วิเคราะห์ ตัจฉกสูกรชาดก ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 ขุททกนิกาย ชาดก ปกิณณกนิบาตชาดก ที่ประกอบด้วย
๙. ตัจฉกสูกรชาดก ว่าด้วยหมูพร้อมใจกันสู้เสือ
[๑๙๗๕] ข้าพเจ้าเที่ยวแสวงหาหมู่ญาติใด ตามภูเขา และราวป่าทั้งหลาย ค้นหา
หมู่ญาติมากมาย หมู่ญาตินั้นเราพบแล้ว. รากไม้และผลไม้นี้ ก็มีมาก
มาย อนึ่ง ภักษาหารนี้ก็มิใช่น้อย ทั้งห้วยละหานนี้ก็น่ารื่นรมย์ คง
เป็นที่อยู่สุขสบาย. ข้าพเจ้าจักขออยู่กับญาติทั้งมวล ในที่นี้แหละ
จักเป็นผู้ขวนขวายน้อย ไม่มีความระแวงภัย ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มี
ภัยแต่ที่ไหนๆ.
[๑๙๗๖] ดูกรตัจฉกะ เจ้าจงไปหาที่ซ่อนเร้นแห่งอื่นเถิด ในที่นี้ศัตรูของพวกเรา
มีอยู่ มันมาในที่นี้แล้ว ก็ฆ่าหมูแต่ล้วนตัวที่อ้วนพีเสีย.
[๑๙๗๗] ใครหนอเป็นศัตรูของเราในที่นี้ ใครมากำจัดญาติทั้งหลายผู้พร้อมเพรียง
กัน ซึ่งยากที่จะกำจัดได้ เราถามท่านแล้วขอจงบอกความข้อนั้นแก่เรา
เถิด
[๑๙๗๘] ดูกรตัจฉกะ พญาเนื้อตัวหนึ่งลายพาดขึ้น เป็นเนื้อกำลังมีเขี้ยวเป็น
อาวุธ มันมาในที่นี้แล้ว ก็ฆ่าหมูแต่ล้วนตัวที่อ้วนพีเสีย.
[๑๙๗๙] พวกเราไม่มีเขี้ยวหรือ กำลังกายไม่พรั่งพร้อมหรือ พวกเราทั้งหมดพร้อม
ใจกันแล้ว ก็จะจับมันตัวเดียวเท่านั้นให้อยู่ในอำนาจได้.
[๑๙๘๐] ดูกรตัจฉกะ ท่านกล่าววาจาจับอกจับใจ เพราะหมู แม้ตัวใดหนีไปเวลา
รบ พวกเราจักฆ่ามันเสียในภายหลัง.
[๑๙๘๑] ดูกรพญาเนื้อผู้เก่งกล้า วันนี้เจ้าคงจะงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ละซิหนอ
ท่านให้อภัยในสัตว์ทั้งปวงเสียแล้วหรือ หรือเขี้ยวของเจ้าคงไม่มี เจ้า
มาถึงกลางฝูงสุกรแล้ว จึงซบเซาอยู่ดังคนกำพร้า ฉะนั้น?
[๑๙๘๒] มิใช่ว่าเขี้ยวของข้าพเจ้าไม่มี กำลังกายของข้าพเจ้าก็มีอยู่พรั่งพร้อม แต่
ข้าพเจ้าเห็นสุกรทั้งหลายผู้เป็นญาติกัน ร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงซบเซาอยู่แต่ผู้เดียวในป่า. เมื่อก่อนสุกรเหล่านี้
พอข้าพเจ้าลืมตาแลดูเท่านั้น ต่างก็กลัวตายหาที่หลบซ่อนวิ่งกระเจิด-
กระเจิงไปตามทิศานุทิศ บัดนี้ พวกมันมาประชุมพร้อมเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน ในภูมิภาคที่พวกมันยืนอยู่นั้น ข้าพเจ้าข่มพวกมันได้ยากใน
วันนี้ พวกมันคงมีขุนพล จึงพรักพร้อมกัน คงเป็นเสียงเดียวกัน คง
ร่วมมือร่วมใจกันเบียดเบียนข้าพเจ้า เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่
ปรารถนาสุกรเหล่านั้น.
