วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เพลง : รักชาติต้องไปชายแดน

 


เพลง (Song Title):
รักชาติต้องไปชายแดน (To Love the Land, We Stand on the Border)


🎶 Lyrics (เนื้อเพลง):


[Verse 1]
เช้าอีกวันลมหนาวพัดมา
เสียงธงโบกพลิ้วอยู่ตรงชายแดน
หัวใจเต้นแรงเพราะรู้ว่าฉัน
มีภาระหน้าที่ต้องปกป้องแผ่นดิน

ก้าวไปไกลจากครอบครัวที่รัก
เพื่อรักษาสัญญาและศรัทธาในใจ
ทุกก้าวคือคำประกาศชัดไว้
รักชาติไม่มีวันละทิ้งไป


[Pre-Chorus]
แม้ทางจะไกล แม้ต้องเผชิญฝนไฟ
เราจะยืนหยัดไม่หวั่นไหว


[Chorus]
รักชาติต้องไปชายแดน
เฝ้าตามแสงตะวันไม่เคยแปรเปลี่ยน
ยืนหยัดด้วยหัวใจที่ไม่หวาดหวั่น
แม้ลมหนาวจะพัดแรงแค่ไหน

รักชาติต้องไปชายแดน
เพื่อปกป้องแผ่นดินที่เรารักยิ่งกว่าใคร
ส่งรอยยิ้มกลับไปถึงคนที่เฝ้าห่วงใย
สัญญาว่าจะกลับมา


[Verse 2]
ในคืนที่ฟ้าดูเงียบงัน
ยังมีเสียงเพลงในหัวใจฉัน
บทเพลงความหวังและศรัทธา
จะพาให้ยืนขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อมองแสงดาวบนท้องฟ้าไกล
ฉันรู้ว่าเธอคงมองเหมือนกัน
ไม่ว่าห่างกันสักเท่าไร
หัวใจยังผูกพัน


[Pre-Chorus]
แม้ทางจะไกล แม้ต้องเผชิญฝนไฟ
เราจะยืนหยัดไม่หวั่นไหว


[Chorus]
รักชาติต้องไปชายแดน
เฝ้าตามแสงตะวันไม่เคยแปรเปลี่ยน
ยืนหยัดด้วยหัวใจที่ไม่หวาดหวั่น
แม้ลมหนาวจะพัดแรงแค่ไหน

รักชาติต้องไปชายแดน
เพื่อปกป้องแผ่นดินที่เรารักยิ่งกว่าใคร
ส่งรอยยิ้มกลับไปถึงคนที่เฝ้าห่วงใย
สัญญาว่าจะกลับมา


[Bridge]
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนอีกครา
เราจะเฝ้าดูแลไม่ถอยหนี
ทุกพรมแดนคือลมหายใจ
เพราะที่นี่คือบ้านเรา


[Chorus] (Final)
รักชาติต้องไปชายแดน
เฝ้าตามแสงตะวันไม่เคยแปรเปลี่ยน
ยืนหยัดด้วยหัวใจที่ไม่หวาดหวั่น
แม้ลมหนาวจะพัดแรงแค่ไหน

รักชาติต้องไปชายแดน
เพื่อปกป้องแผ่นดินที่เรารักยิ่งกว่าใคร
ส่งรอยยิ้มกลับไปถึงคนที่เฝ้าห่วงใย
สัญญาว่าจะกลับมา


[Outro]
สัญญาว่าจะกลับมา...
เมื่อรักชาติ ต้องไปชายแดน

เพลง : Lighting Up Tomorrow นายกฯเร่งศึกษา หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ-ภาพลักษณ์ไทย


 

เพลง (Song Title):

“Lighting Up Tomorrow”


🎶 Lyrics (เนื้อเพลง):


[Verse 1]
In the heart of Southeast Asia
A vision’s rising like the sun
Dreams of music on the ocean
Calling everyone to come

A spark ignites across the nations
To make our spirit shine so bright
Every heartbeat in this moment
Breathing life into the night


[Pre-Chorus]
We’re standing on the edge of something new
Turning hopes into a festival of truth


[Chorus]
Lighting up tomorrow
Feel the rhythm, let it flow
From Bangkok to the islands
Let the world know where we’ll go

Lighting up tomorrow
With the colors of our pride
Thailand in the spotlight
As the stars ignite the sky


[Verse 2]
From the streets to every border
From the rivers to the stage
Every heartbeat getting bolder
Every step, a brand new page

With a thousand dreams unbroken
And a million voices strong
We’ll transform this destination
Where we all belong


[Pre-Chorus]
We’re standing on the edge of something new
Turning hopes into a festival of truth


[Chorus]
Lighting up tomorrow
Feel the rhythm, let it flow
From Chiang Mai to the ocean
Let the world know where we’ll go

Lighting up tomorrow
With the colors of our pride
Thailand in the spotlight
As the stars ignite the sky


[Bridge]
Raise your hands, feel the freedom
Every heartbeat, every reason
We are ready for the world to see
This is more than just a vision
It’s the power of decision
Building dreams and possibility


[Chorus] (Final)
Lighting up tomorrow
Feel the rhythm, let it flow
From Bangkok to the islands
Let the world know where we’ll go

Lighting up tomorrow
With the colors of our pride
Thailand in the spotlight
As the stars ignite the sky


[Outro]
We’re lighting up tomorrow
And the world will see us rise

นายกฯ เร่งศึกษาจัด Tomorrowland หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ-ภาพลักษณ์ไทย

 

นายกฯ สั่งเร่งเดินหน้าประสาน-ศึกษาจัดเทศกาลดนตรี Tomorrowland หวังกระตุ้นเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ประเทศไทย ทำให้เศรษฐกิจโตสูงขึ้นในภูมิภาค


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการถึงการสนับสนุนนโยบาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศไทย เพื่อทำให้คนทั่วโลกหันมาให้ความสนใจประเทศไทย และเดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้นนั้น


นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการต่อไปว่า สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ตามที่รัฐบาลมีนโยบายกำหนดให้ปี 2568 เป็น "ปีแห่งการท่องเที่ยว" โดยมีเป้าหมายเพื่อปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก


โดยที่งานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ถือว่าเป็นเทศกาลดนตรีที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น ตลอดจน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตสูงขึ้นได้ จึงขอมอบหมายให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้


สั่งการให้ ก.ท่องเที่ยวฯ และ ททท. เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการในโครงการข้างต้น เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป


ให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ TCEB เร่งดำเนินการ ศึกษาความเหมาะสม และความเป็นไปได้ (Feasibility Study) สำหรับการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland โดยให้จัดทำรายละเอียด ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน โดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่าย ประโยชน์ และความคุ้มค่าและการบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

โฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้เร่งดำเนินการในการสนับสนุน ภาคธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยว และ การกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย ในแผนการกระตุ้นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวจะทำให้ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจได้สูงขึ้นในภูมิภาคอย่างแน่นอน


 


วิเคราะห์ปฏิวัติคณะสงฆ์ไทย: นำ AI ปั้นคณะสงฆ์ไทยดิจิทัล ตามแนวคิดมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

 


บทคัดย่อ

บทความนี้วิเคราะห์โอกาสและความท้าทายของการปฏิวัติคณะสงฆ์ไทยโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแนวคิดซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์ (Superintelligence) เพื่อต่อยอดภารกิจทางศาสนาและการบริหารจัดการองค์กรสงฆ์สู่ยุค “คณะสงฆ์ไทยดิจิทัล” โดยอ้างอิงบทเรียนจากความเคลื่อนไหวระดับโลก อาทิ การจัดตั้ง Meta Superintelligence Labs (MSL) ของบริษัท Meta ที่รวบรวมบุคลากรระดับแนวหน้าของวงการ AI มาพัฒนาโมเดลขั้นสูง ซึ่งสะท้อนปรากฏการณ์การเปลี่ยนผ่านจาก AI เชิงอำนวยความสะดวก ไปสู่ AI เชิงสร้างสรรค์และปฏิวัติ (Transformative AI) บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์ความเป็นไปได้ แนวทาง และข้อพิจารณาจริยธรรมในการนำนวัตกรรม AI มาเสริมภารกิจคณะสงฆ์ไทยอย่างยั่งยืน


1. บริบทโลกยุคซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์

ปรากฏการณ์ Meta Superintelligence Labs ที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กประกาศก่อตั้งเมื่อกรกฎาคม 2568 สะท้อน เทรนด์สำคัญ 4 ประการที่ประเทศไทยและคณะสงฆ์ควรจับตา:

  1. การรวมศูนย์บุคลากร AI ระดับหัวกะทิ
    Meta ได้ดึงตัวนักพัฒนาชั้นนำจาก OpenAI, Google DeepMind, Anthropic และ Scale AI โดยเสนอโบนัสเซ็นสัญญาสูงสุดถึง 100 ล้านดอลลาร์ จุดนี้ชี้ให้เห็นว่า “สมรภูมิแข่งขันบุคลากร AI” เข้มข้นกว่าที่เคยมีมา

  2. การทุ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
    Meta วางงบลงทุนด้าน AI มากกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ และเตรียมขยายไปสู่ AI Wearables, AI Personal Assistants และโมเดล LLM ล้ำยุค

  3. การขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ Superintelligence
    ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่าการสร้าง “ซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์ส่วนบุคคล” คืออนาคตที่จะแปลงวิธีคิดและวิถีชีวิตของมนุษย์

  4. การแข่งขันเชิงระบบนิเวศ (Ecosystem Competition)
    ขนาดองค์กรและจำนวนผู้ใช้พันล้านคนทำให้ Meta สามารถทดสอบ Deploy โมเดล AI ได้รวดเร็วกว่าบริษัทเล็ก


2. บทเรียนสำหรับคณะสงฆ์ไทย

เมื่อเทียบกับแนวโน้มระดับโลก คณะสงฆ์ไทยอาจมองเห็น 3 แนวทางสำคัญในการนำนวัตกรรม AI มา “ปั้น” องค์กรดิจิทัลทางศาสนา:

2.1 จาก Digitalization สู่ Superintelligence ของศาสนา

ที่ผ่านมา องค์กรศาสนามักใช้ Digitalization เพียง “เก็บข้อมูล/เผยแพร่ความรู้” เช่น สแกนพระไตรปิฎกหรือถ่ายทอดธรรมะออนไลน์ แต่ในอนาคตคณะสงฆ์อาจก้าวไปอีกขั้น คือ:

  • พัฒนาโมเดล AI เชิงลึก (Foundation Model for Buddhism) ที่วิเคราะห์ คัดกรอง เปรียบเทียบพระธรรมวินัย คำสอน คำแปล และข้อวินิจฉัยอย่างแม่นยำ

  • สร้าง Superintelligent Dharma Assistant ผู้ช่วย AI ส่วนบุคคลด้านศาสนา ที่เรียนรู้บริบทผู้ใช้และตอบข้อสงสัยธรรมะอย่างลึกซึ้ง

2.2 การรวมศูนย์บุคลากรเทคโนโลยีสงฆ์

Meta ตั้ง MSL เพื่อดึงผู้เชี่ยวชาญ AI จากทั่วโลก คณะสงฆ์ไทยควรพิจารณาตั้ง หน่วยงานพัฒนานวัตกรรมสงฆ์ดิจิทัล ที่ดึงทั้งพระภิกษุ นักวิชาการ และนักพัฒนา AI มาทำงานร่วมกันในลักษณะ Cross-functional Team

