วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ตัจฉกสูกรชาดก ว่าด้วยหมูพร้อมใจกันสู้เสือ

   วิเคราะห์  ตัจฉกสูกรชาดก  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  19  ขุททกนิกาย  ชาดก ปกิณณกนิบาตชาดก   ที่ประกอบด้วย  

 ๙. ตัจฉกสูกรชาดก ว่าด้วยหมูพร้อมใจกันสู้เสือ

             [๑๙๗๕] ข้าพเจ้าเที่ยวแสวงหาหมู่ญาติใด ตามภูเขา และราวป่าทั้งหลาย ค้นหา

                          หมู่ญาติมากมาย หมู่ญาตินั้นเราพบแล้ว. รากไม้และผลไม้นี้ ก็มีมาก

                          มาย อนึ่ง ภักษาหารนี้ก็มิใช่น้อย ทั้งห้วยละหานนี้ก็น่ารื่นรมย์ คง

                          เป็นที่อยู่สุขสบาย. ข้าพเจ้าจักขออยู่กับญาติทั้งมวล ในที่นี้แหละ

                          จักเป็นผู้ขวนขวายน้อย ไม่มีความระแวงภัย ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มี

                          ภัยแต่ที่ไหนๆ.

             [๑๙๗๖] ดูกรตัจฉกะ เจ้าจงไปหาที่ซ่อนเร้นแห่งอื่นเถิด ในที่นี้ศัตรูของพวกเรา

                          มีอยู่ มันมาในที่นี้แล้ว ก็ฆ่าหมูแต่ล้วนตัวที่อ้วนพีเสีย.

             [๑๙๗๗] ใครหนอเป็นศัตรูของเราในที่นี้ ใครมากำจัดญาติทั้งหลายผู้พร้อมเพรียง

                          กัน ซึ่งยากที่จะกำจัดได้ เราถามท่านแล้วขอจงบอกความข้อนั้นแก่เรา

                          เถิด

             [๑๙๗๘] ดูกรตัจฉกะ พญาเนื้อตัวหนึ่งลายพาดขึ้น เป็นเนื้อกำลังมีเขี้ยวเป็น

                          อาวุธ มันมาในที่นี้แล้ว ก็ฆ่าหมูแต่ล้วนตัวที่อ้วนพีเสีย.

             [๑๙๗๙] พวกเราไม่มีเขี้ยวหรือ กำลังกายไม่พรั่งพร้อมหรือ พวกเราทั้งหมดพร้อม

                          ใจกันแล้ว ก็จะจับมันตัวเดียวเท่านั้นให้อยู่ในอำนาจได้.

             [๑๙๘๐] ดูกรตัจฉกะ ท่านกล่าววาจาจับอกจับใจ เพราะหมู แม้ตัวใดหนีไปเวลา

                          รบ พวกเราจักฆ่ามันเสียในภายหลัง.

             [๑๙๘๑] ดูกรพญาเนื้อผู้เก่งกล้า วันนี้เจ้าคงจะงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ละซิหนอ

                          ท่านให้อภัยในสัตว์ทั้งปวงเสียแล้วหรือ หรือเขี้ยวของเจ้าคงไม่มี เจ้า

                          มาถึงกลางฝูงสุกรแล้ว จึงซบเซาอยู่ดังคนกำพร้า ฉะนั้น?

             [๑๙๘๒] มิใช่ว่าเขี้ยวของข้าพเจ้าไม่มี กำลังกายของข้าพเจ้าก็มีอยู่พรั่งพร้อม แต่

                          ข้าพเจ้าเห็นสุกรทั้งหลายผู้เป็นญาติกัน ร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

                          เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงซบเซาอยู่แต่ผู้เดียวในป่า. เมื่อก่อนสุกรเหล่านี้

                          พอข้าพเจ้าลืมตาแลดูเท่านั้น ต่างก็กลัวตายหาที่หลบซ่อนวิ่งกระเจิด-

                          กระเจิงไปตามทิศานุทิศ บัดนี้ พวกมันมาประชุมพร้อมเป็นอันหนึ่งอัน

                          เดียวกัน ในภูมิภาคที่พวกมันยืนอยู่นั้น ข้าพเจ้าข่มพวกมันได้ยากใน

                          วันนี้ พวกมันคงมีขุนพล จึงพรักพร้อมกัน คงเป็นเสียงเดียวกัน คง

                          ร่วมมือร่วมใจกันเบียดเบียนข้าพเจ้า เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่

                          ปรารถนาสุกรเหล่านั้น.

