วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

"เจ้าคุณประสาร" มองการเลือกตั้งแล้วถามพรรคการเมือง ศาสนาจะอยู่ตรงใหนในสังคมไทย



เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย  ได้ให้ความเห็นกรณีที่มีพรรคการเมืองบางพรรคมีนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแล้วเกี่ยวเนื่องด้วยศาสนาและพระพุทธศาสนานั้นว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง สำหรับพระสงฆ์แล้วทุกรูปให้ความเคารพต่อมติมหาเถรสมาคมที่ไม่ให้พระสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะเกรงว่าจะสูญเสียความเป็นกลางและไม่เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนโดยรวม ในเรื่องนี้พระสงฆ์ทุกรูปรวมทั้งตนเองด้วยต่างก็ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ในขณะนี้ได้มีพรรคการเมืองบางพรรค แกนนำพรรคการเมืองบางคนได้พูดผ่านเวที Future  Of Creative Economy ซึ่งเผยแผ่ทางสื่อมวลชนโดยที่ผู้พูดเป็นหนึ่งในทีมเศรษฐกิจของพรรค เขาบอกว่า 6 เปลี่ยนเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์สังคมไทย  ข้อแรกคือ เปลี่ยนกระทรวงวัฒนธรรมไทย เป็นกระทรวงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 

@siampongnews #เจ้าคุณประสาร มองการเลือกตั้งปี 2566 ถามพรรคการเมืองต่างๆ ศาสนาจะอยู่ตรงใหนในสังคมไทย #ข่าวtiktok ♬ เสียงต้นฉบับ - Dr.samran sompong

พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวว่า ในเรื่องนี้ในฐานะพระสงฆ์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายดังกล่าวจึงอยากถามพรรคการเมืองพรรคนั้นว่าเมื่อมีแนวนโยบายอย่างนี้แล้ว ศาสนาทุกศาสนาและพระพุทธศาสนาจะอยู่ตรงใหน อยู่ตรงใหนในโครงสร้างและแนวนโยบายแห่งรัฐ อย่าลืมว่ากระทรวงวัฒนธรรมนั้นแยกออกมาจากกระทรวงศึกษาธิการ เฉพาะเรื่องศาสนา และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติเราโดย เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ทั่วโลกชื่นชมและด้วยความชื่นชม ชื่นชอบนี้นักท่องเที่ยวทั่วโลกส่วนหนึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม วัดวาอาราม ศาสนา ทั้งในเขตวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดอรุณ อยุธยา สุโขทัย เชียงใหม่ เป็นต้น  แล้วความชื่นชอบด้านศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เหล่านี้มิใช่หรือที่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของไทยเจริญเติบโตเติบโตและยังช่วยกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนคนรากหญ้าได้อย่างแท้จริง ตั้งแต่แท็กซี่ สามล้อ คนขายไข่ปิ้ง ผู้ประกอบการทุกระดับไปจนถึงเจ้าสัว คนร่ำคนรวยในประเทศทั้งหลายและในปัจจุบันนี้ประเทศไทยเราก็พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวใช่หรือไม่ แล้วจะมายุบเอาดื้อๆเสียอย่างนี้ และถ้าเกิดว่ายุบจริงตานโยบายของพรรคท่านแล้วกระทรวงใหม่ที่ว่านี้งานจะซ้ำซ้อนกับกระทรวงเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิมแล้วหรือไม่ เช่น กระทรวงการคลัง พาณิชย์ พลังงาน คมนาคม เกษตรและสหกรณ์ อุตสาหกรรม และหน่วยงานรวมทั้งภาระงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมเดิมจะไปอยู่ใหน เช่น   กรมการศาสนา กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร หอภาพยนตร์และศูนย์คุณธรรม หรือเพราะก่อนหน้านี้แกนนำของท่านที่บัดนี้กลายมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงเคยบอกไว้ว่ามีนโยบายให้มีศาสนาเสรีและรัฐไม่ต้องอุปถัมภ์ศาสนารวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย           

พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวต่อไปว่า ที่พูดนี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เพราะการการเมืองเข้ามาล้ำเขตแดนในโครงสร้างรัฐจึงมีผลกระทบต่อศาสนา พระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ทั้งประเทศอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้        

"อาตมาพูดโดยไม่ได้ระบุว่าใคร พรรคใหน อย่างไร แต่พูดด้วยความเป็นห่วงศาสนาและพระพุทธศาสนาว่าอาจจะถูกเข้าใจผิด อาจจะมองศาสนาในสังคมไทยด้วยภาพที่ไม่ชัดเจน แต่ถึงอย่างไรก็ตามทั้งหมดที่พูดมานี้ก็พูดบนหลักแห่งเมตตาธรรม" พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวในตอนท้าย

ขวัญใจแม่ค้า "ลุงป้อม" กินข้าว ตลาดบองมาเช่ แม่ค้าขอถ่ายรูป หน้าร้าน บอกค้าขายดี


เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566  เวลา ประมาณ 12.00 น.ลุงป้อม พลเอก ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเดินทางลงพื้นที่เป็นการส่วนตัวที่ตลาดบองมาเช่ ทักทายพ่อค้าแม่ค้าประชาชนพร้อม นั่งรับประทานอาหารบริเวณฟู๊ดคอร์ดโดยสั่งอาหารที่ร้านค้ามารับประทาน อาทิ ก๋วยจั๊บร้านคุณต๋อย  หมูทอดชาววัง เจ้าเก่าวังหลังศิริราช  ก๋วยเตี๋ยวแห้งหมู ข้าวมันไก่ ซั้งไห่  ระหว่าง รับประทานอาหารมีประชาชน และแฟนคลับมาขอถ่ายรูปอย่างต่อเนื่องพร้อมเชียร์ให้ลุงป้อมสู้ๆ แฟนคลับบอกลุงป้อม ว่าเลือกพรรคพลังประชารัฐอยู่แล้วขอให้ลุงป้อมได้เป็นนายกคนที่สามสิบ

@siampongnews #ลุงป้อม ขวัญใจแม่ค้า กินข้าว #ตลาดบองมาร์เช่ แม่ค้าขอถ่ายรูปบอกขายดี #ข่าวtiktok ♬ เสียงต้นฉบับ - Dr.samran sompong

โดยก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหารลุงป้อมพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณได้เดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าบริเวณตลาดบองมาเช่ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าได้ขอให้ลุงป้อมมาถ่ายรูปกับพ่อค้าแม่ค้า ที่หน้าร้านของตนโดยบอกว่าถ้าลุงป้อมมาถ่ายรูปที่หน้าร้านของตนเองจะได้ขายดีโดย พลเอก ประวิตร ก็ได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไว้ด้วยความเป็นกันเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และได้ฝากให้เลือกพรรคพลังประชารัฐด้วย โดยก่อนเดินทางกลับก็ได้มีแฟนคลับ ของลุงป้อมทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาขอถ่ายรูปและเชียร์ให้ลุงป้อมสู้ๆ อย่างต่อเนื่อง 

หลังจากทักทายประชาชนด้วยความเป็นกันเองลุงป้อม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เตรียมตัวไปปราศรัยต่อที่จังหวัดภูเก็ตและพังงาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ทสท. เดินสายมูเมืองคอน ลั่นต้องปรับแนวคิด ก.ท่องเที่ยว-ก.วัฒนธรรม ส่งเสริมความเป็นไทยให้อินเตอร์ดึงนักเที่ยว


เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566  น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคไทยสร้างไทย และจินนี่ - น.ส.ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ ผู้ช่วยหาเสียง ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 10 เขต รศ.สืบพงศ์ ธรรมชาติ เขต 1 เบอร์ 4 นายอนุชา ขวัญคาวิน เขต 2 เบอร์ 9 นายเริงบพิธ เพชรคง เขต 3 เบอร์ 11 ร.ต.อ.สมคิด ไทรแก้ว เขต 4 เบอร์ 2 น.ส.นงเยาว์ ประชุมทอง เขต 5 เบอร์ 3 นายภูมิไท ดีเป็นแก้ว เขต 6 เบอร์ 3 นายศุภชัย เครือจันทร์ เขต 7 เบอร์ 4 น.ส.กชพร ราชรักษ์ เขต 8 เบอร์ 5 นายพชร สรงประเสริฐ เขต 9 เบอร์ 3 และนายภูริณัฐ ใจสนุก เขต 10 เบอร์ 2

