulation) ทางจริยธรรม โดยเริ่มที่ตัวผู้ส่งสาร (สงฆ์/Influencer) และจบที่ผลลัพธ์ที่เป็นสากล

งานวิจัยกรณีศึกษาเว็บไซต์หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 6 เป็นเครื่องพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่า เมื่อนำหลักการนี้ไปใช้ในการพาดหัวข่าวและการบริหารจัดการคอมเมนต์ สามารถลดดีกรีความรุนแรงของความขัดแย้งในพื้นที่ออนไลน์ลงได้


ส่วนที่ 4: การวิเคราะห์การเมืองและจุดยืนทางสังคม: กรณีศึกษาจากคอลัมน์และทัศนะ

ในฐานะนักวิชาการอิสระที่สวมหมวกสื่อมวลชนด้วย ดร.สำราญ สมพงษ์ ได้ใช้พื้นที่คอลัมน์ในสื่อต่างๆ (เช่น บ้านเมือง, คมชัดลึก, ไทยโพสต์) เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมา โดยมักใช้กรอบคิดแบบ "รัฐศาสตร์เชิงพุทธ" (Buddhist Political Science) ในการมองปัญหา

4.1 พลวัตความขัดแย้ง: จากสองขั้วสู่สามเส้าและกับดักความจงรักภักดี

บทวิเคราะห์ที่แหลมคมที่สุดชิ้นหนึ่งของดร.สำราญ คือการมองวิวัฒนาการของความขัดแย้งไทย 5 ท่านชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งได้เปลี่ยนรูปจาก "เหลือง vs แดง" ไปสู่ความขัดแย้งแบบ "สามเส้า" โดยมี "สีเขียว" (ทหาร/กองทัพ) เข้ามาเป็นตัวละครหลัก ซึ่งทำให้สมการการเมืองซับซ้อนยิ่งขึ้น

ที่น่าสนใจคือ การที่ท่านหยิบยกกรณีศึกษาจาก "ประเทศเนปาล" มาเปรียบเทียบเพื่อเตือนสติสังคมไทย ท่านวิเคราะห์ว่าความล่มสลายของระบอบกษัตริย์ในเนปาลเกิดจากการที่รัฐบาลในขณะนั้นผลักไสฝ่ายตรงข้าม (พรรคการเมืองฝ่ายซ้าย/เหมาอิสต์) ให้กลายเป็น "ศัตรูของรัฐ" และผูกขาดความจงรักภักดีไว้เพียงฝ่ายเดียว การกระทำเช่นนี้กลับยิ่งผลักดันให้มวลชนจำนวนมากที่อาจไม่ได้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์แต่แรก ต้องหันไปสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาล จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบในที่สุด บทวิเคราะห์นี้สะท้อนความกล้าหาญทางจริยธรรมของดร.สำราญที่กล้าเตือนผู้มีอำนาจในไทยไม่ให้เดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่อันตรายนี้

4.2 มาตรฐานความยุติธรรม: กรณี "แก้ว พงษ์ประยูร"

ดร.สำราญมีความอ่อนไหวต่อประเด็น "ความยุติธรรม" (Justice) อย่างยิ่ง ในบทความเรื่อง "แก้วแพ้ บทพิสูจน์ไทย 2 มาตรฐาน" 8 ท่านใช้วิกฤตศรัทธาในผลการตัดสินมวยโอลิมปิกเพื่อสะท้อนจิตวิญญาณของคนไทย ท่านตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ว่า เหตุใดคนไทยถึงยอมรับไม่ได้กับการโกงในกีฬา แต่กลับมีผลโพลระบุว่าคนไทยส่วนใหญ่รับได้กับการคอร์รัปชันหากตนเองได้ประโยชน์? การตั้งคำถามนี้ชี้ให้เห็นถึง "ความย้อนแย้ง" (Paradox) ในจริยธรรมไทย และเรียกร้องให้สังคมหันกลับมาทบทวนมาตรฐานทางศีลธรรมของตนเองมากกว่าการชี้หน้าด่าคนอื่น

