วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พัฒนาการสื่อสารผู้สูงวัย ยุคเอไอปริบทพุทธสันติวิธี


การพัฒนาการสื่อสารของผู้สูงอายุในยุคเอไอ ควรตั้งอยู่บนหลักการของพุทธสันติวิธี เพื่อสร้างสังคมที่สมดุลทั้งในมิติทางเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ.

ความเป็นมาและสภาพปัญหา

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยในปี พ.ศ. 2574 คาดว่าประชากรผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนถึง 20% ของประชากรทั้งหมด การเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุสะท้อนถึงความสำเร็จของระบบสาธารณสุข แต่ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความท้าทาย โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาทักษะการสื่อสารที่เหมาะสมกับยุคเอไอ ซึ่งมีผลต่อสุขภาวะโดยรวมของผู้สูงอายุ

ในบริบทพุทธศาสนา การพัฒนาผู้สูงอายุถูกกล่าวถึงในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน เช่น คุณลักษณะของผู้สูงอายุที่มีความรู้และปัญญา ("รัตตัญญู") รวมถึงธรรมที่ช่วยส่งเสริมอายุยืน เช่น สัปปายการี (ทำสิ่งที่เอื้อต่อชีวิต) และพรหมจารี (ประพฤติพรหมจรรย์) อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในปัจจุบันคือการเชื่อมโยงหลักธรรมเหล่านี้กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เอไอ เพื่อพัฒนาสุขภาวะและทักษะการสื่อสารของผู้สูงอายุ

หลักการและอุดมการณ์

การพัฒนาการสื่อสารของผู้สูงอายุควรตั้งอยู่บนกรอบของ อริยสัจโมเดล ได้แก่

ทุกข์: ปัญหาด้านการสื่อสาร เช่น การขาดทักษะในการใช้เทคโนโลยี

สมุทัย: สาเหตุของปัญหา เช่น ความไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีหรือการขาดแหล่งเรียนรู้

นิโรธ: การสร้างสุขภาวะด้านการสื่อสารที่ช่วยให้ผู้สูงอายุเชื่อมโยงกับสังคม

มรรค: วิธีการพัฒนาผ่านการบูรณาการพุทธธรรมและเทคโนโลยี

อุดมการณ์สำคัญคือการสร้างความสมดุลระหว่าง การใช้เทคโนโลยี และ การยึดมั่นในพุทธวิถี โดยให้ความสำคัญกับ “กอน อยู่ ดู ฟัง” เพื่อพัฒนาความเข้าใจและการอยู่ร่วมในสังคม

วิธีการและแผนยุทธศาสตร์

การพัฒนาการสื่อสารของผู้สูงอายุควรดำเนินการในรูปแบบ โมดูล 6 ด้าน ได้แก่

พัฒนาคุณลักษณะผู้สูงอายุต้นแบบ: ฝึกอบรมการใช้เทคโนโลยีโดยเน้นความเข้าใจในระดับพื้นฐาน

พัฒนาสุขภาวะภายใน: ส่งเสริมสมาธิและสติผ่านการปฏิบัติธรรม

พัฒนาสุขภาวะภายนอก: จัดกิจกรรมสังคมออนไลน์เพื่อสร้างความสัมพันธ์

พัฒนาทักษะการสื่อสาร: สอนการใช้งานแพลตฟอร์มสื่อสาร เช่น Zoom หรือแอปพลิเคชันเพื่อผู้สูงอายุ

พัฒนาวิถีพุทธ “กอน อยู่ ดู ฟัง”: ปลูกฝังการใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติและสร้างสรรค์

พัฒนาภาวะผู้นำทางจิตวิญญาณ: ช่วยผู้สูงอายุเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

โครงการตัวอย่าง

โครงการพัฒนาผู้สูงอายุดิจิทัลวิถีพุทธ: การอบรมผู้สูงอายุในการใช้เอไอเพื่อการเรียนรู้ เช่น การใช้แชตบอตเพื่อสอบถามเรื่องธรรมะ

โครงการเชื่อมใจด้วยเทคโนโลยี: สร้างชุมชนออนไลน์สำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์

อิทธิพลต่อสังคมไทย

การพัฒนาการสื่อสารของผู้สูงอายุในบริบทพุทธสันติวิธีช่วยเสริมสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างวัย และ การมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในสังคมดิจิทัล นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการถูกทอดทิ้งและความเหงา สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้สูงอายุเป็นแบบอย่างที่ดีในครอบครัวและชุมชน

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ส่งเสริมการบูรณาการพุทธธรรมกับเทคโนโลยี: สนับสนุนโครงการที่ช่วยผู้สูงอายุใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม

พัฒนาระบบการศึกษาเพื่อผู้สูงอายุ: จัดหลักสูตรที่เหมาะสม เช่น การเรียนรู้ดิจิทัลในวิถีพุทธ

สร้างเครือข่ายผู้สูงอายุในสังคมดิจิทัล: ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นพื้นที่แบ่งปันความรู้และสนับสนุนสุขภาวะ


ความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงปริบทพุทธสันติวิธี


 
ความเป็นกลางทางการเมืองในบริบทของพุทธสันติวิธีไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากคนในสังคมมีความตั้งใจที่จะก้าวข้ามอคติและความแตกแยก แนวคิดและวิธีการที่เสนอโดยพรรคก้าวอิสระ รวมถึงการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนา สามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในสังคมไทยได้อย่างแท้จริง

บทนำ

ความเป็นกลางทางการเมืองในบริบทไทยถือเป็นแนวคิดที่มีความท้าทายในการปฏิบัติจริง ท่ามกลางความแตกต่างทางอุดมการณ์และความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกในสังคม บทความนี้จะวิเคราะห์แนวคิดเรื่องความเป็นกลางทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบพุทธสันติวิธี ซึ่งเน้นการใช้ความเมตตา ความกรุณา และความเข้าใจร่วมกันเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง

