ปิดฉากเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ "ทองเนื้อเก้า" นับได้ว่าเป็นฉากทองจริงๆ คือเป็นฉากจุดจบของ "ลำยอง" ที่แสดงโดย "นุ่น" วรนุช ภิรมย์ภักดี สิ้นใจ บีบน้ำตาให้กับผู้ชมขอบทีวีกันถ้วนหน้า ทำให้ไม่มีใครสนใจว่าห่วงนาทีนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเมืองไทยบ้าง
และฉากทองอีกฉากหนึ่งก็คือฉาก "วันเฉลิม" ตอนโตที่แสดงโดย "เจมส์" จิรายุ ตั้งศรีสุข ได้กลายเป็นพระวันเฉลิม ที่บอกว่าเป็นฉากทองก็คือเป็นฉากที่พระวันเฉลิมเหลืองเต็มจอ ได้ฝากคติธรรมต่างๆ อย่างเช่น ฉากที่ยายแลที่บอกกับพระวันเฉลิมว่า "ยายรู้แล้วว่าชีวิตต้องการอะไร" หลังจากได้เข้าวัดฟังธรรมก่อนที่จะเสียชีวิต และคำที่พระวันเฉลิมกล่าวว่า "เพราะความลำบากทำให้อาตมาเข้าใจชีวิต"
นอกจากนี้เป็นฉากที่พระวันเฉลิมช่วยแก้ปัญหาน้องๆ เป็นฉากที่พระวันเฉลิมเข้าไปสอนที่มหาวิทยาลัยที่น้องชายเรียนอยู่ปรากฏว่าน้องชายได้ชกต่อยกับเพื่อน พระวันเฉลิมเห็นเหตุการณ์จึงได้เตือนสติว่า "การใช้ความรุนแรงไม่ใช่ลูกผู้ชาย" คงจะเป็นการเตือนสติคนไทยในช่วงเวลานี้
พร้อมกันนี้ "ทองเนื้อเก้า" ได้นำเสนอฉากที่พระวันเฉลิมที่บอกกับพ่อ("ป๋อ" ณัฐวุฒิ สกิดใจ) ที่ต้องการที่บวชในระยะยาวเพื่อเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และเมื่อเรียนจบระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว มีความประสงค์ที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงการเรียนการสอนของพระสงฆ์ตั้งแต่ระดับพระปริยัติธรรมไปจนถึงระดับปริญญาตรีถึงเอกได้เป็นอย่างดี เพราะว่าพระเณรที่เรียนจบที่มหาวิทยาลัยสงฆ์แล้วนิยมที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย
อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยสงฆ์มีการเรียนการสอนถึงระดับปริญญาเอกแล้ว และมหาวิทยาลัยต่างๆก็เปิดกว้างให้พระเณรเข้าไปเรียนมากขึ้นไม่เหมือนแต่ก่อน จึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ พร้อมกันนี้พระเณรจากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศต่างๆทั้งเถรวาทและมหายานก็นิยมเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ของไทยซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 แห่งคือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย แต่ก็มีวิทยาเขตทั่วประเทศ
อย่างเช่นขณะนี้บัณฑิตวิทยาลัย มจร ได้ขยายเวลาเปิดรับสมัครเรียนปริญญาเอก สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ภาคพิเศษถึงวันที่ 28 พ.ย. 2556 นี้ สมัครได้ที่ ชั้น 3 ห้อง 306 อาคารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เวลา 13.00 – 19.00 น. ทุกวันราชการ เว้นวันพระ สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.081-799-8442, 089-107-9900, http://www.mcu.ac.th
ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีให้ "อ๊อฟ" พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ผู้กำกับ ที่สอดแทรกหลักธรรมตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้าย ดังจะเห็นได้จากเมื่อจบตอนก็จะมีสรุปหลักธรรมจากพระมหาวุฒิชัย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง ที่เรียนจบปริญญาโทมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นคติเตือนใจผู้ชม โดยไม่ได้มุ่งแค่บันเทิงเท่านั้นแต่ยังให้ปัญญาด้วย
: สำราญ สมพงษ์รายงาน(FB-samran sompong)
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
โยมม็อบตร.ล้อมรั้ว!พระทุกข์'ทำอาหารฉันเอง'
ทุกครั้งที่มีการชุมนุมประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องกรณีต่างๆ และจะมีการปักหลักอยู่รอบทำเนียบฯ บ้างครั้งก็จะยาวไปตามถนนราชสีมาถึงวัดเบญจมบพิตร ย่อมส่งผลกระทบกับพระและสามเณรไม่มากก็น้อย แต่พระและสามเณรก็อดทนไม่เคยที่จะแสดงออก
การชุมนุมเพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอยเหมาเข่งครั้งนี้ ที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบผ่านวาระ 3 แล้วแต่วุฒิสภาลงมติคว่ำต้องชะลอไว้ 180 วันค้างสภาอยู่ เมื่อครบ 180 วันแล้ว สภาผู้แทนราษฎรถึงจะสามารถยกขึ้นมาพิจารณายืนยันได้ แม้นว่าทางฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยืนยันจะไม่ยกขึ้นมาเห็นชอบเพื่อลดกระแสการชุมนุมประท้วงตลอดถนนราชดำเนิน โดยมาสิ้นสุดที่สะพานมัฆวานฯ
แต่การป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าเขตที่ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงป้องกันทำเนียบฯและรัฐสภาครั้งนี้ ตำรวจได้กั้นรั้วลวดหนามและแผ่นซิเมนต์แท่งล้อมรอบรวมถึงล้อมวัดเบญจมบพิตรด้วย เวลาผ่านไปเดือนกว่าพระและสามเณรที่วัดแห่งนี้ประสบกับความเดือดร้อนเนื่องจากมีญาติโยมไปทำบุญใส่บาตรลดลง ส่งผลต้องให้สามเณรทำภัตตาหารฉันกันเอง
ความเดือดร้อนของพระและสามเณรวัดเบญจมบพิตรดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊กของพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท หัวหน้าพระวิทยากรวัดเบญจมบพิตร ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ความว่า "ลูกสามเณรวัดเบญจมบพิตรต้องมาช่วยกันทำภัตตาหารฉันกันเอง เพราะวัดถูกพวกตำรวจปิดทางเข้าออก ญาติโยมเข้ามาทำบุญใส่บาตรไม่ได้ เพราะกั้นรั้วลวดหนามและแผ่นซิเมนต์แท่งล้อมรอบวัดเอาไว้ ผลก็คือพระคุณเจ้าต้องเข้าครัวทำกับข้าวฉันกันเองเพื่อจะได้มีแรงเล่าเรียนพระปริยัติธรรม"
พร้อมกันนี้ยังระบุว่า "ขอให้ผบช.น.อ่านดูบ้างก็ดีน่ะจะได้ทราบว่าสะสมบาปกรรมไปถึงขุมไหนแล้ว เพราะพระเณรทนมาเดือนหนึ่งเต็มๆแล้ว จนขนาดนี้ข้าวสารหมดถังแล้ว ทั้งวัดมี 80 รูปน่ะ ไม่ใช่ 4-5 รูป"
เมื่อข้อมูลข่าวสารดังนี้กระจายออกไปทางผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่นำภัตตราหารไปถวายเป็นการบรรเทาความทุกข์จนกว่าสถานการณ์จะปกติ แต่ในส่วนของตำรวจและรัฐบาลยังไม่ได้เข้าไปเยียวยาแต่อย่างใด
