สภาพการเมืองไทยทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่ามีการแบ่งฝ่ายเล่นกันอย่างชัดเจนแบบไม่มีกติกา ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ไม่รู้จักแพ้ ไม่รู้จักชนะ ไม่รู้จักให้อภัย ต่างชี้หน้าด่ากัน "เลว" ทำดีก็ด่าว่า "สร้างภาพ" ทำชั่วก็ทับถม ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า "สนับสนุนคนชั่ว"
ไม่ขีดวงในการเล่น ไม่รู้ว่าการเมืองไหนในเป็นการเมืองในประเทศ การเมืองไหนเป็นการเมืองระหว่างประเทศที่คนทั้งชาติต้องร่วมมือกัน
ไม่นึกถึงคำของพระพุทธทาสที่ว่า "เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย"
ตอนนี้มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นักการเมืองไทยก็รู้เพียงแค่ผลว่าจะออกมาอย่างไรเท่านั้น แต่ไม่สนใจว่าหลังจากนั้นเขาร่วมมือกันพัฒนาประเทศอย่างไร
นักการเมืองไทยไม่อยากได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกันบ้างหรืออย่างไร ดูอย่างพม่าที่นักการเมืองไทยมองอย่างเหยียดหยามว่าด้อยพัฒนา หล้าหลังไทย
แต่พม่าก็มีนักการเมืองที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อ 20 ปีก่อนคือ "อองซาน ซูจี" และปีนี้ก็กำลังมีการเสนอชื่อผู้นำพม่าเพื่อรับรางวัลนี้ หากผลออกมาว่า "ได้" และมีแนวโน้มจะเป็นจริงด้วย แล้วนักการเมืองไทยจะเอาหน้าไปไว้ไหน แล้วไม่คิดสร้างชื่อกันบ้างหรืออย่างไร
ขณะเดียวกันการเมืองไทยมาช่วง 6 ปีที่ผ่านมาก็ได้เห็นภาพพระสงฆ์เข้าไปมีส่วนร่วมของน้ำคลำการเมืองเน่าๆนั้นด้วย จนกระทั้งมีผู้เสนอความคิดให้พระสงฆ์ไทยมีสิทธิ์เลือกตั้งได้อย่างประเทศศรีลังกาและพม่า
นี้คงเป็นเหตุผลบางส่วนที่ทางมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถวายทุนทำวิจัย "พระกับการเมือง" ให้กับพระจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เชื่อว่าคงจะสร้างภาพลักษณ์ให้กับพระที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและนักการเมืองไทยได้บ้าง
ทั้งนี้การทำวิจัยดังกล่าวภายใต้การนำของ "ปรีชา ช้างขวัญยืน" ผู้อำนวยการพุทธศาสน์ศึกษา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุนละ 150,000 บาท
แบ่งออกเป็น 2 หัวข้อเรื่องคือ "แนวโน้วบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" พระที่รับทุนคือ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี และเรื่อง "พระสงฆ์กับสงคราที่ยุติธรรม" พระที่รับทุนคือพระมหาสมบูรณ์ วุฒิกโร รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
พระมหาหรรษาเปิดเผยผ่านทางเฟซบุ๊กนาม "Hansa Dhammahaso" ความว่า สำหรับงานวิจัยเรื่อง "บทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" นั้น ได้เริ่มต้นศึกษาและรวบรวมข้อมูลมาตั้งแต่ตัดสินใจเข้าเรียนในหลักสูตรการเมืองการปกครองในระดับประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้าแล้ว โดยได้เจริญพร ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการตัดสินใจเข้าศึกษาหลักสูตรดังกล่าว เพื่อจะได้นำข้อมูลจากเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็น ส.ส. ส.ว. และข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนมาประมวลเป็นข้อมูลในการทำวิจัยเรื่องนี้
การทำวิจัยเรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินทางไปศึกษา และสัมภาษณ์นักการศาสนา นักการเมือง และประชาชนบางส่วนในประเทศศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาเป็นกรอบในการกำหนด และตั้งคำถามว่า การเมืองคืออะไร พระสงฆ์ไทยว่าควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองได้หรือไม่ หรือเกี่ยวของในลักษณะใด จึงจะทำให้พระสงฆ์ได้วางบทบาทและสถานะของตนเองให้สอดคล้อง ถูกต้อง และเหมาะสมกับบริบท และสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
เชื่อมั่นว่างานวิจัยเรื่องนี้จะทำให้ได้อีกหนึ่งคำตอบ หรือหนึ่งทางเลือกเพื่อที่จะบอกพระสงฆ์และสังคมไทยว่า แนวโนมบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" ควรจะมีทิศทางและแนวทางอย่างไร การตอบคำถามเหล่านี้ มิได้มีนัยเพื่อตัวพระสงฆ์หรือนักการเมืองไทยเท่านั้น หากแต่เป็นการวางสถานะ และจุดยืนของพระพุทธศาสนา เพื่อความตั้งมั่นและยั่งยืนของพระพุทธศาสนาทั้งในปัจจุบัน และอนาคตต่อไป
ส่วนหัวข้อเรื่อง "พระสงฆ์กับสงครามที่ยุติธรรม" ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวข้อที่ร่วมสมัย และกลุ่มคนจำนวนมากกำลังอยากจะได้คำตอบว่า "พระสงฆ์สามารถทำสงครามเพื่อนำมาซึ่งความยุติธรรมได้หรือไม่?"
"จะเห็นว่า หัวข้องานวิจัยทั้งสองเรื่องนี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก" พระมหาหรรษาระบุ
เชื่อแน่ว่าผลงานวิจัยทั้ง 2 หัวข้อนี้จะได้เห็นภาพของนักการเมืองไทยเชิงพุทธเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นแบบอย่างของการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในไทยและทั่วโลกได้
.................
(หมายเหตุ : จุฬาฯถวายทุน'พระมหาจุฬาฯ' ทำวิจัย'พระกับการเมือง' : สำราญ สมพงษ์รายงาน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น