1. ความเป็นมาและสภาพปัญหา

ความแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยได้ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ แต่ยังทำลายความสามัคคีในครอบครัวและชุมชน นางสาวกชพร เวโรจน์ หัวหน้าพรรคก้าวอิสระ ได้ชี้ให้เห็นปัญหานี้ โดยกล่าวถึงการแบ่งสี แบ่งฝ่าย ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ พรรคก้าวอิสระได้เสนอตัวเป็นพื้นที่กลางสำหรับการรวมตัวของประชาชนที่ต้องการหลุดพ้นจากวังวนของความขัดแย้งเหล่านี้

2. หลักการและอุดมการณ์ในพุทธสันติวิธี

หลักการพื้นฐานของพุทธสันติวิธีสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการสร้างความเป็นกลางทางการเมือง ได้แก่:

อุเบกขา (Equanimity): การวางใจเป็นกลาง ไม่ยึดติดในความชอบหรือความชัง

กรุณา (Compassion): การมีเมตตาต่อทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติ

โยนิโสมนสิการ (Wise Reflection): การพิจารณาสถานการณ์ด้วยปัญญาเพื่อค้นหาทางออกที่ดีที่สุด

อุดมการณ์นี้เน้นการก้าวข้ามความแตกแยกด้วยการยอมรับในความหลากหลายทางความคิด โดยมองว่าความแตกต่างไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นโอกาสในการพัฒนาสังคมร่วมกัน

3. วิธีการและวิสัยทัศน์

วิธีการ

การสนทนาอย่างสร้างสรรค์ (Dialogue): การสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับการพูดคุยโดยปราศจากอคติ

การฝึกสมาธิและสติ: เพื่อเพิ่มความเข้าใจตนเองและผู้อื่น

การศึกษาเพื่อสันติภาพ: ส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งในทุกระดับ

วิสัยทัศน์

พรรคก้าวอิสระนำเสนอวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับพุทธสันติวิธี โดยเน้นการสร้างประชาธิปไตยที่จริงใจและยั่งยืน ผ่านการรับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างครอบคลุม

4. แผนงานและโครงการ

โครงการ “สร้างสันติในครอบครัว”: การฝึกอบรมสมาชิกในครอบครัวให้ใช้การพูดคุยอย่างสันติ

แผนงาน “ทุกสีคือสีเดียวกัน”: การจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงคนจากทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน

โครงการ “ประชาธิปไตยที่จริงใจ”: เวทีสาธารณะเพื่ออภิปรายประเด็นทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์

5. อิทธิพลต่อสังคมไทย

ความพยายามในการสร้างความเป็นกลางทางการเมืองผ่านพุทธสันติวิธี มีศักยภาพในการลดความขัดแย้งและเพิ่มความสามัคคีในสังคมไทย:

การสร้างวัฒนธรรมสันติภาพ: ความร่วมมือระหว่างกลุ่มที่แตกต่างกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

การเสริมสร้างคุณภาพชีวิต: การลดความขัดแย้งนำไปสู่การพัฒนาในมิติอื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจและการศึกษา

การพัฒนาการเมืองที่ยั่งยืน: การเน้นความโปร่งใสและความจริงใจในระบบการปกครอง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ส่งเสริมการศึกษาเรื่องสันติภาพในทุกระดับ: เพื่อปลูกฝังความเข้าใจในหลักการความเป็นกลางและการจัดการความขัดแย้ง

สนับสนุนการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงผู้คนจากทุกฝ่าย: เช่น การแข่งขันกีฬาและงานอาสาสมัคร

ปรับปรุงกระบวนการประชาธิปไตยให้เปิดกว้าง: เช่น การจัดประชุมสาธารณะเพื่อหารือปัญหาโดยปราศจากการแบ่งแยก


“โรงพยาบาล-เลี้ยงเด็กกำพร้า-บวชสามเณร” กฐินวัดพระธรรมกาย สังคมสงเคราะห์ในประเทศอินเดีย


วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 พระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กล่าวว่า ช่วงเทศกาลทอดกฐินสามัคคีที่ผ่านมา วัดพระธรรมกาย มูลนิธิธรรมกาย และคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้บูชาธรรม 80 ปี หลวงพ่อธัมมชโย ด้วยการร่วมทอดกฐิน 30,000 วัดทั่วไทย และทอดกฐินนานาชาติ 21 ประเทศ 500 กว่าวัดในภูมิภาคต่าง ๆ เฉพาะในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นดินแดนพุทธภูมิ ต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา ได้ถวายกฐิน จำนวนกว่า 50 วัด ใน 5 รัฐ ได้แก่ รัฐมหาราช, รัฐพิหาร, รัฐอุตรประเทศ, รัฐมัธยประเทศ และรัฐเวสเบงกอล

ทั้งนี้ จตุปัจจัยไทยธรรมที่เป็นบริวารกฐิน ส่วนใหญ่นำไปสร้างและทำนุบำรุงเสนาสนะ ศาสนสถาน อาคารสถานที่ และเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในวัดนานัปการ นอกจากนี้ ที่น่าปลื้มใจ ในส่วนการประสานงานของ พระพรชัย พลวธมฺโม, ดร. ประธานเครือข่ายองค์กรพุทธโลก มีวัดที่นำปัจจัยไปสนับสนุนงานสังคมสงเคราะห์ที่วัดนั้น ๆ ได้ทำ อาทิ สร้างโรงพยาบาล เลี้ยงเด็กกำพร้า ดูแลเยาวชนให้โอกาสบวชเรียนเป็นสามเณร ดังนี้ 

