วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2567

"มจร-บาทหลวงวาติกัน" ร่วมกิจกรรมวิปัสสนาแคมป์สน เสริมสร้างมิตรภาพเพื่อสันติภาพระหว่างศาสนา



เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 พระเมธีวัชรบัณฑิต, ศ.ดร. พระวิปัสสนาจารย์สันติสนทนากรรมฐาน ได้ร่วมกิจกรรมวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อบาทหลวงและผู้นำศาสนาคริสต์จากวาติกัน ณ แคมป์สน จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดโดยวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) กิจกรรมนี้เป็นการสะท้อนถึงการที่ศาสนาทั้งสองสามารถร่วมมือกันในการพัฒนาสติและเข้าใจซึ่งกันและกัน

การพบปะระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในปีที่ผ่านมาได้มีการเสวนาผ่านการประชุมเชิงวิชาการครั้งที่  7  ที่กรุงวาติกัน ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นอกเห็นใจ และความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัวในการเสวนาเพื่อเยียวยามนุษยชาติและโลกที่บอบช้ำ” (Karuna and Agape in dialogue for Healing a Wounded Humanity and the Earth) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างสันติภาพผ่านการเข้าใจในความแตกต่างและการสร้างมิตรภาพ

การสร้างความสงบสุขระหว่างศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากโลกนี้ไม่อาจมีศาสนาเดียวได้ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์จึงมีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังมิตรภาพและสันติภาพ สมณะจากกระทรวงศาสนสัมพันธ์แห่งนครรัฐวาติกันได้กล่าวถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการสร้างสันติภาพภายในศาสนาต่าง ๆ ซึ่งเน้นการยอมรับและเข้าใจในความแตกต่าง

การศึกษาเรื่อง "ขันติธรรมทางศาสนา" เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยในการพัฒนาความอดทนและการยอมรับในความแตกต่าง ขันติธรรม (Tolerance) หมายถึง การยอมรับและอดทนต่อความคิดเห็นและพฤติกรรมที่ไม่เห็นด้วย ขณะที่ "ขันติธรรมทางศาสนา" (Religious Tolerance) เป็นการยอมรับและอนุญาตให้บุคคลมีความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาที่แตกต่างจากตน โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อว่าศาสนานั้นจะจริงเท่ากับของตน แต่เห็นว่าคนอื่นมีสิทธิ์ในการเชื่อและปฏิบัติตามศาสนาของตนได้

พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงการไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ทรงสอนให้มีความอดทนและเปิดใจรับฟังความเห็นที่แตกต่าง เช่นเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราชที่กล่าวถึงการเคารพในศาสนาอื่น ๆ ว่าเป็นการส่งเสริมศาสนาของตนและช่วยส่งเสริมความเข้าใจระหว่างศาสนา

การทำงานด้านสันติภาพจึงไม่สามารถขาดขันติธรรมได้ และความอดทนนี้เป็นพื้นฐานของการเข้าใจและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ศาสนาและศาสนิกชนควรมีมุมมองในการ "Peace Dialogue" ที่เน้นการสื่อสารที่เปิดใจ การฟังด้วยหัวใจและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยไม่มุ่งเน้นการเอาชนะ แต่เพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน

การเสวนาระหว่างศาสนานั้นสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น Dialogue of Action, Dialogue of Theological Exchange, Dialogue of Religious Experience, และ Dialogue of Life ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยการพูดคุยและฟังซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ ถือเป็นวิธีการสร้างสังคมที่สงบสุขและยั่งยืน

Interfaith_for_Peace คือก้าวที่สำคัญในการยืนยันว่าศาสนาทั้งหลายสามารถอยู่ร่วมกันได้ในความแตกต่าง และการพัฒนาโลกที่สงบสุขนั้นไม่สามารถทำได้หากขาดการยอมรับในความหลากหลายทางศาสนา.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรอบหนังสือ "ตื่นธรรม"

  แนวคิดหลัก: "ตื่นธรรม" เป็นหนังสือที่ช่วยปลุกจิตให้เข้าใจและสัมผัสธรรมชาติของธรรมะในชีวิตประจำวัน โดยนำเสนอธรรมมิติต่างๆ และแก่น...