2.3 โครงสร้างพื้นฐานและเงินลงทุน

คณะสงฆ์ไทยจะต้องพิจารณางบประมาณลงทุน Data Center ระบบ Cloud และอุปกรณ์ AI ให้พร้อมเทียบเคียงกับองค์กรชั้นนำ เพื่อรองรับโมเดลที่มีพลังประมวลผลสูงและสามารถ Scale ได้จริง


3. ความท้าทายและข้อควรระวัง

แม้โมเดล “Superintelligence” จะมีศักยภาพมหาศาล แต่คณะสงฆ์ไทยควรตระหนักถึง 4 ความท้าทายหลัก:

  1. ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ความรู้
    การประมวลผลข้อมูลทางศาสนาด้วย AI ต้องพิจารณากรอบศีลธรรมและขนบธรรมเนียมทางจิตวิญญาณ เพื่อไม่ให้การตีความธรรมะถูกลดทอนเป็นแค่ข้อมูลเชิงตัวเลข

  2. จริยธรรม AI และอคติในโมเดล
    โมเดล LLM อาจสะท้อนอคติ (bias) จากข้อมูลฝึกฝน เช่น การตีความพระไตรปิฎกผิดเพี้ยน

  3. การยอมรับจากสังคม
    ผู้ปฏิบัติศาสนกิจบางส่วนอาจมองว่า AI ทำให้บทบาทพระสงฆ์ลดคุณค่า จึงต้องสร้างความเข้าใจร่วมกัน

  4. ทรัพยากรบุคลากร
    ไทยยังขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ด้านภาษาไทยและด้านธรรมะโดยเฉพาะ จึงต้องลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ระยะยาว


4. แนวทางสู่ “คณะสงฆ์ไทยซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์”

ต่อยอดจากกรณี Meta บทความนี้เสนอ แนวทางเชิงระบบ ดังนี้:

แนวทางรายละเอียด
1. จัดตั้ง Thai Sangha Superintelligence Lab (TSSL)เป็นศูนย์กลางนวัตกรรม AI ทางศาสนา รวมผู้เชี่ยวชาญพุทธศาสตร์ เทคโนโลยี และภาษาศาสตร์
2. พัฒนา Foundation Model ด้านธรรมะโมเดล AI ที่เรียนรู้พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก อรรถกถาและงานวิจัยทางศาสนา
3. สร้าง Dharma AI Assistant ส่วนบุคคลผู้ช่วย AI ที่ตอบปัญหาธรรมะ วางแผนการศึกษาศาสนา ติดตามกิจวัตรปฏิบัติธรรม
4. ตั้งนโยบายจริยธรรม AIยกร่างแนวทางใช้ AI ในกิจการศาสนาอย่างเหมาะสม โปร่งใส ตรวจสอบได้
5. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AIพัฒนา Data Center และเครื่องมือสนับสนุนโมเดล LLM ขนาดใหญ่
6. สร้างระบบฝึกอบรมพระสงฆ์ยุคดิจิทัลเสริม Digital Literacy และ AI Literacy แก่บุคลากรศาสนา

5. บทสรุป

กรณี Meta Superintelligence Labs แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่เพียงอำนวยความสะดวก แต่เป็นพลังเปลี่ยนโฉมระบบความรู้และโครงสร้างองค์กรทั้งหมด คณะสงฆ์ไทยกำลังเผชิญโจทย์สำคัญว่า จะหยิบยืมวิสัยทัศน์ Superintelligence มาสร้างคุณค่าเชิงจิตวิญญาณและสังคมได้อย่างไร

หากสามารถสร้าง “คณะสงฆ์ไทยซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์” ที่ผสานพลัง AI จริยธรรม และภูมิปัญญาพุทธศาสนาได้สำเร็จ องค์กรสงฆ์ไทยจะไม่เพียงรักษามรดกทางจิตวิญญาณ แต่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำการเผยแผ่ธรรมะที่ลึกซึ้ง สร้างความเข้าใจ และเข้าถึงผู้คนอย่างไร้พรมแดนในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง


 

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2568

วิเคราะห์ปฏิวัติคณะสงฆ์ไทย: นำ AI ปั้นคณะสงฆ์ไทยดิจิทัล



บทคัดย่อ

บทความนี้วิเคราะห์โอกาสและความท้าทายของการปฏิวัติคณะสงฆ์ไทยผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับระบบบริหารจัดการองค์กรสงฆ์สู่ “คณะสงฆ์ไทยดิจิทัล” โดยเปรียบเทียบกับกรณีศึกษาการปฏิรูประบบกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ที่ร่วมมือกับ Microsoft ใช้ AI ปฏิวัติระบบกฎหมายไทยกว่า 70,000 ฉบับ การศึกษาเน้นการสังเคราะห์บทเรียน แนวทางการประยุกต์ และประเด็นจริยธรรมที่คณะสงฆ์ไทยต้องคำนึงเมื่อก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพื่อพัฒนาบทบาททางศาสนาให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมร่วมสมัย


1. บริบทการเปลี่ยนผ่าน: จากรัฐสู่คณะสงฆ์

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การปรับปรุงโครงสร้างและกระบวนการทำงานของหน่วยงานรัฐไทยได้เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังเพื่อตอบสนองความคาดหวังของประชาชนต่อความโปร่งใส ความคล่องตัว และประสิทธิภาพ โดยเฉพาะความพยายามปฏิวัติระบบกฎหมายไทยด้วย AI ซึ่งกลายเป็นต้นแบบสำคัญของ “รัฐบาลดิจิทัล” (Digital Government)

กรณี OCS สะท้อนให้เห็น 3 แกนสำคัญที่คณะสงฆ์ไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการยกระดับตนเอง ได้แก่:

  1. การจัดการข้อมูลเชิงลึก (Deep Legal/Data Management) – การแปลงเอกสารที่สืบค้นไม่ได้ ให้เป็นฐานข้อมูลที่ค้นหา วิเคราะห์ เปรียบเทียบได้ทันที