ในส่วนของ วัดสันตินิเกตัน ประเทศอินเดีย นำไปจัดสร้างโรงพยาบาลสำหรับชุมชน ณ Santiniketan Temple & Santiniketan Ambedga Buddhist welfare mission  จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โดย พระวินัยยะสิริ มหาเถโร (Binaysree Maha Thero) อายุ 65 ปี 45 พรรษา เจ้าอาวาส เป็นประธานสงฆ์กล่าวว่า “ขอบคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคณะลูกศิษย์ที่มาทอดกฐินถวายผ้ากฐินและบริวารกฐิน โดยปัจจัยจากบุญกฐินจะนำสร้างโรงพยาบาลเพื่อชุมชน เป็นที่พึ่งของพระและชาวบ้าน ขออวยพรให้หลวงพ่อธัมมชโยแข็งแรงๆ และปีหน้าขอให้ชาววัดพระธรรมกายมาทอดกฐินอีก” สำหรับวัดสันตินิเกตัน เป็นวัดที่ทำกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี มีศาสนสถานสำคัญ 10 กว่าแห่ง อาทิ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ศาลาปฏิบัติธรรม ห้องนั่งสมาธิ พระสถูป พระเจดีย์ พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ อาคารผู้สูงอายุ อนุสาวรีย์ผู้วายชนม์ ต้นโพธิ์ตรัสรู้ธรรม เป็นต้น และชุมชนนี้ ยังเป็นสถานที่ บ้านเกิดของ รพินทรนาถ ฐากูร นักปรัชญาชื่อดังของอินเดีย ฯลฯ ทั้งนี้ สำหรับปัจจัยบริวารกฐิน ในครั้งนี้ท่านได้นำไปใช้โครงการ โรงพยาบาลสำหรับชุมชน (Hospital for Santiniketan Community) ซึ่งจัดสร้างอยู่ในบริเวณวัด โดยในวันฉลองกฐินได้ทำพิธีวางศิลาเริ่ม (Foundation Stone) โดยคณะสงฆ์และคณะเจ้าภาพจากเมืองไทย รวมทั้งชุมชนมาร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก

ด้าน วัดสิทธัตถะ เมืองกัลกัตตา รัฐเบงกอลตะวันตก จัดในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2567 โดย มีคณะสงฆ์นานาชาติร่วมงาน 10 ประเทศ นำโดย ท่านพระพุทธปิยะ มหาเถโร อายุ 65 ปี พรรษา 44 เจ้าอาวาสเป็นประธานในพิธี ท่านกล่าวว่ารู้สึกภาคภูมิใจ และปลื้มใจมาก ๆ ที่คณะผู้แทนมูลนิธิธรรมกาย มาทอดกฐินที่นี่ ตัวท่านเองเคยมาอยู่ศึกษาเรียนรู้ที่วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย ประมาณ  1 ปี ในปี พ.ศ. 2532 โดยพักอยู่ที่กุฏิหลังคาจาก รู้สึกประทับใจมาก ๆ ในคำสอนของทั้งหลวงพ่อธัมมชโย และ หลวงพ่อทัตตะชีโว โดยเฉพาะการนั่งสมาธิตามเส้นทางสายกลาง (Middle Way) ด้วยวิธีการนึกนิมิตเป็นดวงแก้วและภาวนา “สัมมาอะระหัง” ซึ่งเข้าใจและปฏิบัติได้ง่ายแต่ได้ผล ส่วนการทอดกฐินในปีนี้มีงานถึง 3 วัน เพื่อประชาสัมพันธ์ ถึงคณะที่มาจากประเทศไทย ท่านได้นิมนต์พระภิกษุนานาชาติจากพุทธคยาร่วมงาน 10 ชาติ กว่า 30 รูป ทั้งพระภิกษุชาวไทย, เวียดนาม , เมียนมา , กัมพูชา, มองโกเลีย , ธิเบต, ภูฏาน, อินเดีย , เนปาล, บังกลาเทศ ทั้งนี้ ท่านพระพุทธปิยะ มหาเถโร เป็นเลขาธิการองค์กร Bharati Sangharaja Bhikkhu Mahasapha (สังฆราชาภิกษุมหาสภาแห่งอินเดีย) มีสมาชิกเป็นวัดต่างๆ ในอินเดีย เป็นสมาชิก กว่า 100 วัด ทั้งใน รัฐเบงกอลตะวันตก และ รัฐอุตตรประเทศ และท่านได้ตั้งองค์กร SUSWM หรือ Siddhart United Social Welfare Mission เพื่อทำงานควบคู่กันไปกับการเผยแผ่ธรรมะและงานสังคมสงเคราะห์ โดยเฉพาะวัดท่าน ซึ่งเป็นอาคารตึกแฝด 5ชั้น เพื่อดูแลเด็กกำพร้า ประมาณ 100 คนอีกด้วย และในระหว่างงานท่านได้กล่าวถึงวัดพระธรรมกายกว่า 20 ครั้ง ด้วยความปลื้มใจ รวมถึงบนประรำพิธีทอดกฐิน ท่านได้ติดรูปขนาดใหญ่ของทั้งหลวงพ่อธัมมชโย หลวงพ่อทัตตชีโว คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง คณะสงฆ์จากวัดพระธรรมกาย และอุบาสก อุบาสิกา ที่มาร่วมพิธีด้วย 

ส่วน วัดพุทธรัตนางกูร พิหาร เมืองกัลกัตตา (Bouddha Ratnangkur Bihar) โดยมีหลวงพ่อ พระกิตติรัตนะ มหาเถโร อายุ 68 ปี พรรษา 24 เป็นเจ้าอาวาสเป็นประธานสงฆ์ วัดท่านได้ช่วยเหลือเยาวชนให้ได้มีโอกาสบวชสามเณรและศึกษาธรรมะ เป็นการสร้างศาสนทายาทและสืบอายุพระพุทธศาสนา โดยมีสามเณรอยู่ในความดูแลกว่า 30 รูป จัดกิจกรรมทอดกฐิน 3 วัน มีจุดทอผ้าจีวร จากชนเผ่าจักมา ซึ่งมีชื่อเสียงด้านทอผ้า มานั่งทอผ้าด้วยกี่ภายในงานถึง 4 เครื่อง มีผู้ร่วมงานกว่า 7,000 คน 

