วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์ ราหุลสูตร

วิเคราะห์ราหุลสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25: พุทธสันติวิธีและการประยุกต์ใช้ในชีวิต

บทนำ ราหุลสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25, พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17, ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๒. จูฬวรรค เป็นพระสูตรที่มีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อพระราหุล พระราชโอรสผู้ทรงออกบวชด้วยศรัทธา พระสูตรนี้แสดงถึงแนวทางการดำเนินชีวิตที่มีเป้าหมายเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม บทความนี้จะวิเคราะห์เนื้อหาสาระในราหุลสูตร พร้อมทั้งเชื่อมโยงสู่หลักพุทธสันติวิธีและการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

สาระสำคัญของราหุลสูตร

  1. ไม่ดูหมิ่นบัณฑิตและการนอบน้อมต่อผู้นำทางจิตวิญญาณ พระผู้มีพระภาคทรงเน้นถึงความสำคัญของการไม่ดูหมิ่นบัณฑิตหรือผู้มีปัญญา พระราหุลกราบทูลว่า ท่านนอบน้อมและให้ความเคารพต่อผู้นำทางจิตวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ คำสอนนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการคบหากัลยาณมิตร ผู้ที่สามารถชี้นำแนวทางที่ถูกต้องในชีวิต

  2. การละกามคุณและความมุ่งมั่นในเป้าหมายสูงสุด พระพุทธเจ้าตรัสถึงการละกามคุณทั้งห้า ซึ่งเป็นที่ยินดีของปุถุชน และการออกบวชด้วยศรัทธาเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น คำสอนนี้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของศรัทธาและความเพียรพยายามในการบรรลุเป้าหมายสูงสุดของชีวิต

  3. การปฏิบัติที่นำไปสู่ความสงบและความหลุดพ้น พระพุทธเจ้าได้ให้แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ได้แก่

    • คบหากัลยาณมิตร

    • เสพที่สงัด

    • รู้จักประมาณในโภชนะ

    • การสำรวมในปาฏิโมกข์และอินทรีย์

    • การอบรมจิตให้มีสมาธิและเจริญวิปัสสนา

    พระองค์ทรงชี้ให้พระราหุลละความกำหนัดและมานานุสัย (ความยึดมั่นในอัตตา) เพื่อบรรลุความสงบและความหลุดพ้น

พุทธสันติวิธีในราหุลสูตร

ราหุลสูตรเป็นตัวอย่างของพุทธสันติวิธีที่ส่งเสริมให้บุคคลแสวงหาความสงบสุขผ่านการพัฒนาตนเองและการปฏิบัติธรรม หลักธรรมที่สำคัญได้แก่:

  1. การเสริมสร้างปัญญา การไม่ดูหมิ่นบัณฑิตและการนอบน้อมต่อกัลยาณมิตร เป็นการยอมรับในคุณค่าของปัญญาและการเรียนรู้จากผู้มีความรู้

  2. การปล่อยวางกิเลส การละกามคุณและการเจริญวิปัสสนา เป็นวิธีที่ช่วยลดความยึดติดในสิ่งที่ก่อให้เกิดทุกข์ และสร้างความมั่นคงทางจิตใจ

  3. การดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย การรู้จักประมาณในโภชนะและการอยู่ในที่สงัด เป็นแนวทางสู่ความพอเพียงและการใช้ชีวิตอย่างมีสติ

การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

  1. ในระดับปัจเจกบุคคล

    • ฝึกสมาธิและวิปัสสนา: เพื่อสร้างความสงบและลดความเครียดในชีวิตประจำวัน

    • การคบกัลยาณมิตร: เลือกคบหาผู้ที่ส่งเสริมคุณธรรมและปัญญา

  2. ในระดับสังคม

    • ส่งเสริมการศึกษา: เปิดโอกาสให้บุคคลได้รับความรู้และคำแนะนำจากผู้มีปัญญา

    • สร้างสิ่งแวดล้อมที่สงบ: สนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างมีเมตตาและเคารพซึ่งกันและกัน

สรุป ราหุลสูตรเป็นพระสูตรที่มีคุณค่าสำหรับการเรียนรู้และประยุกต์ใช้ในชีวิต เนื้อหาของพระสูตรชี้ให้เห็นถึงหนทางแห่งความสงบสุขและการหลุดพ้นผ่านการปฏิบัติธรรมและการพัฒนาตนเอง หลักธรรมในราหุลสูตรยังสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการสร้างความสงบสุขในระดับสังคม โดยอาศัยพุทธสันติวิธีที่เน้นการเสริมสร้างปัญญา การปล่อยวางกิเลส และการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ทั้งนี้ การปฏิบัติตามคำสอนในพระสูตรย่อมนำไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริงทั้งในปัจจุบันและอนาคต.เรื่อง "วิเคราะห์   ราหุลสูตร   ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต  ๒. จูฬวรรค ที่ประกอบด้วย 

 ราหุลสูตรที่ ๑๑              พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า 

             [๓๒๘] เธอย่อมไม่ดูหมิ่นบัณฑิต เพราะการอยู่ร่วมกันเนืองๆ แล

                          หรือ การทรงคบเพลิง เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย เธอนอบน้อม

                          แล้วแลหรือ ฯ

             พระราหุลกราบทูลว่า

                          ข้าพระองค์ย่อมไม่ดูหมิ่นบัณฑิต เพราะการอยู่ร่วมกันเนืองๆ

                          การทรงคบเพลิงเพื่อมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพระองค์นอบน้อม

                          แล้วเป็นนิตย์ ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

                          เธอละกามคุณห้ามีรูปเป็นที่รัก เป็นที่รื่นรมย์ใจ ออกบวช

                          ด้วยศรัทธาแล้ว จงกระทำที่สุดทุกข์เถิด เธอจงคบกัล-

                          ยาณมิตร จงเสพที่นอนที่นั่งอันสงัดเงียบ ปราศจากเสียง

                          กึกก้อง จงรู้จักประมาณในโภชนะ เธออย่าได้กระทำ

                          ความอยากในวัตถุเป็นที่เกิดตัณหาเหล่านี้ คือ จีวร บิณฑบาต

                          ที่นอน ที่นั่ง และปัจจัย เธออย่ากลับมาสู่โลกนี้อีก จงเป็น

                          ผู้สำรวมในปาฏิโมกข์และในอินทรีย์ ๕ จงมีสติไปแล้วในกาย

                          จงเป็นผู้มากไปด้วยความเบื่อหน่าย จงเว้นสุภนิมิต อันก่อ

                          ให้เกิดความกำหนัด จงอบรมจิตให้มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ให้ตั้ง

                          มั่นดีแล้วในอสุภภาวนา จงอบรมวิปัสสนา จงละมานานุสัย

                          แต่นั้นเธอจักเป็นผู้สงบ เพราะการละมานะเที่ยวไป ฯ

             ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตรัสสอนท่านพระราหุล ด้วยพระคาถาเหล่านี้

เนืองๆ ด้วยประการฉะนี้แล ฯ

จบราหุลสูตรที่ ๑๑

ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ   ราหุลสูตร     ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ    สุตตนิบาต   ๒. จูฬวรรค 

วิเคราะห์ อุฏฐานสูตร

    วิเคราะห์อุฏฐานสูตรในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ

อุฏฐานสูตรซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต จูฬวรรคที่ 2 เป็นพระสูตรที่มีเนื้อหาเชิงสัญลักษณ์และการกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต คำสอนในพระสูตรนี้เน้นย้ำถึงการลุกขึ้นจากความเกียจคร้านและการใช้ชีวิตด้วยปัญญาเพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ บทความนี้จะวิเคราะห์เนื้อหาอุฏฐานสูตร พร้อมทั้งนำเสนอหลักธรรมที่สำคัญและการประยุกต์ใช้ในบริบทของพุทธสันติวิธีในสังคมปัจจุบัน


