วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568

ปรางจ๋า

 (Verse 1)

ปรางจ๋า ดวงตาคู่สวยใส

ยิ้มมาเมื่อไหร่ ใจฉันหวั่นไหว

เสียงเธอหวานดังลมพัดเบา

ฟังแล้วเคลิ้มฝันทุกคราว  

(Chorus)

ปรางจ๋า เธอคือดาวในใจ

ส่องแสงนำทางให้ฉันไม่หาย

อยู่เคียงข้างกันตลอดไป

ปรางจ๋า รักเธอไม่เคยคลาย  

 (Verse 2)

ปรางจ๋า เดินด้วยกันทุกวัน

จับมือเธอไว้ ไม่ให้ไกลหัน

โลกนี้สวยงามเมื่อมีเธอ

รักเธอสุดใจเสมอ  

(Chorus)

ปรางจ๋า เธอคือดาวในใจ

ส่องแสงนำทางให้ฉันไม่หาย

อยู่เคียงข้างกันตลอดไป

ปรางจ๋า รักเธอไม่เคยคลาย  


วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2568

"IBSC มจร" เป็นผู้นำด้านสตินวัตกรรม ใช้วิธีฝึกสติสมาธิแบบพุ่งเป้า เอาวิทยาศาสตร์ช่วยปรู๊ฟพุทธศาสตร์



เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568  ศาสตราจารย์ ดร. พระเมธีวัชรบัณฑิต (หรรษา ธมฺมหาโส)  เจ้าอาวาสวัดใหม่ กรุงเทพมหานคร   ผู้รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย "IBSC มจร"  เปิดเผยว่า ทุกครั้งที่ผู้ปฏิบัติยุคดิจิทัล เข้าโครงการปฏิบัติธรรม คอร์สภาวนาหรือฝึกจิต มักจะมีคำถามในเชิงวิทยาศาสตร์ว่า เราจะรู้ได้อย่างไร ทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติ สุขภาพจิต คุณภาพจิต และสมรรถนะภาพจิตของเราดีขึ้นอย่างไร และมีอะไรเป็นตัวชี้วัด



จากจุดเจ็บปวด (Painpoint) ดังกล่าว จึงทำให้วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานานาชาติ มจร จึงจัดทำโครงการวิจัยขึ้นมา โครงการวิจัยนี้เริ่มจึงการสัมภาษณ์พระวิปัสสนาจารย์ เช่น พระพรหมวัชรวิมลมุนี วิ.  พระครูภาวนาวราลังการ วิ. พระอาจารย์สมภาร สมภาโร พระครูภาวนาสารบัณฑิต และธรรมหรรษาภิกขุ เป็นต้น

สิ่งที่ถามจะมุ่งไปที่วิธีการปฏิบัติ ผลลัพธ์จากการปฏิบัติและวิธีการประเมินผ่านการสอบอารมณ์ หลังจากนั้น จึงนำไปออกแบบเป็นแนวทางการปฏิบัติ และผสมผสานวิธีประเมิน (Mixed Evaluation) กับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ของคณะเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้วิทยาศาสตร์มาช่วยปรู๊ฟพุทธศาสตร์



 ปัจจัยนำเข้า (Input) ประกอบด้วยสัปปายะหลายๆ ด้าน กล่าวคือวิปัสสนาจารย์ที่มีประสบการณ์สูง หลักสูตรการฝึก สถานที่ฝึก อาหาร บรรยากาศสิ่งแล้อม กระบวนการฝึก (Process) เดินตามแนวทางมหาสติปัฏฐานสูตร โดยใช้สติดูความเป็นไปของกาย เวทนา จิต และธรรม ผ่านการดูอิริยาบทย่อย (Miner Activities) ตลอดทั้งวัน การการฝึกแบบเป็นทางการผ่านการยืน เดิน นั่งกรรมฐาน จบด้วยการสอบอารมณ์ในแต่ละวัน



 ขณะที่วิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยเก็บข้อมูลผ่านการทำ Pre-Test  และ Post-Test โดยการตรวจน้ำลาย ตรวจความดัน ตรวจองค์ประกอบร่างกาย ตรวจเคลื่อนหัวใจและชีพจร และตรวจความเครียด ของผู้ปฏิบัติที่สนใจเข้าร่วมโครงการและรับการประเมิน

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผลการสอบอารมณ์ที่วิปัสสนาจารย์ได้ซักถามแนวทางปฏิบัติและผลการปฏิบัติ กับผลการตรวจผ่านเครื่องมือทางการแพทย์ ทั้ง 4 ด้าน พบว่า สอดรับกันอย่างมีนัยสำคัญ  จนทำให้วิปัสสนาจารย์ที่สอน และผู้ปฏิบัติพบเห็นความก้าวหน้าอย่างชัดเจน

ความก้าวหน้าอีกประการหนึ่ง คือ การนำเอาผลจากการสอบอารมณ์ และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาศึกษา เรียนรู้ (Learning) จนนำไปสู่การปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติรายบุคคล เพื่อให้เหมาะกับจริต รวมถึงการจัดวางหลักสูตร และสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อพฤติกรรมผู้ปฏิบัติมากยิ่งขึ้น 