ทั้งนี้เวลาต่อมาในเฟซบุ๊กของพระมหาอภิชาติได้ยังระบุด้วยว่า "โพสต์ที่เกี่ยวกับผลกระทบของการปิดถนนบริเวณแยกหน้าวัดเบญจมบพิตรและการปิดกันทางเข้าวัด ปิดทางบิณฑบาตของพระเณร ตัดการสัญจรของประชาชนที่มาเข้าวัดทำบุญ จนพระเณรในวัดเดือดร้อนอย่างหนัก จะไปมหาวิทยาลัยหรือทำกิจของสงฆ์ก็ไม่ได้ บางรูปที่ออกไปได้ก็กลับเข้ามาไม่ได้ถึงขนาดต้องเดินกลับวัดเพราะรถแท็กซี่ไม่ยอมมาแถวนี้ หลายรูปถึงขั้นเกิดอาการเครียดตามๆกัน แต่บางคนที่แชร์ภาพของหลวงพี่และยังไปโพสต์ว่าพระเณรขาดความเมตตา ไปว่าร้ายตำรวจ อย่างโน้นอย่างนี้
เรื่องนี้หลวงพี่ไม่อยากจะไปตอบโต้อะไรมาก เพราะเหมือนที่เคยบอกไปแล้วว่า "พวกตำรวจไม่ได้ไปปิดกันทางเข้าบ้านของคุณนี่" แล้วคุณจะรับรู้ความรู้สึกของพวกเราผู้ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างไร เราอดทนมาเป็นเดือนแล้ว ยอมอยู่แบบอดๆ อยากๆ ไปไหนก็ลำบาก ตอนนี้ขาดแต่เราไม่ได้ออกมาประท้วงขับไล่ตำรวจเท่านั้น แต่อนาคตเราไม่รู้ สุดท้ายนี้ขอให้พวกท่านที่บอกว่าพระขาดเมตตากรุณาเปิดตากว้างๆดูภาพประกอบเหล่านี้ด้วยว่าใครกันแน่ที่ขาดเมตตาตัวจริง อย่าทำตัวเป็นบัฟฯให้มากนักเจริญพร"
ขณะที่ผู้ใช้นามว่า Sue Chan ได้แนะนำว่า กรณีทีตำรวจปิดกั้นทางสัญจรและใช้ที่บริเวณวัดซ้อมการฝึกฝนต่างๆนั้น ควรจะทำวิกฤตให้เป็นโอกาส คือพระอาจารย์เปิดลำโพงเทศน์เรื่องบาปบุญคุณโทษ สั่งสอนคุณธรรมตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะได้ทราบว่าคนที่บอกว่ามีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนนั้นเป็นมนุษย์ที่เสมือนบัวชนิดใดในบัวสี่เหล่า คงจะได้รับรสพระธรรมกันบ้างไม่มากก็น้อย จะเทศน์สดหรือเปิดเป็นเทปก็แล้วแต่เหตุการณ์ทั้งนี้เป็นเพียงข้อสังเกตโดยเจตนาอันบริสุทธิ์เพื่อได้โปรดพิจารณาตามควรเท่านั้น
ด้าน Thai Thon ขยายความว่า รอบๆวัดเบญจมบพิตรจะเป็นที่ตั้งหน่วยราชการทั้งหมด ไม่มีบ้านเรือนประชาชนอาศัย ชาวพุทธส่วนใหญ่ที่มาตักบาตรมักจะเดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัวมา พระก็จะออกมารอรับบิณฑบาตรหน้าโบถส์ทุกเช้า
นับได้ว่าสถานการณ์การเมืองครั้งนี้ทำให้พระและสามเณรวัดเบญจมบพิตรสุดที่จะอดทนจริงๆ จึงได้ระบายให้สาธารณชนและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบ หากจะทำอะไรก็ขอให้นึกถึงหัวอกพระและสามเณรบ้าง และจะย้ายวัดหนีก็คงไม่ได้
: สำราญ สมพงษ์รายงาน
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
พระธรรมะอารมณ์ดีวางไมค์ลุยสวน'เกษตรพอเพียง ลุงเขียว'
วันนี้(14พ.ย.2556) ได้เห็นภาพพระครูปลัดบัณฑิต อินฺทเมธี หรือ องค์ม่อน พระในกลุ่มธรรมะอารมณ์ดีพระนักเทศน์ชื่อดังระดับประเทศจากเฟซบุ๊ก"เกษตร