เนื้อหาอุฏฐานสูตร: ความหมายและแก่นสาระ

อุฏฐานสูตรมีข้อความที่ชัดเจนในการกระตุ้นให้ผู้ฟัง "ลุกขึ้น" และ "นั่ง" เพื่อการศึกษาและการฝึกฝนสันติภายใน สาระสำคัญในพระสูตรสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเด็นหลัก:

  1. การหลีกเลี่ยงความหลับและความประมาท: พระพุทธเจ้าทรงเปรียบความหลับและความประมาทเป็นสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาจิตใจ ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสเปรียบเสมือนผู้ที่ถูกลูกศรแทง ซึ่งการหลับและความประมาทไม่ได้ช่วยบรรเทาความทุกข์แต่อย่างใด

  2. การข้ามพ้นตัณหา: ตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ถูกชี้ว่าเป็นรากเหง้าของทุกข์ ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องหมั่นเพียรเพื่อข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ด้วยความไม่ประมาทและวิชชา

  3. การใช้ชีวิตด้วยปัญญา: พระสูตรสอนให้กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตถอนลูกศรกิเลสด้วยการฝึกฝนวิชชาและความไม่ประมาท เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในนรกแห่งความทุกข์


หลักธรรมในอุฏฐานสูตร

  1. อัปปมาทธรรม (ความไม่ประมาท): ความไม่ประมาทเป็นหัวใจของคำสอนในพระสูตรนี้ ผู้ที่ไม่ประมาทจะสามารถหลีกเลี่ยงความเสื่อมในชีวิตและพัฒนาจิตใจไปสู่ความสงบสุขได้

  2. วิชชา (ปัญญา): การใช้ปัญญาในการพิจารณาและแก้ไขปัญหาชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงความสันติ

  3. วิริยธรรม (ความเพียร): การลุกขึ้นและนั่งเพื่อหมั่นศึกษาและฝึกฝนตนเองสะท้อนถึงความเพียรอันไม่ลดละ


การประยุกต์ใช้ในบริบทพุทธสันติวิธี

  1. การปลุกจิตสำนึกในสังคม: ในบริบทของความขัดแย้งและความเร่าร้อนในสังคมปัจจุบัน หลักธรรมในอุฏฐานสูตรสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างจิตสำนึกให้กับบุคคลและชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำที่เกิดจากความโกรธหรือความหลงผิด

  2. การส่งเสริมการศึกษาเพื่อสร้างปัญญา: การเน้นให้เกิดวิชชาและความไม่ประมาทสามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคคลให้สามารถแก้ไขปัญหาและสร้างสันติสุขในชีวิต

  3. การพัฒนาภาวนาเพื่อสันติ: การฝึกสมาธิและเจริญปัญญาเป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องกับคำสอนในพระสูตร ซึ่งช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์และสร้างสันติภายในตนเอง


สรุป

อุฏฐานสูตรเป็นพระสูตรที่มีความสำคัญในแง่ของการกระตุ้นให้ผู้ฟังละความประมาทและมุ่งมั่นพัฒนาตนเองด้วยวิริยะและวิชชา หลักธรรมในพระสูตรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทของพุทธสันติวิธีเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและปราศจากความขัดแย้ง การลุกขึ้นจากความหลงผิดและความประมาทเปรียบเสมือนก้าวแรกสู่การสร้างชีวิตที่มีคุณค่าและสันติสุขอย่างแท้จริง เรื่อง "วิเคราะห์    อุฏฐานสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต  ๒. จูฬวรรค ที่ประกอบด้วย 

 อุฏฐานสูตรที่ ๑๐

             [๓๒๗] เธอทั้งหลายจงลุกขึ้นเถิด จงนั่งเถิด เธอทั้งหลายจะได้

                          ประโยชน์อะไรด้วยความหลับ เพราะความหลับจะเป็น

                          ประโยชน์อะไรแก่เธอทั้งหลาย ผู้เร่าร้อนเพราะโรค คือ

                          กิเลสมีประการต่างๆ ถูกลูกศร คือ ราคะเป็นต้นแทงแล้ว

                          ย่อยยับอยู่ เธอทั้งหลายจงลุกขึ้นเถิด จงนั่งเถิด จงหมั่น

                          ศึกษาเพื่อสันติเถิด มัจจุราชอย่ารู้ว่าเธอทั้งหลายประมาท

                          แล้ว ยังเธอทั้งหลายผู้ตกอยู่ในอำนาจให้ลุ่มหลงเลย เธอ

                          ทั้งหลายจงข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุ

                          ให้เทวดาและมนุษย์ผู้มีความต้องการอาศัยรูป เป็นต้น ดำรงอยู่

                          ขณะอย่าได้ล่วงเธอทั้งหลายไปเสีย เพราะว่าผู้ล่วงขณะเสีย

                          แล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรกเศร้าโศกอยู่ ความประมาท

                          เป็นดุจธุลี ตกต้องแล้วเพราะความมัวเมาในปฐมวัยนอกนี้

                          ความประมาทเป็นดุจธุลี ตกต้องแล้วเพราะความมัวเมาใน

                          วัย เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิต พึงถอนลูกศร คือ

                          กิเลสมีราคะเป็นต้นของตนเสีย ด้วยความไม่ประมาทและ

                          ด้วยวิชชา ฯ

ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ  อุฏฐานสูตร    ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ    สุตตนิบาต   ๒. จูฬวรรค 

วิเคราะห์ กึสีลสูตร ปฏิบัติธรรม

   วิเคราะห์ กึสีลสูตร ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ

กึสีลสูตรเป็นพระสูตรที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๒. จูฬวรรค โดยในพระสูตรนี้ พระสารีบุตรได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึงลักษณะของนรชนผู้ดำรงตนในความชอบธรรม และวิธีที่จะบรรลุประโยชน์อันสูงสุด พระสูตรนี้เน้นถึงคุณธรรมและวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับบุคคลผู้ใฝ่หาความเจริญในทางธรรมและสันติสุข ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทของสังคมปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม

สาระสำคัญของกึสีลสูตร

กึสีลสูตรเริ่มต้นด้วยคำถามจากพระสารีบุตรในรูปของคาถาเกี่ยวกับลักษณะของนรชนที่พึงปฏิบัติธรรมเพื่อความเจริญ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบโดยเน้นถึงคุณธรรมดังนี้:

  1. ความอ่อนน้อม (สุภาษิตาและสัมมาคารวะ) นรชนควรประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญ ไม่ริษยา รู้จักกาละและขณะในการฟังธรรม คำแนะนำนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการเคารพครูอาจารย์และผู้มีความรู้ รวมถึงการฟังธรรมด้วยจิตใจที่เปิดกว้างและตั้งมั่นในความเคารพ

  2. การละทิฏฐิและอคติ (ละมานะ) พระพุทธเจ้าทรงสอนให้นรชนละความถือตัว ความริษยา และอคติที่เกิดจากกิเลส การทำลายมานะดุจเสาที่พินาศ หมายถึงการทำลายความยึดมั่นในตัวตนและความหลงผิดในตัวเอง

  3. การบำเพ็ญศีล สมาธิ และปัญญา พระสูตรชี้ให้เห็นถึงการประพฤติตามธรรม ศีล และพรหมจรรย์ นรชนควรยินดีในธรรม ตั้งอยู่ในธรรม และไม่กล่าวคำที่ขัดต่อธรรม นอกจากนี้ การพิจารณาธรรมและการฝึกสมาธิช่วยให้บุคคลสามารถพัฒนาปัญญาและเข้าใจในธรรมะอย่างลึกซึ้ง

  4. การละพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม นรชนควรละการพูดกระซิบ ความหลอกลวง การยินดีในสิ่งผิด ความถือตัว และความหมกมุ่นในกิเลส การปฏิบัติเช่นนี้ช่วยให้บุคคลเป็นผู้ปราศจากความมัวเมาในโลกธรรม และดำรงตนด้วยความเรียบง่าย