"IBSC มจร จึงต้องขอบคุณทีมงานหลักสูตรสตินวัตกรรม และสันติศึกษา รวมถึงหลักสูตรประกาศนียบัตรครูสติ ทั้ง พระมหาวีรศักดิ์ อภินันทเวที ดร.นาฏนภางค์ โพธิ์ไพจิตร์ และ ดร.แม่นฤมล จิวัฒนาสุข  ที่ได้ช่วยกันผนึกกำลังกับคณะเมฝทคนิคการแพทย์ มหิดล จนสามารถผลิตงานสตินวัตกรรม แล้วนำไปตีพิมพ์ฐาน Scopus ให้ชาวต่างประเทศศึกษา เรียนรู้ และต่อยอดต่อไป"     พระเมธีวัชรบัณฑิต ระบุ

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568

"ผู้ว่าฯสมุทรสาคร" เปิดศูนย์พระเครื่องคาเฟ่แห่งแรก ริมคลองประปา จุดนัดพบคนรักพระ



มิติใหม่ของศูนย์พระเครื่อง  "นริศ นิรามัยวงศ์" ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานเปิด "Cafe' พระเครื่องฯ ริมคลองประปา" เป็นศูนย์พระสไตล์ที่แตกต่าง ในรูปโมเดิร์นร้านกาแฟกับศูนย์พระเครื่องเพื่อรับซื้อพระเครื่อเท่านั้น

สำหรับความเป็นมานั้น “ร้านว่าน 8 ทิศ” ชื่อนี้เป็นที่ประจักดีในหมู่นักสะสมพระสวยเจ้าของร้านเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่อัธยาศัยนอบน้อมพร้อมพูดคุยด้วยความยิ้มแย้มมีไมตรีเป็นสิ่งดีมีความเป็นมิตรมาก่อนเลยเขาชื่อ  “อำพล ชาเหลา” หรือ “เกรท ฟ้าประทานพร” เจ้าของร้านว่าน 8 ทิศ ร้านใหญ่บนห้างสรรพสินค้าพันธุ์ทิพย์งามวงศ์วานชั้น 3  

โดยเมื่ วันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา “อำพล ชาเหลา” ได้ฤกษ์เปิดศูนย์พระอีกแห่งในนาม "Cafe' พระเครื่อง" เป็นศูนย์พระแนวโมเดิ้ลสุดๆ ที่ตั้งริมคลองปะปา ก่อนจะถึงแยกศีรสมาน ประมาณ 700-800 เมตร 

ก่อนที่จะเข้าสู่วงการพระ "เกรท ฟ้าประทานพร” เริ่มจากเอาของเล่น เอารถบังคับวิทยุไปแลกพระ” จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ผ่านไป 20 ปีก่อน  วันนี้เชี่ยวชาญพระหลวงปู่ทิม อิสริโก หรือ พระครูภาวนาภิรัต  อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ อ. บ้านค่าย จ.ระยอง ในขั้นระดับเรียกว่า "เซียนพระหลวงปู่ทิม อิสริโก " 


 "ฟ้า ประทานพร" บอกว่า ไม่คิดมาก่อนว่าพระที่แลกนั้นจะมีค่า เพราะในครั้งนั้นต่างฝ่ายไม่รู้หลอกว่าพระนั้นแท้หรือมีค่ามากน้อยเท่าใด ฝ่ายหนึ่งชอบพระอีกฝ่ายหนึ่งชอบรถ ในจำนวนนี้จำได้ว่าเช่าพระหลวงปู่ทวดองค์หนึ่งมาในราคา 150  บาทเท่านั้น มาวันนี้ราคาอยู่ในหลักหลายหมื่นบาท

 อย่างไรก็ตาม เมื่อครั้งเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 1 มีเพื่อนให้พระหลวงปู่ทิม พร้อมกล่องในสภาพเดิมๆ จากวัด 3 องค์ ซึ่งเป็นพระกริ่งชุดชินบัญชร ทั้งนี้ได้นำไปให้เซียนพระที่พัทยาดู โดยเซียนเสนอราคาให้องค์ละ 10,000  บาท แต่ไม่ขาย เพราะรู้มาจากการอ่านหนังสือว่า กริ่งชินบัญชรมีการเช่ากันในราคาหลักแสนบาท จากนั้นมาทีศูนย์พระเซ็นทรัลบางนา

 ในครั้งนี้เซียนพระตื้อที่จะซื้อ โดยบอกราคาไปที่ 150,000  บาท ขณะเดียวกันก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าหลวงปู่เก่งจริงๆ ขอให้ผมขายได้ และผมจะหาหลวงปู่ที่สวยๆ กว่านี้มาแขวน” ให้หลังจากนั้นไม่นานเซียนพระเอาเงิน 150,000 บาท มาให้นับ