คณะพรรคไทยสร้างไทย เดินทางไปสักการะตาพรานบุญ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดยางใหญ่  อ.ท่าศาลา และมนัสการพระประธาน และสักการะไอ้ไข่ ที่วัดเจดีย์ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช 

น.ต.ศิธา กล่าวว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชสามารถเป็นเมืองหลวงของการท่องเที่ยวสายมูได้เลย ยกตัวอย่างช่วงโควิดที่สายการบินแทบจะปิดกิจการกันหมด แต่นครศรีธรรมราชมีเที่ยวบินเต็มเที่ยววันละประมาณ 10 เที่ยวบินมาลงที่นี่ จนตอนนี้มีสนามบินนานาชาติสร้างแล้วด้วย เราลงทุนไปเยอะในจังหวัดที่มีศักยภาพ แต่การสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่เพียงพอ ถ้ารัฐบาลปรับให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรม ส่งเสริมการท่องเที่ยวสายมู ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างชาติพร้อมจะมาเที่ยว 

จินนี่ ยศสุดา กล่าวว่า การท่องเที่ยวสายมูกำลังเป็นกระแสในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะจากในโซเชียลมีเดียที่มักจะแชร์ วาปสถานที่มูเตลูที่โด่งดัง

น.ต.ศิธา กล่าวเสริมว่า รัฐบาลที่หาเงินไม่เป็นต้องมาดูงานที่วัดไอ้ไข่ การเอาวัฒนธรรมไทยมาเป็นอินเตอร์ให้คนต่างชาติมีความสนใจที่จะมาเที่ยว ในต่างประเทศมีการเผยแพร่วัฒนธรรมผ่านหนัง หรือการ์ตูน แต่ไทยลงทุนแค่สิ่งปลูกสร้าง แล้วปล่อยให้รกร้าง คนไทยที่มีความสามารถก็ต้องใช้ทั้งพรสวรรค์และพรแสวงผลักดันตัวเองถึงจะสำเร็จ แต่ถ้าไทยสร้างไทย เบอร์ 32 ได้เป็นรัฐบาลจะส่งเสริมตรงนี้ จัดอีเวนต์ระดับโลก 12 เดือน ทุกจังหวัดมีจุดขายโปรโมทความเป็นไทยในแบบของตัวเอง และปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำมาหากิน เช่น โรงแรมเล็ก และใบอนุญาตค้าขายสินค้าต่างๆ เป็นต้น


“อุตตม-สนธิรัตน์” ชื่นมื่นแท็กทีมลุย “อุดร-หนองบัวลำภู” ช่วยผู้สมัคร ส.ส. พลังประชารัฐหาเสียงโค้งสุดท้าย



วันนี้ (4 พ.ค.66) ที่ จ.อุดรธานี-หนองบัวลำภู ดร.อุตตม สาวนายน ประธานคณะจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี และจ.หนองบัวลำภู ช่วยนายโกเมนทร์ ทีฆธนานนท์ ผู้สมัคร ส.ส. อุดรธานี เขต 1 เบอร์ 6 นายชัยฤทธิ์ เขาวงศ์ทอง ผู้สมัคร ส.ส. อุดรธานี เขต 2 เบอร์ 13 นางชุติมา โชติธนาจินดา ผู้สมัคร ส.ส. อุดรธานี เขต 3 เบอร์ 3 และนางศรัณยา สุวรรณพรหม ผู้สมัคร ส.ส. หนองบัวลำภู เขต 1 เบอร์ 7 หาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง โดยบรรยากาศการลงพื้นที่หาเสียงเป็นไปอย่างชื่นมื่น และคึกคัก ประ ประชาชนให้การตอบรับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างดี

โดย ดร.อุตตม ได้กล่าวปราศรัยย่อยช่วยนายชัยฤทธิ์ หรือทนายแม็ค ผู้สมัคร ส.ส. อุดรธานี เขต 2 เบอร์ 13 และนางชุติมา ผู้สมัคร ส.ส. อุดรธานี เขต 3 เบอร์ 3 ว่าพรรคพลังประชารัฐมีชุดนโยบายที่ตอบโจทย์พี่น้องประชาชนในพื้นที่ และมีผู้สมัคร ส.ส. ในพื้นที่ที่พร้อมทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน ขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกผู้สมัคร เลือกนายชัยฤทธิ์ หรือทนายแม็ค เขต 2 เบอร์ 13 นอกจากนี้ยังมีนางชุติมา เขต 3 เบอร์ 3 ขอให้พี่น้องเลือกให้ดี ๆ เลือกพรรคที่พร้อมจะเป็นรัฐบาล มีนโยบายที่ตอบโจทย์ และต้องทำได้จริง สามารถระดมสรรพกำลังในสังคมไทย ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายประชาชนไม่ให้มีความขัดแย้ง พรรคพลังประชารัฐเชื่อว่าเราสามารถที่จะทำงานตรงนี้ได้ เริ่มจากการก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นศัตรูกับแค่เรื่องปัญหาปากท้อง และความยากจน ของพี่น้องเท่านั้น

ขณะที่นายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยช่วยนางศรัณยา ผู้สมัคร ส.ส. หนองบัวลำภู เขต 1 เบอร์ 7 ว่า ตนมาที่นี่เพื่อจะมาทำให้คนที่ชื่อศรัณยา เข้าไปเป็นตัวแทนของพี่น้องให้ได้ เหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์กว่า ๆ ที่พี่น้องจะต้องตัดสินใจเลือก ส.ส. ที่พี่น้องสามารถพบเขาได้ คนที่ทุ่มเทลงพื้นที่ทำงาน ซึ่งคนที่ตนพูดถึงคือศรันยา เบอร์ 7 เมื่อวานตนได้ปราศรัยที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิด ตนบอกพี่น้องว่าคนเราต้องรักบ้านเกิด เช่นเดียวกับที่ จ.หนองบัวลำภู ถ้าพี่น้องจะเลือก ส.ส. ต้องเลือก ส.ส. บ้านเกิดหนองบัวลำภู เอาคนบ้านอื่นมาเป็น ส.ส. ที่นี่เขาจะรักพี่น้องเท่าศรัณยาหรือไม่ ดังนั้นจะต้องเลือกคนเกิดที่นี่ คนอยู่ที่นี่ คนที่เป็นคนบ้านเรา เพราะหัวใจเขาอยู่ที่นี่ บ้านเกิดคือพื้นที่ที่ต้องกลับไปตอบแทนบุญคุณ ซึ่งศรัณยาจะมาตอบแทนบุญคุณพี่น้อง 

“ผมทราบดีว่าพี่น้องรักศรัณยา เมื่อ 4 ปีที่แล้วผมเป็นเลขาธิการพรรคก็มาหาเสียงให้ แต่แพ้ไปนิดเดียว วันนี้ 4 ปีแล้วที่ผู้หญิงคนที่ชื่อศรัณยา ไม่เคยหยุด ไม่เคยท้อ ไม่เคยเลิก สู้ทุกอย่าง ขอให้ศรัณยาได้เป็น ส.ส.ในดวงใจของพี่น้อง และขอโอกาสให้ศรัณยาได้มารับใช้พี่น้องเขต 1 จ.หนองบัวลำภู ผมมาวันนี้ด้วยความตั้งใจ ถึงแม้เหนื่อยยาก ลำบาก แต่มาเพื่อขอคะแนนให้ศรัณยา วันที่ 14 พ.ค. นี้ เข้าคูหากาเบอร์ 7 และเบอร์ 37” นายสนธิรัตน์ กล่าว 