  5. การเป็นผู้ตั้งมั่นในธรรม บุคคลที่ตั้งมั่นในธรรม ยินดีในธรรมที่พระอริยะเจ้าประกาศแล้ว ย่อมเหนือกว่าบุคคลทั่วไปด้วยวาจา ใจ และการกระทำ การดำรงอยู่ในสันติ โสรัจจะ และสมาธิ เป็นหนทางสู่การบรรลุธรรมที่เป็นแก่นสาร

การประยุกต์ใช้ในบริบทพุทธสันติวิธี

  1. การสร้างความสมานฉันท์ในสังคม คุณธรรมในกึสีลสูตรสามารถนำไปใช้ในบริบทของการสร้างความสมานฉันท์ในสังคม โดยส่งเสริมให้บุคคลเคารพผู้อื่น ฟังความคิดเห็นที่แตกต่างด้วยความเคารพ และลดความขัดแย้งผ่านการละอคติและความถือตัว

  2. การพัฒนาคุณภาพชีวิตส่วนบุคคล การปฏิบัติตามศีล สมาธิ และปัญญา ช่วยให้บุคคลพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน ทั้งด้านจิตใจและสติปัญญา การฝึกฝนสมาธิยังช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาพจิต

  3. การส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ การเคารพครูและฟังธรรมด้วยความเคารพเน้นถึงความสำคัญของการศึกษาและการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การรู้จักวินิจฉัยธรรมช่วยให้บุคคลมีวิจารณญาณในการประเมินข้อมูลและข้อเท็จจริง

  4. การนำพาสู่สันติสุขภายในและภายนอก การประพฤติตามธรรมช่วยให้บุคคลหลุดพ้นจากความทุกข์และเข้าถึงสันติสุขภายใน ซึ่งส่งผลต่อการสร้างสังคมที่สงบสุขและมั่นคง

บทสรุป

กึสีลสูตรเป็นพระสูตรที่ชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องทั้งในด้านคุณธรรมและการปฏิบัติธรรม สาระสำคัญของพระสูตรนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทของพุทธสันติวิธี เพื่อส่งเสริมความสงบสุขในระดับบุคคลและสังคม การประยุกต์ใช้คำสอนในกึสีลสูตรจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสังคมที่มีคุณธรรมและความสมานฉันท์ในทุกระดับเรื่อง "วิเคราะห์    กึสีลสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต  ๒. จูฬวรรค ที่ประกอบด้วย 

 กึสีลสูตรที่ ๙

             ท่านพระสารีบุตรทูลถามด้วยคาถาว่า

             [๓๒๖] นรชนพึงมีปรกติอย่างไร มีความประพฤติอย่างไร พึงพอก

                          พูนกรรมเป็นไฉน จึงจะเป็นผู้ดำรงอยู่โดยชอบ และพึง

                          บรรลุถึงประโยชน์อันสูงสุดได้  พระเจ้าข้า ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

                          นรชนพึงเป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญ ไม่ริษยา

                          และเมื่อไปหาครูก็พึงรู้จักกาล พึงรู้จักขณะ ฟังธรรมีกถา

                          ที่ครูกล่าวแล้ว พึงฟังสุภาษิตโดยเคารพ พึงไปหาครูผู้

                          นั่งอยู่ในเสนาสนะของตนตามกาล ทำมานะดุจเสาให้พินาศ

                          พึงประพฤติอ่อนน้อม พึงระลึกถึงเนื้อความแห่งภาษิต ธรรม

                          คือบาลี ศีล พรหมจรรย์ และพึงประพฤติโดยเอื้อเฟื้อ

                          ด้วยดี นรชนมีธรรมเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม

                          ตั้งอยู่ในธรรม รู้จักวินิจฉัยธรรม ไม่พึงประพฤติถ้อยคำ

                          ที่ประทุษร้ายธรรมเลย พึงให้กาลสิ้นไปด้วยภาษิตที่แท้ นรชน

                          ละความรื่นเริง การพูดกระซิบ ความร่ำไร ความประทุษ-

                          ร้าย ความหลอกลวงที่ทำด้วยมารยา ความยินดี ความถือตัว

                          ความแข่งดี ความหยาบคาย และความหมกมุ่นด้วยกิเลส

                          ดุจน้ำฝาด พึงเป็นผู้ปราศจากความมัวเมา ดำรงตนมั่น

                          เที่ยวไป นรชนเช่นนั้น รู้แจ้งสุภาษิตที่เป็นสาระ รู้แจ้ง

                          สูตรและสมาธิที่เป็นสาระ ปัญญาและสุตะ ย่อมไม่เจริญ

                          แก่นรชนผู้เป็นคนผลุนผลัน เป็นคนประมาท ส่วนนรชน

                          เหล่าใด ยินดีแล้วในธรรมที่พระอริยะเจ้าประกาศแล้ว นรชน

                          เหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ที่เหลือด้วยวาจา ด้วยใจ

                          และการงาน นรชนเหล่านั้นดำรงอยู่ด้วยดีแล้วในสันติ

                          โสรัจจะ และสมาธิ ได้บรรลุถึงธรรมอันเป็นสาระแห่งสติ

                          และปัญญา ฯ


ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ   กึสีลสูตร    ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ    สุตตนิบาต   ๒. จูฬวรรค

วิเคราะห์ นาวาสูตรปฏิบัติธรรม

วิเคราะห์นาวาสูตรในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ

นาวาสูตร หนึ่งในพระสูตรสำคัญที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต จูฬวรรค ได้แสดงธรรมเกี่ยวกับคุณค่าของครูผู้มีปัญญา (พหูสูต) และความสำคัญของการศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อข้ามพ้นจากความสงสัยและความทุกข์ อุปมาในสูตรนี้ได้เปรียบเทียบการเดินทางข้ามแม่น้ำที่เชี่ยวกรากกับการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผล นิพพาน ในบริบทของพุทธสันติวิธี นาวาสูตรนำเสนอหลักธรรมที่เป็นพื้นฐานในการสร้างสังคมที่สงบสุขและการพัฒนาปัญญาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

สาระสำคัญของนาวาสูตร

นาวาสูตรนำเสนอหลักธรรมที่เน้นบทบาทของ "ครู" หรือ "อาจารย์" ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ ครูที่เป็นพหูสูตมีคุณลักษณะสำคัญคือ

  1. ความรู้แจ้งธรรม: เป็นผู้ที่เข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง และสามารถชี้แจงธรรมให้ผู้อื่นเข้าใจได้

  2. ความมีจิตเมตตาและความเอื้อเฟื้อ: ยินดีช่วยเหลือศิษย์ด้วยจิตเลื่อมใส

  3. การประพฤติตนเป็นแบบอย่าง: ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นผู้ละเอียดละออและมีคุณธรรม

ในทางกลับกัน สูตรยังชี้ให้เห็นโทษของอาจารย์ผู้ไร้ปัญญาและความจริงใจ ซึ่งไม่สามารถพัฒนาตนเองหรือช่วยเหลือผู้อื่นได้ เหมือนคนที่กำลังลอยไปตามกระแสน้ำเชี่ยวที่ไม่สามารถช่วยผู้อื่นข้ามฝั่งได้

อุปมาเรือและมรรคญาณ

นาวาสูตรใช้ภาพอุปมาเรือที่มั่นคง ซึ่งมีพายและถ่อพร้อมเป็นสื่อแสดงถึง "มรรคญาณทั้ง 4" ได้แก่

  1. สติปัฏฐาน 4: ความระลึกชอบในกาย เวทนา จิต และธรรม

  2. สัมมัปปธาน 4: ความเพียรชอบ

  3. อิทธิบาท 4: คุณธรรมที่เป็นเหตุให้สำเร็จ

  4. โพชฌงค์ 7: องค์ประกอบของการตรัสรู้

บุคคลที่มีคุณลักษณะดังกล่าวสามารถช่วยผู้อื่นให้ข้ามพ้นความทุกข์ด้วยธรรมะและปัญญา

พุทธสันติวิธีกับการประยุกต์นาวาสูตร

นาวาสูตรสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทพุทธสันติวิธีได้ดังนี้:

