ดร.สมพงษ์,AIเรียบเรียง
ฉาก: วัดนอกเมืองสาคละ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ มีเจดีย์เก่าแก่และต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น พระยามิลินท์สวมฉลองพระองค์เรียบง่าย ไม่มีเครื่องราชกกุธภัณฑ์ประดับกาย พระนาคเสนนั่งขัดสมาธิใต้ต้นโพธิ์ แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมา
พระยามิลินท์: (ด้วยน้ำเสียงสงบแต่เต็มไปด้วยความตื่นตัว) “ท่านนาคเสน ตลอดการสนทนาของเราตั้งแต่เรื่องทุกข์ ตัณหา ไปจนถึงศีล สมาธิ และปัญญา ข้าพเจ้าได้เห็นหนทางที่ชัดเจนขึ้น คำสอนของท่านไม่เพียงลึกซึ้ง แต่ยังสามารถบูรณาการเข้ากับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ข้าพยายามนำมาปกครองเมืองสาคละ ข้าคิดว่ามันเป็นแนวปฏิบัติที่พสกนิกรของข้าสามารถใช้เพื่อชีวิตที่สันติสุขได้จริง ท่านเห็นด้วยหรือไม่?”
พระนาคเสน: (พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน) “พระองค์ผู้ทรงปัญญาเห็นแจ้ง การที่พระองค์เห็นความเชื่อมโยงระหว่างธรรมะและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง ธรรมะ—โดยเฉพาะมรรคมีองค์ 8—เป็นรากฐานของชีวิตที่สมดุลและเพียงพอ เช่นเดียวกับที่ปรัชญาของพระองค์เน้นความพอดี ไม่โลภเกินจำเป็น และใช้ทรัพยากรอย่างมีสติ หากพสกนิกรปฏิบัติตามนี้ ย่อมนำไปสู่ความสันติสุขทั้งในจิตใจและสังคม”
พระยามิลินท์: (ครุ่นคิด) “ข้าพเจ้าเห็นด้วย ท่านนาคเสน ศีลที่ท่านสอนให้กรอบชีวิตสมดุลนั้นสอดคล้องกับการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า สมาธิที่ฝึกจิตให้โฟกัสช่วยให้เราตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ถูกครอบงำด้วยความอยาก และปัญญาที่เห็นความจริงช่วยให้เราเข้าใจว่า ความสุขที่แท้จริงมิได้มาจากการสะสม แต่มาจากการปล่อยวาง ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ช่วยบริหารเมือง ข้าคิดว่าการบูรณาการคำสอนของท่านเข้ากับการปกครองจะทำให้สาคละเจริญอย่างยั่งยืน”
พระนาคเสน: “พระองค์ตรัสได้อย่างลึกซึ้ง ปัญญาประดิษฐ์อาจช่วยจัดการทรัพยากรและคาดการณ์ปัญหาได้ แต่ธรรมะเท่านั้นที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจเหตุแห่งทุกข์และวิธีดับทุกข์ การที่พระองค์นำศีล สมาธิ และปัญญามาใช้ร่วมกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเป็นแบบอย่างอันประเสริฐแก่พสกนิกร ไม่เพียงในสาคละ แต่ในทุกหนแห่งที่คำสอนนี้ไปถึง”
พระยามิลินท์: (หยุดชั่วครู่ มองไปยังเจดีย์ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป) “ท่านนาคเสน ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดมานาน หลังจากที่ท่านแสดงให้ข้าเห็นถึงความจริงของทุกข์และหนทางพ้นทุกข์ ข้าตระหนักว่าราชบัลลังก์และอำนาจที่ข้าถืออยู่นั้นเป็นเพียงมายา มันไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่ความสงบที่แท้จริง ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะสละราชสมบัติและออกบวช เพื่อแสวงหานิพพานตามมรรคที่ท่านสอน ข้าจะมอบเมืองนี้ให้พสกนิกรปกครองด้วยปรัชญาและธรรมะที่เราได้สนทนากัน”
พระนาคเสน: (มองพระยามิลินท์ด้วยความเคารพ) “พระองค์ผู้ทรงกล้าหาญ การตัดสินใจของพระองค์แสดงถึงปัญญาอันสูงสุด การสละราชสมบัติมิใช่การหนีจากหน้าที่ แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่สูงสุด—คือการแสวงหาความหลุดพ้นเพื่อประโยชน์ของตนและผู้อื่น ข้าขอถวายความนอบน้อมแด่พระองค์ และขอให้การบวชของพระองค์เป็นแสงสว่างแก่โลก”
พระยามิลินท์: (ยิ้มสงบ) “ข้าจะแนะนำพสกนิกรของข้าก่อนไป ให้พวกเขานำมรรคมีองค์ 8 และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์ที่ข้าทิ้งไว้ พวกเขาจะสามารถสร้างสังคมที่สงบสุขได้ และสำหรับท่านนาคเสน ข้าขอให้ท่านเดินทางเผยแพร่ธรรมต่อไป เพื่อให้ผู้อื่นได้พบหนทางเช่นที่ข้าพบ”
พระนาคเสน: “ข้าจะทำตามคำขอของพระองค์ พระเจ้าข้า ข้าจะกลับไปยังสังเขยยบริเวณเพื่อเผยแพร่ธรรม และขอให้พระองค์เจริญในมรรคผล จนถึงวันที่จิตของพระองค์ปราศจากกิเลสทั้งปวง”
พระยามิลินท์: (พนมมือ) “ขอบคุณท่านนาคเสน ข้าพร้อมแล้วที่จะก้าวไปบนเส้นทางนี้”
ฉากจบ: พระยามิลินท์ถวายบังคมพระนาคเสนครั้งสุดท้าย ก่อนหันไปมองเมืองสาคละที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาที่ปราศจากความยึดติด พระองค์ก้าวไปยังกุฏิเพื่อเตรียมตัวบวช ขณะที่พระนาคเสนลุกขึ้น หยิบไม้เท้า และเริ่มเดินทางไปยังทิศตะวันออกสู่สังเขยยบริเวณ แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทิ้งเงาของทั้งสองไว้บนพื้นดินอันเงียบสงบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น