จากนั้น ดร.อุตตม และนายสนธิรัตน์ ได้ร่วมปราศรัยย่อย และพบปะพี่น้องประชาชน เขต 1 จ.อุดรธานี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และช่วยนายโกเมนทร์ หาเสียง โดยนายสนธิรัตน์ ปราศรัยว่า ถ้าตนไม่รักนายโกเมนทร์จริง คงไม่มาถึงที่นี่ วันนี้มาพร้อม ดร.อุตตม มาเพื่อขอล้ม ส.ส.เก่า แล้วเอา ส.ส.ใหม่ ชื่อโกเมนทร์มาแทน ส.ส.เก่าพี่น้องไม่เคยเห็นหน้า เพราะเขามองพี่น้องเป็นเหมือนของตาย แต่ถามว่าพี่น้องเชื่อในตระกูลทีฆธนานนท์หรือไม่ คนเราพูดอะไรก็ไม่สำคัญเท่าลงมือทำ ตนไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่เอาคนอุดรธานีที่อยู่มาตั้งแต่รุ่นพ่ออย่างนายโกเมนทร์ ซึ่งหลังเลือกตั้งหากนายโกเมทร์ ได้เป็น ส.ส. ตน และดร.อุตตม จะมาขอบคุณพี่น้องด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า จ.อุดรธานี ต้องเปลี่ยนแปลง จ.อุดรธานี มีของดีอีกมาก แต่ที่ไปไม่ได้ เพราะเลือก ส.ส. ผิด วันนี้มาขอคะแนนจากพี่น้องเลือกนายโกเมนทร์ เบอร์ 6 ยกบ้าน เวลาของการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว ตนตั้งใจมามองตาพวกเราแล้วบอกว่าเราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน มาขอความจริงใจ และคะแนนพี่น้องให้นายโกเมนทร์มาก ๆ ให้ชนะแบบขาดลอย นายโกเมนทร์ เป็นเหมือนลูกหลานของพี่น้องชาวอุดรธานี วันนี้ต้องขอคะแนนพี่น้องให้เขาได้เป็น ส.ส. เลือกคนที่จะอยู่กับเรานาน ๆ เลือกคนที่จริงใจกับพี่น้อง

ด้านนายอุตตม กล่าวว่า วันนี้ตน และนายสนธิรัตน์ มาให้กำลังใจ และสนับสนุนนายโกเมนทร์ ซึ่งเขาก็ยังคงเป็นโกเมนทร์คนเดิมที่พี่น้องสามารถพึ่งพาได้ เป็นโกเมนทร์น้องรักของพวกตนที่มีใจเต็มที่ เมื่อปีที่แล้วพบกันเขาก็ยังสู้ และวันนี้ก็สู้หนักกว่าเดิม อยากให้พี่น้องมั่นใจว่าวันนี้พรรคจะสนับสนุนนายโกเมนทร์เกินร้อย เพราะเรามั่นใจว่านายโกเมนทร์คือคนที่ใช่ พรรคพลังประชารัฐวันนี้เราพร้อมด้วยทีมงานคุณภาพ และชุดนโยบายที่เราคิดมาอย่างดี จากนี้ต้องเป็นวันของภาคอีสานจริง ๆ เพราะภาคอีสานมีประชากรมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกภูมิภาค ไม่มีเหตุผลว่าที่นี่จะไม่เป็นแนวหน้าในการพัฒนา วันนี้ต้องทำให้เป็นจริงให้ได้ วันนี้เราเสนอว่าจะพัฒนาพื้นที่ภาคอีสานให้ใหญ่กว่า EEC โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงต้องทำให้เสร็จให้ได้ รวมถึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ยึดโยงการพัฒนาในพื้นที่ของพี่น้องต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ รวมถึงการพัฒนาคน และการศึกษาด้วย อย่าให้ใครมาว่าอีสานเป็นของตาย จึงขอให้พี่น้องช่วยกันสนับสุนนนายโกเมนทร์ เบอร์ 6 ยกบ้าน

จากนั้น ดร.อุตตม นายสนธิรัตน์ พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส. อุดรธานี เขต 1 เขต 2 เขต 3 ได้ขึ้นรถแห่หาเสียงทั่วเทศบาลเมืองอุดรธานี โดยได้รับเสียงเชียร์ และกำลังใจจากประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก 

 


รวมพลแฟนคลับพปชร!!.เปิดเวทีปราศรัยลานคนเมืองดันนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตคนกทม.


 

รวมพลแฟนคลับพปชร!!.เปิดเวทีปราศรัยลานคนเมืองดันนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตคนกทม. สร้างรากฐานที่อยู่อาศัยทุกชุมชนอยู่อย่างมั่นคงต่อยอดพัฒนาอาชีพดูแลผู้สูงวัย กลุ่มเปราะบางถ้วนหน้า

วันที่ 4 พฤษภาคม 2566   พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัยย่อย โซนกรุงเทพกลางและตะวันออก นำโดย ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และหัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม. , นายสกลธี  ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัครกทม นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค  พร้อมด้วย ผู้สมัคร ส.ส.กทม.  ประกอบด้วย ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง เขตเลือกตั้งที่ 1 เบอร์ 11   นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ เขตเลือกตั้งที่ 2 เบอร์ 11  นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5 เบอร์ 4 ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตเลือกตั้งที่ 13 เบอร์ 8 ทองคำ นางนฤมล รัตนาภิบาล  เขตเลือกตั้งที่ 14 เบอร์ 5  นางสาวณิรินทร์ เงินยวง  เขตเลือกตั้งที่ 15 เบอร์ 8  นายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ เขตเลือกตั้งที่ 16 เบอร์ 12 นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18 เบอร์ 4 นางนาถยา แดงบุหงา เขตเลือกตั้งที่ 19 เบอร์ 10  นาย บุญรุ่ง เต๋งจงดี  เขตเลือกตั้งที่ 20 เบอร์ 1 


ศ.ดร. นฤมล กล่าวว่า เวทีครั้งนี้ได้รวมเอาผู้สมัครของ  10 เขต มาพบกับพี่น้องประชาชน  และยืนยันถึงนโยบายที่จะลดค่าครองชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน คนกทม. รวมถึงประชาชนทั่วประเทศ   ซึ่งในวันนี้ได้มีการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และได้พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจของกทม. เป็นสิ่งที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคได้ทำไว้ โดยเฉพาะโครงการบ้านมั่นคง ที่ทำไว้เป็นต้นแบบ ทั้งที่คลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร  เพื่อให้พี่น้องประชาชนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น  โดยผู้สมัครได้เสนอให้พรรคทำนโยบายให้ทุกชุมชน เพื่อที่จะได้มีบ้านเป็นของตนเอง ในโครงการบ้านประชารัฐ  ซึ่งการทำโครงการนี้ไม่มีการใช้งบประมาณของรัฐ เนื่องจากมีความซ้ำซ้อนของพื้นที่ เพราะที่ดินบางแห่งเป็นที่ราชพัสดุ การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือเป็นของเอกชน ดังนั้นการดำเนินโครงการนี้ จะให้เอกชน เป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการ ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยมีราคาไม่เกิน 500,000 บาท  และมีสถาบันการเงินเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเปลี่ยนเงินค่าเช่าบ้าน เป็นเงินผ่อนได้บ้าน  ทำให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น 


นอกจากนี้ยังมีนโยบายการเสริมทักษะ อาชีพและเพิ่มช่องทางการค้าผ่านมือถือให้กับพี่น้องประชาชนมีช่องทางการค้าขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของพปชร.   เช่นเดียวกับการทำนโยบาย บัตรสวัสดิการประชารัฐ จากเดิมที่ผู้ถือบัตรจะได้รับเงินอยู่ที่ 300 บาท ซึ่งพรรคจะเพิ่มให้เป็น 700 บาท และยังมีการประกันชีวิตอีก 200,000 บาท ดังนั้นขอฝากพี่น้องเลือก  พลเอกประวิตร เบอร์ 37 ในบัตรสีเขียว ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และขอฝากผู้สมัครทั้ง 10 คนที่ขึ้นเวทีในวันนี้ด้วย 


ทั้งนี้ผู้สมัครกทม. ได้สลับขึ้นเวทีเพื่อปราศรัย นำเสนอนโยบายในการดูแลพื้นที่กทม. ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และมีเป้าหมายที่จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ในแบบที่สอดรับกับปัญหา และความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง


โดย  ดร. สฤษดิ์ ไพรทอง ผู้สมัครเขต 1  กล่าว ว่า พปชร.มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนผ่านกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาทเพื่อให้กรุงเทพฯเป็นมหานครแห่งอาเซียน ตามนโยบายของพล.อ.ประวิตร ซึ่งกรุงเทพฯเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแต่เรายังพบว่าการพัฒนาบางพื้นที่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ โดย พปชร.เรามีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะการส่งเสริมและสนับสนุนย่านเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ไม่เพียงทำให้เป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวแต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องที่นั้นๆ

ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ  เขตเลือกตั้งที่ 13 เบอร์ 8 กล่าวว่า ในชุมชน ยังขาดเรื่องการส่งเสริมด้านสุขภาพ โดยเฉพาะหาพื้นที่ออกกำลังกายของคนในชุมชน เป็นเรื่องที่ควรผลักดัน ซึ่งได้มีการดำเนินการทำโครงการต้นแบบ เพราะมีพื้นที่ว่าง อีกเป็นจำนวนมาก แต่เป็นของหน่วยราชการ ซึ่งตนได้ประสานหน่วยงานทำลานกีฬาแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้สุขภาพของคนในชุมชนดีขึ้น และเรื่องความปลอดภัย การติดไฟส่องสว่างมีความจำเป็น เพราะพบว่าในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ยังเป็นจุดเสี่ยงภัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไฟส่องสว่าง จะเป็นการป้องปรามอาชญากรรมที่ได้ผล


นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5 เบอร์ 4  กล่าวว่า สิ่งที่อยากทำและมุ่งมั่นสำหรับการเข้ามาทำหน้าที่ในครั้งนี้ คือต้องการให้พื้นที่ของห้วยขวาง มีบรรยากาศคึกคักและสีสัน โดยเน้นการทำพื้นที่ให้เป็น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างที่ทำกิน การทำพื้นที่ให้เป็น ครีเอทีพ มาร์เกต  รวมถึงการพัฒนาบุคลากรสร้างสรรค์ ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกกับคนในชุมชน ทั้งถนน ทางเดินทางแคบ การดูแลสวนสาธาณะที่ขาดการดูแลงอยากเข้ามาประสานและแก้ไขพัฒนาทุกอย่างให้ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือเรื่องสุขภาพ อยากผลักดันด้านสาธารณสุข ให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว 


นางสาวณิรินทร์ เงินยวง  เขตเลือกตั้งที่ 15 เบอร์ 8  กล่าวว่า ทันทีได้รับเลือกตั้ง จะผลักดันให้เกิดศูนย์สุขภาพจิต และดูแลความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่ม LGBT ให้เกิดความเท่าเทียมและทั่วถึงในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสุขภาพจิต  เพราะเป็นบ่อเกิดของเหตุการณ์สูญเสีย โดยเฉพาะปัญหาการฆ่าตัวตาย หากทุกคนได้รับการดูแล ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญ ดูแลความปลอดภัยให้กับคนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นปัญหา ให้สามารถมีช่องทางในการรักษา หรือการบำบัด ได้อย่างสะดวก และอยู่ใกล้บ้าน  


นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18 เบอร์ 4 กล่าวว่า ผมขออาสาเข้าทำงานให้คลองสามวา ลาดกระบัง ให้มีความทัดเทียม เทียบเท่ากับเมืองชั้นในเพราะที่ผ่านมา ได้ทำงานร่วมกับคุณพ่อ ศิริพงษ์ รัสมี ที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ที่อดีตมีแต่สะพานไม้ ให้เป็นสะพานคอนกรีตเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และจะทำต่อเนื่อง ผมขอกอดคุณพ่อ นายศิริพงษ์ รัสมี  เขต 17 เบอร์ 10 เขตหนองจอก เขตคลองสามวา เข้าสภาฯเพื่อทำหน้าที่ให้กับพี่น้องประชาชน 


ปิดท้ายด้วยนายสกลธี กล่าวว่า อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไรอยากเห็น เศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอร์รัปชั่น เห็นยาเสพติดระบาดทั่วเมือง และสถาบันหลักของชาติถูกนำมาล้อเลียน และนำไปพูดอย่างสนุกปาก หรืออยากเห็นคำว่าชาติที่ไม่ใช่ศูนย์รวมของคนไทยอีกต่อไป ทุกอย่างอยู่ในมือของทุกท่าน ในวันที่ 14 พ.ค.นี้ 


"การเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคพลังประชารัฐ เรามีดีในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ศักยภาพของพวกเราไม่น้อยหน้าพรรคการเมืองไหนแน่นอน ซึ่งตนมั่นใจว่าถ้าผู้สมัครของเราทั้ง 33 เขตและพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปทำงาน กทม.ต้องดีกว่านี้แน่นอน"นายสกลธี กล่าว


นายสกลธี กล่าวต่อว่า การก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรคพลังประชารัฐคือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน การก้าวข้ามมันก็มีเส้นแบ่งที่ก็คงไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เช่นการไปรวมกับพรรคที่ไม่เอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือพรรคที่ทำให้เศรษฐกิจของชาติมันล่มจม ด้วยการแจกหว่าน เพราะนักวิชาการก็บอกชัดว่า นโยบายเช่นนี้ จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพังทลายอย่างแน่นอน พรรคการเมืองควรที่จะคิดนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่นโยบายที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน และทำลายประเทศชาติ ด้วยการบอกว่าจะยกเลิก ม.112 ตนไม่มั่นใจว่าการยกเลิกไปแล้วจะทำให้ประชาชนรวยขึ้นอย่างไร


"ขณะนี้มีวาทกรรมออกมาจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์ของแต่ละพรรค แต่ผมอยากจะบอกทุกคนว่าเรารักใครชอบพรรคไหนเราก็เลือกตามใจของเราไม่ต้องไปกังวลว่าจะเลือกคนนั้น แล้วคะแนนจะเสียเปล่า คะแนนจะตกน้ำ เพราะทุกคะแนนเสียงของประชาชนคือกำลังใจให้กับผู้สมัครและพรรคการเมือง ๆ ขอให้ทุกคนเลือกด้วยหัวใจ เลือกในสิ่งที่เราต้องการและเราอยากได้เป็นพอ"


เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทบัวบกอุดรธานี วอนหน่วยราชการออกโฉนดให้วัด



วันที่ 5 พฤษภาคม 2566  นางบุญเพ็ง คันธี  ประธานชมรมรักษ์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย  เปิดเผยว่า ตนเองเป็นชาวบ้านอยู่บ้านติ้ว ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ช่วง2ปีก่อนมีกลุ่มชาวพุทธศาสนิกชนที่ได้มาเที่ยวชมวัดพระพุทธบาทบัวบก  อยู่ที่บ้านติ้ว  แล้วมีความประทับใจมาก เนื่องจากวัดนี้เดิมเป็นวัดร้างเก่าแก่สมัยทวาราวดี อายุ 966 ปี มีเนื้อที่ 2,500 ไร่  โดยหลวงปู่ศรีทัตถ์ ญาณสัมปันโน  ได้บูรณะวัดพระพุทธบาทบัวบกเมื่อปี 2460  จากนั้นจึงสร้างเจดีย์ครอบรอยพระพุทธบาท  นอกจากนี้ยังได้สร้างเจดีย์ไว้อีก 3 แห่ง คือ เจดีย์พระธาตุท่าอุเทน วัดพระธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม, เจดีย์พระธาตุพระพุทธบาทบัวบก และเจดีย์พระธาตุพระบาทโพนสัน วัดพระธาตุพระบาทโพนสัน เมืองท่าพระบาท แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว  ปัจจุบันวัดพระพุทธบาทบัวบกมีพระสงฆ์จำนวน 10 รูป โดยมีพระครูพุทธบทบริรักษ์เป็นเจ้าอาวาส และเป็นรองเจ้าคณะอำเภอบ้านผือรูปที่ 1  ซึ่งเป็นเหลนแท้ๆ ของหลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี พระเกจิชื่อดังของภาคอีสาน