พร้อมกับข้อความว่า "วันนี้ท่านพระครูปลัดบัณฑิต อินฺทเมธี หรือ องค์ม่อน ธรรมะอารมณ์ดีพระนักเทศน์ชื่อดังระดับประเทศ แห่งกลุ่มธรรมอารมณ์ดี และคณะญาติธรรมจากจังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีท่านมหาบ้านดิน อยู่กินพอเพียง (อ.เดชา ปราชญ์บ้านดิน) จากสวนรอยยิ้มพ่อ มาเยี่ยมเยียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาดูงานที่ สวนเกษตรมั่งมีของจารย์ตรัย แล้วก็มาต่อที่สวนเกษตรพอเพียง ลุงเขียว เพื่อจะนำไปต่อยอดขยายผล สานโครงการสร้าง "ศูนย์การเรียนรู้เกษตรธรรมะ สุขะยั่งยืน" ณ สำนักสงฆ์ป่าโมกข์ธรรมาราม อ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และท่านก็เมตตารับกิ่งพันธ์มะนาวไป 200 กิ่ง กราบขอบพระคุณครับ"
ทั้งนี้คงเป็นเพราะพระครูปลัดบัณฑิตไม่ได้ร่วมคณะกับพระมหาวีรพล วีรญาโณ แห่งวัดยานนาวา เขตสาทร กทม. พระในธรรมะอารมณ์ดี ที่เดินทางไปประเทศออสเตรเลีย จึงมีเวลาว่างไปชมส่วน"เกษตรพอเพียงลุงเขียว" นั่้นแสดงให้เห็นว่าพระเริ่มให้ความสนใจกับเกษตรพอเพียงมากขึ้น เพื่อจะได้แนะนำญาติโยมเห็นประโยชน์ควบคู่กับสอนธรรม และยิ่งทำให้ชีวิตของพระมีความเป็นอยู่สะดวกมากขึ้นโดยเฉพาะในต่างแดน
ดูอย่างพระธรรมทูตที่ประเทศอินเดีย-เนปาล ภายใต้การนำของพระราชรัตนรังษี ประธานสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล ก็มีนโยบายให้วัดไทยทุกวัดในแดนพุทธภูมิ ปลูกพักสวนครัวปลอดสารพิษไว้ต้อนรับผู้แสวงบุญและถวายพระสงฆ์ อาสาสมัคร
และวันที่ 14 พ.ย.นี้เฟซบุ๊กวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ได้โพสต์ภาพ "ผักปลอดสารพิษไว้ต้อนรับผู้แสวงบุญ" พร้อมกับระบุว่า "จากนโยบายของพระราชรัตนรังษีจึงนำภาพแปลงผักของที่วัดมาให้ชม มาทานข้าวที่วัดท่านจะได้ทานผักปลอดสารพิษเก็บสดๆ จากแปลงผัก ปุ๋ยธรรมชาติ โดยได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธ์ผักจาก คุณ ดร.ประวิทย์-คุณอรุณี โรจนเพียรสถิตง"
นี้คือการบริหารชีวิตของพระธรรมทูตในต่างแดนควบคู่กับการเผยแพร่ธรรม
พอเพียง ลุงเขียว" ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการปลูกมะนาว
: สำราญ สมพงษ์รายงาน
พร้อมกับข้อความว่า "วันนี้ท่านพระครูปลัดบัณฑิต อินฺทเมธี หรือ องค์ม่อน ธรรมะอารมณ์ดีพระนักเทศน์ชื่อดังระดับประเทศ แห่งกลุ่มธรรมอารมณ์ดี และคณะญาติธรรมจากจังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีท่านมหาบ้านดิน อยู่กินพอเพียง (อ.เดชา ปราชญ์บ้านดิน) จากสวนรอยยิ้มพ่อ มาเยี่ยมเยียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาดูงานที่ สวนเกษตรมั่งมีของจารย์ตรัย แล้วก็มาต่อที่สวนเกษตรพอเพียง ลุงเขียว เพื่อจะนำไปต่อยอดขยายผล สานโครงการสร้าง "ศูนย์การเรียนรู้เกษตรธรรมะ สุขะยั่งยืน" ณ สำนักสงฆ์ป่าโมกข์ธรรมาราม อ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และท่านก็เมตตารับกิ่งพันธ์มะนาวไป 200 กิ่ง กราบขอบพระคุณครับ"