  2. การสร้างมาตรฐานที่สอดคล้องกับระดับสากล – การใช้ TH2OECD เพื่อเปรียบเทียบกฎหมายไทยกับข้อกำหนด OECD

  3. การมุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง – ยกระดับการเข้าถึงข้อมูล บริการ และการสื่อสารกับสังคม

สำหรับคณะสงฆ์ไทย ระบบบริหารจัดการเอกสารทางศาสนา พระธรรมวินัย ประวัติศาสตร์สงฆ์ หนังสือคำสอน ตลอดจนข้อมูลการบริหารกิจการวัดจำนวนมาก ยังอยู่ในรูปแบบกระดาษและเอกสารไฟล์ PDF ที่ไม่เชื่อมโยงกัน จึงมีโอกาสมหาศาลที่จะใช้ AI แปลงข้อมูลดิบเหล่านี้ให้เป็นทุนความรู้ดิจิทัล และปรับปรุงกลไกการบริหารให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และทันสมัย


2. ปัญญาประดิษฐ์ในฐานะเครื่องมือปฏิวัติองค์กรสงฆ์

กรณี OCS ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเสริม แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของการบริหารจัดการ คณะสงฆ์ไทยอาจประยุกต์บทเรียนสำคัญ 3 ประการดังนี้:

2.1 การแปลงเอกสารศาสนาและข้อมูลสงฆ์เป็นฐานข้อมูล AI

ระบบ TH2OECD ที่ประยุกต์ NLP วิเคราะห์กฎหมายกว่า 70,000 ฉบับ เป็นต้นแบบให้คณะสงฆ์ไทยพัฒนา “Thai Sangha Knowledge Base” ซึ่งรวมข้อมูลพระธรรมวินัย ประกาศมหาเถรสมาคม ประวัติพระภิกษุผู้มีชื่อเสียง คู่มือการปฏิบัติศาสนกิจ และบทเรียนสอนศีลธรรม ให้อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกัน ค้นหาได้หลายภาษา และแปลอัตโนมัติ

2.2 การวิเคราะห์มาตรฐานกิจการสงฆ์

เช่นเดียวกับ OCS ที่ใช้ AI เทียบกฎหมายไทยกับข้อกำหนด OECD คณะสงฆ์สามารถใช้ AI วิเคราะห์ “มาตรฐานกิจการสงฆ์” เทียบกับแนวปฏิบัติสากล (เช่น มาตรการส่งเสริมความโปร่งใส การบริหารการเงินวัด การปกป้องสิทธิเด็กและสตรีในบริบทศาสนา) เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับสังคมไทย

2.3 การให้บริการดิจิทัลต่อสาธารณชน

OCS เน้น “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” คณะสงฆ์ไทยอาจพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Digital Sangha Portal ที่ให้บริการข้อมูลคำสอน การสอบถามข้อสงสัยศาสนา การบริหารศรัทธาออนไลน์ ระบบนัดหมายกิจกรรมทางศาสนา และระบบติดตามการบริจาคที่ตรวจสอบได้


3. ความท้าทายและข้อพิจารณาทางจริยธรรม

แม้ AI จะเปิดโอกาสใหม่ แต่คณะสงฆ์ไทยต้องพิจารณาปัจจัยท้าทายสำคัญ ได้แก่:

  1. ความเป็นส่วนตัวและความศักดิ์สิทธิ์ของข้อมูลทางศาสนา – เอกสารบางส่วนอาจถือเป็นมรดกวัฒนธรรมที่มีคุณค่าเชิงจิตวิญญาณ การนำขึ้นระบบดิจิทัลต้องมีมาตรการคุ้มครองอย่างรอบด้าน

  2. จริยธรรม AI – OCS มีแผนจัดทำนโยบายธรรมาภิบาล AI คณะสงฆ์ก็ต้องพัฒนามาตรการกำกับดูแลให้รัดกุม เพื่อป้องกันความลำเอียง (bias) การบิดเบือน หรือการใช้ข้อมูลผิดวัตถุประสงค์

  3. การยอมรับจากสังคม – องค์กรทางศาสนาอาจเผชิญแรงต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยมที่มองว่าเทคโนโลยีจะลดคุณค่าและบารมีของพระสงฆ์


4. แนวทางสู่ “คณะสงฆ์ไทยดิจิทัล”

จากบทเรียนของ OCS บทความนี้เสนอ 5 แนวทางหลักสำหรับคณะสงฆ์ไทย:

  1. พัฒนา Thai Sangha Knowledge Base ด้วย AI และ NLP เพื่อรวบรวมคำสอน ประกาศ กฎหมายสงฆ์ และข้อมูลวัดกว่า 40,000 แห่ง

  2. สร้างระบบเปรียบเทียบมาตรฐานสงฆ์กับมาตรฐานสากล ในเรื่องธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และสิทธิมนุษยชน

  3. พัฒนาระบบบริการดิจิทัลที่มุ่งประชาชนเป็นศูนย์กลาง เช่น เว็บไซต์วัดดิจิทัล แอปสอนศีลธรรม AI Chatbot ตอบคำถามธรรมะ

  4. กำหนดนโยบายจริยธรรมและธรรมาภิบาล AI ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล

  5. เสริมสร้างศักยภาพบุคลากรสงฆ์และฆราวาส ผ่านโครงการฝึกอบรม Digital Literacy


บทสรุป

การปฏิวัติระบบกฎหมายไทยโดย OCS และ Microsoft สะท้อนศักยภาพของ AI ในการแปลงองค์กรที่ซับซ้อนให้กลายเป็น “องค์กรดิจิทัล” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คณะสงฆ์ไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ หากสามารถนำ AI มาปั้น “คณะสงฆ์ไทยดิจิทัล” ได้สำเร็จ ไม่เพียงจะรักษาและต่อยอดภูมิปัญญาพุทธศาสนา แต่ยังเพิ่มความโปร่งใส ความเชื่อมั่น และความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับสังคมไทยในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างยั่งยืน