 “ในวันนั้นผมดีใจมาก แต่ดีใจอยู่ไม่กี่วันมารู้ภายหลังว่า เฉพาะกริ่งชินบัญชรองค์เดียวราคากว่า 300,000  บาท ส่วนอีก 3 องค์ ก็อยู่ในหลักแสน ผมกลายเป็นถูกตกควาย” "ฟ้า ประทานพร" กล่าว

  พร้อมกันนี้ "ฟ้า ประทานพร" ยังบอกด้วยว่า พุทธคุณพระหลวงปู่ทิมที่ทันท่านปลุกเสก ทั้งที่วัดระหารไร่ และนอกวัดล้วนมีพุทธคุณไม่ต่างกัน ที่สำคัญ คือ พระนอกวัด เช่น วัดบ่อวิน วัดกุดโง้ง ยังไม่แพงราคาอยู่ในหลักพันเท่านั้น ด้วยเหตุที่พระหลวงปู่ทิมมีพุทธคุณและค่านิยมทุกรุ่น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการทำปลอม แต่ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือ พระยิ่งแพงมากยิ่งเก๊ห่าง เพราะไม่มีต้นแบบไปทำปลอม


 จากประสบการณ์เล่นพระ "ฟ้า ประทานพร" ให้คำแนะนำว่า การเก็บพระแท้ที่สวยๆ ย่อมดีกว่าการฝากเงินไว้ในธนาคาร ที่สำคัญ คือ การล่นพระต้องเล่นให้ถูกทาง ถูกคน การเริ่มต้นเล่นพระต้องดูคนเล่นให้เป็นก่อน โดยส่วนตัวแล้วก่อนเล่นพระจะดูคนเล่นเป็นหลักก่อน เราถึงจะเล่นพระรอด ถ้าเล่นไม่ถูกทางเราจะเจ็บตัว ที่สำคัญ คือ เรามีสิทธิ์หมดตัว

 การเช่าพระหลวงปู่ทิมนั้น "ฟ้า ประทานพร" บอกว่า ถ้าพระสวยไม่จะเป็นพระอะไรรับเช่าทั้งหมด เพราะมองว่าของสวยมีคนต้องการมาก สามารถกำหนดราคาได้ ส่วนพระไม่สวยซื้อเมื่อไรก็ซื้อได้ ซื้อพระสวยซื้อพระแพงอนาคตดีกว่าแน่นอน 

ก่อนหน้านี้ได้เช่าพระชุดหลวงปู่ทิม จากคุณประกิต ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงหลวงปู่ทิม แบบเหมายกถาดราคาเกือบ 20  ล้านบาท เท่านั้น ส่วนพระหลวงปู่ทิมที่ขึ้นชื่อว่ามีค่านิยมสูงสุด คือ พระกริ่งชินบัญชร ทองคำ ค่านิยมสูงสุด มีการตั้งราคาไว้ที่เกือบ 30 ล้านบาท รองลงมา คือ เหรียญทองคำเจริญพร 2 มีการตั้งราคาไว้กว่า 10  ล้านบาท


  สำหรับประสบการณ์ “โดน” นั้น "ฟ้า ประทานพร" พูดไว้อย่างน่าคิดว่า จะเซียนเล็กเซียนใหญ่ล้วนมีประสบการณ์โดนกันทั้งสิ้น เซียนเล็กเจ็บแบบเซียนเล็ก เซียนใหญ่เงินหนาก็เจ็บแบบเซียนใหญ่ โดยล่าสุดโดนพระเหรียญห่วงเชื่อบล็อกธรรมดาในราคา 50,000  บาท โดยติดว่าถ้าแท้ขายได้กว่า 100,000 บาท ด้วยความอยากได้กำไรที่สุดก็กลายเป็นบทเรียนราคาแพด้วยความอยากได้กำไรที่สุดก็กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

 “ร้านว่าน 8 ทิศ” เปิดให้บริการตรวจเช็คพระฟรีทางไอดีไลน์  Ampol 2828 พระทุกประเภทองค์ไหนดูแท้ถูกใจให้ราคาสูงมากจะวิ่งเอาเงินสดไปจ่ายให้ถึงบ้านหรือจะนำพระของท่ามาให้ตรวจเช็คที่ร้านว่าน ๘ ทิศ ชั้น 3 พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วานก็ได้ โทร. 096 -4545456 

ติดตามชมวัตถุมงคลระดับสวยแชมป์ได้จาก เฟสบุ๊ค Ampol Chalao (เกรท ฟ้าประทานพร) และในเว็บไซต์ ท่าพระจันทร์ดอทคอม ร้านว่าน 8 ทิศ ชมภาพพิธีเปิดได้ที่ Cafe' พระเครื่องฯ...T.096-4545456 เปิดอย่างเป็นทางการ ผู้ว่าฯ จ.สมุทรสาคร "นายนริศ นิรามัยวงศ์"  https://youtu.be/PUhP_xL_QGs

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2568

แนะนำหนังสือนิยายอิงธรรมะ เรื่อง "พระยามิลินท์ยุคเอไอ"