ทั้งนี้คงเป็นเพราะพระครูปลัดบัณฑิตไม่ได้ร่วมคณะกับพระมหาวีรพล วีรญาโณ แห่งวัดยานนาวา เขตสาทร กทม. พระในธรรมะอารมณ์ดี ที่เดินทางไปประเทศออสเตรเลีย จึงมีเวลาว่างไปชมส่วน"เกษตรพอเพียงลุงเขียว" นั่้นแสดงให้เห็นว่าพระเริ่มให้ความสนใจกับเกษตรพอเพียงมากขึ้น เพื่อจะได้แนะนำญาติโยมเห็นประโยชน์ควบคู่กับสอนธรรม และยิ่งทำให้ชีวิตของพระมีความเป็นอยู่สะดวกมากขึ้นโดยเฉพาะในต่างแดน
ดูอย่างพระธรรมทูตที่ประเทศอินเดีย-เนปาล ภายใต้การนำของพระราชรัตนรังษี ประธานสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล ก็มีนโยบายให้วัดไทยทุกวัดในแดนพุทธภูมิ ปลูกพักสวนครัวปลอดสารพิษไว้ต้อนรับผู้แสวงบุญและถวายพระสงฆ์ อาสาสมัคร
และวันที่ 14 พ.ย.นี้เฟซบุ๊กวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ได้โพสต์ภาพ "ผักปลอดสารพิษไว้ต้อนรับผู้แสวงบุญ" พร้อมกับระบุว่า "จากนโยบายของพระราชรัตนรังษีจึงนำภาพแปลงผักของที่วัดมาให้ชม มาทานข้าวที่วัดท่านจะได้ทานผักปลอดสารพิษเก็บสดๆ จากแปลงผัก ปุ๋ยธรรมชาติ โดยได้รับการสนับสนุนเมล็ดพันธ์ผักจาก คุณ ดร.ประวิทย์-คุณอรุณี โรจนเพียรสถิตง"
นี้คือการบริหารชีวิตของพระธรรมทูตในต่างแดนควบคู่กับการเผยแพร่ธรรม
พอเพียง ลุงเขียว" ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการปลูกมะนาว
: สำราญ สมพงษ์รายงาน
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
พรหมทัณฑ์'อารยะขัดขืน'พุทธวิธีปราบคนหัวดื้อ
ตามที่กลุ่มประชาชนที่ออกมาคัดค้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยทั่วประเทศภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับประกาศเชิญชวนกระทำอารยะขัดขืนอย่างเข้มแข็งทั่วประเทศคือ
1.วันที่ 12 พ.ย.ให้ทุกคนทุกบริษัท ทุกหน่วยงานราชการ สะสางงานของตัวเอง 1 วัน จากนั้นวันที่ 13-15 พ.ย. เป็นวันหยุดงาน หยุดการเรียนการสอนทั่วประเทศ ขอความร่วมมือเจ้าของกิจการโปรดสั่งพนักงานของท่านให้หยุดงานและมาร่วมชุมนุมกับเราทั่วประเทศ ไปเวทีไหนก็ได้ หน่วยงานไหนบริษัทเอกชนไหน จำเป็นจริงหยุดงานไม่ได้ให้ชะลอความรวดเร็วในการทำงานลง สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยทุกแห่งให้อาจารย์และนักศึกษาไปให้ขึ้นป้ายได้ว่า 13-15 หยุดเรียน หยุดสอน โรงเรียนทุกแห่งทั้งมัธยม ประถม อนุบาล หยุดเรียนหยุดสอนทั่วประเทศ
2.ขอให้บรรดาพ่อค้านักธุรกิจช่วยกรุณาไปปรึกษากันว่า วิธีปฏิบัติในการชะลอการชำระภาษี อย่าให้รัฐบาลมีเงินภาษีออกมาใช้ หยุดให้เขาเอาเงินภาษีของเราไปโกงกิน
3.ต่อสู้ด้วยสัญญลักษณ์ สัญญลักษณ์ของเราคนไทยคือ ธงชาติ ขอให้ทุกบ้าน ทุกสำนักงาน ชักธงชาติขึ้นทั่วประเทศ ติดธงชาติไว้บนเสื้อผ้า ร่างกาย รถยนต์ แขวนคอด้วยนกหวีด ไปไหนมาไหนพกไป 2 อย่าง คือ นกหวีดและธงชาติ
4.ตั้งแต่นาทีนี้ ถ้าประชาชนพบเห็นนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรี และลิ่วล้อไม่ต้องพูดด้วย ไม่ต้องทำอะไร หยิบเป่านกหวีดอย่างเดียว เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่เอากับมัน!