  1. การศึกษาและพัฒนาตนเอง: ผู้ปฏิบัติธรรมควรเรียนรู้จากครูผู้มีปัญญาอย่างลึกซึ้งและประพฤติตามหลักธรรมเพื่อพัฒนาจิตใจและปัญญา

  2. การช่วยเหลือผู้อื่น: การเป็นผู้นำทางที่ดีในชุมชนหรือองค์กรจำเป็นต้องมีปัญญา ความจริงใจ และความสามารถในการประยุกต์ใช้ธรรมะในการแก้ปัญหา

  3. การสร้างสังคมที่สงบสุข: ความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ในนาวาสูตรแสดงถึงความสำคัญของความเมตตาและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในการสร้างสังคมที่ปราศจากความขัดแย้ง

ข้อสรุป

นาวาสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 สอนหลักธรรมที่มีคุณค่าในการพัฒนาตนเองและการสร้างสังคมที่สงบสุขผ่านการปฏิบัติธรรมและการช่วยเหลือผู้อื่น ภาพอุปมาเรือที่มั่นคงสะท้อนถึงการปฏิบัติธรรมที่เป็นปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตและจิตวิญญาณ ในบริบทพุทธสันติวิธี นาวาสูตรเป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของครูผู้มีปัญญาและการปฏิบัติตามธรรมะเพื่อให้สังคมเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขอย่างแท้จริง

รื่อง "วิเคราะห์  นาวาสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต  ๒. จูฬวรรค ที่ประกอบด้วย 

 นาวาสูตรที่ ๘

             [๓๒๕] ก็บุรุษพึงรู้แจ้งธรรมจากบุคคลใด พึงบูชาบุคคลนั้น เหมือน

                          เทวดาบูชาพระอินทร์ ฉะนั้น บุคคลนั้นเป็นพหูสูต ผู้อัน-

                          เตวาสิกบูชาแล้ว มีจิตเลื่อมใสอันเตวาสิกนั้น ย่อม

                          ชี้แจงธรรมให้แจ่มแจ้ง บุรุษผู้มีปัญญา ไม่ประมาท

                          คบบุคคลผู้เป็นพหูสูตเช่นนั้น กระทำธรรมนั้นให้มีประโยชน์

                          ใคร่ครวญแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมเป็น

                          ผู้รู้แจ่มแจ้ง แสดงธรรมแก่ผู้อื่นและเป็นผู้ละเอียด อัน-

                          เตวาสิกซ่องเสพ อาจารย์ผู้ประกอบด้วยธรรมน้อย เป็นคน

                          เขลา ผู้ยังไม่บรรลุประโยชน์และฤษยา ไม่ยังธรรมให้แจ่ม

                          แจ้งในศาสนานี้เทียว ยังข้ามความสงสัยไม่ได้ ย่อม

                          เข้าถึงความตาย บุคคลไม่ยังธรรมให้แจ่มแจ้งแล้ว ไม่

                          ใคร่ครวญเนื้อความในสำนัก แห่งบุคคลผู้เป็นพหูสูตทั้งหลาย

                          ไม่รู้ด้วยตนเอง ยังข้ามความสงสัยไม่ได้ จะสามารถ

                          ให้ผู้อื่นเพ่งพินิจได้อย่างไร เหมือนคนข้ามแม่น้ำที่มีน้ำมาก

                          มีกระแสไหลเชี่ยว ถูกน้ำพัดลอยไปตามกระแสน้ำ จะ

                          สามารถช่วยให้ผู้อื่นข้ามได้อย่างไร ฉะนั้น ผู้ใดขึ้นสู่เรือที่

                          มั่นคง มีพายุและถ่อพร้อมมูล ผู้นั้นรู้อุบายในเรือนั้น

                          เป็นผู้ฉลาด มีสติ พึงช่วยผู้อื่นแม้จำนวนมากในเรือนั้นให้

                          ข้ามได้ แม้ฉันใด ผู้ใดไปด้วยมรรคญาณทั้ง ๔ อบรม

                          ตนแล้ว เป็นพหูสูต ไม่มีความหวั่นไหวเป็นธรรมดา ผู้นั้น

                          แลรู้ชัดอยู่ พึงยังผู้อื่นผู้ตั้งใจสดับและสมบูรณ์ด้วยธรรม

                          อันเป็นอุปนิสัยให้เพ่งพินิจได้ ฉันนั้น เพราะเหตุนั้นแล

                          บุคคลควรคบสัปบุรุษผู้มีปัญญา เป็นพหูสูต บุคคลผู้คบ

                          บุคคลเช่นนั้น รู้ชัดเนื้อความแล้ว ปฏิบัติอยู่ รู้แจ้งธรรม

                          แล้ว พึงได้ความสุข ฯ



ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ นาวาสูตร   ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ    สุตตนิบาต   ๒. จูฬวรรค 

วิเคราะห์ พราหมณธรรมิกสูตรความเสื่อมถอยของพราหมณธรรม

วิเคราะห์พราหมณธรรมิกสูตรในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ พราหมณธรรมิกสูตรเป็นพระสูตรสำคัญในพระไตรปิฎก เล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต จูฬวรรค ซึ่งสะท้อนถึงคำสอนในเชิงสังคมและจริยธรรมของพระพุทธเจ้า พระสูตรนี้กล่าวถึงการเสื่อมถอยของคุณธรรมในกลุ่มชนชั้นพราหมณ์ที่เคยปฏิบัติตามหลักธรรมอย่างเคร่งครัด และเน้นย้ำถึงความสำคัญของจริยธรรม การเสียสละ และความเป็นผู้สำรวมในบริบทของการดำเนินชีวิตที่สร้างสันติสุขในสังคม

สาระสำคัญของพราหมณธรรมิกสูตร

  1. ความเสื่อมถอยของพราหมณธรรม พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในหมู่พราหมณ์ที่ละเลยหลักธรรมเก่าแก่ เช่น ความสำรวม การไม่สะสมทรัพย์ และความยึดมั่นในพรหมจรรย์ โดยพระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าพราหมณ์ในอดีตประพฤติตนอย่างเหมาะสม ด้วยการดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายและสำรวมตน แต่ในยุคปัจจุบัน (ตามบริบทของพระสูตร) พราหมณ์กลับเสื่อมจากคุณธรรมเหล่านั้นและมุ่งหวังในลาภยศและกามสุข

  2. หลักธรรมของพราหมณ์ในอดีต พราหมณ์ในอดีตปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า "พราหมณธรรม" อันประกอบด้วยการไม่สะสมทรัพย์ การดำรงพรหมจรรย์ การไม่เบียดเบียน และการแสวงหาความรู้และความสงบในจิตใจ หลักธรรมเหล่านี้สร้างความเป็นระเบียบในสังคมและเป็นที่เคารพของชนชั้นอื่นๆ

  3. การเน้นย้ำศีลธรรมและขันติ พระพุทธเจ้าเน้นย้ำถึงความสำคัญของศีล ความอดทน และความไม่เบียดเบียนในฐานะหลักการสำคัญที่นำไปสู่ความสงบสุขในสังคม การกระทำอันเป็นเหตุแห่งความเสื่อม เช่น การบูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์ ถูกตำหนิในพระสูตรนี้ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อพราหมณธรรมแท้จริง

  4. ผลกระทบของการเสื่อมถอยทางศีลธรรม การเสื่อมถอยของพราหมณ์ในพระสูตรส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในสังคม เช่น การเบียดเบียนสัตว์ ความเห็นแก่ตัว และการหลงในกามสุข นำไปสู่ความวิปลาสในจิตใจและความแตกแยกในสังคม

พุทธสันติวิธีในพราหมณธรรมิกสูตร

พราหมณธรรมิกสูตรแสดงให้เห็นว่าพุทธสันติวิธีมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาทางสังคมโดยอาศัยหลักธรรมดังนี้:

  1. การส่งเสริมจริยธรรมในระดับปัจเจก พระพุทธเจ้าเน้นว่าความสงบสุขเริ่มต้นจากการปฏิบัติธรรมในระดับปัจเจกบุคคล เช่น การรักษาศีล การพัฒนาสติ และความสำรวมในจิตใจ เมื่อบุคคลปฏิบัติตามธรรม สังคมโดยรวมย่อมสงบสุข

  2. การวิจารณ์ระบบที่ไม่ยุติธรรม พระพุทธเจ้าทรงวิจารณ์การบูชายัญที่พราหมณ์ในยุคนั้นกระทำเพียงเพื่อลาภยศและความพึงพอใจส่วนตน การกระทำดังกล่าวนอกจากจะขัดต่อศีลธรรมแล้วยังส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนแก่สรรพสัตว์

  3. การสร้างจิตสำนึกสาธารณะ พระสูตรนี้กระตุ้นให้คนในสังคมมีจิตสำนึกในการทำความดี โดยการแสดงออกถึงความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟื้อ และการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

การประยุกต์ใช้พราหมณธรรมิกสูตรในปัจจุบัน

  1. การศึกษาและปลูกฝังคุณธรรมในสังคม คำสอนในพราหมณธรรมิกสูตรสามารถนำมาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อปลูกฝังคุณธรรม เช่น การมีศีล การไม่เบียดเบียน และการพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น

  2. การส่งเสริมชีวิตเรียบง่ายและยั่งยืน พระสูตรเน้นถึงคุณค่าของชีวิตที่เรียบง่ายและไม่ยึดติดกับวัตถุ การนำหลักนี้มาปรับใช้สามารถช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความยั่งยืนในระดับโลก

  3. การแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม หลักเมตตา กรุณา และขันติ สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคลและกลุ่มชนในสังคม เพื่อสร้างความปรองดองและสันติสุข

สรุป พราหมณธรรมิกสูตรเป็นพระสูตรที่สะท้อนหลักธรรมอันลึกซึ้งเกี่ยวกับจริยธรรม การดำเนินชีวิตอย่างสำรวม และความสำคัญของความเสียสละในบริบทสังคม คำสอนในพระสูตรนี้ยังคงมีความสำคัญและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในยุคปัจจุบันเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและสร้างสันติสุขในชีวิตและโลกของเรา

 เรื่อง "วิเคราะห์ พราหมณธรรมิกสูตร   ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต  ๒. จูฬวรรค ที่ประกอบด้วย 

 พราหมณธรรมิกสูตรที่ ๗

             [๓๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาศาลชาว

แคว้นโกศลเป็นอันมาก ผู้แก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ เข้าไป

เฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่าน

การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วทูลถาม

พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บัดนี้ พวกพราหมณ์ย่อมปรากฏใน

พราหมณธรรมของพวกพราหมณ์เก่าหรือ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์

ทั้งหลาย บัดนี้ พวกพราหมณ์หาปรากฏในพราหมณธรรมของพวกพราหมณ์

เก่าไม่ ฯ

             พ. ขอประทานพระวโรกาส ขอท่านพระโคดมโปรดตรัสพราหมณธรรม

ของพวกพราหมณ์เก่า แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด ถ้าท่านพระโคดมไม่มีความหนัก

พระทัย ฯ

             ภ. ดูกรพราหมณ์ทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงตั้งใจ จงใส่ใจ

ให้ดี เราจักกล่าว ฯ

             พราหมณ์มหาศาลเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาค

ได้ตรัสคาถาประพันธ์นี้ว่า

             [๓๒๓] ฤาษีทั้งหลายมีในครั้งก่อน สำรวมตน มีตบะละเบญจกาม-

                          คุณแล้ว ได้ประพฤติประโยชน์ของตนๆ พวกพราหมณ์

                          แต่เก่าก่อนไม่มีสัตว์เลี้ยง ไม่มีเงิน ไม่มีสิ่งของต่างๆ

                          พราหมณ์เหล่านั้น มีทรัพย์และข้าวเปลือกอันเป็นส่วนแห่ง

                          การสาธยายมนต์ ได้รักษาขุมทรัพย์อันประเสริฐไว้ ภัตที่

                          ประตูเรือนทายกทั้งหลาย เริ่มทำตั้งไว้แล้วเพื่อพราหมณ์เหล่า

                          นั้น ทายกทั้งหลายได้สำคัญภัตนั้นว่า เป็นของที่ตนควรให้

                          แก่พราหมณ์เหล่านั้น ผู้แสวงหาภัตที่เริ่มทำไว้แล้วด้วย

                          ศรัทธา ชาวชนบท ชาวแว่นแคว้น ผู้มั่งคั่งด้วยผ้าที่ย้อม

                          ด้วยสีต่างๆ และด้วยที่นอนและที่อยู่ ได้นอบน้อมพราหมณ์

                          เหล่านั้น พราหมณ์ทั้งหลายผู้อันธรรมรักษาแล้ว ใครๆ ไม่

                          พึงฆ่า ไม่พึงชนะ ใครๆ ไม่ห้ามพราหมณ์เหล่านั้น ที่

                          ประตูแห่งสกุลทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง พราหมณ์เหล่า

                          นั้นประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่เป็นเด็กมาตลอดเวลาสี่สิบแปด

                          ปี ได้เที่ยวไปแสวงหาวิชชาและจรณะในกาลก่อน พราหมณ์

                          เหล่านั้นไม่ไปหาหญิงอื่น ทั้งไม่ซื้อภรรยา อยู่ร่วมกันเพราะ

                          ความรัก ชอบใจเสมอกันเท่านั้น พราหมณ์ผู้เป็นสามี ย่อม

                          ไม่ร่วมกับภรรยาผู้เว้นจากฤดู นอกจากสมัยที่ควรจะร่วม

                          พราหมณ์ย่อมไม่ร่วมเมถุนธรรมในระหว่างโดยแท้ พราหมณ์

                          ทั้งหลายสรรเสริญพรหมจรรย์ ศีล ความเป็นผู้ซื่อตรง ความ

                          อ่อนโยน ตบะความสงบเสงี่ยม และความไม่เบียดเบียน และ

                          แม้ความอดทน พราหมณ์ผู้เสมอด้วยพรหม ผู้มีความบาก

                          บั่นมั่นคง เป็นผู้สูงสุดกว่าพราหมณ์เหล่านั้น และพราหมณ์

                          นั้นย่อมไม่เสพเมถุนธรรมโดยที่สุดความฝัน พราหมณ์บาง

                          พวก ผู้มีชาติแห่งบุคคลผู้รู้แจ้งในโลกนี้ศึกษาตามวัตรของ

                          พราหมณ์ผู้เสมอด้วยพรหมนั้นอยู่ ได้สรรเสริญพรหมจรรย์

                          ศีลและแม้ขันติ พราหมณ์ทั้งหลายขอข้าวสาร ที่นอน ผ้า

                          เนยใสและน้ำมัน แล้วรวบรวมไว้โดยธรรม ได้กระทำยัญ คือ

                          ทานแต่วัตถุ มีข้าวสารเป็นต้นที่เขาให้แล้วนั้น ในยัญที่ตน

                          ตั้งไว้ พราหมณ์เหล่านั้นไม่ฆ่าแม่โคเลย มารดา บิดา พี่น้อง

                          ชายหรือญาติเหล่าอื่น มิตรผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ฆ่าแม่โค ซึ่งเป็นที่เกิด

                          แห่งปัญจโครสอันเป็นยา ฉันใด แม่โคเหล่านี้ให้ข้าว ให้

                          กำลัง ให้วรรณะ และให้ความสุข พราหมณ์เหล่านั้น

                          ทราบอำนาจประโยชน์นี้แล้ว จึงไม่ฆ่าแม่โคเลย ฉันนั้น

                          พราหมณ์ทั้งหลายผู้ละเอียดอ่อน มีร่างกายใหญ่ มีวรรณะ

                          มียศ ขวนขวายในกิจน้อยใหญ่ โดยธรรมของตน ได้

                          ประพฤติแล้วด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นเหตุให้หมู่สัตว์นี้ถึงความ