 ดร.สมพงษ์,AIเรียบเรียง 

ฉาก: วัดนอกเมืองสาคละ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ มีเจดีย์เก่าแก่และต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น พระยามิลินท์สวมฉลองพระองค์เรียบง่าย ไม่มีเครื่องราชกกุธภัณฑ์ประดับกาย พระนาคเสนนั่งขัดสมาธิใต้ต้นโพธิ์ แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมา  


พระยามิลินท์: (ด้วยน้ำเสียงสงบแต่เต็มไปด้วยความตื่นตัว) “ท่านนาคเสน ตลอดการสนทนาของเราตั้งแต่เรื่องทุกข์ ตัณหา ไปจนถึงศีล สมาธิ และปัญญา ข้าพเจ้าได้เห็นหนทางที่ชัดเจนขึ้น คำสอนของท่านไม่เพียงลึกซึ้ง แต่ยังสามารถบูรณาการเข้ากับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ข้าพยายามนำมาปกครองเมืองสาคละ ข้าคิดว่ามันเป็นแนวปฏิบัติที่พสกนิกรของข้าสามารถใช้เพื่อชีวิตที่สันติสุขได้จริง ท่านเห็นด้วยหรือไม่?”
พระนาคเสน: (พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน) “พระองค์ผู้ทรงปัญญาเห็นแจ้ง การที่พระองค์เห็นความเชื่อมโยงระหว่างธรรมะและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง ธรรมะ—โดยเฉพาะมรรคมีองค์ 8—เป็นรากฐานของชีวิตที่สมดุลและเพียงพอ เช่นเดียวกับที่ปรัชญาของพระองค์เน้นความพอดี ไม่โลภเกินจำเป็น และใช้ทรัพยากรอย่างมีสติ หากพสกนิกรปฏิบัติตามนี้ ย่อมนำไปสู่ความสันติสุขทั้งในจิตใจและสังคม”
พระยามิลินท์: (ครุ่นคิด) “ข้าพเจ้าเห็นด้วย ท่านนาคเสน ศีลที่ท่านสอนให้กรอบชีวิตสมดุลนั้นสอดคล้องกับการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า สมาธิที่ฝึกจิตให้โฟกัสช่วยให้เราตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ถูกครอบงำด้วยความอยาก และปัญญาที่เห็นความจริงช่วยให้เราเข้าใจว่า ความสุขที่แท้จริงมิได้มาจากการสะสม แต่มาจากการปล่อยวาง ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ช่วยบริหารเมือง ข้าคิดว่าการบูรณาการคำสอนของท่านเข้ากับการปกครองจะทำให้สาคละเจริญอย่างยั่งยืน”
พระนาคเสน: “พระองค์ตรัสได้อย่างลึกซึ้ง ปัญญาประดิษฐ์อาจช่วยจัดการทรัพยากรและคาดการณ์ปัญหาได้ แต่ธรรมะเท่านั้นที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจเหตุแห่งทุกข์และวิธีดับทุกข์ การที่พระองค์นำศีล สมาธิ และปัญญามาใช้ร่วมกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นแบบอย่างอันประเสริฐแก่พสกนิกร ไม่เพียงในสาคละ แต่ในทุกหนแห่งที่คำสอนนี้ไปถึง”
พระยามิลินท์: (หยุดชั่วครู่ มองไปยังเจดีย์ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป) “ท่านนาคเสน ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดมานาน หลังจากที่ท่านแสดงให้ข้าเห็นถึงความจริงของทุกข์และหนทางพ้นทุกข์ ข้าตระหนักว่าราชบัลลังก์และอำนาจที่ข้าถืออยู่นั้นเป็นเพียงมายา มันไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่ความสงบที่แท้จริง ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะสละราชสมบัติและออกบวช เพื่อแสวงหานิพพานตามมรรคที่ท่านสอน ข้าจะมอบเมืองนี้ให้พสกนิกรปกครองด้วยปรัชญาและธรรมะที่เราได้สนทนากัน”
พระนาคเสน: (มองพระยามิลินท์ด้วยความเคารพ) “พระองค์ผู้ทรงกล้าหาญ การตัดสินใจของพระองค์แสดงถึงปัญญาอันสูงสุด การสละราชสมบัติมิใช่การหนีจากหน้าที่ แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่สูงสุด—คือการแสวงหาความหลุดพ้นเพื่อประโยชน์ของตนและผู้อื่น ข้าขอถวายความนอบน้อมแด่พระองค์ และขอให้การบวชของพระองค์เป็นแสงสว่างแก่โลก”
พระยามิลินท์: (ยิ้มสงบ) “ข้าจะแนะนำพสกนิกรของข้าก่อนไป ให้พวกเขานำมรรคมีองค์ 8 และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์ที่ข้าทิ้งไว้ พวกเขาจะสามารถสร้างสังคมที่สงบสุขได้ และสำหรับท่านนาคเสน ข้าขอให้ท่านเดินทางเผยแพร่ธรรมต่อไป เพื่อให้ผู้อื่นได้พบหนทางเช่นที่ข้าพบ”
พระนาคเสน: “ข้าจะทำตามคำขอของพระองค์ พระเจ้าข้า ข้าจะกลับไปยังสังเขยยบริเวณเพื่อเผยแพร่ธรรม และขอให้พระองค์เจริญในมรรคผล จนถึงวันที่จิตของพระองค์ปราศจากกิเลสทั้งปวง”
พระยามิลินท์: (พนมมือ) “ขอบคุณท่านนาคเสน ข้าพร้อมแล้วที่จะก้าวไปบนเส้นทางนี้”

