วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

มส. เห็นชอบแต่งตั้ง "หลวงปู่ศิลา" ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 ธรรมยุต รายงานผลการดำเนินงาน "หมู่บ้านรักษาศีล 5"


แนะประยุกต์ใช้ AI ในการเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาชุมชนไทยในทางที่ยั่งยืนและสันติสุข บนพื้นฐานของศีลธรรมและจริยธรรมในปริบทพุทธสันติวิธี ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสังคม

เมื่อวันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2567  เวลา 14.00 น. ที่ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงลาการประชุม ทรงมีพระบัญชาให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นประธานในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 28/2567 โดยมีกรรมการมหาเถรสมาคมเข้าร่วม การนี้ นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กราบถวายเปิดการประชุม พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายสุพัฒน์ เมืองมัจฉา ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้แถลงข่าวการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 28 ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยมีวาระการประชุมมหาเถรสมาคม อาทิ

1.มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การเสนอแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) จำนวน 3 รูป ดังนี้ พระเทพวัชราภรณ์ (เฉลิม) ฉายา วีรธมฺโม อายุ 80 พรรษา 60 ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม (ธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดประชาบำรุง ตำบลตลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9(ธรรมยุต)

พระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา) ฉายา สิริจนฺโท อายุ 79 พรรษา 28 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหมื่นหิน ตำบลกุดปลาค้าว อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต)

พระญาณวิลาส (สงวน) ฉายา ปเทสโก อายุ 73 พรรษา 50 ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดป่าทรงธรรม ตำบลธงธานี อำเภอวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต)

2. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การเสนอแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด   3. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร (ธรรมยุต)   4. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง จำนวน 26 รูป และอนุมัติ การเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 2 รูป  5. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง พระภิกษุเดินทาวไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ จำนวน 3 รูป และอนุมัติ เรื่อง ขอส่งพระภิกษุไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ จำนวน 11 รูป

6. เรื่องเสนอเพื่อทราบ ที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีมติ ดังนี้  รับทราบ เรื่องรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด ในการประเมินส่วนราชการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2567 รับทราบ เรื่องถวายหนังสือ เรื่อง "ธรรมาภิธาน" พระนิพนธ์ สมด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร แด่มหาเถรสมาคม เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  รับทราบ เรื่องรายงานการขออนุญาตสร้างวัด เดือนมิถุนายน - กันยายน 2567 จำนวน 50 ราย รับทราบ เรื่องการจัดทำ (ร่าง) บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างสำนักงานยุติธรรม กับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

รับทราบ เรื่องรายงานผลการดำเนินงานโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้นำถวายหนังสือกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นที่เรียบร้อย

7. มติมหาเถรสมาคมเห็นชอบ เรื่อง ขอความเห็นชอบกำหนดวันประชุมมหาเถรสมาคม ประจำปี 2568  8. พิจารณาและอนุมัติ เรื่องการจัดการศาสนสมบัติ จำนวน 23 เรื่อง 

แนะประยุกต์ใช้เอไอเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าในปริบทพุทธสันติวิธี 

หมู่บ้านศีลห้าเป็นแนวทางในการสร้างความสงบสุขและความเป็นอยู่ที่ดีในชุมชนไทย โดยอิงหลักศีล 5 ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของพุทธศาสนา ที่เน้นการรักษาความประพฤติและคุณธรรมในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการพัฒนาหมู่บ้านศีลห้ากำลังกลายเป็นแนวทางใหม่ที่น่าสนใจเพื่อเสริมสร้างสังคมให้มีความสมานฉันท์และมั่นคงในระยะยาว บทความนี้จึงวิเคราะห์หลักการ อุดมการณ์ วิธีการ แผนยุทธศาสตร์ โครงการ และอิทธิพลของการใช้ AI ในปริบทพุทธสันติวิธีเพื่อการสร้างสังคมที่สงบสุข

1. หลักการและอุดมการณ์ของพุทธสันติวิธี

พุทธสันติวิธีมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสงบสุข โดยการยึดมั่นในศีลธรรมและหลักการปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนศีล 5 ได้แก่

การละเว้นจากการฆ่าสัตว์

การละเว้นจากการลักขโมย

การละเว้นจากการประพฤติผิดทางเพศ

การละเว้นจากการพูดเท็จ

การละเว้นจากการเสพสารเสพติด

เมื่อหลักศีล 5 ถูกนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับ AI การสร้างสังคมศีลธรรมและเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดีจึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น โดย AI สามารถทำหน้าที่ช่วยรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสร้างแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละชุมชน

2. วิธีการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้า

การนำ AI มาใช้ในกระบวนการพัฒนาหมู่บ้านศีลห้าจะต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจในประโยชน์ของเทคโนโลยี AI ซึ่งอาจครอบคลุมไปถึงการเฝ้าระวัง ป้องกันความขัดแย้ง การติดตามปัญหา และการเสนอแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม ตัวอย่างของวิธีการใช้ AI ได้แก่

ระบบการวิเคราะห์พฤติกรรม: AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของชุมชนผ่านข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านศีลห้า

การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการเรียนรู้และฝึกอบรม: แพลตฟอร์มที่ใช้ AI จะสามารถเสนอเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล ช่วยส่งเสริมความเข้าใจในศีล 5 และการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

การสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน: การใช้ AI เพื่อสร้างระบบที่สามารถเชื่อมโยงคนในชุมชน เช่น ผ่านการสื่อสารออนไลน์ การทำกิจกรรมร่วมกัน และการประสานงานทางสังคม

3. แผนยุทธศาสตร์และโครงการ

แผนยุทธศาสตร์ในการใช้ AI เพื่อเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าควรครอบคลุมทั้งการพัฒนาทรัพยากรบุคคล การสร้างความเข้าใจในเทคโนโลยี AI และการนำมาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้บริบทของพุทธสันติวิธี แผนงานอาจประกอบด้วย

โครงการฝึกอบรม AI สำหรับชุมชน

โครงการพัฒนาระบบ AI ที่มุ่งเน้นด้านการเฝ้าระวังทางศีลธรรมและการส่งเสริมการเรียนรู้

โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อเสริมสร้างศีลธรรมในสังคม

4. อิทธิพลต่อสังคมไทย

การประยุกต์ใช้ AI ในการเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าจะมีผลกระทบอย่างสำคัญต่อสังคมไทย ได้แก่

การส่งเสริมความสมานฉันท์ในชุมชน: เมื่อ AI ถูกนำมาใช้ในการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาสังคม จะช่วยส่งเสริมความเข้าใจและการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์

การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน: การพัฒนาชุมชนผ่านหลักศีลธรรมจะช่วยเสริมสร้างรากฐานที่เข้มแข็งในการเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

การเพิ่มความตระหนักรู้ในศีลธรรมและจริยธรรม: AI จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้และการปฏิบัติที่สอดคล้องกับศีลธรรม ส่งเสริมการปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีและสันติ

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

สนับสนุนการพัฒนาความรู้ด้าน AI และการประยุกต์ใช้ในหมู่บ้านศีลห้า

พัฒนากลไกทางกฎหมายและจริยธรรมในการใช้ AI ให้มีความเหมาะสมกับบริบทของพุทธสันติวิธี

ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ เอกชน และชุมชนในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อเสริมสร้างสังคมสันติสุข


"ดร.มหานิยม" ร่วมประชุมบอร์ดการศึกษาพระปริยัติธรรม "สมเด็จชิน" เป็นประธาน


เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567   สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม แม่กองธรรมสนามหลวง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม ครั้งที่ 3/2567  โดยมีคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายภาณุพงศ์ คงเชื้อจีน ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 



ในการนี้ ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมงานได้ร่วมประชุมด้วย 

พระธรรมวชิโรดม เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้อนุมัติให้ใช้หลักสูตรประถมศึกษาที่คณะสงฆ์ร่วมกับกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร)จัดทำขึ้น เป็นหลักสูตรให้สามเณรที่ยังไม่จบชั้นประถมศึกษาแล้วเข้ามาบวชเป็นสามเณร ได้ศึกษา.. แล้วถือว่าได้จบตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ แต่ละช่วงชั้น และนอกนั้น ได้อนุมัติ จัดตั้ง สำนักเรียนใหม่ อีก 2 แห่ง ของคณะสงฆ์และคณะสงฆ์อื่น (อนัมนิกาย)ซึ่งได้ดำเนินการตามเกณฑ์ว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษาตาม พ.ร.บ. เรียบร้อยแล้วด้วย  พร้อมรับทราบพร้อมประกาศคณะกรรมการบริหารงานบุคคลการศึกษาพระปริยัติธรรมจำนวน 3 ฉบับ คือ

1.เรื่อง เครื่องแบบเจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม ฝ่าย คฤหัสถ์ พ.ศ. 2567

2. เรื่องบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2567

3. เรื่อง เกณฑ์การลา หลักเกณฑ์และวิธีการลาแต่ละประเภท พ.ศ. 2567

พระธรรมวชิโรดม กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม ฝ่ายคฤหัสถ์ สามารถแต่เครื่องแบบพร้อมประตราเครื่องหมายสัญลักษณ์ ได้ทันที ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป..”

แนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาชนภายใต้นโยบายรัฐบาลไทย 

อย่างไรก็ตามในที่ประชุม ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 รองศาสตราจารย์ ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.นิยม และคณะที่ปรึกษา ได้มอบนโยบายต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 8 ข้อ  ซึ่งนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาพระปริยัติธรรมคือสนองงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างตรงไปยังประชาชน ปรับปรุงกฎระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ และพัฒนาโครงการที่เข้าถึงง่ายโดยเฉพาะใช้สื่อสมัยใหม่และเทคโนโลยี AI จึงได้ทำการวิเคราะห์แนวทาง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี วิสัยทัศน์ แผนงาน และโครงการเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคปัญญาประดิษฐ์ให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ดังนี้



1. วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคปัญญาประดิษฐ์

วิสัยทัศน์: รัฐบาลไทยมีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเข้าถึงชีวิตคนไทยอย่างกว้างขวางและทันสมัย โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างช่องทางการเผยแผ่ที่ตรงกับวิถีชีวิตคนยุคใหม่ มุ่งเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมเพื่อให้ศาสนานี้ยังคงอยู่ในจิตใจและพฤติกรรมของคนรุ่นหลัง