                          สุขในโลก ความวิปลาสได้มีแก่พราหมณ์เหล่านั้น เพราะ

                          ได้เห็นกามสุขอัน (ลามก) น้อย ที่เกิดขึ้นจากกามคุณ

                          อันเป็นของ (ลามก) น้อย พราหมณ์ทั้งหลายได้

                          ปรารถนาเพ่งเล็งสมบัติของพระราชา เหล่านารีที่ประดับ

                          ดีแล้ว รถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ที่สร้างตกแต่งไว้เป็นอย่างดี

                          มีการขลิบอันวิจิตร พื้นที่เรือน เรือนที่สร้างกั้นเป็นห้องๆ

                          และโภคสมบัติซึ่งเป็นของมนุษย์อันโอฬาร เกลื่อนกล่นไป

                          ด้วยฝูงโค ประกอบไปด้วยหมู่นารีผู้ประเสริฐ พราหมณ์

                          เหล่านั้นผูกมนต์ในที่นั้นแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าโอกกาก-

                          ราชในกาลนั้นกราบทูลว่า พระองค์มีทรัพย์และข้าวเปลือก

                          มากมาย ขอเชิญพระองค์ทรงบูชายัญเถิด พระราชทรัพย์

                          เครื่องปลื้มใจของพระองค์มีมาก ลำดับนั้นแล พราหมณ์

                          ทั้งหลายยังพระราชาผู้ประเสริฐ ให้ทรงยินยอมบูชายัญ

                          อัสสเมธะ ปุริสเมธะ (สัมมาปาสะ) วาชเปยยะ นิรัคคฬะ

                          พระราชาทรงบูชายัญเหล่านี้แล้ว ได้พระราชาทานทรัพย์แก่

                          พราหมณ์ทั้งหลาย คือ แม่โค ที่นอน ผ้า เหล่านารีที่

                          ประดับดีแล้ว รถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ที่สร้างตกแต่งไว้

                          เป็นอย่างดี มีการขลิบอันวิจิตร รับสั่งให้เอาธัญชาติต่างๆ

                          บรรจุเรือนที่น่ารื่นรมย์ อันกั้นไว้เป็นห้องๆ จนเต็มทุกห้อง

                          แล้วได้พระราชทานทรัพย์แก่พราหมณ์ทั้งหลาย ก็พราหมณ์

                          เหล่านั้นได้ทรัพย์ในที่นั้นแล้ว ชอบใจการสั่งสมเสมอ

                          ตัณหาย่อมเจริญยิ่งแก่พราหมณ์เหล่านั้น ผู้มีความปรารถนา

                          อันหยั่งลงแล้ว พราหมณ์เหล่านั้นผูกมนต์ในที่นั้นแล้ว ได้

                          เข้าเฝ้าพระเจ้าโอกกากราชอีก กราบทูลว่า แม่โคทั้งหลาย

                          เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์สำหรับรับใช้ในสรรพกิจของมนุษย์

                          เหมือนน้ำ แผ่นดิน เงิน ทรัพย์ และข้าวเหนียว ฉะนั้น

                          เพราะว่าน้ำเป็นต้นนั้นเป็นเครื่องใช้ของสัตว์ทั้งหลาย ขอ

                          พระองค์ทรงบูชายัญเถิด ราชสมบัติของพระองค์มีมาก ขอ

                          เชิญพระองค์ทรงบูชายัญเถิด พระราชทรัพย์ของพระองค์มี

                          มาก ลำดับนั้นแล พราหมณ์ทั้งหลายยังพระราชาผู้ประเสริฐ

                          ให้ทรงยินยอมบูชายัญแล้ว ในการบูชายัญ พระราชาทรง

                          รับสั่งให้ฆ่าแม่โคหลายแสนตัว แม่โคทั้งหลายเสมอด้วยแพะ

                          สงบเสงี่ยม ถูกเขารีดนมด้วยหม้อ ย่อมไม่เบียดเบียนด้วยเท้า

                          ด้วยเขา ด้วยอวัยวะอะไรๆ โดยแท้ พระราชารับสั่งให้

                          จับแม่โคเหล่านั้นที่เขาแล้วให้ฆ่าด้วยศาตรา ลำดับนั้น

                          เทวดา พระอินทร์ พระพรหม อสูรและผีเสื้อน้ำ ต่างเปล่ง

                          วาจาว่า มนุษย์ไม่มีธรรม แล่นไปเพราะศาตราตกลงที่แม่โค

                          โรคสามชนิด คือ ความปรารถนา ๑ อนสนัญชรา ๑

                          (ความแก่หง่อม) ๑ ความปรารภสัตว์ของเลี้ยง ๑ ได้มีในกาล

                          ก่อน ได้แพร่โรคออกเป็น ๙๘ ชนิด บรรดาอาชญาทั้งหลาย

                          อธรรมนี้เป็นของเก่า เป็นไปแล้ว แม่โคทั้งหลายผู้ไม่

                          ประทุษร้ายย่อมถูกฆ่า คนผู้บูชายัญทั้งหลายย่อมเสื่อมจาก

                          ธรรม ธรรมอันเลวทรามนี้เป็นของเก่า วิญญูชนติเตียนแล้ว

                          อย่างนี้ วิญญูชนเห็นธรรมอันเลวทรามเช่นนี้ในที่ใด ย่อม

                          ติเตียนคนผู้บูชายัญในที่นั้นเมื่อธรรมของพราหมณ์เก่าฉิบหาย

                          แล้วอย่างนี้ศูทรและแพศย์แตกกันแล้ว กษัตริย์เป็นอันมาก

                          แตกกันแล้ว ภรรยาดูหมิ่นสามี กษัตริย์พราหมณ์ผู้เป็นเผ่า

                          พันธุ์แห่งพรหม แพศย์และศูทรเหล่าอื่น ผู้อันโคตรรักษา

                          แล้วทำวาทะว่าชาติให้ฉิบหายแล้ว ได้ตกอยู่ในอำนาจแห่ง

                          กามทั้งหลาย ฯ

             [๓๒๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์มหาศาลเหล่า

นั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่ม

แจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรง

ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของคว่ำ เปิดของที่ปิด

บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่าคนมีจักษุจักเห็นรูป

ฉะนั้นข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุ

สงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระองค์เหล่านี้ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึง

สรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ



ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ พราหมณธรรมิกสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ    สุตตนิบาต   ๒. จูฬวรรค 

วิเคราะห์ ธรรมจริยสูตร ประพฤติธรรมพรหมจรรย์

     วิเคราะห์ธรรมจริยสูตรในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ

ธรรมจริยสูตร ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต จูฬวรรค เป็นพระสูตรที่มีความสำคัญในการเสนอแนวทางปฏิบัติธรรมเพื่อความบริสุทธิ์และการดำเนินชีวิตที่ปราศจากกิเลส บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์สาระสำคัญของธรรมจริยสูตรในบริบทของพุทธสันติวิธี โดยเน้นการประยุกต์ใช้หลักธรรมในชีวิตประจำวันและการสร้างสังคมที่สงบสุข

สาระสำคัญของธรรมจริยสูตร

ธรรมจริยสูตรเน้นถึงความสำคัญของความประพฤติธรรมและพรหมจรรย์ อันเป็นเครื่องอยู่อันสูงสุดในพุทธศาสนา พระสูตรระบุถึงความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงและการดำเนินชีวิตที่ปราศจากความบริสุทธิ์ดังนี้:

  1. ความสำคัญของความประพฤติธรรมและพรหมจรรย์

    • ความประพฤติธรรม (ธรรมจริยา) และพรหมจรรย์ถือเป็นวิถีทางที่นำไปสู่ความบริสุทธิ์และความสงบสุขสูงสุด