             [๑๙๘๓] พระอินทร์องค์เดียวเท่านั้น ยังเอาชนะอสูรทั้งหลายได้ เหยี่ยวตัวเดียว

                          เท่านั้น ย่อมข่มฆ่านกทั้งหลายได้ เสือโคร่งตัวเดียวเหมือนกัน ไปถึง

                          ท่ามกลางฝูงสุกรแล้ว ก็ย่อมฆ่าสุกรตัวพีๆ ได้ เพราะกำลังของมันเป็น

                          เช่นนั้น.

             [๑๙๘๔] จะเป็นพระอินทร์ จะเป็นเหยี่ยว แม้จะเป็นเสือโคร่งผู้เป็นใหญ่กว่า

                          เนื้อ ก็ทำญาติผู้พร้อมเพรียงกันมั่นคง ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับเสือโคร่ง

                          ไว้ในอำนาจไม่ได้ทั้งนั้นแหละ.

             [๑๙๘๕] ฝูงนกตัวน้อยๆ มีชื่อกุมภิลกะ เป็นนกมีพวก เที่ยวไปเป็นหมวดหมู่

                          ร่าเริงบันเทิงใจ โผผินบินร่อนไปเป็นกลุ่มๆ. ก็เหมือนฝูงนกเหล่านั้น

                          บินไป บรรดานกเหล่านั้น คงมีสักตัวหนึ่งที่แตกฝูงไป เหยี่ยวย่อม

                          โฉบจับนกตัวนั้นได้ นี่เป็นคติของเสือโคร่งทั้งหลายโดยแท้.

             [๑๙๘๖] เสือโคร่งเป็นสัตว์มีเขี้ยว ถูกชฎิลผู้หยาบช้า เห็นแก่อามิสปลุกใจให้

                          ฮึกเหิม สำคัญว่าจะทำได้เหมือนเมื่อครั้งก่อน จึงวิ่งเข้าไปในฝูงสุกรผู้มี

                          เขี้ยว.

             [๑๙๘๗] ญาติทั้งหลายมีมากด้วยกัน ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ ถึงต้นไม้ทั้งหลาย

                          ที่เกิดในป่า ก็เหมือนกัน สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันเข้า ฆ่าเสือโคร่ง

                          เสียได้ เพราะประพฤติร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.

             [๑๙๘๘] สุกรทั้งหลายช่วยกันฆ่าพราหมณ์ และเสือโคร่ง ทั้ง ๒ ได้แล้ว ต่าง

                          ร่าเริงบันเทิงใจ พากันบันลือสัททสำเนียงเสียงสนั่น.

             [๑๙๘๙] สุกรเหล่านั้นมาประชุมพร้อมกันที่โคนต้นมะเดื่อ อภิเษกตัจฉกสุกรด้วย

                          คำว่า ท่านเป็นราชา เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของพวกเรา.

จบ 

ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ ตัจฉกสูกรชาดก     ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  19  ขุททกนิกาย  ชาดก  ปกิณณกนิบาตชาดก

การวิเคราะห์ตัจฉกสูกรชาดกในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ ตัจฉกสูกรชาดก เป็นชาดกหนึ่งในขุททกนิกาย ปกิณณกนิบาต ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 เนื้อหาของชาดกนี้กล่าวถึงสุกรที่รวมพลังกันต่อสู้กับศัตรูที่คุกคาม ซึ่งสามารถนำมาอธิบายในเชิงพุทธสันติวิธีเพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักธรรมที่สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและสังคมร่วมสมัยได้

1. สาระสำคัญของตัจฉกสูกรชาดก เรื่องราวของชาดกนี้เริ่มต้นจากตัจฉกะ สุกรตัวหนึ่งที่พบหมู่ญาติและตั้งใจจะพำนักอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทว่าหมูตัวอื่นแจ้งให้ทราบถึงศัตรูที่เป็นพญาเสือซึ่งคอยทำร้ายหมูที่อ้วนพี ตัจฉกะจึงเสนอแนวคิดว่าหากพวกมันรวมพลังกันก็จะสามารถกำจัดเสือโคร่งได้ และในที่สุดสุกรทั้งฝูงก็ร่วมมือกันต่อสู้กับเสือโคร่งจนได้รับชัยชนะ ทั้งยังปราบพราหมณ์ผู้เป็นต้นเหตุของการยุยงเสือได้สำเร็จ จากนั้นตัจฉกะได้รับการอภิเษกเป็นราชาของเหล่าสุกร