[๑๙๘๓] พระอินทร์องค์เดียวเท่านั้น ยังเอาชนะอสูรทั้งหลายได้ เหยี่ยวตัวเดียว
เท่านั้น ย่อมข่มฆ่านกทั้งหลายได้ เสือโคร่งตัวเดียวเหมือนกัน ไปถึง
ท่ามกลางฝูงสุกรแล้ว ก็ย่อมฆ่าสุกรตัวพีๆ ได้ เพราะกำลังของมันเป็น
เช่นนั้น.
[๑๙๘๔] จะเป็นพระอินทร์ จะเป็นเหยี่ยว แม้จะเป็นเสือโคร่งผู้เป็นใหญ่กว่า
เนื้อ ก็ทำญาติผู้พร้อมเพรียงกันมั่นคง ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับเสือโคร่ง
ไว้ในอำนาจไม่ได้ทั้งนั้นแหละ.
[๑๙๘๕] ฝูงนกตัวน้อยๆ มีชื่อกุมภิลกะ เป็นนกมีพวก เที่ยวไปเป็นหมวดหมู่
ร่าเริงบันเทิงใจ โผผินบินร่อนไปเป็นกลุ่มๆ. ก็เหมือนฝูงนกเหล่านั้น
บินไป บรรดานกเหล่านั้น คงมีสักตัวหนึ่งที่แตกฝูงไป เหยี่ยวย่อม
โฉบจับนกตัวนั้นได้ นี่เป็นคติของเสือโคร่งทั้งหลายโดยแท้.
[๑๙๘๖] เสือโคร่งเป็นสัตว์มีเขี้ยว ถูกชฎิลผู้หยาบช้า เห็นแก่อามิสปลุกใจให้
ฮึกเหิม สำคัญว่าจะทำได้เหมือนเมื่อครั้งก่อน จึงวิ่งเข้าไปในฝูงสุกรผู้มี
เขี้ยว.
[๑๙๘๗] ญาติทั้งหลายมีมากด้วยกัน ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ ถึงต้นไม้ทั้งหลาย
ที่เกิดในป่า ก็เหมือนกัน สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันเข้า ฆ่าเสือโคร่ง
เสียได้ เพราะประพฤติร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
[๑๙๘๘] สุกรทั้งหลายช่วยกันฆ่าพราหมณ์ และเสือโคร่ง ทั้ง ๒ ได้แล้ว ต่าง
ร่าเริงบันเทิงใจ พากันบันลือสัททสำเนียงเสียงสนั่น.
[๑๙๘๙] สุกรเหล่านั้นมาประชุมพร้อมกันที่โคนต้นมะเดื่อ อภิเษกตัจฉกสุกรด้วย
คำว่า ท่านเป็นราชา เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกเรา.