“ปีนี้ คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ตั้งใจบูชาธรรม 80 ปี หลวงพ่อธัมมชโย ด้วยการทอดกฐินสามัคคีในประเทศไทย 30,000 วัด และส่งผู้แทนทอดกฐินสมทบนานาชาติ ใน 21 ประเทศ กว่า 500 วัด ได้แก่ เมียนมา 193 วัด  ลาว 91 วัด  อินเดีย 50 วัด บังคลาเทศ 32 วัด เวียดนาม 27 วัด กัมพูชา 24 วัด เนปาล 15 วัด มาเลเซีย 11 วัด อังกฤษ 11 วัด อเมริกา 8 วัด จีน 7 วัด ออสเตรเลีย 4 วัด ฝรั่งเศส 2 วัด อินโดนีเซีย 1 วัด ญี่ปุ่น 1 วัด นิวซีแลนด์ 1 วัด นอร์เวย์ 1 วัด เนเธอร์แลนด์ 1 วัด เยอรมัน 1 วัด และสวิสเซอร์แลนด์ 1 วัด เพื่อร่วมบุญกับกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาของทุกวัด เป็นการทำนุบำรุงและสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เกิดความสามัคคี มั่นคง ยั่งยืน สถาพรสืบไป ดังพุทธพจน์ที่ว่า สุขา สังฆัสสะ สามัคคี ความพร้อมเพรียงของหมู่ ทำให้เกิดความสุข” พระครูสมุห์สนิทวงศ์ กล่าว


เพลง: ทาน วิเคราะห์ทานในปริบทพุทธสันติวิธี: ความเป็นมาและสภาพปัญหาหลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการ อิทธิพลต่อสังคมไทย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย


คลิกฟังเพลงที่นี่
วิเคราะห์ทานในปริบทพุทธสันติวิธี: ความเป็นมาและสภาพปัญหาหลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการ อิทธิพลต่อสังคมไทย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

บทนำ
การให้ทาน (Dāna) เป็นหลักการสำคัญในพระพุทธศาสนา ที่ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเมตตาและกรุณา แต่ยังเป็นรากฐานของการสร้างสันติภาพในสังคม การวิเคราะห์การให้ทานในปริบทของพุทธสันติวิธี (Buddhist Peacebuilding) เป็นการมองว่าแนวทางนี้สามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสังคมและสร้างสันติภาพในประเทศไทยได้อย่างไร

ความเป็นมาและสภาพปัญหา
การให้ทานมีบทบาทสำคัญในพุทธศาสนามาตั้งแต่พุทธกาล โดยถูกมองว่าเป็นการปลูกฝังความเสียสละ การลดอัตตา และการเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกในชุมชน อย่างไรก็ตาม ในบริบทปัจจุบัน การให้ทานบางครั้งถูกลดทอนความหมายให้เป็นเพียงกิจกรรมเชิงวัตถุนิยม เช่น การบริจาคเพื่อหวังผลประโยชน์ทางสังคม หรือการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด สิ่งนี้ทำให้แนวคิดของการให้ทานสูญเสียพลังในการสร้างสันติภาพที่แท้จริง

หลักการและอุดมการณ์
ในปริบทของพุทธสันติวิธี การให้ทานไม่ได้หมายถึงเพียงการให้สิ่งของ แต่รวมถึงการให้เวลา ความรู้ ความเข้าใจ และความเมตตา โดยมีหลักการสำคัญดังนี้:

1. การลดอัตตา: การให้ทานเป็นวิธีลดความยึดมั่นในตัวตน


2. การสร้างความสมานฉันท์: การให้ทานช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน


3. การเสริมสร้างความยั่งยืน: การให้ทานที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสและการพึ่งพาตนเอง



วิธีการและแผนยุทธศาสตร์
การประยุกต์ใช้การให้ทานในเชิงพุทธสันติวิธีสามารถดำเนินการได้ผ่านกระบวนการดังนี้:

1. การสร้างความตระหนักรู้: ให้ความรู้เกี่ยวกับการให้ทานในมิติที่ลึกซึ้ง


2. การส่งเสริมกิจกรรมชุมชน: เช่น โครงการแลกเปลี่ยนความรู้ในชุมชน


3. การส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง: การให้ทานที่ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง เช่น โครงการธนาคารเมล็ดพันธุ์


4. การสร้างเครือข่ายสันติวิธี: ผนึกกำลังองค์กรพุทธและชุมชนในท้องถิ่น



โครงการที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างโครงการที่สามารถส่งเสริมการให้ทานในบริบทพุทธสันติวิธี:

โครงการธนาคารเวลา: ให้บริการแลกเปลี่ยนทักษะและบริการ

โครงการการศึกษาเพื่อสันติภาพ: ส่งเสริมการให้ความรู้และการพัฒนาทักษะชีวิต

โครงการตลาดชุมชนยั่งยืน: สนับสนุนการซื้อขายสินค้าชุมชนอย่างเป็นธรรม


อิทธิพลต่อสังคมไทย
การให้ทานในปริบทพุทธสันติวิธีส่งผลกระทบในหลายมิติ:

1. มิติทางเศรษฐกิจ: สร้างชุมชนพึ่งพาตนเอง


2. มิติทางสังคม: ลดความขัดแย้งในชุมชนและเสริมสร้างความสามัคคี


3. มิติทางจิตใจ: ส่งเสริมความเมตตาและการลดอัตตาในบุคคล



ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

1. ส่งเสริมการศึกษาเรื่องการให้ทานในมิติพุทธสันติวิธี ผ่านหลักสูตรการศึกษาระดับพื้นฐานและอุดมศึกษา


2. สนับสนุนโครงการที่ใช้การให้ทานเพื่อเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง


3. สร้างนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ที่เน้นการให้ทานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน


4. ผนึกกำลังองค์กรพุทธและรัฐบาล เพื่อจัดตั้งโครงการสันติวิธีในชุมชน

บทสรุป
การให้ทานในปริบทพุทธสันติวิธีเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการสร้างสันติภาพและความยั่งยืนในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม การนำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติจำเป็นต้องมีการวางแผนยุทธศาสตร์และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้เพื่อให้การให้ทานกลับมามีคุณค่าและพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง
ชื่อเพลง: "ทานสันติวิธี"

ทำนอง: ลูกทุ่งเชิงสร้างแรงบันดาลใจ

(ท่อน 1)
ยื่นมือแบ่งปันด้วยใจศรัทธา
พลังแห่งทานนำพาสันติสุข
น้ำใจหลั่งไหล ดั่งสายลมปลุก
ทุกข์จางหายไป ใต้ร่มธรรม