ภายในวัดมีศาสนสถานที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่สำคัญหลายแห่ง  อาทิ พระธาตุเจดีย์ รอยพระพุทธบาทหลายรอย เช่น รอยพระพุทธบาทบัวบก รอยพระพุทธบาทหลังเต่า รอยพระพุทธบาทสาวก ถ้ำพญานาค โดยมีคำเล่าขานกันว่าถ้ำพญานาคนี้ทะลุไปถึงลำน้ำโขง ถ้ำฤาษีจันทรา เศียรพญากงพาน (พ่อของนางอุษา) บ่อน้ำทิพย์ (มีน้ำตลอดปี) สวนหินพญากงพาน พระแม่กาลีอายุหมื่นล้านปี ถ้ำเกิ้ง ลานธรรมพระพุทธเจ้าปางเปิดโลก เนินสาวเอ้  ลานโขดหินขนาดใหญ่  ที่สำคัญบูรพาจารย์หลายๆ รูปเคยธุดงค์วัตรในป่าพื้นที่ของวัดพระพุทธบาทบัวบก อาทิเช่น หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่บุญ ขันธโชติ, หลวงปู่แหวน สุจิณโณ, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ศรีทัตถ์ ญาณสัมปันโน, หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่จิ๋ว พุทธญาโณ บูรพาจารย์หลายรูปเขียนไว้ในตำราว่า พระอาจารย์สายกรรมฐานลุ่มน้ำโขงมาปฏิบัติธรรมบำเพ็ญพรตที่วัดพระพุทธบาทบัวบกทุกรูป และสำเร็จบำเพ็ญเพียรกุศลที่ถ้ำพญานาค  

นางบุญเพ็งกล่าวอีกว่า นอกจากวัดพระพุทธบาทบัวบกมีอายุเก่าแก่มากแล้ว ผืนป่ายังมีความสำคัญสำหรับการบำเพ็ญภาวนา ธรรมปฏิปทา ธรรมยาตราของสายพระปฏิบัติอีสานลุ่มน้ำโขง และนักปฏิบัติธรรมสองฝั่งโขง เข้าไปใช้พื้นที่ๆ เนื่องจากมีความเงียบสงบในการปฏิบัติธรรมตามรอยพระพุทธเจ้า ซึ่งป่ามีความสำคัญมาก  อีกทั้งไม่สามารถแยกป่าไม้กับพุทธศาสนาออกจากกันได้ พระครูพุทธบทบริรักษ์จึงให้ความสำคัญกับการดูแลผืนป่าเป็นอย่างมาก และเคยกล่าวไว้ว่า ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนทำเพื่อพุทธศาสนิกชน เพราะถ้าเทียบกับปัจจุบันนี้ 2500ไร่ไม่มากเกินไป ผืนป่าแห่งนี้จึงเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา อันเป็นเขตโบราณสถานทั้งหมดจำนวน 2500 ไร่  

“ด้วยความที่เจ้าอาวาสเป็นครูยาหมอยา หมอฝังเข็ม และเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทย ท่านมีความรู้ความสามารถทางการแพทย์แผนโบราณ โดยเฉพาะการใช้สมุนไพรในการรักษา การฝังเข็ม เคยรับนิมนต์ไปรักษาคนไข้ และสอนฝังเข็มที่ประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ท่านรู้จักบรรดาสมุนไพรและต้นไม้ใบหญ้าที่สามารถนำมาใช้เป็นสมุนไพรได้ บูรพาจารย์และพระครูพุทธบทบริรักษ์ จึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลผืนป่าของวัดนับตั้งแต่ปี 2520 จนถึงปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนหลายคน มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระครูพุทธบทบริรักษ์  ท่านมีความเป็นห่วงถึงการขอออกโฉนดที่ดินของวัด จำนวน 2,500 ไร่ ที่ธรณีสงฆ์อีก 25 ไร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินได้รังวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมแจกโฉนดจำนวน  2,397 ไร่ 3 งาน 39.1 ตารางวา” นางบุญเพ็งกล่าวและว่า  เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทบัวบก และญาติโยมอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบออกโฉนดให้ เพราะที่ผ่านม มีหลักฐานชัดเจนว่าวัดมีเนื้อที่กว่า 2500 ไร่  ที่สำคัญการออกโฉนดครั้งนี้จะยังประโยชน์โดยรวมให้กับคนไทยทั้งประเทศ พระพุทธศาสนา และความมั่นคงของประเทศชาติด้วย

“กรณ์” นำชาติพัฒนากล้า ปราศรัยสุราษฎร์ธานี ย้ำจุดยืนชนทุนผูกขาด เอาเปรียบประชาชน



วันที่ 4  พฤษภาคม 2566  นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวรวุฒิ อุ่นใจ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ธชา จินตวร ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาพรรค ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อร่วมเวทีปราศรัยช่วย นายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 4 หาเสียง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. นางพงศ์ศรี นาคเมือง เขต 2 เบอร์ 8 นายสุพจน์ บานเย็น เขต 4 เบอร์ 9 และ นายวศุธน เรืองขนาบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เบอร์ 4 ร่วมปราศรัย โดยได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น และร่วมรับฟังปราศรัยอย่างเนืองแน่น 

พรรคชาติพัฒนากล้า เราเป็นพรรคเล็กและเป็นพรรคใหม่ แต่เรากล้าชกกับรุ่นเฮฟวี่เวท เรื่องที่เราออกมาสู้ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ จนได้รับการยอมรับสะท้อนมาเป็นผลโพลล์ของสุราษฎร์ธานีเขต 1 วันนี้ ที่โพลล์บี้กับที่ 1 แบบหายใจรดต้นคอ เวลาที่เหลืออยู่อีก 10 วันถือเป็นช่วงสำคัญ โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองและผู้สมัคร ที่หาเสียงแนวสร้างสรรค์ ไม่แจกเงิน เราต้องรักษาสถานะเป็นผู้ท้าชิง ให้เข้าสู่เส้นชัยให้ได้ 

นายกรณ์ กล่าวว่า เรามักได้ยินคำถามเสมอว่าเราอยู่ฝั่งไหน ซ้ายหรือขวา เราตอบไม่แบบอายว่าเรามองข้ามขั้วการเมือง แต่มาสู้กับเรื่องปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ไม่ตั้งเงื่อนไขให้กับสังคม แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นกลยุทธ์การเมืองของพรรคใหญ่ เพื่อแบ่งประชาชนออกเป็นสองข้าง แต่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย และยังเป็นอุปสรรคของประเทศในการที่จะเดินต่อไปข้างหน้า เรามีจุดยืนชัดเจนว่าเราไม่พร้อมร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.มาเลือกนายก เราถูกปรามาสเสมอว่าเราพร้อมเสียบ ซึ่งต้องบอกว่า ถ้าเป็นพรรครอเสียบก็ต้องสงวนปากสงวนคำอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดเรื่องใหญ่ ไม่ท้าทายใคร แต่เราสู้กับทุนใหญ่ ทุนผูกขาด มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าน้ำมัน ค่าไฟ ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ซึ่ง่มันสวนทางกับพรรครอเสียบ แต่เป็นพรรคที่พร้อมสู้เพื่อความถูกต้องทวงความเป็นธรรมคืนให้พี่น้องประชาชน  

“เราพร้อมสู้กับทุนผูกขาดทุกชนิด เพื่อพี่น้องประชาชน ไม่มีใครที่พึ่งพาได้เหมือนกับเรา ในการยืนหยัดต่อสู้กับใครก็ตาม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของท่าน ผมมีจุดยืนเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มทำงาน ก่อนการทำงานการเมือง ด้วยซ้ำ ผมเกลียดที่สุดคือ ทุนผูกขาด เพราะกระทบกับต้นทุนชีวิตประชาชน ครอบงำการเมืองทุกขั้ว เราขอต่อสู้ในแนวทางสร้างสรรค์ ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองแบบนี้เข้าไปทำงานในสภา ท่านไม่ต้องกังวลว่าเลือกเราแล้วจะได้เป็นรัฐบาลไหม ขอให้ท่านเลือกอนุวัตรเบอร์ 4 และพรรคชาติพัฒนากล้าเบอร์ 14 ขอให้เรามี ส.ส.ในสภา จะกี่คนก็ตาม เราพร้อมยืนหยัดต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนขอท่านอย่าลังเล” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเน้นโอกาสนิยม ให้คนตัวเล็ก ทำธุรกิจได้ เติบโตได้ แข็งแรง แข่งกันทุนใหญ่ได้ พรรคชาติพัฒนาจึงมีนโยบายเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก สนับสนุนเกษตรกรสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าด้วยการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แต่ระบบราชการไม่เอื้ออำนวยทำให้ต้องเกี่ยวพันกันหลายกระทรวง ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กเติบโต พรรคชาติพัฒนากล้า เราเสนอโครงการ “บริษัทมหาชนของเกษตรกร” โดยใช้กลไกตลาดทุนมาช่วย  เราดึงเกษตรกรมารวมตัวกัน โดยมีเศรษฐีคนไทย และนักลงทุนต่างประเทศ  มาสนับสนุนนักบริหารทางการตลาด และหาตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ แบบนี้เกษตรกรได้ประโยชน์ตั้งแต่ขายราคาพืชผล แปรรูปผลผลิต และนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพื่อพัฒนาสินค้า ถ้าทำแบบนี้เกษตรกรเราไม่จนแน่นอน และโมเดลนี้จะเริ่มที่ จ.สุราษฎร์ธานีเป็นที่แรก เพราะเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ 