ยุทธศาสตร์: ยุทธศาสตร์การเผยแผ่ศาสนาในยุค AI จะเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างช่องทางการเผยแผ่และส่งเสริมการศึกษาและปฏิบัติธรรมผ่านสื่อออนไลน์ การพัฒนา AI ในการเผยแผ่ศาสนาจะช่วยให้การเข้าถึงธรรมะง่ายขึ้นและตอบสนองได้ตามความต้องการเฉพาะบุคคล



2. ยุทธวิธีในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาชน

ยุทธวิธีที่รัฐบาลไทยและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติสามารถนำมาใช้เพื่อให้การเผยแผ่ศาสนาในยุค AI มีประสิทธิภาพ ได้แก่:

การปรับปรุงกฎระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่: แก้ไขกฎระเบียบที่จำกัดการเผยแผ่ธรรมะสู่สื่อดิจิทัลและช่องทางออนไลน์ ให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่

การใช้ AI ในการเผยแพร่ธรรมะ: พัฒนาแชทบอทและแอปพลิเคชัน AI ที่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แนะนำหลักธรรมที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละบุคคล และให้คำปรึกษาทางธรรม

การส่งเสริมกิจกรรมที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่: จัดกิจกรรมออนไลน์ เช่น การสัมมนาทางธรรมผ่านการไลฟ์สตรีมบนโซเชียลมีเดีย และสร้างเนื้อหาที่มีความหลากหลายเพื่อดึงดูดให้คนหนุ่มสาวสนใจและเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา

3. แผนงานและโครงการที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอแผนงานและโครงการที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อให้พระพุทธศาสนาเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มได้ง่ายขึ้น ได้แก่:

โครงการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เผยแผ่ธรรมะ: จัดทำแอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น แชทบอทตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะและการปฏิบัติธรรม บทสวดมนต์ และแนวทางการปฏิบัติสมาธิ

โครงการ “AI เพื่อการศึกษาในพระพุทธศาสนา”: ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการสร้างหลักสูตรออนไลน์โดยใช้ AI ที่สามารถวิเคราะห์และแนะนำแนวทางการศึกษาพระพุทธศาสนาตามความสนใจของผู้เรียน

โครงการไลฟ์สตรีมทางธรรม: จัดทำการไลฟ์สตรีมบทเรียนธรรมะในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การปฏิบัติธรรม การฝึกสมาธิ และการบรรยายธรรม โดยสามารถเข้าถึงผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น YouTube และ Facebook

4. ผลการดำเนินงานและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

การดำเนินงานตามนโยบายในการใช้ AI เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาเริ่มเห็นผลในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่และการสนับสนุนการปฏิบัติธรรมในวงกว้าง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาการเผยแผ่ศาสนาต่อไปมีดังนี้:

เพิ่มการลงทุนในการพัฒนา AI เพื่อการเผยแผ่ศาสนา: จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ให้มีความสามารถในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาในด้านต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน

ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI สำหรับพระพุทธศาสนา: สนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่สามารถตอบสนองต่อคำถามและความต้องการของประชาชนที่หลากหลายได้

สร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเผยแผ่ธรรมะ: รัฐบาลควรสร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น TikTok, Instagram และ Twitter เพื่อให้การเผยแผ่ศาสนาสามารถเข้าถึงประชาชนในหลากหลายช่องทางมากขึ้น

สรุป

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันสมัย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีบทบาทสำคัญในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับยุคสมัย และการดำเนินแผนงานที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้พระพุทธศาสนาเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

แนวคิด 3Ts ใช้เอไอฝึกอบรมการสื่อสารอาเซียนให้น่าเชื่อถือ

แนวคิด 3Ts ซึ่งเสนอโดยประเทศไทยในการประชุม SOMRI ครั้งที่ 21 มุ่งยกระดับการสื่อสารในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเทคโนโลยีและการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ โดยประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ Technology (เทคโนโลยี) ใช้ AI ตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร, Training (การฝึกอบรม) การอบรมทักษะด้านดิจิทัลให้สื่อมวลชนและประชาชน และ Trust (ความไว้วางใจ) การสร้างแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เชื่อถือได้ในภูมิภาค แนวคิดนี้ส่งเสริมการพัฒนาการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสร้างความไว้วางใจในสังคม ซึ่งสามารถมีอิทธิพลเชิงบวกต่อสังคมไทยทั้งด้านคุณภาพการสื่อสาร การพัฒนาทักษะ และการสร้างความเชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสาร.

ความเป็นมาและสภาพปัญหา

ในยุคดิจิทัลที่การสื่อสารพัฒนาอย่างรวดเร็ว ประเด็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นคือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือ "ข่าวปลอม" (fake news) ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมทั้งในระดับชาติและภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม การพัฒนาการสื่อสารที่น่าเชื่อถือและสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างประชาชนเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงเสนอแนวคิด 3Ts ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสารนิเทศ (SOMRI) ครั้งที่ 21 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการสื่อสารในภูมิภาคอาเซียนโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพัฒนาทักษะและเสริมสร้างความไว้วางใจในข้อมูลข่าวสาร

หลักการและอุดมการณ์

แนวคิด 3Ts ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ Technology (เทคโนโลยี) - การนำ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร เพื่อลดปัญหาการแพร่กระจายของข่าวปลอม