จบ
ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ ตัจฉกสูกรชาดก ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 ขุททกนิกาย ชาดก ปกิณณกนิบาตชาดก
การวิเคราะห์ตัจฉกสูกรชาดกในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้
บทนำ ตัจฉกสูกรชาดก เป็นชาดกหนึ่งในขุททกนิกาย ปกิณณกนิบาต ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 เนื้อหาของชาดกนี้กล่าวถึงสุกรที่รวมพลังกันต่อสู้กับศัตรูที่คุกคาม ซึ่งสามารถนำมาอธิบายในเชิงพุทธสันติวิธีเพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักธรรมที่สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและสังคมร่วมสมัยได้
1. สาระสำคัญของตัจฉกสูกรชาดก เรื่องราวของชาดกนี้เริ่มต้นจากตัจฉกะ สุกรตัวหนึ่งที่พบหมู่ญาติและตั้งใจจะพำนักอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทว่าหมูตัวอื่นแจ้งให้ทราบถึงศัตรูที่เป็นพญาเสือซึ่งคอยทำร้ายหมูที่อ้วนพี ตัจฉกะจึงเสนอแนวคิดว่าหากพวกมันรวมพลังกันก็จะสามารถกำจัดเสือโคร่งได้ และในที่สุดสุกรทั้งฝูงก็ร่วมมือกันต่อสู้กับเสือโคร่งจนได้รับชัยชนะ ทั้งยังปราบพราหมณ์ผู้เป็นต้นเหตุของการยุยงเสือได้สำเร็จ จากนั้นตัจฉกะได้รับการอภิเษกเป็นราชาของเหล่าสุกร
2. พุทธสันติวิธีที่สะท้อนในตัจฉกสูกรชาดก พุทธสันติวิธีเป็นแนวทางแห่งสันติภาพที่ตั้งอยู่บนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับบริบทของชาดกนี้ได้ ดังนี้
2.1 ความสามัคคี (สามัคคีธรรม) เนื้อเรื่องของตัจฉกสูกรชาดกเน้นย้ำถึงพลังของความสามัคคี ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำในหลายพระสูตร เมื่อหมูแต่ละตัวกระจัดกระจาย ต่างตัวต่างเอาตัวรอด ศัตรูก็สามารถเอาชนะได้โดยง่าย แต่เมื่อพวกมันร่วมแรงร่วมใจกัน กลับสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าได้
2.2 การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา (ปัญญาธิกะสันติวิธี) ตัจฉกะใช้สติปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์และแนะนำให้พวกหมูรวมพลังกันแทนที่จะหลบหนี ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ใช้หลักเหตุและผล มิใช่อารมณ์หรือความหวาดกลัว
2.3 การป้องกันตนเองโดยสันติ (อหิงสาสันติวิธี) แม้หมูจะรวมตัวกันต่อสู้กับเสือ แต่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการรุกราน หากแต่เป็นการป้องกันตนเองจากภัยคุกคาม ซึ่งเป็นแนวคิดของอหิงสา (การไม่เบียดเบียน) ในบริบทของการรักษาความสงบสุขของหมู่คณะ
2.4 การกำจัดต้นเหตุแห่งปัญหา (สมุทัยและนิโรธในอริยสัจ 4) ชาดกแสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ต้องกำจัดเสือซึ่งเป็นศัตรูโดยตรง แต่ยังต้องกำจัดพราหมณ์ผู้ปลุกปั่นเสือด้วย ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดการกำจัดสมุทัย (ต้นเหตุของทุกข์) เพื่อให้เกิดนิโรธ (ความดับทุกข์) อย่างแท้จริง
3. การประยุกต์ใช้หลักธรรมจากตัจฉกสูกรชาดกในสังคมปัจจุบัน
3.1 การบริหารองค์กรและภาวะผู้นำ เรื่องราวของตัจฉกะสะท้อนถึงภาวะผู้นำที่ดีในองค์กร ซึ่งต้องใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาและปลูกฝังความสามัคคีให้กับสมาชิกในทีม เมื่อนำมาใช้ในองค์กร ผู้นำควรส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อเอาชนะอุปสรรค
3.2 การสร้างสันติภาพในสังคม หลักการรวมพลังเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างมีสติสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสังคมโดยรวม เช่น การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชุมชนหรือระหว่างประเทศโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่ใช้สติปัญญาและความร่วมมือเป็นหลัก
3.3 การศึกษาและการพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์ ตัจฉกะเป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความคิดเชิงวิเคราะห์และกล้าเสนอแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหา การศึกษาสามารถนำหลักการนี้ไปพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ในนักเรียนและนักศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญกับปัญหาในชีวิตจริง
บทสรุป ตัจฉกสูกรชาดกเป็นชาดกที่สะท้อนถึงคุณค่าของความสามัคคี ปัญญา และการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ซึ่งสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันและสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดี หลักธรรมเหล่านี้เป็นแนวทางที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสันติสุขในระดับบุคคล องค์กร และสังคมโดยรวม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น