นายวรนัยน์ นโยบายประชานิยม จะทำให้ล้มละลายทั้งประเทศ ชุดนโยบายเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยพัฒนา คุณภาพชีวิตพัฒนา คือการสร้างโอกาส สร้างความเสมอพรรค หลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลแจกเงินไปเท่าไหร่แล้วแต่ ประชาชนจนเหมือนเดิม ถ้าเราอยากมีอนาคต เราต้องมองเรื่องหาเงิน ใครจะมาพัฒนาเศรษฐกิจให้เราได้ สร้างโอกาส ให้อาวุธพวกเราต่อสู้ ไม่ใช่ลืมตาอ้าปาก แต่อิ่มหมีพีมัน อยู่ดีกินดี คนรวยมีไม่กี่คน ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าตอบโจทย์ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แบบไม่เน้นประชานิยม  

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าเรามั่นใจว่าเราเป็นพรรคแห่งความหวัง เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน เราพูดได้ชัดเจนตรงไปตรงมาไม่ต้องเกรงใจทุนใหญ่ เราไม่รับทุนผูกขาด และเป็นพรรคแรกที่ต่อสู้เรื่องพลังงาน และออกมาเตือนรัฐบาลหลายครั้งว่าราคาน้ำมัน ค่าไฟ และข้าวของจะแพงตามมา แต่รัฐบาลไม่ทำ และยังประกาศขึ้นค่าไฟ ซ้ำเติมประชาชน และยังเอา รมว.พลังงานมาเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 2 ของพรรคลุงอีกมันสะท้อนถึงทุนผูกขาดที่มีอำนาจที่อยู่เหนือการเมือง   

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เราไม่เน้นประชานิยม แต่เน้นโอกาสนิยม เราไม่เน้นแจก ตอนนี้มีหลายพรรคการเมืองมีนโยบายลดแลกแจกแถม บางพรรคประกาศจะขึ้นค่าแรงในอีก 5 ปีข้างหน้า ชี้นำอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ของแพงขึ้น และยังซ้ำด้วยนโยบายแจกประชาชนคนละหมื่น รวมแล้ว 5.5 แสนล้านบาท งบประมาณดังกล่าวสามารถสร้างมอเตอร์เวย์จากเหนือจรดใต้ แต่จะเอามาแจกในเวลาไม่กี่เดือน ตนไม่เคยเห็นใครทำนโยบายแบบนี้มาก่อน เรื่องการแจกทำได้แต่ต้องเป็นช่วงที่ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตในช่วงโควิด แต่ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ได้อยู่ภาวะวิกฤตจึงไม่ใช่เวลาของการแจก เราจะใช้เงินแบบเทน้ำเทท่าแบบนั้นไม่ได้ 

“คุณกรณ์ สมัยเป็น รมว.คลัง เพราะทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อสิบกว่าปีก่อน จีดีพีติดลบ 0.7 คุณกรณ์ ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จนพลิกจีดีพีขึ้นมา 7.5 ภายใน 1 ปี จนโลกยกให้เห็น รมว.คลังโลก ซึ่งไม่มีนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีคนไหน ทำได้แบบคุณกรณ์ วันนี้เรามาบอกว่า พรรคชาติพัฒนากล้ามีทีมเศรษฐกิจที่มีคุณภาพเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน” นายอรรถวิชช์ กล่าว 

นายอนุวัตร กล่าวว่า จากการเดินสายพบปะพี่น้องประชาชน ล้วนแต่สะท้อนให้ฟังว่าตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายไม่มีกำไร ข้าวของแพงขึ้นมาก พรรคชาติพัฒนากล้าเรามีนโยบายหลากหลาย ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชน จึงขอโอกาสพี่น้องชาวสุราษฎร์ธานีสนับสนุนให้ผู้สมัครของพรรค เป็นผู้แทนของพวกท่านเข้าไปทำงานในสภา เพื่อเข้าไปผลักดันนโยบายให้สำเร็จ สุราษฎร์ธานีมีทรัพยากรธรรมชาติครบถ้วน ทั้ง ทะเล แม่น้ำ ป่าไม้ ทะเล ภูเขา พืชผลทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้มหาศาล

“สุวัจน์-เทวัญ” แขกพิเศษ บ้านคุณย่าโม จากโหลนรุ่นที่ 6 เปิดบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ขอความเป็นมงคล มีชัยชนะ ศัตรูแพ้พ่าย



วันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ที่บ้านคุณย่าโม ถนนจอมพล ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านดั้งเดิมของท้าวสุรนารี หรือ คุณย่าโม นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้าและแคนดิเดตนายกฯ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 5 เขต 1 พร้อมคณะได้รับเกียรติจาก นางจงกลกร ผาสุขมูล หรือคุณนก อายุ 56 ปี ทายาทรุ่นที่ 6 โหลดของคุณย่าโม ให้การต้อนรับเปิดบ้านอายุกว่า 90 ปี ที่ตั้งอยู่บนที่ดินของคุณย่าโม พร้อมบอกเล่าเรื่องราวด้วยรอยยิ้ม ว่าตามคำบอกเล่าของ อาจารย์ ลดาวัลย์ วรรณบูรณ์ เหลนสาวของคุณย่าโม (อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา) ว่าบ้านคุณย่าโม ในสมัยก่อนอยู่จดสระน้ำวัดพระนารายณ์มหาราช ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกจดที่ดินเอกชน ทิศใต้จดถนนมหาดไทย ที่ดินติดกับสระน้ำวัดพระนารายณ์มหาราช เดิมเป็นบริเวณที่ดินของคุณย่าโม ใช้ปลูกพลู ปลูกหมากกิน ในสมัยก่อน คุณย่าโมจะชอบเดินไปทำบุญที่วัดพระนารายณ์เป็นประจำ เพราะอยู่ใกล้บ้าน

ปัจจุบัน บ้านของคุณย่าโม ไม่มีแล้วถูกรื้อทิ้งเพราะเกิดโรคระบาดกาฬโรค เหลือเพียงที่ดิน ( เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล) และบ่อน้ำเก่าแก่ที่คุณย่าโมใช้อาบสมัยก่อน  ปัจจุบันนี้กลายเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ทุกปีในงานฉลองชัยชนะคุณย่าโม ( 23 มีนาคม) ทางจังหวัด จะมาเอาน้ำจากบ่อนี้ไปประกอบพิธีกรรมด้วย ซึ่งน้ำในบ่อยังคงใสและไม่เคยเหือดแห้งเลยจนถึงปัจจุบัน ส่วนอัฐิย่าโมนั้น มีอยู่ 2 แห่งคือ ที่วัดศาลาลอย และ ฐานอนุสาวรีย์ ส่วนเครื่องยศที่ รัชกาลที่3 พระราชทานให้ยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีกับทายาทรุ่นที่ 6

คุณนก บอกว่าวันนี้ดีใจและถือเป็นเกียรติที่บ้านคุณย่าโม ได้ต้อนรับท่านเพราะโดยส่วนตัวเคารพรักท่านมานานแล้วจึงได้เตรียมดอกมะลิ น้ำอบไทยไว้ให้ท่านพร้อมคณะได้กราบขอพรคุณย่าโม ที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และตักน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านดื่มและล้างหน้า เพื่อความเป็นสิริมงคล มีชัยชนะ ศัตรูแพ้พ่าย

จากนั้น คุณสุวัจน์ พร้อมคณะเข้าเยี่ยมชมเรือนไทยโบราณสองชั้น (สร้างบนที่ดินคุณย่าโม) และกราบขอพรจากรูปหล่อคุณย่าโมที่ตั้งประดิษฐ์อยู่สององค์ อายุกว่า 90 ปี องค์แรกเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์ องค์ที่สองแกะสลักจากไม้ขนุน โดยภายในห้องรับแขกถูกออกแบบเป็นนิทรรศการภาพถ่ายคุณย่าโม ภาพสาแหรกต้นตระกูล ภาพเมืองโคราชในอดีต