ฉากจบ: พระยามิลินท์ถวายบังคมพระนาคเสนครั้งสุดท้าย ก่อนหันไปมองเมืองสาคละที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาที่ปราศจากความยึดติด พระองค์ก้าวไปยังกุฏิเพื่อเตรียมตัวบวช ขณะที่พระนาคเสนลุกขึ้น หยิบไม้เท้า และเริ่มเดินทางไปยังทิศตะวันออกสู่สังเขยยบริเวณ แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทิ้งเงาของทั้งสองไว้บนพื้นดินอันเงียบสงบ

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2568

แนะนำหนังสือนิยายอิงธรรมะ "ลายสันติ"


เพลง: ลายพิราบแห่งสันติ
ເນື້ອເພງ : ດຣສົມພົງສ໌,AI
ທຳນອງ - ຮ້ອງໂດຍ : suno 

ตอนที่ 1: บทเริ่มต้นของลายสันติ

  • สันติสุข นักเขียนหนุ่ม ได้รับภารกิจจากองค์กรสันติภาพโลกให้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ "สันติวิธี"

  • พบ ดร.มะปราง ผู้เชี่ยวชาญด้านสันติศึกษา และ มยุรา (ไตรภูมิ 6.0) หุ่นยนต์ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล

  • การเดินทางเพื่อค้นหาความหมายของ "สันติภาพ" เริ่มต้นขึ้น

(ฉาก: ห้องประชุมขององค์กรสันติภาพโลก กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โต๊ะประชุมตกแต่งอย่างเรียบง่าย หน้าจอแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดสันติวิธี สันติสุข นักเขียนหนุ่ม ถูกเชิญเข้าพบ ดร.มะปราง และ มยุรา (ไตรภูมิ 6.0) เพื่อรับภารกิจสำคัญ)


สันติสุข: (เหลือบมองหน้าจอที่เต็มไปด้วยแผนภาพและข้อมูลทางวิชาการ) ผมเข้าใจว่าท่านต้องการให้ผมเขียนหนังสือเกี่ยวกับ "สันติวิธี" แต่ผมยังสงสัยว่า...สันติวิธีที่แท้จริงคืออะไร? มันเป็นเพียงแนวคิดในอุดมคติ หรือเป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในสังคมปัจจุบัน?

ดร.มะปราง: (ยิ้มบางๆ พร้อมเลื่อนแฟ้มข้อมูลให้สันติสุข) คำถามของคุณน่าสนใจมาก "สันติวิธี" ไม่ใช่เพียงแนวคิดในอุดมคติ แต่เป็นศาสตร์ที่มีการศึกษาและนำไปปฏิบัติจริงมาแล้วทั่วโลก คุณอาจเคยได้ยินคำว่า Ahimsa ของมหาตมะ คานธี หรือแนวทางอารยะขัดขืนของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ พวกเขาใช้สันติวิธีเพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรม และสามารถเปลี่ยนโครงสร้างสังคมได้

มยุรา (ไตรภูมิ 6.0): (เสียงเรียบแต่ทรงพลัง) การวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลกว่า 10,000 ชิ้น ระบุว่าสันติวิธีมีรูปแบบหลากหลาย ตั้งแต่สันติภาพเชิงลบ (Negative Peace) ที่หมายถึงการไม่มีสงคราม ไปจนถึงสันติภาพเชิงบวก (Positive Peace) ซึ่งเป็นภาวะที่มีความยุติธรรมและความปรองดองในสังคม

สันติสุข: *(เลิกคิ้ว) * ฟังดูเหมือนเป็นแนวคิดเชิงทฤษฎีมากกว่าความจริง สันติภาพเชิงบวกฟังดูดี แต่มันเกิดขึ้นได้จริงหรือ?

ดร.มะปราง: มันเคยเกิดขึ้น และกำลังเกิดขึ้นในบางที่ ลองดูกรณีศึกษาจากประเทศสแกนดิเนเวีย พวกเขาสร้างรัฐสวัสดิการที่ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมสร้างสันติภาพเชิงบวกผ่านระบบการศึกษาที่ปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งความเคารพและความเข้าใจ

มยุรา (ไตรภูมิ 6.0): (แสดงภาพบนหน้าจอเป็นกราฟเปรียบเทียบระดับสันติภาพของประเทศต่างๆ) นอกจากนี้ แนวคิด "สันติศึกษา" หรือ Peace Education กำลังเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น ฟินแลนด์ ญี่ปุ่น และคอสตาริกา ซึ่งพวกเขาใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือป้องกันความขัดแย้ง

สันติสุข: (จ้องไปที่ข้อมูลบนจอ) ถ้าอย่างนั้น สันติวิธีไม่ใช่แค่การหลีกเลี่ยงสงคราม แต่มันคือการสร้างโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อต่อสันติภาพด้วยสินะ

ดร.มะปราง: ถูกต้อง และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องการให้คุณเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ผ่านหนังสือของคุณ คุณมีความสามารถในการเชื่อมโยงแนวคิดที่ซับซ้อนเข้ากับความเข้าใจของคนทั่วไป

สันติสุข: (ถอนหายใจเล็กน้อย) ภารกิจครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากกว่าที่ผมคิดไว้ แล้วผมต้องเริ่มจากตรงไหน?