Training (การฝึกอบรม) - การจัดอบรมทักษะด้านดิจิทัลให้กับสื่อมวลชนและประชาชนในระดับภูมิภาค เพื่อเพิ่มศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการสื่อสาร

Trust (ความไว้วางใจ) - การสร้างความไว้วางใจผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ใช้ร่วมกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่มีความน่าเชื่อถือ แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาค และความเชื่อว่าการสื่อสารที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจในสังคมได้

วิธีการและแผนยุทธศาสตร์

การดำเนินการตามแนวคิด 3Ts ต้องอาศัยแผนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมดังนี้: พัฒนาเทคโนโลยี AI - สร้างระบบตรวจสอบข่าวสารอัตโนมัติที่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลข่าวสารในภาษาต่าง ๆ ที่ใช้ในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การฝึกอบรมระดับภูมิภาค - จัดอบรมในรูปแบบของ "Co-Pilot Certificate" หรือหลักสูตรฝึกอบรมร่วมที่เน้นการเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลให้สื่อมวลชน โดยมีการถอดบทเรียนและประเมินผลงานจริงในพื้นที่

สร้างแพลตฟอร์มร่วมระดับภูมิภาค - การสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างประเทศสมาชิกได้อย่างโปร่งใส และเน้นการสื่อสารในช่วงวิกฤตเป็นพิเศษ

โครงการและตัวอย่างความสำเร็จ

ตัวอย่างโครงการที่สนับสนุนแนวคิด 3Ts ได้แก่ การร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐไทยกับศูนย์วิจัยด้านสิทธิมนุษยชนและการสื่อสารดิจิทัลในประเทศต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือกับภาคประชาสังคมเพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้อง

อิทธิพลต่อสังคมไทย

แนวคิด 3Ts สามารถสร้างอิทธิพลเชิงบวกต่อสังคมไทยในหลายมิติ เช่น

ยกระดับคุณภาพการสื่อสาร - การใช้ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยยกระดับมาตรฐานการสื่อสารและลดปัญหาข้อมูลเท็จในสังคม

เสริมสร้างความไว้วางใจ - การพัฒนาแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจในข้อมูลข่าวสารระหว่างประชาชน

ส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาทักษะ - การฝึกอบรมทักษะด้านดิจิทัลให้กับสื่อมวลชนและประชาชนช่วยพัฒนาศักยภาพในการใช้เทคโนโลยี

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ส่งเสริมการพัฒนา AI สำหรับตรวจสอบข้อมูล - สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา AI เพื่อตรวจสอบข่าวสารในระดับภูมิภาค

จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ - ผลักดันการฝึกอบรมสื่อมวลชนและประชาชนในระดับภูมิภาค เพื่อเพิ่มทักษะและความเข้าใจในเทคโนโลยี

สร้างแพลตฟอร์มร่วม - พัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน

 


แนะแนวการจัดการแนวพุทธสำหรับพระธรรมทูตไม่เพียงแต่ส่งเสริมสันติภาพในระดับจิตใจเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างสังคมที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งจะมีผลดีต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยในระยะยาว


แนะแนวการจัดการแนวพุทธสำหรับพระธรรมทูตไม่เพียงแต่ส่งเสริมสันติภาพในระดับจิตใจเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างสังคมที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งจะมีผลดีต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยในระยะยาว

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล พระวิเทศปุญญาภรณ์ (ดร.) หรือ เจ้าคุณสวีเดน รองประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป และเจ้าอาวาสวัดพุทธาราม กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เข้าเยี่ยมดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล) และได้มอบเหรียญสันติภาพขององค์การสหประชาชาติ(UN)ให้เป็นที่ระลึกด้วย

เจ้าคุณวิเทศปุญญาภรณ์ กล่าวว่า วัดพุทธในยุโรปตามสภาพจริงๆ แล้วมีประมาณพันวัดกว่า แต่ในทะเบียนมีเพียง 300-400 วัด ดังนั้นเมื่อดร.มหานิยมเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้จึงเป็นความภาคภูมิใจของพระสงฆ์ เพราะเป็นนักการเมืองน้อยคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพระพุทธศาสนาและวงการพระสงฆ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศมายาวนาน แม้ในทวีปยุโรปและอเมริกา ก็ทราบกัน จึงขอให้ส่งเสริมเกื้อหนุนเพื่อให้พระภิกษุได้ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กระจายไปทั่วโลกและเกิดสันติภาพขึ้น และขอให้ปฏิบัติหน้าที่สำเร็จลุล่วงราบรื่นทุกประการ

การจัดการแนวพุทธสำหรับพระธรรมทูตในปริบทพุทธสันติวิธี 

 พระธรรมทูตเป็นกลไกสำคัญในการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และมีบทบาทเชิงสังคมในการส่งเสริมพุทธสันติวิธีที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติและปัญญา บทบาทนี้มีอิทธิพลทั้งในเชิงศาสนา วัฒนธรรม และการพัฒนาสังคมโดยรวม การวิเคราะห์การจัดการแนวพุทธสำหรับพระธรรมทูตจึงมีความสำคัญต่อการส่งเสริมและพัฒนาพุทธสันติวิธีให้ตอบสนองกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลก

หลักการและอุดมการณ์

การจัดการแนวพุทธสำหรับพระธรรมทูตมีรากฐานจากหลักธรรมคำสอน เช่น อริยสัจ 4, อริยมรรค 8 และหลักพรหมวิหาร 4 ซึ่งเน้นการใช้เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาในการปฏิบัติ การนำหลักธรรมนี้มาใช้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขผ่านการเรียนรู้และปรับตัวให้สอดคล้องกับปัญหาสังคมในยุคสมัยใหม่

วิธีการและแผนยุทธศาสตร์

พระธรรมทูตใช้วิธีการเผยแผ่ธรรมผ่านการสอน การเทศนา การเสวนา และกิจกรรมเชิงปฏิบัติการในชุมชน นอกจากนี้ยังเน้นการส่งเสริมการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อสร้างความเข้าใจและประสบการณ์ตรงในหลักธรรมชาติของทุกข์และการหลุดพ้นจากทุกข์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจและการใช้ชีวิตอย่างสันติ

แผนยุทธศาสตร์ที่ควรพัฒนาควรรวมถึงการฝึกอบรมพระธรรมทูตให้มีทักษะการเจรจาและการประสานงานกับหน่วยงานรัฐและชุมชน เพื่อสร้างเครือข่ายสันติภาพในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ ยุทธศาสตร์ควรให้ความสำคัญกับการใช้สื่อสมัยใหม่ในการเผยแผ่ธรรมเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย

โครงการที่ส่งเสริมพุทธสันติวิธี

การจัดตั้งโครงการสนับสนุนเชิงพุทธสันติวิธีควรประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น โครงการอบรมพระธรรมทูตยุคใหม่ โครงการส่งเสริมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชุมชน และโครงการเผยแผ่หลักธรรมผ่านการเสวนาในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจและการยอมรับในแนวทางพุทธสันติวิธีมากขึ้น

อิทธิพลต่อไทย

การจัดการแนวพุทธสำหรับพระธรรมทูตที่เน้นพุทธสันติวิธีมีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งด้านการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน การลดความขัดแย้งในระดับชุมชนและสังคม และการสร้างภาพลักษณ์เชิงสันติให้กับประเทศไทยในเวทีสากล อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการสนับสนุนเชิงนโยบายและความร่วมมือของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ส่งเสริมการฝึกอบรมพระธรรมทูตยุคใหม่ - ควรมีการจัดอบรมพระธรรมทูตให้มีทักษะในการสื่อสารและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคม

ใช้สื่อสมัยใหม่เพื่อเผยแผ่ธรรม - สนับสนุนให้มีการใช้สื่อดิจิทัลในการเผยแผ่พุทธธรรมและแนวทางพุทธสันติวิธี

สร้างความร่วมมือกับองค์กรต่างชาติ - ควรมีการแลกเปลี่ยนและร่วมมือกับองค์กรสันติภาพทั่วโลกเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพุทธสันติวิธีในเวทีโลก


IBSC จับมือศูนย์สิทธิมนุษยชน "ม.ออสโล นอร์เว" ผนึกกำลังร่วมกันปั้นนักพุทธสิทธิมนุษยชนต้นแบบ


โครงการพัฒนานักพุทธสิทธิมนุษยชนต้นแบบนี้สามารถเป็นต้นแบบการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมไทย และควรได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน.

 15-17 พฤศจิกายน 2567 ณ วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาจุฬาฯ วังน้อย ภายใต้  MoU ระหว่างสองสถาบัน IBSC ร่วมกับศูนย์สิทธิมนุษยชน ม.ออสโล ประเทศนอร์เว ทั้ง พระธรรมหรรษา ศ.ดร.อิสริน ดร.อีกิล และ ดร.เจนนี ศ.ดร.โสรัจ ดร.ศรีประภา ดร.สานุ ดร.บุญช่วย ได้ร่วมมือกันถอดบทเรียนองค์ความรู้แลัฝะประสบการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อพัฒนาและฝึกอบรมนักพุทธสิทธิมนุษยชนต้นแบบในกลุ่มประเทศเอเชีย เพื่อออกไปทำงานรับใช้สังคม

 ตลอดระยะเวลาทั้ง 3 วันของการฝึกอบรมในหลักสูตร Co-Pilot Certificate on  Buddhism and Human Right นั้น จะเน้นทั้งภาคทฤษฏีที่เป็นองค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนจากชุดความคิดหลักในพระพุทธศาสนา และ Universal Declaration of Human Right หรือกรอบคิดของปฏิญญาสากลของสหประชาชาติ ทั้งการถอดบทเรียนการทำงานของวิทยาลัยในยุโรปและไทย รวมถึงการลงพื้นที่ศึกษาดูงานด้านพหุวัฒนธรรมสามความเชื่อทางศาสนาในจังหวัดอยุธยา 

 สิ่งที่น่าสนใจคือ เงื่อนไขการรับวุฒิบัตรจากสองมหาวิทยาลัยนั้น ผู้เรียนจะต้อง #นำธรรมไปทำ โดยการลงพื้นที่นำองค์ความรู้ไปทำงานในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วถอดบทเรียนออกมาเป็นบทความทางวิชาการผ่านการปฏิบัติการในพื้นที่ต่างๆ มานำเสนอบนเวทีระดับนานาชาติอีกครั้ง ถ้าผลงานเป็นไปตามเกณฑ์ก็จะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ และรับวุฒิบัตรผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในหลักสูตรนี้