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2568

"วิสาร" นำคณะ กมธ.ศึกษาท่าเรือโยโกฮาม่า ถอดบทเรียนสร้างกฎหมายใหม่ยกระดับท่าเรือไทย



คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ลงพื้นที่ท่าเรือโยโกฮาม่า ศึกษาการบริหารจัดการแบบ “World Port – City Port” พร้อมชูแนวทางบริหารกระจายอำนาจ–พัฒนาเมืองควบคู่ท่าเรือ เตรียมต่อยอดร่างกฎหมายการท่าเรือแห่งประเทศไทยฉบับใหม่

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายย 2568   เวลา 13.30 น. นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญท่าเรือฯ สภาผู้แทนราษฎร และคณะ ได้เดินทางศึกษาดูงานท่าเรือโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น โดยมี Mr. Hisataka Uematsu ประธานของบริษัทท่าเรือโยโกฮาม่า (Yokohama Port Corporation - YPC) และคณะ ให้การต้อนรับ

นายวิสาร กล่าวว่าการศึกษาดูงานเพื่อความรู้กับบริษัทท่าเรือโยโกฮาม่า โดยมีเป้าหมายเพื่อนำโมเดลความสำเร็จมาปรับใช้ในการยกร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ในการเยือนครั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับแนวคิด "World Port" และ "City Port" ซึ่งเป็นต้นแบบการพัฒนาท่าเรือให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเมืองและชุมชนได้อย่างลงตัว การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อยกระดับการท่าเรือแห่งประเทศไทยในหลายมิติ ทั้งการเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและท่าเรืออัจฉริยะ การเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าที่เชื่อมโยงการขนส่งทุกรูปแบบ การพัฒนาท่าเรือสำราญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และการพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง โดยข้อมูลที่ได้จากการศึกษาดูงานครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และเป็นนิมิตหมายอันดีต่อการส่งเสริมอนาคตของอุตสาหกรรมท่าเรือต่อไป

ด้านนาย Hisataka Uematsu ประธาน Yokohama Port Corporation กล่าวว่าบริษัทรับผิดชอบบริหารศูนย์โลจิสติกส์ในท่าเรือโยโกฮาม่า และมุ่งสู่การเป็น Green Port การเปลี่ยนรูปแบบขนส่ง และการขนส่งทางน้ำ จากกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรือสำราญ ท่าเรือโยโกฮาม่านั้น ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางและบริหารโดยเทศบาลเมือง โดยมีการวางแผนแม่บทและกฎหมายควบคู่กับการพัฒนาเมือง ตนหวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมมือ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากโยโกฮาม่ามาสนับสนุนการท่าเรือแห่งประเทศไทย



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่าเรือโยโกฮาม่าเป็นท่าเรือหลักที่สำคัญของญี่ปุ่น เปิดดำเนินการมากว่า 150 ปี มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว ในปี 2567 ท่าเรือแห่งนี้มีปริมาณสินค้าผ่านท่ารวมประมาณ 101 ล้านตัน มีเรือเดินสมุทรเทียบท่า 8,602 เที่ยวต่อปี และเรือชายฝั่ง 18,810 เที่ยวต่อปี

โครงสร้างองค์กรของท่าเรือโยโกฮาม่าอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักการท่าเรือและท่าเรือโยโกฮาม่า (Port and Harbor Bureau, City of Yokohama) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเทศบาลนครโยโกฮาม่า ไม่ใช่รัฐบาลกลาง โดยแบ่งฝ่ายงานชัดเจน เช่น ฝ่ายนโยบาย ฝ่ายโลจิสติกส์ ฝ่ายพัฒนาเมือง ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายบริหารจัดการทรัพย์สิน เป็นต้น การบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจนี้ ทำให้เกิดความคล่องตัวและตอบสนองต่อความต้องการของพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว



การพัฒนาเมืองและท่าเรือโยโกฮาม่าดำเนินไปควบคู่กันอย่างเป็นระบบ โดยใช้กฎหมายผังเมืองและกฎหมายท่าเรือในการกำหนดขอบเขตและการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงแผนพัฒนาระยะกลาง 4 ปีที่บูรณาการทั้งในเชิงกายภาพและเชิงนโยบาย ผ่านการอนุมัติงบประมาณจากสภาเทศบาลและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชน นอกจากนี้ยังมีแผนแม่บทสำหรับพัฒนาพื้นที่ริมน้ำและแผนการใช้ที่ดินบริเวณท่าเรืออย่างเหมาะสม

ท่าเรือโยโกฮาม่าได้เปลี่ยนแปลงบทบาทจากเมืองอุตสาหกรรมหนัก สู่เมืองที่ผสมผสานระหว่างโลจิสติกส์ พาณิชย์ การท่องเที่ยว และพื้นที่สีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือโครงการมินาโตะมิไร 21 ซึ่งเป็นการฟื้นฟูพื้นที่อุตสาหกรรมเก่า เช่น อู่ต่อเรือมิตซูบิชิ ให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจ การท่องเที่ยว และวัฒนธรรมระดับโลก โดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างพื้นที่พาณิชย์ พื้นที่สาธารณะ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เดิมทีเมืองโยโกฮาม่าประสบปัญหามลพิษทางอากาศและจราจรติดขัดจากรถบรรทุกสินค้า และการใช้พื้นที่อุตสาหกรรมในเขตเมืองสร้างข้อจำกัดต่อการเติบโตของเมือง แต่ด้วยการวางแผนผังเมืองและการย้ายกิจกรรมอุตสาหกรรมออกนอกเขตเมือง ทำให้สามารถพัฒนาเมืองในมิติใหม่ได้ ปัจจุบันยังคงมีความท้าทาย เช่น การปรับตัวต่อขนาดเรือที่ใหญ่ขึ้น การเปลี่ยนแปลงของโลจิสติกส์สมัยใหม่ การดึงดูดแรงงานรุ่นใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมท่าเรือ และการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับบทบาทของท่าเรือ