นายสุเทพกล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจว่านี่คือ การกระทำอารยะขัดขืนของพลเมืองดี เพื่อประวัติศาสตร์จะได้จารึก
เมื่อมาตรการนี้ประกาศออกมาก็ได้รับการขานรับไม่น้อย ฝ่ายรัฐบาลเองก็เต้นดาหน้ากันออกมาตอบโต้สิ่งที่อ้างก็คือผิดกฎหมาย
คำว่า "อารยะขัดขืน" นี้นับได้ว่าเป็นมาตรการสากลที่ประชาชนประกาศใช้กับชนชั้นปกครองดื้อแพร่ง ผู้นำอินเดียอย่างมหาตมะ คานธี ก็ใช้มาตรการนี้ ซึ่งก็เป็นมาตรการเดียวที่พระพุทธเจ้าใช้กับนายฉันนะ
พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม(มส.) อธิบายว่า พรหมทัณฑ์ คือ การไม่มีใครคบหาสมาคม ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หากจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็คือ ลักษณะการถูกคว่ำบาตร
ความจริงแล้วเคยเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการลงพรหมทัณฑ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินว้ตร นายกรัฐมนตรี เมื่องวันอังคาร ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2550 โดยใช้เชื่อว่า "เผยสูตรเด็ดปราบพยศทักษิณ" ความว่า
"ใคร ๆ ก็รัก ทักษิณ" หรือ "ทักษิณ...ออกไป" ยังคงดังอยู่ในใจคนไทยสำหรับคนที่ชอบและไม่ชอบอยู่ พฤติกรรมของคนชื่อ"ทักษิณ" ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นอย่างไร การที่จะปราบคนชื่อ "ทักษิณ" ให้หายพยศได้นั้น เห็นจะมีอยู่ทางเดียว
สมัยพุทธกาลนั้น มีคนที่มีลักษณะเดียวกับคนชื่อ"ทักษิณ" คือ นายฉันนะ ที่เป็นมหาดเล็กของเจ้าสิทธัตถะ ตามส่งเสด็จตอนออกผนวช ต่อมานายฉันนะคนนี้ก็บวชในภายหลัง แต่ไม่ศึกษาหรือปฏิบัติธรรมเข้าลักษณะเช้าเอน เพลนอน เย็นพักผ่อน ใครจะสั่งสอนก็ไม่ฟังไม่ทำตาม อวดตัวเองว่าเก่งรู้ทุกอย่าง
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ได้เข้าไปทูลถามว่า จะจัดการพระฉันนะอย่างไร พระองค์ทรงแนะให้ใช้ "วิธีพรหมทัณฑ์" คือ อย่าเข้ายุ่งเกี่ยว พระฉันนะอยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องไปสนใจ หลังจากคณะสงฆ์ได้ปฏิบัติตามเช่นนั้น พระฉันนะก็หายพยศ ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุพระอรหันต์
ดังนั้น ทั้งสังคมไทย รัฐบาล คมช.ให้ความสำคัญกับคนชื่อทักษิณ มากไปหรือไม่ หรือติดว่าเขาเป็นเป็นคนรวย แต่สำหรับคนมีปัญญาแล้ว พูดได้คำเดียวว่าเงินจำนวนเท่านั้น"กระจอก".....อิอิ ถึงเวลาที่จะใช้วิธีพรหมทัณฑ์กับคนนี้หรือยัง
นี้ก็ผ่านมา 2 ปีแล้วนะเพิ่งได้ยินคำว่า พรหมทัณฑ์ อีก ก็ธรรมดาอะนะอย่าว่าแต่โยมที่แบ่งเป็นสองฝ่ายแม้นแต่พระสงฆ์เองก็มีการถือหางเหมือนกัน ยังตามัวๆอยู่ จะมีสักกี่รูปที่ตาสว่าง
บัดนี้เวลาก็ผ่านมา 6 ปีแล้วมาตรการดังกล่าวก็ยังไม่ได้ผลแสดงว่าเชื้อแรง มาคราวนี้นายสุเทพก็ได้นำมาใช้อีกครั้งจะสำเร็จหรือไม่ก็คงต้องดูกันต่อไปหรือว่าคนไทยจะสูญเสียไปมากกว่าที่เป็นอยู่
....................
(หมายเหตุ : พรหมทัณฑ์'อารยะขัดขืน'พุทธวิธีปราบคนหัวดื้อ : กระดานความคิด โดยสำราญ สมพงษ์)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
"มจร"สีเขียวยุคAI! จัดกิจกรรม "รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม คืนขยะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน"
กิจกรรม “รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม” เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างจริยธรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน ด้วยหล...
-
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณประสาร” รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(...
-
วิจารณ์สนั่นหลักสูตรบาลีป.ธ.1-2 ถึงป.ธ. 9 เรียนพระไตรปิฎก 149 หน้า "เจ้าคุณหรรษา" ยกสามเณร 2 รูป หนึ่งจบ ป.ธ. 9 อายุ 17 ปี หนึ่งจบ...
-
พระปิดตายันต์ยุ่งมหาอุตโม หลวงปู่ทิม อิสริโก จัดสร้างเพื่อหารายได้ สร้างหอฉันอุตตโม ออกแบบโดยช่างเกษม มงคลเจริญ ประกอบด้วย เนื้...