(ท่อน 2)
ทานไม่ใช่เพียง สิ่งของในมือ
แต่คือความเชื่อ เมตตาล้ำลึก
มอบเวลาให้ ความเข้าใจสื่อ
เติมรอยยิ้มให้ โลกงดงาม

(สร้อย)
ทานคือแสงสว่างนำทางใจ
หลอมรวมหัวใจให้ใกล้ชิดกัน
ลดอัตตา เปี่ยมเมตตาทุกคืนวัน
สร้างสันติในใจ ปลดทุกข์ทั้งปวง

(ท่อน 3)
ชุมชนเข้มแข็ง ด้วยแรงแห่งทาน
ธนาคารเวลา เชื่อมสัมพันธ์
ตลาดยั่งยืน ทุกคนแบ่งปัน
เติมฝันวันใหม่ ให้สังคม

(ท่อน 4)
เศรษฐกิจพอเพียง ยืนเคียงพุทธธรรม
สร้างทางชี้นำ สู่ความร่มเย็น
ทานไม่ใช่เพียง วัตถุจำเป็น
แต่คือหัวใจ ที่ให้จากใจ

(สร้อย)
ทานคือแสงสว่างนำทางใจ
หลอมรวมหัวใจให้ใกล้ชิดกัน
ลดอัตตา เปี่ยมเมตตาทุกคืนวัน
สร้างสันติในใจ ปลดทุกข์ทั้งปวง

(ท่อนจบ)
ทานคือพลัง นำทางสังคมไทย
เปลี่ยนความยากไร้ เป็นความสดใส
หากเราร่วมกัน ด้วยทานที่ยิ่งใหญ่
โลกนี้จะกลาย เป็นดินแดนสันติภาพ

(ซ้ำสร้อยอีกครั้งก่อนจบ)




เพลง ตื่นบุญ วิเคราะห์บุญในปริบทพุทธสันติวิธี: ความเป็นมาและสภาพปัญหาหลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการ อิทธิพลต่อสังคมไทย และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

คลิกฟังเพลงที่นี่

วิเคราะห์บุญในปริบทพุทธสันติวิธี: ความเป็นมาและสภาพปัญหาหลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการ อิทธิพลต่อสังคมไทย และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

บทนำ
“บุญ” ในบริบทของพุทธศาสนาไทยไม่ได้หมายถึงเพียงการกระทำที่นำไปสู่ความสุขส่วนตนในภพหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ส่งเสริมพุทธสันติวิธี ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างความสงบสุขในสังคมโดยอิงหลักการทางพุทธศาสนา บทความนี้จะวิเคราะห์แนวคิดเรื่องบุญในมิติของพุทธสันติวิธี โดยพิจารณาความเป็นมา สภาพปัญหา หลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการที่เกี่ยวข้อง และอิทธิพลที่เกิดขึ้นในสังคมไทย พร้อมทั้งเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาการใช้แนวคิดบุญในพุทธสันติวิธี

ความเป็นมา
แนวคิดเรื่องบุญมีรากฐานจากคำสอนในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะในหมวดว่าด้วย “บุญกิริยาวัตถุ 10” ซึ่งเน้นการกระทำที่ส่งผลดีทั้งต่อจิตใจของผู้กระทำและต่อสังคมในวงกว้าง ในบริบทของสังคมไทย บุญไม่ได้ถูกมองเพียงในแง่ศาสนพิธี แต่ยังผูกพันกับการสร้างความสามัคคี การช่วยเหลือเกื้อกูล และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชุมชน

สภาพปัญหา
แม้ว่าการทำบุญจะมีบทบาทสำคัญในสังคมไทย แต่ในบางกรณีแนวปฏิบัติกลับเบี่ยงเบนไปจากหลักการดั้งเดิม เช่น การมุ่งเน้นที่ผลตอบแทนทางวัตถุหรือความเชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์แทนที่จะเป็นการพัฒนาจิตใจและสังคม ปัญหาดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดความเข้าใจในมิติของบุญที่เกี่ยวข้องกับพุทธสันติวิธี

หลักการ
พุทธสันติวิธีเน้นการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรง โดยอาศัยหลักธรรม ได้แก่
1. เมตตา: การมุ่งสร้างความปรองดอง
2. กรุณา: การช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหา
3. อุเบกขา: การมีจิตมั่นคงเมื่อเผชิญความขัดแย้ง
4. สมานฉันท์: การเคารพในความหลากหลาย

อุดมการณ์
อุดมการณ์ของบุญในพุทธสันติวิธีคือการส่งเสริมความยุติธรรมและความเสมอภาคในสังคมผ่านการพัฒนาจิตใจและการกระทำที่เน้นผลประโยชน์ส่วนรวม อุดมการณ์ดังกล่าวสามารถนำไปสู่สันติภาพอย่างยั่งยืน

วิธีการ
การนำแนวคิดบุญมาใช้ในพุทธสันติวิธีสามารถแบ่งออกเป็นหลายวิธี ได้แก่
1. การศึกษา: ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับบุญและพุทธสันติวิธี
2. การปฏิบัติธรรม: การฝึกสมาธิและเจริญปัญญาเพื่อสร้างความสงบในจิตใจ
3. กิจกรรมชุมชน: การจัดโครงการช่วยเหลือและพัฒนาในชุมชน
4. การเจรจา: ใช้หลักธรรมเพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง

แผนยุทธศาสตร์
การพัฒนาแนวคิดบุญในพุทธสันติวิธีควรมีแผนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เช่น
1. การส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์: ให้เป็นผู้นำในการเผยแผ่พุทธสันติวิธี
2. การสร้างเครือข่ายชุมชน: เพื่อสนับสนุนกิจกรรมบุญที่มุ่งสร้างสันติภาพ
3. การบูรณาการกับภาครัฐและองค์กรเอกชน: ในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน

โครงการที่เกี่ยวข้อง
โครงการที่สะท้อนการใช้บุญในพุทธสันติวิธี เช่น
โครงการ “บวชป่า” เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม
การสร้างชุมชนพึ่งพาตนเองตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