 ข้อสังเกตประการหนึ่งจากการประเมินผู้สนใจ๋านการคัดเลือก จำนวน 30 รูปคน  คือ ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีน รองลงมาคือพม่า และเวียดนาม ส่วนประเทศไทยผ่านการคัดเลือกมาเรียนเพียงพระรูปเดียวเท่านั้น เหตุผลที่สอบถามพบว่าสอดรับกันคือ ประเทศจีนนั้น คนรุ่นใหม่ ทั้งพระและฆราวาสตื่นตัวสนใจประเด็นสิทธิมนุษยชนค่อนข้างมาก อึกทั้งเทศพม่าเองก็กำลังเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน หนึ่งในผู้เรียนมาจากรัฐยะไข่ด้วย

 สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสังคมไทย แม้จะมีองค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่จัดการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งมหิดล ธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์ รวมถึงหลักสูตรสันติศึกษา มหาจุฬาฯ ที่ทุ่มเททำงานด้านนี้ และสนใจศึกษาพัฒนาต่อยอดนำองค์ความรู้ไปปฏิบัติ 

 อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจากนอร์เวที่เติบโตในประเทศที่ใส่ใจด้านสิทธิมนุษยชนมายาวนานก็ยังมองว่า การ Implement กรอบคิดปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยังมีน้อย และหลายเรื่องยังต้องกระตุ้นให้ลงมือปฏิบัติอย่างเป็นจริงเป็นจังให้เป็นรูปธรรมต่อไป 

 ถึงกระนั้น สิ่งที่นักวิชาการและนักปฏิบัติจากนอร์เวก็ยังมองอย่างเข้าใจเช่นกันว่า ด้วยเหตุที่บริบท และประวัติศาสตร์ที่ต่างกันของสองประเทศ ก็เป็นเหตุให้เข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดสิทธิมนุษยชนในไทยจึงมีพัฒนาการเช่นนั้น แต่ท่านเหล่านี้ก็ย้ำว่า บริบทเหล่านี้ไม่ควรเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้สังคมไทยละเลยการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมกับเพื่อนร่วมสังคม และควรนำประเด็นสิทธิมนุษยชนมาปรับใช้ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสังคมไทย



วิเคราะห์ปั้นนักพุทธสิทธิมนุษยชนต้นแบบ 

1. ความเป็นมาและสภาพปัญหา

การฝึกอบรมและพัฒนานักพุทธสิทธิมนุษยชนต้นแบบเกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง IBSC (International Buddhist Studies College) และศูนย์สิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยออสโล ประเทศนอร์เว โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนในบริบททางพุทธศาสนา การสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้มนุษยชาติดำรงอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข ทว่า ปัจจุบันในสังคมไทยและภูมิภาคเอเชียยังประสบกับปัญหาความเข้าใจที่จำกัดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในแง่ของการปฏิบัติจริง หลายประเด็นยังไม่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน

2. หลักการและอุดมการณ์

หลักการของการพัฒนานักพุทธสิทธิมนุษยชนต้นแบบ คือการนำหลักพุทธธรรม อาทิ เมตตา กรุณา และสติ มาประยุกต์ใช้ร่วมกับกรอบคิดสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากล เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เป็นธรรม อุดมการณ์ของโครงการนี้มุ่งเน้นการปั้นผู้นำที่สามารถเชื่อมโยงและถ่ายทอดคุณค่าด้านสิทธิมนุษยชนผ่านมุมมองพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่อยู่ร่วมกันด้วยความเคารพในสิทธิและเสรีภาพของทุกคน



3. วิธีการและแผนยุทธศาสตร์

การอบรมในหลักสูตร Co-Pilot Certificate on Buddhism and Human Rights เน้นทั้งการให้ความรู้เชิงทฤษฎี การฝึกปฏิบัติ การถอดบทเรียน และการลงพื้นที่ โดยผู้เข้าอบรมต้องนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง นอกจากนี้ยังมีแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย เพื่อให้เกิดความเข้าใจและการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนที่ยั่งยืน

4. โครงการและผลกระทบต่อสังคมไทย

การอบรมนี้ส่งผลให้เกิดนักพุทธสิทธิมนุษยชนรุ่นใหม่ที่สามารถถ่ายทอดและใช้ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนในทางปฏิบัติ การลงพื้นที่เพื่อศึกษาพหุวัฒนธรรมและการเผชิญหน้ากับความหลากหลายทางศาสนาช่วยส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุขและลดการเลือกปฏิบัติ โครงการนี้มีศักยภาพในการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมความเข้าใจสิทธิมนุษยชนที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและศาสนาของไทย

5. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา - ควรขยายความร่วมมือในระดับสากลเพื่อเพิ่มความเข้าใจและแนวทางการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนในบริบทพุทธศาสนาให้กว้างขวางขึ้น

ปรับใช้หลักพุทธธรรมในสังคมไทย - นโยบายควรมุ่งเน้นการนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมและปราศจากการเลือกปฏิบัติ