4.3 การเมืองยุคใหม่: การยุบพรรคก้าวไกลและนิติสงคราม

ในบริบทการเมืองล่าสุด ดร.สำราญ (ในบทบาทนักวิเคราะห์ผ่านรายการ "ตรงปก ตรงประเด็น") ได้แสดงทัศนะต่อกรณีการยุบพรรคก้าวไกล 13 โดยสะท้อนจุดยืนแบบ "สัจนิยมทางกฎหมาย" (Legal Realism)

  • ท่านวิเคราะห์ด้วยความเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร

  • อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือการวิเคราะห์ผลกระทบ (Impact Analysis) ท่านไม่ได้มองว่าการยุบพรรคคือจุดจบ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยกลับมาผงาดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากการเมืองเป็นเรื่องของการช่วงชิงโอกาสและการปรับตัว

  • ท่าทีของท่านในเรื่องนี้สะท้อนบทบาทของ "ผู้สังเกตการณ์" (Observer) ที่พยายามอธิบายปรากฏการณ์ตามความเป็นจริง (Yathabhuta) มากกว่าการใส่อารมณ์ร่วมหรือยุยงให้เกิดความรุนแรง แม้ว่าผลการวิเคราะห์อาจไม่ถูกใจฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกล แต่ก็เป็นการเตือนให้เห็นถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายของกติกาการเมืองไทย


ส่วนที่ 5: วารสารศาสตร์เชิงพุทธและการปฏิบัติการสื่อสาร (Buddhist Journalism Praxis)

ดร.สำราญ สมพงษ์ ได้พยายามสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการสื่อมวลชนไทย ผ่านแนวคิดที่อาจเรียกว่า "วารสารศาสตร์เชิงพุทธ" (Buddhist Journalism) ซึ่งมีความแตกต่างจากวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ (Peace Journalism) ของตะวันตกในบางมิติ

5.1 การเปลี่ยน "พื้นที่ข่าว" ให้เป็น "พื้นที่ธรรม"

ในขณะที่สื่อกระแสหลักมักขายข่าวอาชญากรรมและความขัดแย้ง ดร.สำราญพยายามใช้พื้นที่คอลัมน์ของท่านในการสอดแทรกหลักธรรมเข้าไปในข่าวการเมือง 6 ท่านไม่ได้เขียนบทความธรรมะล้วนๆ ที่น่าเบื่อหน่าย แต่ใช้วิธี "วิเคราะห์ข่าวด้วยแว่นธรรม" เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมนักการเมืองด้วยหลักอคติ 4 หรือการวิเคราะห์นโยบายรัฐด้วยหลักทศพิธราชธรรม วิธีการนี้ช่วย "ทำให้ธรรมะเป็นเรื่องร่วมสมัย" (Secularization of Dhamma) และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นปัญญาชนทางโลกได้มากขึ้น

5.2 การตรวจสอบจริยธรรมสื่อ (Media Watchdog)

ท่านทำหน้าที่เป็น "ยามเฝ้าประตู" (Gatekeeper) ทางจริยธรรมที่คอยตรวจสอบการทำงานของเพื่อนร่วมวิชาชีพ ท่านวิพากษ์วิจารณ์การนำเสนอข่าวที่สร้างความเกลียดชังและการบิดเบือนข้อมูล โดยเรียกร้องให้สื่อมวลชนกลับมายึดถือจรรยาบรรณวิชาชีพควบคู่ไปกับหิริโอตตัปปะ (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) 14 การวิจัยของท่านเรื่องรูปแบบการสื่อสารออนไลน์ของคมชัดลึก เป็นความพยายามที่จะสร้าง "ระบบตรวจสอบภายใน" (Internal Audit) ให้กับองค์กรสื่อ เพื่อลดการผลิตซ้ำความรุนแรง


ส่วนที่ 6: บทบาทหน้าที่ของนักวิชาการอิสระในระบบนิเวศความรู้ไทย

จากการวิเคราะห์เส้นทางชีวิตและผลงานทั้งหมด สามารถสังเคราะห์บทบาทหน้าที่ (Functions) ของดร.สำราญ สมพงษ์ ในฐานะนักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี ได้ 4 ประการสำคัญ:

  1. ผู้แปลความหมายและเชื่อมโยง (The Translator & Bridge Builder): หน้าที่หลักคือการแปลง "ภาษาธรรม" (เช่น อริยสัจ, ปฏิจจสมุปบาท) ให้เป็น "ภาษาสังคม" ที่เข้าใจง่ายและใช้การได้จริง ท่านเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกจารีตของสงฆ์กับโลกสมัยใหม่ของสื่อและการเมือง

  2. ผู้สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม (The Social Immunizer): ผ่านโมเดล 7ส. และงานเขียน ดร.สำราญทำหน้าที่เหมือนแพทย์ที่คอยฉีดวัคซีน "สติ" ให้กับสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนติดเชื้อไวรัสแห่งความเกลียดชังและการยั่วยุ

  3. กระจกสะท้อนความจริง (The Mirror of Truth): ในฐานะนักวิเคราะห์การเมือง ท่านทำหน้าที่เป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึงความบิดเบี้ยวของสังคม (เช่น เรื่องสองมาตรฐาน หรือกับดักความขัดแย้งแบบเนปาล) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้และแก้ไข

  4. นวัตกรทางสังคม (The Social Innovator): ท่านไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิจารณ์ แต่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องมือ (Tools) เช่น โมเดล 7ส. เพื่อเสนอเป็นทางออกที่เป็นรูปธรรมสำหรับการแก้ปัญหาสังคม


บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ดร.สำราญ สมพงษ์ คือบุคลากรที่ทรงคุณค่าในภูมิทัศน์ทางปัญญาของไทย ท่านเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ "ปัญญาชนอินทรีย์" (Organic Intellectual) ที่เติบโตมาจากฐานรากของสังคมไทย (การบวชเรียนและการรับราชการ) และสามารถพัฒนากรอบคิดของตนเองจนเท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล

ข้อค้นพบสำคัญ:

  • งานของดร.สำราญยืนยันว่า "พุทธธรรม" ไม่ใช่ของเก่าคร่ำครึ แต่เป็น "Technology of the Mind" ที่ล้ำสมัยที่สุดในการจัดการกับความโกลาหลของข้อมูลข่าวสาร

  • โมเดล 7ส. เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูง แต่ยังขาดการนำไปขยายผลในระดับนโยบายสาธารณะ (Public Policy) อย่างจริงจัง

  • จุดแข็งที่สุดของดร.สำราญคือ "ความเป็นกลางที่เปี่ยมด้วยความหวัง" (Hopeful Neutrality) ท่านมองเห็นความเลวร้ายของความขัดแย้ง แต่ไม่เคยสิ้นหวังในศักยภาพของมนุษย์ที่จะเรียนรู้และอยู่ร่วมกัน

ข้อเสนอแนะเพื่อการต่อยอด:

  1. การขยายผลโมเดล 7ส.: ควรมีการพัฒนาโมเดลนี้ให้เป็น "หลักสูตรฝึกอบรม" หรือ "คู่มือปฏิบัติการ" สำหรับผู้ผลิตสื่อออนไลน์ (Content Creators) และ Influencers รุ่นใหม่ เพื่อสร้างระบบนิเวศสื่อสีขาว

  2. การวิจัยเชิงลึก: ควรมีการศึกษาวิจัยต่อยอดในประเด็นที่ดร.สำราญได้เปิดประเด็นไว้ เช่น การเปรียบเทียบกระบวนการยุติธรรมไทยกับหลักอธิกรณสมถะ หรือการศึกษาผลกระทบของการใช้พุทธสันติวิธีในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม

  3. การสร้างทายาททางปัญญา: สังคมไทยต้องการ "ดร.สำราญรุ่นใหม่" ที่มีความรู้ทั้งทางธรรมและทางโลก เพื่อมารับไม้ต่อในการทำหน้าที่ "ล่ามทางวัฒนธรรม" ท่ามกลางโลกที่แบ่งขั้วรุนแรงยิ่งขึ้น

โดยสรุป ดร.สำราญ สมพงษ์ ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับการสร้าง "สังคมแห่งปัญญาและสันติสุข" (Wisdom and Peace Society) หน้าที่ของคนรุ่นต่อไปคือการนำอิฐก้อนที่ท่านวางไว้ มาสร้างเป็นปราการที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องสังคมไทยจากพายุแห่งความขัดแย้งในอนาคต

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...