คุณนก เล่าว่าปัจจุบันตนเป็นผู้สืบทอดดูแลที่ดินผืนนี้ในฐานะทายาทรุ่นที่ 6 (โหลด)ต่อจากทายาทรุ่นที่ 5 (เหลน) คือ อาจารย์ลดาวัลย์ วรรณบูรณ์ ท่านเสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชรา ( 3 มีนาคม 2556 ) ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ด้วยวัย 89 ปี ตอนเกษียณอายุราชการมาพำนักอยู่บ้านเลขที่ 536 ถนนจอมพล ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา ซึ่งตามโฉนดที่ดินโบราณ เป็นโฉนดที่ดินพื้นที่บ้านเก่าของคุณย่าโม(ท้าวสุรนารี) เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล แต่วันนี้เปิดต้อนรับท่านสุวัจน์ พร้อมคณะด้วยความยินดี

“สุวัจน์” ชี้การเมืองขัดแย้งเหมือน ก้อนกรวดในร้องเท้าเดินไม่คล่อง



“สุวัจน์” บุกย่านหัวมังกรโคราชชั้นใน มั่นใจ โคราชโนมิกส์ ถูกใจ ประทับใจคนโคราช ชี้การเมืองตั้งอยู่บนฐานความขัดแย้งก็เหมือนก้อนกวดในร้องเท้าทำให้เดินไม่คล่อง

วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 เวลา 7.00 น.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้าและแคนดิเดตนายกฯ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 5 เขต 1 ลงพื้นที่หาเสียงพบปะพี่น้องประชาชนชาวโคราช เริ่มตั้งแต่ตลาดเช้า ตลาดหัวรถไฟ และเดินทางต่อไปตามเส้นทางถนนราชดำเนิน ถนนชุมพล ถนนจอมพล ถนนหัวมังกร ถนนเศรษฐกิจหลักของโคราช พบปะกับพ่อค้าแม่ค้า เพื่อนำเสนอนโยบาย”โคราชโนมิกส์” โคราชระเบียงเศรษฐกิจ โคราชเมืองท่องเที่ยวอินเตอร์ โคราชเมือผลิตอาหารป้อนโลก โคราชเมืองคมนาคมทันสมัย โคราชน้ำไม่ท่วม น้ำไม่แล้ง น้ำประปาพอใช้ และปรับโครงสร้างค่าไฟ เพื่อแก้ปัญหาค่าไฟแพง “งานดี มีเงิน ของไม่แพง”

@siampongnews #สุวัจน์ ชี้การเมืองขัดแย้งเหมือน ก้อนกรวดในร้องเท้าเดินไม่คล่อง #ข่าวtiktok ♬ เสียงต้นฉบับ - Dr.samran sompong


นายสุวัจน์ กล่าวว่าการเปิดเวทีปราศรัยได้พบพี่น้องประชาชนมารับฟังการปราศรัยจํานวนมากทุกท่านมีความมั่นใจและชอบนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบายเพื่อชาวโคราชโดยเฉพาะ ทําให้มีความรู้สึกว่าเป็นพรรคการเมืองที่เข้าใจและทํางานกับชาวโคราชมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เราใช้ยุทธศาสตร์การเดินเข้าหาพี่น้องประชาชน เน้นเรื่องนโยบายต่างๆ วันนี้การเมืองพี่น้องประชาชนอยากฟังนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายในการแก้ไขปัญหา

ฉะนั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งเราต้องใช้ยุทธศาสตร์ในการที่จะเข้าหาพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด เน้นนโยบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคมีนโยบายทั้งสองอย่าง คือ นโยบายเศรษฐกิจ ในการแก้ไขปัญหา”งานดี มีเงิน ของไม่แพง” และนโยบายให้กับพี่น้องประชาชนชาวโคราช “โคราชโนมิกส์”เอาเศรษฐกิจยุคทองกลับมา เอาการลงทุนกลับมา โคราชเป็นเมืองท่องเที่ยวอินเตอร์ โคราชผลิตอาหารป้อนโลก โคราชเมืองคมนาคมทันสมัย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทําให้เรามั่นใจ ยิ่งเดินเท่าไหร่ ยิ่งพบพี่น้องประชาชนเท่าไหร่ การตอบรับดีมากๆ ทําให้เรามั่นใจว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคชาติพัฒนากล้าน่าที่จะ come back ได้กลับมารับใช้พี่น้องชาวโคราชด้วยเสียงที่ดีกว่าเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องการใช้กระสุนดินดํา นายสุวัจน์ ตอบว่าทุกคนก็กังวลเรื่องนั้น กรรมการที่ดูแลการเลือกตั้ง คือ กกต. คงจะต้องทํางานกันหนักหน่อยฝากทางกกต. ด้วยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกพรรคการเมืองในการที่จะทําให้การแข่งขันเป็นไปได้ด้วยความเป็นธรรม เรื่อง money politice การใช้เงินต่างๆ ก็ไม่ควรที่จะมี

“วันนี้ การเมืองถือว่าสําคัญถ้าการเมืองขัดแย้งก็เหมือนกับมีก้อนกรวดในรองเท้าเวลาเดินก็ไม่สะดวก การเมืองคือ เครื่องมือในการพัฒนา เครื่องมือในการบริหารที่รับผิดชอบประชาชนเลือกเข้ามาก็เพื่อจะให้แก้ไขปัญหา การเมืองขัดแย้งทําให้เดินไม่ค่อยสะดวกก็เหมือนการเมืองไม่มีเสถียรภาพฉะนั้น ถ้าเราช่วยกันลดบรรยากาศการเมืองให้เป็นการเมืองที่พี่น้องประชาชนเห็นแล้วสบายใจ แบ่งกันทําหน้าที่ ไม่ขัดแย้งเท่านั้น หมายความว่าการเมืองเข้มแข็ง ไม่ขัดแย้ง ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ พวกเราได้สบายใจ และพี่น้องก็สบายใจ”นายสุวัจน์ กล่าว

ฉะนั้น พรรคชาติพัฒนากล้าอยู่ที่จุดสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมาก ได้รับการเลือกตั้งมาที่หนึ่ง เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล อันนี้เป็นหลักการไม่ได้เกี่ยวกับตัวบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับผู้อื่นผู้ใด แต่เป็นหลักการของการเมือง เป็นประเพณีปฏิบัติ ที่เรามักจะทํากันอย่างนี้มาตลอด คือ ถ้าทําอย่างนี้ได้ จะรู้สึกว่าเหมือนกับทุกอย่างถูกทำนองคลองธรรม มีความชอบธรรม ถ้าการเมืองเริ่มต้นด้วยความชอบธรรมมันก็จะเข้มแข็ง มีเสถียรภาพก็จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้

“ไพศาล” ซัดความคิดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยคือการโกงประชาธิปไตย


 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุว่า โกงประชาธิปไตย กลียุคและหายนะของชาติ

1.โกงชาติ คือโกงงบประมาณจากภาษีของประชาชน ในการจัดซื้อจัดจ้าง หรือเอาทรัพย์สมบัติของชาติไปเซ็งลี้ให้กับนายทุน เพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว

2.โกงประชาชน คือการสมคบกับกลุ่มทุน โกงค่าไฟฟ้าค่าน้ำมัน จากประชาชนในราคาแพงเกินความจริง การเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุน โดยประชาชน ได้รับความเดือดร้อน และเกิดความเหลื่อมล้ำ ทั่วประเทศ

3.โกงประชาธิปไตย คือ การยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้ง และการโกงอำนาจอธิปไตยของ ประชาชน คือประชาชนไม่ได้เลือกตั้งให้เป็นรัฐบาล แต่เอาเสียงของบริวารที่ตั้งเองมาเป็นใหญ่กว่าเสียงประชาชน!!!!

ความคิดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย คือการโกงประชาธิปไตย เพราะประชาชนไม่ได้เลือกให้มีเสียงข้างมากให้เป็นรัฐบาล แต่เอาเสียง ส.ว. ที่ตั้งกันมาเอง มาเป็นใหญ่กว่าเสียงของประชาชน

การโกงประชาธิปไตย เป็นเรื่องสุดแสนอัปยศและน่าละอายแห่งชาติ!!!!