    • การประพฤติธรรมที่ถูกต้องต้องปราศจากความเบียดเบียนและความทะเลาะวิวาท

  2. ผลของความประพฤติที่ไม่บริสุทธิ์

    • บุคคลที่ยินดีในความเบียดเบียน ย่อมทำให้กิเลส เช่น ราคะ โทสะ และโมหะ เจริญขึ้น

    • ความประพฤติที่ไม่บริสุทธิ์นำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดในสภาวะที่ทุกข์ทรมาน เช่น นรกและการเกิดใหม่ในภพภูมิที่ต่ำ

  3. การปฏิบัติร่วมกับผู้บริสุทธิ์

    • พระสูตรแนะนำให้เว้นบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ผู้มีความปรารถนาลามกและอาจาระที่ไม่ดี

    • การอยู่ร่วมกับบุคคลที่บริสุทธิ์ช่วยเสริมสร้างความสงบสุขและการบรรลุธรรม

พุทธสันติวิธีในบริบทธรรมจริยสูตร

พุทธสันติวิธีหมายถึงการสร้างความสงบสุขทั้งภายในจิตใจและในสังคม โดยใช้หลักธรรมเป็นเครื่องมือ ธรรมจริยสูตรสามารถประยุกต์ใช้ในบริบทของพุทธสันติวิธีได้ดังนี้:

  1. การพัฒนาตนเอง

    • การฝึกปฏิบัติพรหมจรรย์และการประพฤติธรรมช่วยลดกิเลสในจิตใจ ทำให้บุคคลสามารถสร้างความสงบสุขภายในตนเองได้

    • การหลีกเลี่ยงความเบียดเบียนและการทะเลาะวิวาทช่วยป้องกันการเกิดความขัดแย้งในสังคม

  2. การสร้างชุมชนที่บริสุทธิ์

    • การเลือกคบหาบุคคลที่มีคุณธรรมและการขจัดบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจากชุมชนช่วยสร้างสังคมที่สงบสุขและเอื้อต่อการปฏิบัติธรรม

    • การเคารพกันและกันในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมส่งเสริมความร่วมมือและความสามัคคี

  3. การนำธรรมะไปประยุกต์ใช้ในสังคม

    • การใช้ธรรมจริยสูตรเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม เช่น ความขัดแย้งและการขาดความสามัคคี

    • การส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับธรรมะในชุมชนช่วยยกระดับจิตสำนึกทางศีลธรรมของบุคคลทั่วไป

สรุป

ธรรมจริยสูตรเน้นถึงความสำคัญของการประพฤติธรรมและพรหมจรรย์ในฐานะเครื่องมือในการลดกิเลสและสร้างความสงบสุขสูงสุด ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและระดับสังคม การประยุกต์ใช้ธรรมจริยสูตรในปริบทพุทธสันติวิธีช่วยเสริมสร้างสังคมที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมและความเจริญก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา

 เรื่อง "วิเคราะห์    ธรรมจริยสูตร      ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต  ๒. จูฬวรรค ที่ประกอบด้วย 

 ธรรมจริยสูตรที่ ๖

             [๓๒๑] พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวความประพฤติทั้งที่เป็นโลกิยและ

                          โลกุตระทั้งสองนี้ คือ ความประพฤติธรรม พรหมจรรย์

                          ว่าเป็น (แก้วอันสูงสุด) ธรรมเครื่องอยู่อันสูงสุด ถึงแม้

                          บุคคลออกบวชเป็นบรรพชิต ถ้าบุคคลนั้นเป็นชาติปากกล้า

                          ยินดีแล้วในความเบียดเบียนดุจเนื้อไซร้ ความเป็นอยู่ของ

                          บุคคลนั้นเลวทราม ย่อมยังกิเลสธุลีมีราคะเป็นต้นของตนให้

                          เจริญ ภิกษุผู้ยินดีแล้วในความทะเลาะ ถูกธรรมคือโมหะ

                          หุ้มห่อแล้ว ย่อมไม่รู้ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว แม้

                          อันเหล่าภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักบอกแล้ว ภิกษุผู้ถูกอวิชชา

                          หุ้มห่อแล้ว ทำตนที่อบรมแล้วให้ลำบากอยู่ ย่อมไม่รู้ความ

                          เศร้าหมอง ย่อมไม่รู้ทางอันให้ถึงนรก เมื่อไม่รู้ก็เข้าถึง

                          วินิบาต เข้าถึงครรภ์จากครรภ์ เข้าถึงที่มืดจากที่มืด ภิกษุผู้

                          เช่นนั้นแล ละไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความทุกข์ ก็บุคคลใดผู้

                          มีการงานเศร้าหมองเห็นปานนี้ตลอดกาลนาน พึงเป็นผู้เต็ม

                          แล้วด้วยบาป เหมือนหลุมคูถที่เต็มอยู่นานปี พึงเป็นหลุม

                          เต็มด้วยคูถ ฉะนั้น บุคคลนั้นเป็นผู้มีกิเลสเครื่องยียวน

                          หมดจดได้โดยยาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงรู้จัก

                          บุคคลผู้อาศัยเรือน ผู้มีความปรารถนาลามก ผู้มีความดำริ

                          ลามก ผู้มีอาจาระและโคจรลามกเห็นปานนี้ เธอทั้งปวงพึง

                          เป็นผู้พร้อมเพรียงกันเว้นบุคคลนั้นเสีย จงกำจัดบุคคลผู้เป็น

                          เพียงดังแกลบ จงคร่าบุคคลผู้เป็นเพียงดังหยากเยื่อออกเสีย

                          แต่นั้นจงขับบุคคลลีบผู้ไม่ใช่สมณะแต่มีความสำคัญว่าเป็น

                          สมณะไปเสีย ครั้นกำจัดบุคคลผู้มีความปรารถนาลามก มี

                          อาจาระและโคจรลามกออกไปแล้ว เธอทั้งหลายผู้บริสุทธิ์

                          แล้ว มีความเคารพกันและกัน จงสำเร็จการอยู่ร่วมด้วย

                          บุคคลผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย แต่นั้น เธอทั้งหลายผู้พร้อมเพรียง

                          กัน มีปัญญาเครื่องรักษาตน จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ



ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ   ธรรมจริยสูตร  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ    สุตตนิบาต   ๒. จูฬวรรค 

"วิเคราะห์ สูจิโลมสูตร

    วิเคราะห์ สูจิโลมสูตร ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้

บทนำ

พระไตรปิฎกเป็นแหล่งรวบรวมพระพุทธพจน์และพระธรรมคำสอนที่ครอบคลุมหลากหลายประเด็นสำคัญในชีวิตมนุษย์ หนึ่งในพระสูตรที่มีเนื้อหาสำคัญต่อการทำความเข้าใจหลักพุทธธรรมคือ สูจิโลมสูตร ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต 2. จูฬวรรค) พระสูตรนี้สะท้อนความสำคัญของปัญญา การละกิเลส และวิธีเผชิญหน้ากับอุปสรรคในชีวิตประจำวัน โดยใช้หลักพุทธสันติวิธีที่สามารถประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบันได้อย่างลึกซึ้ง

1. บริบทและเนื้อหาในสูจิโลมสูตร

สูจิโลมสูตรเล่าเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใกล้บ้านคยา และทรงพบกับขรยักษ์และสูจิโลมยักษ์ ซึ่งสูจิโลมยักษ์ได้กล่าวว่าพระองค์เป็นสมณะเทียม และแสดงความท้าทายด้วยการถามปัญหาธรรม โดยเนื้อหาของปัญหาที่สูจิโลมยักษ์ถามนั้นมุ่งเน้นถึงแหล่งที่มาของราคะ โทสะ ความไม่ยินดี ความยินดี และวิตก พระพุทธเจ้าทรงตอบด้วยพระคาถาที่อธิบายว่า กิเลสทั้งหลายเกิดจากความเยื่อใยในอัตภาพและความยึดมั่นในตัวตน เช่นเดียวกับย่านไทรที่เติบโตและยึดเหนี่ยวต้นไทร