กระตุ้นความสนใจและพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่ - ควรจัดให้มีการฝึกอบรมและเวทีแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อสร้างนักพุทธสิทธิมนุษยชนที่มีคุณภาพและสามารถปฏิบัติงานในสังคมได้จริง

สร้างแผนยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืน - ควรกำหนดเป้าหมายระยะยาวในการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมที่เคารพในสิทธิมนุษยชน โดยอิงหลักธรรมทางพุทธศาสนาเป็นแนวทางสำคัญ



คนวงการบันเทิงดวงตาเห็นโลกธรรม 8


โลกธรรม 8 ประการในบริบทของวงการบันเทิงเป็นหลักธรรมที่ช่วยให้บุคคลสามารถรับมือกับความผันผวนในชีวิต เช่น ลาภ, เสื่อมลาภ, สรรเสริญ, และนินทา โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่ออย่างกว้างขวาง การใช้หลักพุทธสันติวิธีในการเผชิญปัญหาและการปฏิบัติอย่างมีสติจะช่วยให้คนในวงการบันเทิงดำรงชีวิตด้วยความสงบ และเป็นตัวอย่างให้สังคมไทยมีการตระหนักรู้เรื่องความไม่เที่ยงของชีวิต และส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในการเผชิญความท้าทายในชีวิตประจำวัน.

1. ความเป็นมาและสภาพปัญหา

โลกธรรม 8 ประการ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับสภาวะธรรมชาติที่มนุษย์ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ซึ่งประกอบด้วย ลาภ - เสื่อมลาภ, ยศ - เสื่อมยศ, สรรเสริญ - นินทา, สุข - ทุกข์ คนในวงการบันเทิงมักพบกับสภาพความเป็นจริงเหล่านี้ในระดับสูง เนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ในสายตาสาธารณะและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งคนที่ชื่นชมและคนที่ไม่เห็นด้วย  

2. หลักการและอุดมการณ์

การใช้หลักโลกธรรม 8 ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและสถานการณ์ของคนในวงการบันเทิงช่วยเสริมสร้างการรับรู้เชิงวิพากษ์ถึงความไม่เที่ยงของสถานการณ์ต่างๆ ความลาภยศสรรเสริญเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเสื่อมลงตามกาลเวลา ขณะเดียวกัน ความนินทาและความเสื่อมเสียก็เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ การยึดมั่นในหลักพุทธสันติวิธี คือการสร้างความเข้าใจและความสงบในจิตใจ เพื่อไม่ให้เกิดการเกาะเกี่ยวกับความรู้สึกชั่วคราว และสร้างความยืดหยุ่นในสภาวะที่เกิดขึ้น

3. วิธีการและแผนยุทธศาสตร์

การฝึกสติและสมาธิ: นักแสดงและบุคคลในวงการบันเทิงควรฝึกฝนการมีสติในทุกขณะ เพื่อรับมือกับคำวิจารณ์และการแสดงความเห็นในสังคมได้อย่างมีปัญญา

การส่งเสริมความรู้เรื่องพุทธธรรม: ผ่านการอบรม สัมมนา หรือกิจกรรมที่ช่วยเผยแพร่หลักธรรม โดยเฉพาะโลกธรรม 8 ประการ

สร้างชุมชนสนับสนุนจิตใจ: การสร้างชุมชนหรือกลุ่มสนับสนุนทางใจ (support group) ในวงการบันเทิง ช่วยให้สมาชิกมีที่พึ่งพิง และสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในลักษณะสร้างสรรค์

4. โครงการสนับสนุน

โครงการ "ดวงตาเห็นโลกธรรม": จัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมที่สอดแทรกแนวคิดเรื่องโลกธรรม 8 เพื่อให้คนในวงการบันเทิงรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างเข้าใจและมีวิจารณญาณ

โครงการสื่อสารเชิงบวก: ส่งเสริมให้มีการพูดถึงบุคคลในวงการบันเทิงอย่างสร้างสรรค์ และลดการใช้ถ้อยคำรุนแรงหรือการวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบ

5. อิทธิพลต่อสังคมไทย

เมื่อคนในวงการบันเทิงรับรู้และปฏิบัติตามหลักธรรมของพุทธศาสนา จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม และสร้างวัฒนธรรมที่มีความเข้าใจในความไม่เที่ยงแท้ของความสุขและทุกข์ในชีวิต การยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีสติ และส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมเชิงบวกในการตอบสนองต่อความคิดเห็นต่างๆในสังคม จะช่วยให้วงการบันเทิงไทยพัฒนาคุณภาพในด้านจิตใจและคุณค่าเชิงสังคมที่ดีขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

รัฐควรมีการส่งเสริมการจัดกิจกรรมที่สนับสนุนการใช้พุทธธรรมในการเผชิญปัญหาในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในวงการที่มีผลกระทบจากสังคมสูง เช่น วงการบันเทิง

สนับสนุนการใช้พุทธสันติวิธีในการแก้ไขความขัดแย้ง และลดทอนความรุนแรงที่เกิดจากกระแสโซเชียลมีเดีย

เสริมสร้างการใช้สื่ออย่างรับผิดชอบ และสร้างแคมเปญสื่อสารเชิงบวกในวงการบันเทิงเพื่อกระตุ้นให้สังคมเรียนรู้และพัฒนาความอดทนต่อสถานการณ์ต่างๆ.