อิทธิพลต่อสังคมไทย
แนวคิดบุญในพุทธสันติวิธีส่งผลต่อสังคมไทยในหลายมิติ เช่น
1. การสร้างความปรองดอง: ลดความขัดแย้งในชุมชน
2. การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน: ผ่านกิจกรรมบุญที่สนับสนุนความร่วมมือ
3. การพัฒนาจิตใจ: ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในสังคม

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
1. การบูรณาการบุญในระบบการศึกษา: เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธสันติวิธีในหลักสูตร
2. การสนับสนุนงบประมาณ: สำหรับโครงการที่ใช้บุญในการสร้างสันติภาพ
3. การจัดตั้งศูนย์พุทธสันติวิธี: เพื่อวิจัยและพัฒนาแนวทางที่สอดคล้องกับสังคมไทย

บทสรุป
บุญในปริบทพุทธสันติวิธีเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสันติภาพในสังคมไทย การวิเคราะห์แนวคิดดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความเข้าใจในหลักการและการนำไปปฏิบัติอย่างเป็นระบบ เพื่อให้บุญเป็นปัจจัยที่นำไปสู่สังคมที่สงบสุขและยั่งยืน

บุญในพุทธสันติวิธี

(ทำนอง: ลึกซึ้ง อบอุ่น นุ่มนวล)

(ท่อน 1)
แสงแห่งบุญนำทางใจ สายธารใสพาใจสงบ
เมตตานำ ความรักกลบ ความขัดแย้งจางหายไป
กรุณาแผ่ไกล อ้อมใจอบอุ่น
อุเบกขาเป็นทุน สร้างทางสู่สันติธรรม

(ท่อน 2)
บุญไม่ใช่แค่คำสอน แต่คือสะพานที่พาเราก้าว
สู่ความหวัง สู่เรื่องราว ที่เราร่วมใจสร้างไป
ชุมชนเป็นหนึ่งเดียว โลกนี้สดใส
พุทธสันติวิธี พาชีวีคืนสู่ทางธรรม

(ท่อนฮุก)
บุญนำทางสร้างสันติ ทุกชีวิตคือสายใย
เติมรอยยิ้มให้หัวใจ ร่วมฝันใฝ่ในศรัทธา
เพียงแค่ใจเราเริ่มต้น บุญเป็นแรงผลักพลังพา
แผ่นดินนี้มีบุญค่า ร่วมรักษาสันติสุขไกล

(ท่อน 3)
บุญคือการให้ชีวิต คำอุทิศเพื่อโลกสมบูรณ์
สร้างชุมชน ร่วมบุญหนุน สู่เศรษฐกิจพอเพียง
แผนยุทธศาสตร์ บุญนำพาก้าว
เปลี่ยนทุกความปวดร้าว สู่สายธารแห่งศรัทธา

(ซ้ำฮุก)
บุญนำทางสร้างสันติ ทุกชีวิตคือสายใย
เติมรอยยิ้มให้หัวใจ ร่วมฝันใฝ่ในศรัทธา
เพียงแค่ใจเราเริ่มต้น บุญเป็นแรงผลักพลังพา
แผ่นดินนี้มีบุญค่า ร่วมรักษาสันติสุขไกล

(ท่อนจบ)
บุญในหัวใจเรา เก็บไว้เพื่อแบ่งปัน
พุทธสันติไม่สิ้นหวัง สานใจสร้างแสงแห่งบุญ



เพลง: ตัดฮัก วิเคราะห์ตัดรักในปริบทพุทธสันติวิธี: ความเป็นมา สภาพปัญหา หลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการ อิทธิพลต่อสังคมไทย และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ภาพจากแชทจีพีที
คลิกฟังเพลงที่นี่
วิเคราะห์ตัดรักในปริบทพุทธสันติวิธี: ความเป็นมา สภาพปัญหา หลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการ อิทธิพลต่อสังคมไทย และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

บทนำ
"ตัดรัก" ในบริบทของพุทธสันติวิธี ไม่ใช่การปฏิเสธความรักในความหมายทั่วไป แต่หมายถึงการหลุดพ้นจากความยึดติดและความทุกข์ที่เกิดจากความรักแบบโลกียะ การตัดรักในพุทธศาสนาเชื่อมโยงกับหลักการละกิเลสเพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้จริง (นิพพาน) บทความนี้วิเคราะห์การตัดรักในมุมมองของพุทธสันติวิธี โดยพิจารณาความเป็นมา สภาพปัญหา หลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ และผลกระทบต่อสังคมไทย รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ความเป็นมาของการตัดรัก
แนวคิดเรื่อง "ตัดรัก" มีรากฐานในพระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับ "ความรักที่ไม่บริสุทธิ์" ซึ่งมักนำไปสู่ความทุกข์ อาทิ ความรักแบบยึดมั่นถือมั่น (อุปาทานรัก) แนวคิดดังกล่าวเน้นการแปรเปลี่ยนความรักให้กลายเป็นเมตตาและกรุณาที่ไม่หวังผลตอบแทน
ในประวัติศาสตร์ไทย แนวคิดเรื่องการตัดรักปรากฏในวรรณกรรม เช่น นิพนธ์เรื่อง พระอภัยมณี และคำสอนของพระเกจิอาจารย์ เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่เน้นการละความยึดติดจากโลกภายนอกเพื่อความสงบสุขภายใน

สภาพปัญหา
1. ความยึดติดในความรักแบบโลกียะ: ความรักที่มุ่งหวังผลตอบแทนหรือการครอบครองนำไปสู่ความทุกข์ เช่น ความหึงหวง การทรยศ หรือความผิดหวัง
2. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการตัดรัก: คนส่วนใหญ่มักมองว่าการตัดรักคือการปฏิเสธความรักทั้งหมด ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์
3. การขาดสมดุลในชีวิตครอบครัวและสังคม: การยึดติดในรักอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวและการทำงาน

หลักการและอุดมการณ์
การตัดรักในพุทธสันติวิธีเน้นหลักการดังนี้:
1. การละอุปาทาน: ลดการยึดติดในรักแบบโลกียะ
2. การแปรเปลี่ยนความรักเป็นเมตตา: รักที่ปราศจากการครอบครอง
3. การเจริญสติ: มีสติกับความรู้สึกและอารมณ์ของตนเอง
4. การมองเห็นอนิจจัง: เข้าใจว่าความรักเป็นสิ่งไม่เที่ยง

วิธีการและแผนยุทธศาสตร์
1. การสอนธรรมะเกี่ยวกับความรัก: จัดอบรมหรือเสวนาเกี่ยวกับแนวคิดพุทธสันติวิธีในความรัก เช่น การฝึกสมาธิและวิปัสสนา
2. การเผยแพร่ผ่านสื่อ: ผลิตสื่อการเรียนรู้ที่เน้นเรื่องการลดความยึดติดในความรัก
3. การส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในวิถีชีวิต: เช่น การฝึกสติและสมาธิในชีวิตประจำวัน

อิทธิพลต่อสังคมไทย
1. สร้างความเข้าใจในความสัมพันธ์: การตัดรักช่วยลดความขัดแย้งในครอบครัวและสังคม
2. ส่งเสริมคุณค่าทางศีลธรรม: การรักโดยปราศจากการครอบครองช่วยสร้างสังคมที่มีเมตตา
3. พัฒนาสุขภาพจิต: การละความยึดติดช่วยลดปัญหาความเครียดและความทุกข์

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
1. บรรจุหลักการตัดรักในหลักสูตรการศึกษา: เพิ่มวิชาเกี่ยวกับการพัฒนาจิตใจในโรงเรียน
2. สนับสนุนศูนย์ปฏิบัติธรรม: ส่งเสริมการเข้าถึงศูนย์ปฏิบัติธรรมเพื่อการฝึกสมาธิ
3. สร้างเครือข่ายเผยแพร่แนวคิดพุทธสันติวิธี: ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรศาสนา

สรุป

การตัดรักในบริบทพุทธสันติวิธีเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากความรักแบบยึดติดไปสู่ความรักที่มีเมตตาและกรุณา หากนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ย่อมช่วยส่งเสริมความสงบสุขในจิตใจและสร้างสังคมไทยที่สมดุลและยั่งยืนในอนาคต
เพลง: ตัดรักสู่ใจสงบ

(ทำนอง: เนิบ นุ่ม ลึกซึ้ง)

[ท่อน 1]
จากกิเลสรัดรึงใจ
ปล่อยรักที่พันธนา
ละทิ้งทุกห่วงหา
สู่ทางแห่งแสงธรรม

ไม่ใช่ปฏิเสธรัก
แต่รักด้วยกรุณา
ไม่หวังสิ่งตอบมา
แค่เมตตาจากใจ

[ท่อน 2]
รักที่ยึดครองไว้
กลายเป็นทุกข์ที่เผาไหม้
ปล่อยมือเถิดก่อนไหว
เห็นอนิจจังของรักนั้น

ธรรมชาติไม่คงที่
รักก็แค่ผ่านมา
เมื่อเข้าใจลึกซึ้งว่า
ไม่มีอะไรเป็นของเรา

[ท่อนฮุก]
ตัดรักเพื่อพบทาง
ใจว่างที่สงบเย็น
รักด้วยใจไม่เป็นเชลย
ปล่อยทุกสิ่งจากพันธนา

ละกิเลสสู่โพธิธรรม
ตัดทั้งรักและความชัง
อยู่ธรรมดาในทางสงบ
พบสุขแท้ในใจตน

[ท่อน 3]
ในเส้นทางแห่งสติ
มองทุกสิ่งด้วยปัญญา
ทุกข์สุขนั้นผ่านมา
เป็นบทเรียนให้เข้าใจ

รักที่แท้ไม่ต้องยึด
เป็นเมตตาที่กว้างใหญ่
รักโดยไม่คาดหวังใด
คือรักที่ไม่ยึดติดเลย

[ท่อนฮุก – ซ้ำ]
ตัดรักเพื่อพบทาง
ใจว่างที่สงบเย็น
รักด้วยใจไม่เป็นเชลย
ปล่อยทุกสิ่งจากพันธนา

ละกิเลสสู่โพธิธรรม
ตัดทั้งรักและความชัง
อยู่ธรรมดาในทางสงบ
พบสุขแท้ในใจตน

[ท่อนจบ]
ตัดรักไม่ใช่หนี
แต่เรียนรู้ที่จะให้
ปล่อยใจที่ยึดติดไป
พบแสงธรรมในรักแท้.



มส. เห็นชอบแต่งตั้ง "หลวงปู่ศิลา" ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 ธรรมยุต รายงานผลการดำเนินงาน "หมู่บ้านรักษาศีล 5"


แนะประยุกต์ใช้ AI ในการเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาชุมชนไทยในทางที่ยั่งยืนและสันติสุข บนพื้นฐานของศีลธรรมและจริยธรรมในปริบทพุทธสันติวิธี ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสังคม

เมื่อวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2567  เวลา 14.00 น. ที่ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงลาการประชุม ทรงมีพระบัญชาให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นประธานในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 28/2567 โดยมีกรรมการมหาเถรสมาคมเข้าร่วม การนี้ นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กราบถวายเปิดการประชุม พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายสุพัฒน์ เมืองมัจฉา ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้แถลงข่าวการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 28 ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยมีวาระการประชุมมหาเถรสมาคม อาทิ

1.มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การเสนอแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) จำนวน 3 รูป ดังนี้ พระเทพวัชราภรณ์ (เฉลิม) ฉายา วีรธมฺโม อายุ 80 พรรษา 60 ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม (ธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดประชาบำรุง ตำบลตลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9(ธรรมยุต)

พระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา) ฉายา สิริจนฺโท อายุ 79 พรรษา 28 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหมื่นหิน ตำบลกุดปลาค้าว อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต)

พระญาณวิลาส (สงวน) ฉายา ปเทสโก อายุ 73 พรรษา 50 ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดป่าทรงธรรม ตำบลธงธานี อำเภอวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต)

2. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การเสนอแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด   3. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร (ธรรมยุต)   4. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง จำนวน 26 รูป และอนุมัติ การเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 2 รูป  5. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง พระภิกษุเดินทาวไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ จำนวน 3 รูป และอนุมัติ เรื่อง ขอส่งพระภิกษุไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ จำนวน 11 รูป

6. เรื่องเสนอเพื่อทราบ ที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีมติ ดังนี้  รับทราบ เรื่องรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด ในการประเมินส่วนราชการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2567 รับทราบ เรื่องถวายหนังสือ เรื่อง "ธรรมาภิธาน" พระนิพนธ์ สมด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร แด่มหาเถรสมาคม เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  รับทราบ เรื่องรายงานการขออนุญาตสร้างวัด เดือนมิถุนายน - กันยายน 2567 จำนวน 50 ราย รับทราบ เรื่องการจัดทำ (ร่าง) บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างสำนักงานยุติธรรม กับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

รับทราบ เรื่องรายงานผลการดำเนินงานโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้นำถวายหนังสือกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นที่เรียบร้อย

7. มติมหาเถรสมาคมเห็นชอบ เรื่อง ขอความเห็นชอบกำหนดวันประชุมมหาเถรสมาคม ประจำปี 2568  8. พิจารณาและอนุมัติ เรื่องการจัดการศาสนสมบัติ จำนวน 23 เรื่อง 

แนะประยุกต์ใช้เอไอเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าในปริบทพุทธสันติวิธี 

หมู่บ้านศีลห้าเป็นแนวทางในการสร้างความสงบสุขและความเป็นอยู่ที่ดีในชุมชนไทย โดยอิงหลักศีล 5 ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของพุทธศาสนา ที่เน้นการรักษาความประพฤติและคุณธรรมในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการพัฒนาหมู่บ้านศีลห้ากำลังกลายเป็นแนวทางใหม่ที่น่าสนใจเพื่อเสริมสร้างสังคมให้มีความสมานฉันท์และมั่นคงในระยะยาว บทความนี้จึงวิเคราะห์หลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการ และอิทธิพลของการใช้ AI ในปริบทพุทธสันติวิธีเพื่อการสร้างสังคมที่สงบสุข

1. หลักการและอุดมการณ์ของพุทธสันติวิธี

พุทธสันติวิธีมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสงบสุข โดยการยึดมั่นในศีลธรรมและหลักการปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนศีล 5 ได้แก่

การละเว้นจากการฆ่าสัตว์

การละเว้นจากการลักขโมย

การละเว้นจากการประพฤติผิดทางเพศ

การละเว้นจากการพูดเท็จ

การละเว้นจากการเสพสารเสพติด

เมื่อหลักศีล 5 ถูกนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับ AI การสร้างสังคมศีลธรรมและเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดีจึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น โดย AI สามารถทำหน้าที่ช่วยรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสร้างแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละชุมชน

2. วิธีการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้า

การนำ AI มาใช้ในกระบวนการพัฒนาหมู่บ้านศีลห้าจะต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจในประโยชน์ของเทคโนโลยี AI ซึ่งอาจครอบคลุมไปถึงการเฝ้าระวัง ป้องกันความขัดแย้ง การติดตามปัญหา และการเสนอแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม ตัวอย่างของวิธีการใช้ AI ได้แก่

ระบบการวิเคราะห์พฤติกรรม: AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของชุมชนผ่านข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านศีลห้า

การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการเรียนรู้และฝึกอบรม: แพลตฟอร์มที่ใช้ AI จะสามารถเสนอเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล ช่วยส่งเสริมความเข้าใจในศีล 5 และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

การสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน: การใช้ AI เพื่อสร้างระบบที่สามารถเชื่อมโยงคนในชุมชน เช่น ผ่านการสื่อสารออนไลน์ การทำกิจกรรมร่วมกัน และการประสานงานทางสังคม

3. แผนยุทธศาสตร์และโครงการ

แผนยุทธศาสตร์ในการใช้ AI เพื่อเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าควรครอบคลุมทั้งการพัฒนาทรัพยากรบุคคล การสร้างความเข้าใจในเทคโนโลยี AI และการนำมาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้บริบทของพุทธสันติวิธี แผนงานอาจประกอบด้วย

โครงการฝึกอบรม AI สำหรับชุมชน

โครงการพัฒนาระบบ AI ที่มุ่งเน้นด้านการเฝ้าระวังทางศีลธรรมและการส่งเสริมการเรียนรู้

โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อเสริมสร้างศีลธรรมในสังคม

4. อิทธิพลต่อสังคมไทย

การประยุกต์ใช้ AI ในการเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าจะมีผลกระทบอย่างสำคัญต่อสังคมไทย ได้แก่

การส่งเสริมความสมานฉันท์ในชุมชน: เมื่อ AI ถูกนำมาใช้ในการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาสังคม จะช่วยส่งเสริมความเข้าใจและการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์

การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน: การพัฒนาชุมชนผ่านหลักศีลธรรมจะช่วยเสริมสร้างรากฐานที่เข้มแข็งในการเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

การเพิ่มความตระหนักรู้ในศีลธรรมและจริยธรรม: AI จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้และการปฏิบัติที่สอดคล้องกับศีลธรรม ส่งเสริมการปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีและสันติ

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

สนับสนุนการพัฒนาความรู้ด้าน AI และการประยุกต์ใช้ในหมู่บ้านศีลห้า

พัฒนากลไกทางกฎหมายและจริยธรรมในการใช้ AI ให้มีความเหมาะสมกับบริบทของพุทธสันติวิธี

ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ เอกชน และชุมชนในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อเสริมสร้างสังคมสันติสุข


พัฒนาการสื่อสารผู้สูงวัย ยุคเอไอปริบทพุทธสันติวิธี

การพัฒนาการสื่อสารของผู้สูงอายุในยุคเอไอ ควรตั้งอยู่บนหลักการของพุทธสันติวิธี เพื่อสร้างสังคมที่สมดุลทั้งในมิติทางเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ. ควา...