2. หลักธรรมในสูจิโลมสูตร

พระสูตรนี้สอดแทรกหลักธรรมสำคัญ ได้แก่:

  1. อัตภาพเป็นเหตุ: ราคะ โทสะ และวิตก เกิดจากการยึดมั่นในอัตภาพและตัวตน การปล่อยวางตัวตนช่วยลดความยึดติดและกิเลส

  2. ความเยื่อใยในตน: กิเลสเปรียบเสมือนย่านไทรที่เติบโตในต้นไทร การละกิเลสจึงเริ่มจากการทำลายรากฐานของความเยื่อใย

  3. การปล่อยวาง: การบรรเทากิเลสและการข้ามโอฆะ (กระแสแห่งกิเลส) เกิดจากการปล่อยวางและการพัฒนาปัญญา

3. พุทธสันติวิธีในบริบทสูจิโลมสูตร

ในแง่ของพุทธสันติวิธี สูจิโลมสูตรชี้ให้เห็นถึงการเผชิญหน้ากับความท้าทายและความขัดแย้งด้วยปัญญาและความสงบ พระพุทธเจ้าทรงแสดงตัวอย่างของการตอบโต้ความท้าทายด้วยความเมตตาและปัญญา โดยไม่ตอบสนองด้วยความรุนแรงหรืออารมณ์ร้าย

  1. การใช้ปัญญาแทนความรุนแรง: เมื่อสูจิโลมยักษ์ท้าทาย พระพุทธเจ้าไม่ได้โต้ตอบด้วยการใช้กำลัง แต่ทรงตอบด้วยธรรมปัญญา เพื่อเปลี่ยนมุมมองของยักษ์

  2. การละอัตตา: การละอัตตาหรือความยึดมั่นในตัวตน ช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความสงบในจิตใจ

  3. ความเมตตาและกรุณา: แม้สูจิโลมยักษ์แสดงท่าทีคุกคาม พระพุทธเจ้าก็ยังทรงแสดงเมตตาและให้ธรรมะแก่เขา

4. การประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน

เนื้อหาของสูจิโลมสูตรสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและการแก้ไขปัญหาสังคมได้ดังนี้:

  1. การจัดการกับความขัดแย้ง: ใช้หลักการตอบโต้ด้วยปัญญาแทนความรุนแรง เช่น ในการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งระหว่างบุคคลหรือองค์กร

  2. การพัฒนาสติและสมาธิ: การลดกิเลสและการปล่อยวางช่วยสร้างความสงบและความสุขในชีวิตประจำวัน

  3. การสร้างความเมตตาในสังคม: การตอบสนองต่อความท้าทายด้วยเมตตา ช่วยลดความขัดแย้งและส่งเสริมความสามัคคี

บทสรุป

สูจิโลมสูตรนำเสนอธรรมะที่เน้นการละกิเลสและการปล่อยวางอัตภาพ ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธสันติวิธี การเผชิญหน้ากับความขัดแย้งด้วยปัญญา ความเมตตา และความสงบ นอกจากจะช่วยพัฒนาชีวิตส่วนบุคคลแล้ว ยังสามารถส่งเสริมสันติภาพในสังคมได้อย่างยั่งยืน การเรียนรู้และปฏิบัติตามหลักธรรมในสูจิโลมสูตรจึงเป็นแนวทางที่ทรงคุณค่าสำหรับผู้แสวงหาความสงบสุขและปัญญาในชีวิต

เรื่อง "วิเคราะห์    สูจิโลมสูตร       ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต  ๒. จูฬวรรค ที่ประกอบด้วย 

 สูจิโลมสูตรที่ ๕

             [๓๑๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่บน (แท่นหิน) เตียงมีแม่แคร่

ในที่อยู่ของสูจิโลมยักษ์ ใกล้ (เท่า) บ้านคยา ก็สมัยนั้นแล ขรยักษ์และ

สูจิโลมยักษ์เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้น ขรยักษ์ได้กล่าว

กะสูจิโลมยักษ์ว่า นั่นสมณะ สูจิโลมยักษ์ได้กล่าวกะขรยักษ์ว่า นั่นไม่ใช่สมณะ

นั่นเป็นสมณะเทียม เราทราบชัดว่าสมณะหรือสมณะเทียมเพียงไร ลำดับนั้น

สูจิโลมยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วน้อมกายของตนเข้าไป

ใกล้พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงเบนกาย (ของสูจิโลมยักษ์) ออกไป

สูจิโลมยักษ์ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ท่านกลัวข้าพเจ้าหรือสมณะ พระผู้มี-

*พระภาคตรัสว่า เราไม่กลัวท่านดอกผู้มีอายุ แต่สัมผัสของท่านลามก ฯ

             สู. ดูกรสมณะ ข้าพเจ้าจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านไม่พยากรณ์ไซร้

ข้าพเจ้าจักควักดวงจิตของท่านออกโยนทิ้งเสียหรือจักฉีกหทัยของท่านเสีย หรือจัก

จับที่เท้าทั้งสองแล้วขว้างไป ในแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น ฯ

             พ. เราไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน

หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ผู้ซึ่งจะควักดวงจิตของเราออก

โยนทิ้ง หรือจะฉีกหทัยของเราเสีย หรือจะจับที่เท้าทั้งสองแล้วขว้างไปในแม่น้ำ

คงคาฝั่งโน้น ผู้มีอายุ ก็แลท่านปรารถนาจะถามปัญหาข้อใด ก็จงถามเถิด ฯ

             ลำดับนั้นแล สูจิโลมยักษ์ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

             [๓๒๐] ราคะและโทสะมีอะไรเป็นเหตุเกิด ความไม่ยินดี ความ

                          ยินดี ขนลุกขนพอง เกิดแต่อะไร วิตกทั้งหลายเกิดแต่อะไร

                          แล้วจึงปล่อยลงไปหาใจที่เป็นกุศล เหมือนพวกเด็กน้อยเอา

                          ด้ายผูกตีนกาแล้วปล่อยลงไป ฉะนั้น ฯ

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า

                          ราคะและโทสะมีอัตภาพเป็นเหตุเกิด ความไม่ยินดี ความ

                          ยินดี ขนลุกขนพอง เกิดแต่อัตภาพนี้ วิตกทั้งหลายเกิดแต่

                          อัตภาพนี้แล้วปล่อยลงไปหาใจที่เป็นกุศล เหมือนพวกเด็ก

                          น้อยเอาด้ายผูกตีนกาแล้วปล่อยลงไป ฉะนั้นกิเลสทั้งหลาย

                          มีราคะเป็นต้น เกิดแต่ความเยื่อใย เกิดในตน เหมือน

                          ย่านไทรเกิดแต่ต้นไทร ฉะนั้น กิเลสเป็นอันมาก ซ่านไป

                          แล้วในกามทั้งหลาย เหมือนเถาย่านทรายรึงรัดไปแล้วในป่า

                          สัตว์เหล่าใด ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่กิเลสนั้นว่ามีกิเลสใดเป็นเหตุ

                          สัตว์เหล่านั้นย่อมบรรเทาซึ่งหมู่กิเลสนั้นได้ ท่านจงฟังเถิด

                          ยักษ์ สัตว์เหล่าใดย่อมบรรเทาซึ่งหมู่กิเลสได้ สัตว์เหล่านั้น

                          ย่อมข้ามพ้นซึ่งโอฆะอันข้ามได้โดยยาก ที่ยังไม่เคยข้ามแล้ว

                          เพื่อความไม่เกิดอีก ฯ



ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ     สูจิโลมสูตร     ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ    สุตตนิบาต   ๒. จูฬวรรค 

วิเคราะห์ ราหุลสูตร

วิเคราะห์ราหุลสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25: พุทธสันติวิธีและการประยุกต์ใช้ในชีวิต บทนำ ราหุลสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25, พระสุตตันตปิฎก เล่มที...