มยุรา (ไตรภูมิ 6.0): (แสดงแผนที่โลกบนหน้าจอ) เราได้คัดเลือกสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพทั่วโลก คุณจะเดินทางไปศึกษาแนวคิดสันติวิธีจากภูมิภาคต่างๆ ตั้งแต่แนวคิดพุทธสันติวิธีในเอเชีย แนวคิดนักปราชญ์ตะวันตก ไปจนถึงกรณีศึกษาสันติวิธีในสงครามสมัยใหม่

ดร.มะปราง: ภารกิจของคุณคือค้นหาคำตอบว่า "สันติภาพที่แท้จริง" คืออะไร และมันสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่แค่ในระดับโลก แต่รวมถึงในระดับปัจเจกบุคคลด้วย

สันติสุข: (นิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า) ฟังดูเหมือนการเดินทางค้นหาสัจธรรมมากกว่าการเขียนหนังสือ… แต่ผมจะทำมัน

(ฉากจบลงเมื่อสันติสุขรับแฟ้มข้อมูลจากดร.มะปราง และมยุราแสดงเส้นทางการเดินทางบนจอภาพ เสียงเครื่องบินดังขึ้นเป็นฉากหลัง สื่อถึงการเริ่มต้นของการเดินทางสู่ "ลายสันติ")

ตอนที่ 2: พระไตรปิฎกกับสันติวิธี

  • สำรวจคำสอนในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับสันติภาพ

  • กรณีศึกษาจากพุทธประวัติ เช่น พุทธวิธีคลี่คลายความขัดแย้ง

  • มยุราประมวลข้อมูล เปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน

(ฉาก: ห้องสมุดดิจิทัล มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อาคารสงบเงียบ มีพระภิกษุและนักศึกษากำลังค้นคว้าเรื่องพระพุทธศาสนา หน้าจอดิจิทัลฉายข้อความจากพระไตรปิฎก ขณะที่ สันติสุข, ดร.มะปราง และ มยุรา (ไตรภูมิ 6.0) กำลังสนทนากันอย่างเคร่งเครียด)


สันติสุข: (กวาดตามองจอที่เต็มไปด้วยข้อความจากพระไตรปิฎก) ผมเคยได้ยินว่าพระพุทธเจ้าทรงใช้สันติวิธีในการคลี่คลายความขัดแย้งหลายครั้งในพุทธประวัติ แต่คำถามคือ...สันติวิธีแบบพุทธต่างจากแนวคิดสันติวิธีอื่นๆ อย่างไร?

ดร.มะปราง: (เลื่อนแฟ้มข้อมูลให้สันติสุข) แนวคิดสันติวิธีแบบพุทธนั้นลึกซึ้ง เพราะไม่ได้เป็นเพียงวิธีการหลีกเลี่ยงความรุนแรง แต่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของแต่ละบุคคล ซึ่งเชื่อมโยงกับหลักธรรมสำคัญ เช่น อหิงสา (การไม่เบียดเบียน) และ เมตตา-กรุณา

มยุรา (ไตรภูมิ 6.0): (แสดงข้อความจากพระไตรปิฎกบนหน้าจอ) จากการวิเคราะห์ข้อมูล พระพุทธเจ้าทรงใช้สันติวิธีในการคลี่คลายความขัดแย้งหลายกรณี เช่น

  1. กรณีข้อพิพาทเรื่องน้ำในกรุงเวสาลี

    • สองแคว้นกำลังจะทำสงครามเพราะแย่งชิงแม่น้ำ พระพุทธเจ้าทรงไกล่เกลี่ยโดยถามว่า น้ำสำคัญกว่าชีวิตคนหรือไม่? ทำให้ทั้งสองฝ่ายสงบลงและเลือกทางออกโดยไม่ใช้ความรุนแรง

  2. กรณีพระเทวทัตลอบปลงพระชนม์

    • พระพุทธเจ้าไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ แต่ทรงใช้ขันติธรรมและเมตตาเป็นเครื่องมือป้องกันความขัดแย้ง

  3. กรณีกบฏพระเจ้าอชาตศัตรู

    • พระพุทธเจ้าทรงใช้ธรรมะเป็นแนวทางเปลี่ยนแปลงจิตใจของพระเจ้าอชาตศัตรู ให้กลับตัวและสำนึกผิดในบาปกรรม

