วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560

ตรวจกระแส"หนุน-ค้าน"!ถอนเปลี่ยนหมุดคณะราษฎร




ช่วงเทศกาลสงกรานต์ คนไทยต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในเมืองกรุงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นประจำทุกปี และก็มีสถิติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำ

ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้มีมาตรการกวดขึ้นด้านกฎหมายและวิจัยจราจรโดยจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัย เติมห้ามนั่งท้ายรถกระบะแต่ถูกเสียงค้านเป็นจำนวนมากจึงมีการผ่อนผัน


อยู่ก็มีเสียงฮือฮาในโลกสังคมออนไลน์ว่า มีการรื้อถอนหมุดคณะราษฎร บริเวณลานหน้าพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นจุดที่พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ได้ยืนอ่านประกาศคณะฉบับที่ 1 เวลาย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยหมุดเดิมมีข้อความว่า "ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ" และได้มีการเปลี่ยนหมุดใหม่มาแทน และมีข้อความว่า "ขอประเทศสยามจงเจริญยั่งยืนตลอดไป ประชาสุขสันต์หน้าใสเพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง"


เหตุการณ์ดังกล่าวถูกเปิดเผยโดยเฟซบุ๊กหมุดคณะราษฎร และได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า  "การรื้อถอนหมุดคณะราษฎร เกิดขึ้นในช่วงคืนวันที่ 5 เมษายน 2560 ... โดยช่วงต้นเดือนเมษายน นิสิตปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย...ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลหมุดคณะราษฎรในบริเวณดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และพบว่าในวันที่ 8 เมษายน 2560  ได้มีการเปลี่ยนแปลงหมุดดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว"


เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาทางฝ่ายรัฐและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องต่างออกมาปฏิเสธไม่ทราบเรื่องอย่างเช่นอธิบดีกรมศิลปากร โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงหมุดดังกล่าวไม่ต้องแจ้งให้กรมศิลปากรทราบ รวมถึงพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสั้นๆเพียงว่า "โดยส่วนตัวผมไม่ทราบข้อมูลในส่วนนี้ และไม่ขอออกความเห็นเรื่องดังกล่าว"  


และมีการสอบถามความเห็นไปยังทายาทคนที่ 4 ของพระยาพหลพล พยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร คือพ.ต.พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา หรือ “ลุงแมว”  ได้กล่าวว่า คณะราษฎรไม่ใช่เจ้าของหมุด ไม่ใช่เจ้าของอำนาจอธิปไตย แต่เป็นของประชาชน การเปลี่ยนหมุดครั้งนี้จึงต้องให้เจ้าของอำนาจที่แท้จริงตัดสิน


พร้อมกันนี้ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงประมวลประวัติศาสตร์ความเป็นมาของหมุดคณะราษฎร


ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้มีการนำหมุดใหม่ อย่างเช่น นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้ออกมาระบุว่า ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้สั่งการให้มีการสอบสวนตรวจสอบการกระทำของบุคคลหรือหน่วยงานใด ที่เข้ามาดำเนินการและสับเปลี่ยนหมุดคณะราษฎร หากไม่ดำเนินการจะใช้สิทธิตามมาตรา 51 ตามรัฐธรรมนูญ 2560 


นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ประวัติศาสตร์....ยากบิดเบือน ให้รู้สึกหดหู่ และสังเวชใจยิ่งนัก ต่อการกระทำ ของผู้สั่งการในครั้งนี้ เพราะหมุดนี้ คือประวัติศาสตร์ชาติ ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ที่คณะราษฏรได้ตอกหมุดนี้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการอภิวัฒน์สยามเมื่อ 24 มิถุนายน2475 อย่าให้เหตุการณ์นี้ พัดผ่านไปเหมือนลมฤดูร้อนเดือนเมษายนนะครับ และอย่าให้ประชาชนเขาคิดเอาเองว่า ผู้ดำเนินการเรื่องนี้กำลังเล่นของทำคุณไสย เหมือนกับ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เคยกระทำไว้เมื่อคราวมีการชุมนุมใหญ่ เพราะมันจะสวนทางกับนโยบายประเทศไทย 4.0


คือหมุด ประวัติศาสตร์     คณะราษฏร์ ตอกฝังไว้
ตอกย้ำ ประชาธิปไตย      ถึงแก่นราก ในใจชน
ใครขุด เอาขึ้นมา              แล้วเปลี่ยนใหม่ ให้สัปดน
เหยียบย่ำศักดิ์ศรีคน        แล้วหวังปล้น ประชาธิปไตย


ส่วนฝ่ายที่เห็นด้วยแต่มักไม่เปิดเผยตัวตนได้ชื่นชอบข้อความที่ปรากฏในหมุดใหม่ และย้อนถามว่า ที่ผ่านมาคณะราษฎรได้ให้ประชาธิปไตยที่แท้จริงกับคนไทยหรือไม่ หรือเป็นเพียงผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเสวยอำนาจ  ขณะที่ พล.ท. นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ  ให้ความเห็นผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า 


“เรื่องหมุดคณะราษฎรที่หายไปนั้น ผมขอขอบใจคนที่ทำเป็นอย่างมาก  เพราะ  85  ปีที่หมุดนี้้ฝังอยู่ นอกจากไม่ได้ทำให้  "ประชาธิปไตย" ในประเทศไทยเจริญขึ้นแล้ว ยังสร้างให้เกิดความแตกแยก เกิดขึ้นกับคนภายในชาติ อย่างไม่รู้จบสิ้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ หมุดนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะการหลอกทหารไปร่วมปฏิวัติ   ตลอดระยะเวลาที่คณะราษฎรปกครองประเทศ   ไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับประเทศไทยมากนัก นอกจากการเกิดรัฐประหารแย่งชิงอำนาจกันเอง 4-5 ครั้ง  (จำไม่ได้ครับ) อำนาจก็ไม่ได้มาถึงประชาชน  แม้จะเอารัฐธรรมนูญมาบังคับให้ประชาชนกราบไหว้  ถึงขนาดใส่ตู้แบบพระไตรปิฎก ให้คนกราบไหว้ !!บ้าไหมล่ะ!  ยังมีอีกแยะครับ  ... แล้วจะมาติดตั้งไว้ทำไมกันครับ??"


ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังรื้อถอนเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรใหม่สะท้อนแผลความแตกแยกในสังคมไทยอยู่เช่นเดิม ยากที่จะสมานฉันท์เข้าใจความขัดแย้งให้หันหน้ามาจับมือกันเดินหน้าต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ดร.นิยม เวชกามา" จับมือกรรมาธิการศาสนา สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่ไปช่วยแก้ปัญหาตั้งวัดในศรีสะเกษกว่า 300 แห่ง

วันที่ 24 เมษายน 2567 ดร.นิยม เวชกามา ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม  เวชยชัย ในฐานะอนุกรรมมา...