เครือข่ายขนส่งของท่าเรือโยโกฮาม่ามีความทันสมัยและครอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางราง เชื่อมต่อกับทางด่วนหลัก สถานีรถไฟ และระบบขนส่งสาธารณะในเมือง มีการพัฒนาท่าเทียบเรือสำหรับเรือคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ ท่าเรือสำหรับส่งออกรถยนต์ และท่าเทียบเรือสำราญที่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้พร้อมกันถึง 7 ลำ ขนาดท่าเรือรวมทั้งสิ้น 10,155 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,469 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่น้ำ 7,218 เฮกตาร์ หรือประมาณ 45,112 ไร่ และพื้นที่ริมน้ำ 2,937 เฮกตาร์ หรือประมาณ 18,357 ไร่

รายได้หลักของท่าเรือโยโกฮาม่ามาจากค่าธรรมเนียมการเข้าเทียบท่า ค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่น้ำและที่ดิน ค่าธรรมเนียมการใช้สิ่งปลูกสร้าง รวมถึงรายได้จากการขายทรัพย์สิน ในปี 2566 มีรายได้รวมประมาณ 19,545 ล้านเยน หรือประมาณ 4,900 ล้านบาท (ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 เยน = 2.5 บาท) โดยแบ่งเป็นรายได้ประจำ 14,835 ล้านเยน (ประมาณ 3,700 ล้านบาท) และรายได้จากการขายทรัพย์สิน 4,709 ล้านเยน (ประมาณ 1,180 ล้านบาท)

ท่าเรือโยโกฮาม่ามีความร่วมมือกับท่าเรือสำคัญหลายแห่งในญี่ปุ่น เช่น ท่าเรือโทมากโกไม เซนได นาโกย่า ฮากาตะ ฯลฯ และมีเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศกว่า 95 เส้นทาง ครอบคลุมเอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และยุโรป พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์และระบบ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบโลจิสติกส์

นวัตกรรมสำคัญที่ท่าเรือโยโกฮาม่านำมาใช้ เช่น ระบบจองคิวรถบรรทุก CONPAS (Container Fast Pass) ที่ช่วยกระจายเวลาการเข้าออก ลดเวลารอคิวจากเฉลี่ย 30 นาที เหลือเพียง 7 นาที โครงการลดการปล่อยคาร์บอนโดยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และการพัฒนาระบบป้องกันภัยพิบัติ เช่น การซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงของแนวป้องกันชายฝั่งที่ได้รับความเสียหายจากไต้ฝุ่น

จากการศึกษาดูงานในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้ข้อคิดสำคัญที่สามารถนำมาปรับใช้กับการพัฒนากฎหมายท่าเรือในประเทศไทย เช่น การบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีบทบาทนำ การวางแผนผังเมืองควบคู่กับการพัฒนาท่าเรือเพื่อให้เกิดความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน และการพัฒนาท่าเรือให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงศูนย์กลางการขนส่งสินค้าเท่านั้น

ท่าเรือโยโกฮาม่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาท่าเรือควบคู่กับเมืองอย่างยั่งยืน มีการบริหารจัดการที่เป็นระบบ มีนโยบายและกฎหมายสนับสนุน มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนการสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศไทยสามารถนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ในการพัฒนาท่าเรือและเมืองท่าในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ


วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เพลง: ทางแห่งแสงภายในยุโรป



 เพลง: ทางแห่งแสงภายในยุโรป

(The Path Within)

[Verse 1]

ในเมืองใหญ่แสนวุ่นวาย

กลางความเงียบเหงาในใจผู้คน

เขาเฝ้าหาคำตอบทุกหน

จากความสับสนในโลกดิจิทัล


ทุกก้าวเดินช่างโดดเดี่ยว

แข่งขันเหน็ดเหนื่อยกับความเปลี่ยว

แต่เมื่อใจเริ่มเอื้อมไปสู่ธรรม

จึงพบเส้นทางที่แท้จริง

[Chorus]

ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีแสง

ทางวิปัสสนาช่วยเปิดทางแห่งแรง

เงียบงันเพื่อฟังเสียงใจตัวเอง

สติคือแสงที่ดับเพลิงของความกลัว

ทางสายเอก ที่พุทธองค์ให้ไว้

คือสติปัฏฐาน นำใจให้มั่นคง

ปล่อยทุกข์ วางความหลง

จนพบสุขแท้ในแสงภายใน

[Verse 2]

ฮังการีถึงลอนดอน ฝรั่งเศส อิตาลี

เสียงระฆังธรรมดังกังวานในปารีส

จากวัดไทยสู่หัวใจผู้แสวง

ธรรมเดินทาง ไม่จำกัดเชื้อชาติใด

มหาจุฬาฯ วางรากไว้นาน

ครูอาจารย์สืบสายอธิจิตตสิกขา

พาใจยุโรปเดินจงกรมฝ่า

ความวุ่นวาย...เพื่อคืนสู่ศานติ

[Chorus]

ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีแสง

ทางวิปัสสนาช่วยเปิดทางแห่งแรง

เงียบงันเพื่อฟังเสียงใจตัวเอง

สติคือแสงที่ดับเพลิงของความกลัว

ทางสายเอก ที่พุทธองค์ให้ไว้

คือสติปัฏฐาน นำใจให้มั่นคง

ปล่อยทุกข์ วางความหลง

จนพบสุขแท้ในแสงภายใน

[Bridge]

9 วันของความสงบ

ไร้คำพูด ไร้หน้าจอ ไร้ภาพหลอกลวง

แต่ละลมหายใจคือบทเรียนลึกซึ้ง

ทุกย่างก้าวคือบทวิจัยใจตัวเอง

[Chorus]

ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีแสง

ทางวิปัสสนาช่วยเปิดทางแห่งแรง

เงียบงันเพื่อฟังเสียงใจตัวเอง

สติคือแสงที่ดับเพลิงของความกลัว

ทางสายเอก ที่พุทธองค์ให้ไว้

คือสติปัฏฐาน นำใจให้มั่นคง

ปล่อยทุกข์ วางความหลง

จนพบสุขแท้ในแสงภายใน



เพลง: สยามใหม่ในใจคน

  เพลง: สยามใหม่ในใจคน 

(Siam Mai Nai Jai Khon – A New Siam in Every Soul)


[Verse 1 – ท่อนที่ 1]
กลางความเงียบของยุคเผด็จ
เขาเขียนฝันไว้เหนือกระแส
เสียงหนึ่งจากใจประชาชน
จุดไฟแห่งสิทธิและศักดิ์ศรีคน


[Chorus – ท่อนฮุก]
ปลุก "สยามใหม่" ขึ้นจากใจ
รัฐของเราไม่ใช่เพียงใครคนใด
เสรี เสมอภาค กระจายอำนาจไกล
ส่องแสงไปในทุกหัวใจคนไทย


[Verse 2 – ท่อนที่ 2]
มิใช่เพียงเปลี่ยนกฎหมาย
แต่เปลี่ยนวิถีคนทั้งประเทศ
ศึกษา สร้างปัญญาในใจ
ยืนหยัดได้แม้ไม่มีดาบอยู่ในมือ


[Chorus – ท่อนฮุก]
ปลุก "สยามใหม่" ขึ้นจากใจ
รัฐของเราไม่ใช่เพียงใครคนใด
เสรี เสมอภาค กระจายอำนาจไกล
ส่องแสงไปในทุกหัวใจคนไทย


[Bridge – ท่อนเปลี่ยน]
แม้เขาลับไปก่อนเวลา
แต่คำว่า “รัฐประชาชน” ยังจุดเปลวศรัทธา
จากหน้าหนังสือ… สู่ท้องถนน
แนวคิดของเขายังเปลี่ยนผู้คนให้ยืนตรง


[Final Chorus – ท่อนฮุกสุดท้าย]
ปลุก "สยามใหม่" ขึ้นจากใจ
รัฐของเราไม่ใช่เพียงใครคนใด
ไม่ใช่ของชนชั้นสูงผู้ได้เปรียบไป
แต่ของเราทุกคนที่มีหัวใจจะฝันไกล


 ปรัชญาของสยามใหม่โดยจำกัด พลางกูร: แนวคิด วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี แผนปฏิบัติการ โครงการ อิทธิพลต่อสังคมไทย

บทนำ

จำกัด พลางกูร (2457–2479) เป็นนักคิด นักปฏิวัติ และสมาชิกผู้มีบทบาทสำคัญของคณะราษฎร ซึ่งอุดมการณ์ของเขาได้กลายเป็นรากฐานทางปัญญาในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 แนวคิดของเขาไม่ได้หยุดเพียงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ยังขยายสู่การออกแบบสังคมใหม่ หรือที่เรียกว่า "สยามใหม่" ซึ่งครอบคลุมทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และคุณภาพชีวิตของประชาชน บทความนี้วิเคราะห์ปรัชญาของสยามใหม่โดยจำกัด พลางกูร ผ่านมิติหลัก ได้แก่ แนวคิด วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี แผนปฏิบัติการ โครงการ และอิทธิพลต่อสังคมไทย

1. แนวคิด (Philosophy)

แก่นสำคัญของปรัชญาจำกัดคือการมุ่งสร้าง "รัฐประชาชน" ที่ยึดมั่นในเสรีภาพ เสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แนวคิดนี้ผสมผสานปรัชญาการเมืองตะวันตก เช่น เสรีนิยม (Liberalism) และสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democracy) เข้ากับจริยธรรมพุทธ ซึ่งเน้นความเสียสละ เมตตา และจริยธรรมทางการปกครอง

2. วิสัยทัศน์ (Vision)

จำกัดใฝ่ฝันถึงสังคมไทยที่ประชาชนมีสิทธิ์ในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยรัฐมีหน้าที่ดูแลคนยากจน กระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม และปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของอำนาจเก่า เช่น ศักดินาและทุนผูกขาด วิสัยทัศน์ของเขาสะท้อนผ่านความต้องการรัฐสวัสดิการ เสรีภาพในการแสดงออก และความเท่าเทียมทางโอกาสทางเศรษฐกิจและการศึกษา

3. ยุทธศาสตร์ (Strategy)

ยุทธศาสตร์ของจำกัดคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมโดยสันติวิธีผ่านกระบวนการการศึกษาและการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนมีจิตสำนึก มีความรู้ และกล้าหาญพอที่จะเรียกร้องสิทธิของตน ยุทธศาสตร์นี้ต่างจากการรัฐประหารที่มักใช้กำลัง แต่เป็นการปฏิรูปที่มีรากฐานจากประชาชนเอง

4. ยุทธวิธี (Tactics)

จำกัดใช้การเขียนบทความ เอกสารทางความคิด และการพูดเพื่อสร้างการตื่นรู้ในหมู่ประชาชน เช่น การตีพิมพ์บทความในหนังสือพิมพ์ "ประชาชาติ" การกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกคณะราษฎร และการสร้างแนวร่วมระหว่างนักคิด ปัญญาชน และประชาชน เขาเน้นการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา เรียบง่าย และมีพลังทางจริยธรรม

5. แผนปฏิบัติการ (Action Plan)

แม้จำกัดจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่อุดมการณ์ของเขาชี้ไปยังแผนการในระยะยาว ได้แก่

