วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลบการเมืองร้อน!ร่วมสร้างพระพุทธรูป500ฟุตกุสินารา

             ช่วงนี้คนไทยกำลังสาละวนอยู่กับปัญหาการเมือง มวลมหาประชาชนภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. เคลื่อนพลบุกสถานที่ราชการทำเนียบรัฐบาล นอนกลางถนนราชดำเนินมาเป็นเวลาแรมเดือนแล้ว

             ตั้งธงปฏิรูปการเมืองใหม่ แก้ปัญหารัฐบาลคอร์รัปชั่นกินเมือง ราคาน้ำมันแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้านไม่รู้ใครได้ประโยชน์ ส่งผลให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยุบสภา แต่มวลมหาประชาชนยังไม่หยุดบีบต่อ ต้องลาออกจากการเป็นนายกฯรักษาการ เปิดทางตั้งสภาประชาชนปฏิรูปการเมืองก่อนถึงค่อยเลือกตั้ง แต่อีกฝ่ายหนุนรัฐบาลไม่ยอมต้องเลือกตั้งถึงค่อยปฏิรูป

             ทำให้บางคนเกิดความรู้สึกว่า "เมืองไทยวุ่นวายหนอ เมืองไทยขัดข้องหนอ" จะหลีกหนีไปหาที่สงบจิตใจก็กลัวจะเป็นอย่างพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบก.น.7 ที่ขอลาบวชที่แดนพุทธภูมิช่วงม็อบเดือดก็โดนเด้งเข้ากรุ

             จะออกไปร่วมม็อบมากก็กลัวโดนอุ้มเหมือนกับ พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท พระลูกวัดเบญจมบพิตร ที่โพสต์ข้อความล่าสุด สะท้อนความขัดแย้งระหว่างพระกับตำรวจที่เกิดขึ้นผ่านสังคมโซเชียลมีเดีย

             แผ่เมตตาก็แล้ว เตือนสติให้รู้จักพอก็แล้ว ให้ฟังความรอบข้างข้อมูลให้มากๆ ยึดหลักกาลมสูตร แต่เพราะอคติบังตายากที่จะมองอีกฝ่ายเป็นมิตรอย่างนั้น ก็ขอปลีกวิเวกคิดเสียว่า "สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม" ก็แล้วกัน

             พอม็อบเริ่มนิ่งจึงได้หามุมสงบจิตใจได้ข่าวว่า เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่เมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดียแดนพุทธภูมิ  มีพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงขนาด 500 ฟุต ปางปฐมเทศนา ก็จิตนาการไม่ออกว่าสูงขนาดไหน แต่เข้าใจว่าคงจะสูงเท่าๆกับพระพุทธรูปโบราณที่ประเทศอาฟกานิสถานที่ถูกตาลีบันระเบิดทำลายหรือสูงกว่า จึงถือว่าเป็นข่าวที่เป็นมงคลยิ่ง

             เมืองกุสินารานั้นเป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองเอกหนึ่งในสองของแคว้นมัลละ อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมือง ปาวา เป็นที่ตั้งของ สาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า

             และที่น่าปลื้มปิติไปกว่านั้นก็คือว่ามี Hon. Chief Minister Sri Akhilesh Yadav มุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ เดินทางไปเป็นประธานในพิธี และมีพระสงฆ์นิกายต่างๆและชาวพุทธร่วมถึงพระและฆราวาสคนไทยไปร่วมพิธีหลายหมื่นคน

             พระเทพโพธิเทศ ประธานสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล ได้มอบหมายให้พระครูปริยัติโพธิวิเทศ หัวหน้าฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เจ้าอาวาสวัดไทยเชตวันมหาวิหาร  ไปร่วมงานและได้มีโอกาสมอบพระพุทธชินราชให้แก่มุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ

             พระครูปริยัติโพธิวิเทศหรือพระมหาคมสรณ์ได้เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก "ท่านคมสรณ์ ข่าวสารงาน-พระธรรมทูตอินเดีย"ที่สนทนากับมุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ ความว่า ในนามคณะสงฆ์จากประเทศไทย ขอแสดงความชื่นชมและยินดีที่ท่านได้ดำเนินการจนโครงการฯ นี้เริ่มขึ้นได้หลังจากที่คณะทำงานใช้ความพยายามมากว่า 13 ปี ซึ่งนำศรัทธาสร้างโดยองค์ทะไลลามะที่ 14 แห่งทิเบตบนพื้นที่ 500 ไร่

             "เพื่อเป็นนิมิตแห่งความสำเร็จและชัยชนะในนานาปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมาขอมอบพระพุทธชินราช อันเป็นพุทธสัญญลักษณ์แห่งราชาแห่งชัยชนะ และหวังในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในโครงการต่อไป ขณะเดียวกันอาตมามีโครงการสร้างวัดอีกแห่งหนึ่งที่สาวัตถี ถ้ามีโอกาสก็ขอเชิญไปที่นั่นกำลังดำเนินการ และจะทำให้ยิ่งใหญ่กว่าที่เมืองกุสินารา อาตมาจะไปพบท่านที่เมืองลักเนาว์หากมีเรื่องที่ต้องขออุปถัมภ์ช่วยเหลือ"  พระครูปริยัติโพธิวิเทศ ระบุ

             ขณะที่มุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ กล่าวว่า "ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ผมได้ทำตามสัญญาที่เคยกล่าวไว้เมื่อครั้งเข้าไปกราบพระคุณเจ้าที่วัดเมื่อครั้งก่อน หากมีเวลาผมจะไปเยี่ยมที่วัดไทยอีก มีอะไรให้ผมรับใช้กรุณาแจ้งบอกได้เลยนะครับ"

             พอวันรุ่งขึ้นเฟซบุ๊ก Namaste Dhamma ได้โพสต์ภาพการเผยแพร่พิธีดังกล่าวของสื่อประเทศอินเดียค่อนข้างเป็นข่าวใหญ่

             ผู้ที่ติดตามเฟซบุ๊ก"ท่านคมสรณ์ ข่าวสารงาน-พระธรรมทูตอินเดีย,Namaste Dhamma,วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์-อินเดีย" จะได้เห็นกิจกรรมที่เป็นพุทธานุสสติอย่างต่อเนื่อง ร่วมถึงข้อคิดเตือนสติสำหรับคนไทยอย่างเช่นล่าสุดความว่า

             "ความเมตตา คือ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความหวังดี ความปรารถนาดี ถ้าเราเป็นเพื่อนกับใคร จะสังเกตได้เลยว่า เราคิดถึงแต่จะให้ประโยชน์กับเขา ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนทำร้ายเลย นั่นคือลักษณะของเพื่อนจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นสภาพของธรรมชนิดหนึ่ง คือ เมตตา ในภาษาบาลี ซึ่งภาษาไทยก็ใช้คำว่า “มิตร” หรือ “เพื่อน” เพราะฉะนั้นเวลาไหนที่เราเกิดหวังดีต่อใคร ให้ทราบว่าสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นกำลังทำกิจหวังดี"

             พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงกระทำเป็นแบบอย่างในการใช้หลักธรรมนำการเมือง แล้วนักการเมืองไทยที่เป็นชาวพุทธจะไม่ลองทำตามบ้างหรือ

: สำราญ สมพงษ์รายงาน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์ ๕. ปารายนวรรค ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย สุตตนิบาต

วิเคราะห์ ๕. ปารายนวรรค ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย สุตตนิบาต ในปริบทพุทธสันติวิธี บทนำ "ปารายนวรรค...