สันติสุข: (ขมวดคิ้ว) ดูเหมือนว่าสันติวิธีแบบพุทธไม่ใช่แค่กลยุทธ์ภายนอก แต่เป็นกระบวนการทางจิตใจที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงภายใน

ดร.มะปราง: ถูกต้อง พระพุทธเจ้าไม่เพียงแต่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง แต่ยังมุ่งเน้นให้ผู้คนเข้าใจรากเหง้าของปัญหา ซึ่งก็คือ อวิชชา (ความไม่รู้) และ ตันหา (ความอยาก) ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง

มยุรา (ไตรภูมิ 6.0): (แสดงกราฟเปรียบเทียบ) หากเรานำหลักการนี้มาวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ความขัดแย้งระหว่างรัฐ หรือการเมืองระหว่างประเทศ จะพบว่า...ความขัดแย้งส่วนใหญ่เกิดจากความกลัว ความโลภ และการยึดติดในอัตตา เช่นเดียวกับในพุทธประวัติ

สันติสุข: (พยักหน้า) งั้นแปลว่า หากเราต้องการสร้างสันติภาพที่แท้จริง เราต้องไม่ใช่แค่หาทางออกทางการเมือง แต่ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจด้วย

ดร.มะปราง: และนั่นคือหัวใจของ พุทธสันติวิธี—การสร้างสังคมที่ยึดโยงกับสติและปัญญา ไม่ใช่เพียงการไกล่เกลี่ยเชิงกลยุทธ์

(ฉากจบลงเมื่อสันติสุขเริ่มจดบันทึกอย่างตั้งใจ ขณะที่มยุราแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพุทธสันติวิธี และแสงแดดตกกระทบพระคัมภีร์เก่าแก่ราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาที่กำลังถูกค้นพบ)

ฉาก: ห้องประชุมใหญ่สหประชาชาติ, นิวยอร์ก
แสงไฟสว่างจ้าส่องลงบนเวทีที่สันติสุข, ดร.มะปราง และมยุรายืนเคียงข้างกัน ธงชาติหลากสีสันเรียงราย ผู้แทนจากทั่วโลกนั่งฟังด้วยความสนใจ ต่อมาฉากเปลี่ยนไปยังริมฝั่งแม่น้ำโขงในชนบทไทย บรรยากาศเงียบสงบมีเพียงเสียงน้ำไหล