2. พุทธสันติวิธีที่สะท้อนในตัจฉกสูกรชาดก พุทธสันติวิธีเป็นแนวทางแห่งสันติภาพที่ตั้งอยู่บนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับบริบทของชาดกนี้ได้ ดังนี้

2.1 ความสามัคคี (สามัคคีธรรม) เนื้อเรื่องของตัจฉกสูกรชาดกเน้นย้ำถึงพลังของความสามัคคี ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำในหลายพระสูตร เมื่อหมูแต่ละตัวกระจัดกระจาย ต่างตัวต่างเอาตัวรอด ศัตรูก็สามารถเอาชนะได้โดยง่าย แต่เมื่อพวกมันร่วมแรงร่วมใจกัน กลับสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าได้

2.2 การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา (ปัญญาธิกะสันติวิธี) ตัจฉกะใช้สติปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์และแนะนำให้พวกหมูรวมพลังกันแทนที่จะหลบหนี ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ใช้หลักเหตุและผล มิใช่อารมณ์หรือความหวาดกลัว

2.3 การป้องกันตนเองโดยสันติ (อหิงสาสันติวิธี) แม้หมูจะรวมตัวกันต่อสู้กับเสือ แต่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการรุกราน หากแต่เป็นการป้องกันตนเองจากภัยคุกคาม ซึ่งเป็นแนวคิดของอหิงสา (การไม่เบียดเบียน) ในบริบทของการรักษาความสงบสุขของหมู่คณะ

2.4 การกำจัดต้นเหตุแห่งปัญหา (สมุทัยและนิโรธในอริยสัจ 4) ชาดกแสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ต้องกำจัดเสือซึ่งเป็นศัตรูโดยตรง แต่ยังต้องกำจัดพราหมณ์ผู้ปลุกปั่นเสือด้วย ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดการกำจัดสมุทัย (ต้นเหตุของทุกข์) เพื่อให้เกิดนิโรธ (ความดับทุกข์) อย่างแท้จริง

3. การประยุกต์ใช้หลักธรรมจากตัจฉกสูกรชาดกในสังคมปัจจุบัน

3.1 การบริหารองค์กรและภาวะผู้นำ เรื่องราวของตัจฉกะสะท้อนถึงภาวะผู้นำที่ดีในองค์กร ซึ่งต้องใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาและปลูกฝังความสามัคคีให้กับสมาชิกในทีม เมื่อนำมาใช้ในองค์กร ผู้นำควรส่งเสริมความร่วมมือและสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อเอาชนะอุปสรรค

3.2 การสร้างสันติภาพในสังคม หลักการรวมพลังเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างมีสติสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสังคมโดยรวม เช่น การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชุมชนหรือระหว่างประเทศโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่ใช้สติปัญญาและความร่วมมือเป็นหลัก

3.3 การศึกษาและการพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์ ตัจฉกะเป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความคิดเชิงวิเคราะห์และกล้าเสนอแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหา การศึกษาสามารถนำหลักการนี้ไปพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ในนักเรียนและนักศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญกับปัญหาในชีวิตจริง

บทสรุป ตัจฉกสูกรชาดกเป็นชาดกที่สะท้อนถึงคุณค่าของความสามัคคี ปัญญา และการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ซึ่งสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันและสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดี หลักธรรมเหล่านี้เป็นแนวทางที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสันติสุขในระดับบุคคล องค์กร และสังคมโดยรวม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปัญจวัคคีย์: โปลิตบูโรแห่งพุทธศาสนายุคต้น

วิเคราะห์ถอดบทเรียนจากธัมเมกขสถูปสารนาถ: ปัญจวัคคีย์ “โปลิตบูโร” แห่งพุทธศาสนายุคต้น บทนำ: พาราไดม์ใหม่แห่งการบริหารจัดการองค์กรสงฆ์ในพุทธกา...