#นับถอยหลังการเลือกตั้ง

“นอท หัวหน้าพรรคเปลี่ยน” ฟาด กกต.ทำหน้าที่เหมือนนาตาชา ขอ ปชช.ช่วยเป็นหูเป็นตา

 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท หัวหน้าพรรคเปลี่ยน โพสต์ข้อความ ถึงการทำงานของ กกต. หลังจากโลกออนไลน์แชร์ภาพตู้เก็บบัตรเลือกตั้ง ของหน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งและมีเทปกาวปิดทับเป็นรูปกากบาท โดยหัวพรรคเปลี่ยนโพสต์ข้อความ ระบุว่า “แปะกระดาษกาว เซ็นต์ชื่อกำกับ ผมบอกน้องในทีมเสมอครับ ว่าเราต้องทำงานกันเต็มที่ เพราะนี่คือสงคราม สงครามชิงบ้านชิงเมือง คนที่ชนะจะได้เข้าไปดูแลบ้านเมือง ประเทศจะดีหรือเลวร้ายมันขึ้นอยู่กับสงครามครั้งนี้ พวกเราจึงออกไปรบ ทำสงครามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อไม่ให้ฝ่ายอำนาจเก่าที่ทำลายประเทศมา 8 ปี เข้ามา แต่พอเราหันหลังกับมาดูคนเฝ้ากำแพงเมืองแล้วแทบจะหมดหวังทุกครั้งเลยครับ พี่ทำตัวเป็นนาตาชา คอยแอบเปิดประตูให้เค้าตลอดเลยครับ ปวดกบาลครับพี่ พี่ช่วยทำให้มันจริงจังหน่อยได้ไหมครับ”

โดยนายพันธ์ธวัช เห็นว่า กกต.เปรียบเสมือนหน่วยงานที่เป็นกำแพงเมืองป้องกันประเทศจากศรัตรู แต่ที่ผ่านมา กกต. กลับทำหน้าที่ให้ประชาชนเกิดข้อกังขา สะท้อนผ่านการทำงานที่ไม่รัดกุมเช่นภาพตู้เก็บบัตรเลือกตั้งที่มีการแชร์ออกมา จนสังคมตั้งคำถามถึงงบประมาณของ กกต. ที่ไม่สอดคล้องกับการทำงานจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม พร้อมระบุว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เปรียบเสมือนสงครามชิงบ้านชิงเมือง ที่นักการเมืองทุกคนทำกันอย่างเต็มที่เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นกว่า 8 ปีที่ผ่านมา พร้อมฝากไปถึงประชาชนให้ช่วยกันออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเลือกตั้ง และเป็นหูเป็นตาในทุกหน่วยเลือกตั้ง เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุด 

วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เปิด 10 นโยบายเร่งด่วน ที่ประชาชนอยากได้จากรัฐบาลชุดใหม่

 เปิด 10 นโยบายเร่งด่วน ที่ประชาชนอยากได้จากรัฐบาลชุดใหม่

 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยในงานสัมมนา โค้งสุดท้าย เลือกตั้ง 66 ดีเบตนโยบายเศรษฐกิจ กับ 9 พรรคการเมือง จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่าจากการสำรวจความคิดเห็น ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ส.ส.ปี 2566 โดยจากการสุ่มตัวอย่าง 2,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่ามี 10 นโยบายเร่งด่วนที่ประชาชนอยากได้จากรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่


1. ลดค่าครองชีพของประชาชนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม


2. เพิ่มสวัสดิการในด้านต่างๆ ให้กับประชาชน โดยเฉพาะสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลและเบี้ยผู้สูงอายุ


3. เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน


4. แก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาหนี้สิน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย


5. สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยว


6. ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน


7. พัฒนาภาคเกษตรกรรมและแก้ไขปัญหาที่ดิน


8. เร่งฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติผ่านนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ


9. ลดข้อจำกัดและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการ SME


10. ปรับปรุงระบบการศึกษาให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและสอดคล้องเหมาะสมกับโลกยุคใหม่


นอกจากนี้ยังได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็น เรื่อง ความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง โดยเป็นการสำรวจนโยบายที่ประชาชนให้ความสำคัญมากที่สุดในแต่ละด้าน แบ่งเป็น 8 นโยบาย ได้แก่


นโยบายที่ 1 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย 3 นโยบายแรก ที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ 1.เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 2.ขึ้นอัตราเงินเดือน 3.เพิ่มเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุ สำหรับนโยบายที่ประชาชนมองว่ามีความสำคัญน้อยที่สุดคือ โครงการธนาคารหมู่บ้าน


นโยบายที่ 2 นโยบายแรงงาน/การจ้างงาน โดย 3 นโยบายแรก ที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ 1.สร้างตำแหน่งงานใหม่สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ 2.นำผู้ประกอบอาชีพอิสระ เข้าระบบประกันสังคม 3.เบิกเงินผู้ประกันตน 30% มาใช้ก่อนได้ สำหรับนโยบายที่ประชาชนให้ความสำคัญน้อยที่สุดคือ ขยายเกณฑ์อายุของผู้เกษียณออกไปเป็น 63-65 ปี


นโยบายที่ 3 นโยบายลดค่าครองชีพ โดย 3 นโยบายแรก ที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ 1.ลดค่าไฟฟ้า 2.ลดราคาน้ำมัน และ 3.ลดราคาแก๊สหุงต้ม ส่วนนโยบายที่ประชาชนให้ความสำคัญน้อยที่สุดคือลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหลือ 20 บาทตลอดสาย


นโยบายที่ 4 นโยบายแก้ปัญหาหนี้สิน โดย 3 นโยบายแรกที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ 1.พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก คนละไม่เกิน 1 ล้านบาท 2.ปลดล็อคให้สมาชิก กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)และสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถนำเงินสมทบส่วนหนึ่ง เช่น ไม่เกิน 30% ออกมาซื้อบ้าน/ลดหนี้บ้านได้ 3.ยกเลิกหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)


นโยบายที่ 5 นโยบายสวัสดิการ โดย 3 นโยบายแรก ที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ 1.ตรวจสุขภาพฟรี 2.รักษาฟรีทุกโรค บัตรทอง 30 บาทพลัส 3.ให้เงินอุดหนุนค่าปรับปรุงบ้านผู้สูงอายุ ส่วนนโยบายที่ให้ความสำคัญน้อยที่สุดคือ ให้เงินรับขวัญเด็กแรกเกิด


นโยบายที่ 6 นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ โดย 3 นโยบายแรก ที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ 1.จัดสรรเงินสนับสนุนการปรับปรุง/พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว 2.จัดสรรเงินสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพชุมชนท่องเที่ยว 3.พัฒนาแพลตฟอร์มท่องเที่ยวสัญชาติไทย ส่วนนโยบายที่ให้ความสำคัญน้อยที่สุดคือพัฒนาแพลตฟอร์มขายของออนไลน์สัญชาติไทย


นโยบายที่ 7 นโยบายเกษตร โดยพบว่า 3 นโยบายแรก ที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ 1.สร้างเกษตรรุ่นใหม่ 2.ประกันรายได้ จ่ายเงินส่วนต่าง 3.ให้เงินอุดหนุนกลุ่มเกษตรกร ส่วนนโยบายที่ให้ความสำคัญน้อยที่สุด เกษตรกรขายคาร์บอนเครดิตได้


นโยบายที่ 8 นโยบายช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี โดย 3 นโยบายแรก ที่ประชาชนให้ความสำคัญ คือ 1.SME เข้าถึงทุน 2.ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 1% ต่อเดือน (ชำระดอกเบี้ยภายใน 6 เดือนถึง 3 ปี) 3.หวย SME (ซื้อสินค้า SME แถมหวย) ส่วนนโยบายที่ประชาชนให้ความสำคัญน้อยที่สุดคือปลดล็อกเครดิตบูโร


โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก"

โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก" 1. บทนำ เปิดเรื่อง : สันติสุข ชายหนุ่มนักเขียนนิยายธรรมะที่ต้องการค้นหามิติใหม่ของการเล่าเรื่องธรรม...