แนวทางการป้องกันทุจริตในวงการคณะสงฆ์ไทย



การป้องกันการทุจริตในวงการคณะสงฆ์จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม การกระจายอำนาจ การขจัดเงื่อนไขที่เอื้อให้มีการทุจริต การเพิ่มความโปร่งใส และการปรับระบบโครงสร้างการกำกับดูแล การเสริมสร้างจิตสำนึกทางพุทธศาสนาในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต การให้ความรู้เรื่องการทุจริต และการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความโปร่งใสในวงการสงฆ์และสังคมในวงกว้างจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการทุจริตอย่างยั่งยืน  

ความเป็นมาและสภาพปัญหา

การทุจริตในวงการคณะสงฆ์กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสังคมไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนึ่งในกรณีที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางคือ “เงินทอนวัด” ซึ่งมีการเรียกคืนเงินบริจาคที่ส่งให้วัดกลับไปสู่เจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการทุจริตในระบบสงฆ์ที่ทำให้สังคมเสียศรัทธาต่อองค์กรทางศาสนา  สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้รับแรงกดดันจากประชาชนในการเร่งตรวจสอบและแก้ไขปัญหาดังกล่าว คณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสงฆ์ระดับสูง ก็มีบทบาทสำคัญในการกำหนดหลักการและนโยบายเพื่อป้องกันการทุจริต อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในระดับรากฐานต้องอาศัยการปฏิบัติจริงจากทั้งระดับคณะสงฆ์และภาครัฐในลักษณะที่เป็นระบบ

หลักการและอุดมการณ์ในการป้องกันการทุจริต

ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส: การบริหารกิจการคณะสงฆ์ควรเป็นไปด้วยหลักธรรมาภิบาลที่โปร่งใส เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนและศาสนิกชน การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและทรัพย์สินของวัดจะช่วยลดโอกาสในการเกิดการทุจริต 

การสร้างสำนึกด้านศีลธรรม: คณะสงฆ์ควรเป็นผู้นำในการปลูกฝังจริยธรรมและคุณธรรมแก่ตนเองและศาสนิกชน ป้องกันมิให้เกิดการทุจริตที่ต้นเหตุ โดยยึดหลักพุทธธรรม เช่น ความซื่อสัตย์ สุจริต และความเมตตากรุณา

การยึดหลักการของพุทธสันติวิธี (Peaceful Means): การป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในคณะสงฆ์โดยไม่ใช้ความรุนแรง ย่อมต้องอาศัยความเข้าใจและการเจรจาอย่างสงบ

วิธีการและแผนยุทธศาสตร์การป้องกันการทุจริตในคณะสงฆ์

การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านธรรมาภิบาล: จัดการฝึกอบรมและให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมาภิบาลแก่พระสงฆ์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกิจการวัด

กระจายอำนาจการบริหาร: ลดการรวมศูนย์อำนาจในการบริหารกิจการวัด โดยให้มีการจัดการในลักษณะของการแบ่งหน้าที่และการตรวจสอบระหว่างกัน

ความร่วมมือกับภาครัฐและภาคประชาสังคม: เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด และหน่วยงานภาคประชาสังคม เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างทั่วถึงและยุติธรรม

โครงการและกิจกรรมเพื่อป้องกันการทุจริต

โครงการตรวจสอบบัญชีวัดโดยองค์กรอิสระ: ให้มีการตรวจสอบบัญชีการใช้จ่ายของวัดโดยองค์กรภายนอกที่มีความเป็นกลาง เพื่อลดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน

โครงการเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม: ส่งเสริมการจัดกิจกรรมที่เน้นสร้างจิตสำนึกด้านคุณธรรม เช่น การประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นให้คนในสังคมตระหนักถึงความเสียหายจากการทุจริต

อิทธิพลต่อสังคมไทย

การป้องกันการทุจริตในวงการคณะสงฆ์จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาในระยะยาว และเป็นแรงบันดาลใจให้ภาคส่วนอื่นๆ ในสังคมปฏิบัติหน้าที่อย่างมีคุณธรรม ความโปร่งใสของการบริหารกิจการสงฆ์ยังเป็นแบบอย่างที่ดีในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในภาครัฐและเอกชน สร้างความยุติธรรมและความเสมอภาคในสังคม

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

การปรับปรุงระเบียบข้อบังคับ: ควรปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการเงินของวัดให้ชัดเจนและเป็นระบบ เพื่อป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น

สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน: เปิดโอกาสให้ชุมชนและผู้ศรัทธามีส่วนร่วมในการตรวจสอบกิจการวัด เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นแก่ศาสนิกชน

การลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง: การปฏิบัติการลงโทษผู้ที่กระทำการทุจริตในวงการสงฆ์ควรเป็นไปอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส เพื่อป้องปรามและสร้างบรรทัดฐานที่ชัดเจนในสังคม

มส. เห็นชอบแต่งตั้ง "หลวงปู่ศิลา" ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 ธรรมยุต รายงานผลการดำเนินงาน "หมู่บ้านรักษาศีล 5"

แนะประยุกต์ใช้ AI ในการเสริมสร้างหมู่บ้านศีลห้าจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาชุมชนไทยในทางที่ยั่งยืนและสันติสุข บนพื้นฐานของศีลธรรมและจริยธรรมในป...