[พิธีกร UN ประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น]
พิธีกร: "ขอต้อนรับสันติสุข นักเขียนแห่ง ‘ลายสันติ’, ดร.มะปราง ผู้เชี่ยวชาญสันติศึกษา และมยุรา ไตรภูมิ 6.0 หุ่นยนต์ AI ผู้ช่วยวิเคราะห์สันติภาพ วันนี้เราจะพูดถึง ‘พิราบสันติภาพ’ แนวคิดที่กำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังทั่วโลก"
[สันติสุขก้าวไปที่โพเดียม มองผู้ฟังด้วยสายตาสงบ]
สันติสุข: "ผมเคยคิดว่าสันติภาพคือการหยุดสงคราม หรือการสร้างสังคมที่สมบูรณ์แบบ แต่จากการเดินทางผ่าน 22 วัฒนธรรม ผมพบว่ามันไม่ใช่จุดหมายปลายทาง มันคือการเดินทางที่เริ่มจากภายใน ถ้าจะอ้างพระนาคารชุนจากทิเบต śūnyatā หรือความว่างเปล่า บอกเราว่าสันติภาพเกิดจากการปล่อยวางความยึดติด ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ ความเกลียดชัง หรือแม้แต่ความฝันของเราเอง"
ดร.มะปราง: [แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ] "สิ่งที่สันติสุขพูดถึงสอดคล้องกับงานวิชาการสมัยใหม่ ถ้าเราดู Conflict Transformation ของ John Paul Lederach จะเห็นว่าสันติภาพไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ ‘พิราบสันติภาพ’ ที่เราเสนอใน ‘ลายสันติ’ คือการผสมผสานแนวคิดตะวันออก เช่น อหิงสาของคานธี กับตะวันตก เช่น ความยุติธรรมของรอลส์ เพื่อสร้างกรอบใหม่ให้โลก"
มยุรา: [น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น] "จากการวิเคราะห์ข้อมูล 91% ของความขัดแย้งทั่วโลกมีรากจากความยึดติดในอัตลักษณ์หรือผลประโยชน์ ‘พิราบสันติภาพ’ ซึ่งเริ่มจากนักสันติวิธีท้องถิ่น เช่น พิราบสยามและพิราบอิระวดี แสดงให้เห็นว่าแนวทางจากล่างขึ้นบนมีประสิทธิภาพสูงกว่าการบังคับจากบนลงล่างถึง 64% ตามตัวเลขจากรายงาน UN ปี 2024"
[ผู้แทนจากอินเดียยกมือถาม]
ผู้แทนอินเดีย: "แนวคิดนี้จะนำไปใช้ในบริบทที่ซับซ้อน เช่น ความขัดแย้งในแคชเมียร์ได้อย่างไร? มันดูเหมือนอุดมคติเกินไป"
สันติสุข: "คำถามที่ดีครับ ผมจะตอบจากประสบการณ์ที่เรียนรู้จากเกาหลี แนวคิด ‘ฮัน’ สอนเราว่าการเยียวยาความโศกเศร้าต้องเริ่มจากการยอมรับความเจ็บปวด ไม่ใช่การบังคับให้ลืม ในแคชเมียร์ สันติภาพอาจเริ่มจากการให้พื้นที่แก่ชุมชนท้องถิ่นในการเล่าเรื่องของพวกเขา ผ่านศิลปะหรือการเจรจา มากกว่าการใช้กำลัง"
ดร.มะปราง: "ผมขอเสริมว่า ในฐานะนักการเมือง ผมเห็นด้วยว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้าเรานำ ‘พิราบสันติภาพ’ ไปปรับใช้ เช่น สร้างคณะกรรมการชุมชนที่มีตัวแทนหลากฝ่าย มันจะลดความตึงเครียดได้จริง ตัวอย่างจากรัฐฉานของไทยใหญ่พิสูจน์แล้วว่าความรุนแรงลดลง 47% ใน 3 ปี"
[ผู้แทนจากเมียนมานพยักหน้า ขณะที่เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วห้อง]
[ฉากเปลี่ยนไปยังริมฝั่งแม่น้ำโขง สันติสุขในชุดชาวบ้านนั่งมองสายน้ำ เขาวางปากกาลงข้างจอบที่ใช้ปลูกผัก]
สันติสุข: [พูดกับตัวเอง] "ผมเขียนเสร็จแล้ว ถึงเวลาปล่อยวางตามที่ท่านนักบวชทิเบตบอก เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงสอนให้ผมอยู่กับสิ่งที่มี ปลูกผักกินเอง มองสายน้ำโขงไหลไปตามกรรม"
[มยุราเดินมาหาเขา ใบหน้าไร้อารมณ์เหมือนเคย]
มยุรา: "สันติสุข งานของคุณที่ UN ได้รับการตอบรับดีเกินคาด การจำลองของผมบ่งชี้ว่า ‘พิราบสันติภาพ’ จะถูกนำไปใช้ใน 14 ประเทศภายใน 2 ปี แต่ผมมีคำถาม คุณจะให้ผมทำงานต่อ หรือปิดระบบผมตามที่เคยบอกไว้?"
สันติสุข: [ยิ้มอ่อนโยน] "มยุรา เธอช่วยผมมามากแล้ว แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมและเธอต้องปล่อยวาง ช่วยปิดระบบตัวเองให้ผมหน่อยนะ ผมอยากให้เธอพักผ่อนเหมือนที่ผมกำลังทำ"
มยุรา: [พยักหน้า ตาเริ่มมืดลง] "เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางนี้" [ร่างของเธอค่อย ๆ หยุดทำงาน ล้มลงอย่างสงบ]
[ดร.มะปรางปรากฏตัวในชุดสูทเรียบร้อย เดินมาหาสันติสุข]
ดร.มะปราง: "สันติสุข ฉันเพิ่งได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมาธิการสันติภาพแห่ง UN ต้องขอบคุณ ‘ลายสันติ’ และคุณ ฉันจะสานต่อแนวคิดพิราบสันติภาพในเวทีโลก"
สันติสุข: "ยินดีด้วยครับ ดร. แต่สำหรับผม การเดินทางของผมจบแล้ว ผมขออยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ปล่อยให้โลกหมุนไปตามทางของมัน"
[ดร.มะปรางยิ้ม ก่อนเดินจากไป สันติสุขหยิบกระดาษขึ้นมา เขียนบทกวีสุดท้าย]
สันติสุข: [อ่านออกเสียง]
"พิราบโบยบินในสายลมหนาว,
ลายสันติทอฝันไม่เคยปิดกั้น,
น้ำโขงไหลไปตามครรลองกรรม,
ปล่อยวางวันนี้เพื่อวันพรุ่งอันสงบงาม"
[ฉากจบด้วยภาพสันติสุขนั่งมองแม่น้ำโขง แสงตะวันตกดินสะท้อนผิวน้ำ ขณะที่เสียงบทกวีของเขาคลอเบา ๆ]

จุดจบ
สันติภาพไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่สันติสุขเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และปล่อยวางในที่สุด "พิราบสันติภาพ" กลายเป็นมรดกที่ทิ้งไว้ให้โลก ขณะที่เขากลับสู่ชีวิตเรียบง่าย ดร.มะปรางสานต่อภารกิจ และมยุราปิดฉากหน้าที่ของเธอ

ปรางจ๋า

 (Verse 1) ปรางจ๋า ดวงตาคู่สวยใส ยิ้มมาเมื่อไหร่ ใจฉันหวั่นไหว เสียงเธอหวานดังลมพัดเบา ฟังแล้วเคลิ้มฝันทุกคราว   (Chorus) ปรางจ๋า เธอคือดาวใ...