  • การสร้างรัฐสวัสดิการพื้นฐาน: สาธารณสุข การศึกษา ที่อยู่อาศัย

  • การปฏิรูปที่ดิน: กระจายกรรมสิทธิ์ให้เกษตรกร

  • การปฏิรูปรัฐธรรมนูญ: ให้ประชาชนมีส่วนร่วมจริง

  • การส่งเสริมสิทธิสหภาพแรงงาน

6. โครงการที่เสนอ (Proposals)

โครงการของจำกัดมีลักษณะก้าวหน้า เช่น

  • จัดตั้งธนาคารของรัฐเพื่อเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน

  • จัดทำระบบประกันสุขภาพพื้นฐาน

  • ส่งเสริมการศึกษาเพื่อการปลดปล่อยทางปัญญา (liberation education)

  • รณรงค์ยุติระบบศักดินาสืบทอดอำนาจทางการเมือง

7. อิทธิพลต่อสังคมไทย

แนวคิดของจำกัด แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จโดยตรงในยุคสมัยของเขา แต่ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเคลื่อนไหวทางสังคม นักวิชาการ และขบวนการประชาธิปไตยในเวลาต่อมา โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการและการปฏิรูปที่ดิน ได้ปรากฏในนโยบายสมัยใหม่ของไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือการปฏิรูปที่ดินในบางช่วง

สรุป

ปรัชญาของสยามใหม่โดยจำกัด พลางกูร เป็นกรอบคิดที่มีพลังต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยจากภายใน โดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่สร้างการเปลี่ยนผ่านด้วยปัญญา คุณธรรม และความกล้าหาญ เป็นปรัชญาที่ก้าวหน้าทางการเมือง ลึกซึ้งทางศีลธรรม และตั้งมั่นต่อหลักประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง

เพลง: ไทยใหม่

 บทความทางวิชาการ: ปรัชญาของไทยใหม่: แนวคิด วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี แผนปฏิบัติการ โครงการ และอิทธิพลต่อสังคมไทย


บทคัดย่อ
“ปรัชญาของไทยใหม่” เป็นชุดความคิดร่วมสมัยที่มีเป้าหมายในการปฏิรูปประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบทโลกาภิวัตน์ ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประชาชนให้เป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลง ในบทความนี้จะศึกษาถึงแนวคิดพื้นฐาน วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ตลอดจนแผนปฏิบัติการและโครงการสำคัญ รวมถึงวิเคราะห์อิทธิพลของปรัชญาดังกล่าวที่มีต่อสังคมไทยทั้งในเชิงนโยบายและจิตสำนึกของพลเมือง


1. แนวคิดพื้นฐานของปรัชญาไทยใหม่

ปรัชญาของไทยใหม่มีรากฐานจากแนวคิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เศรษฐกิจพอเพียง ความยุติธรรมทางสังคม และการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

  • ประชาชนเป็นศูนย์กลาง: ยกระดับศักดิ์ศรี ความสามารถ และสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้สามารถกำหนดอนาคตของตนเอง

  • การลดความเหลื่อมล้ำ: ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม

  • พลังของชุมชน: ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก การกระจายอำนาจ และการพึ่งพาตนเอง

  • การเปลี่ยนผ่านอย่างมีจริยธรรม: การพัฒนาต้องควบคู่ไปกับคุณธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคม


2. วิสัยทัศน์ของไทยใหม่

“ประเทศไทยต้องก้าวไปสู่สังคมที่เป็นธรรม ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน โดยมีประชาชนเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลง”

วิสัยทัศน์ดังกล่าวสะท้อนถึงเจตนารมณ์ที่จะสร้าง “ไทยใหม่” ที่ไม่เพียงแต่แข่งขันได้ในเวทีโลก แต่ยังรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมและความกลมกลืนในสังคมพหุวัฒนธรรม


3. ยุทธศาสตร์หลัก

การเคลื่อนไหวภายใต้ปรัชญาไทยใหม่สามารถแบ่งออกเป็น 5 ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่:

  1. ยุทธศาสตร์การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลง

    • ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและระบบการศึกษาที่ตอบโจทย์อนาคต

    • ปลูกฝังจิตสำนึกพลเมือง ประชาธิปไตย และสิ่งแวดล้อม

  2. ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเพื่อคนส่วนใหญ่

    • ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สหกรณ์ และกิจการเพื่อสังคม

    • ปฏิรูประบบภาษีและการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม

  3. ยุทธศาสตร์การเมืองแบบมีส่วนร่วม

    • สร้างกลไกประชาธิปไตยทางตรง เช่น สมัชชาพลเมือง

    • ส่งเสริมความโปร่งใสและการตรวจสอบอำนาจรัฐ

  4. ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

    • การจัดการน้ำ ที่ดิน ป่าไม้ อย่างยั่งยืนโดยชุมชนมีส่วนร่วม

    • สนับสนุนพลังงานทางเลือกและระบบขนส่งสีเขียว

  5. ยุทธศาสตร์สังคมแห่งสวัสดิการถ้วนหน้า

    • การดูแลสุขภาพ การศึกษา และรายได้ขั้นพื้นฐานโดยรัฐ

    • ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็ก และกลุ่มเปราะบาง


4. ยุทธวิธี: การนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ

ยุทธวิธีภายใต้ปรัชญาไทยใหม่เน้นการประสานพลังจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาควิชาการ โดยใช้เครื่องมือทางนโยบายและการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น

  • เวทีปฏิรูปประชาชน: เปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำหนดนโยบาย

  • สมัชชาชุมชน: กลไกท้องถิ่นในการวางแผนพัฒนา

  • สื่อสาธารณะ: เป็นเครื่องมือสร้างการตื่นรู้

  • เครือข่ายสหกรณ์/กลุ่มวิสาหกิจชุมชน: ส่งเสริมการสร้างรายได้และความเข้มแข็ง


5. แผนปฏิบัติการและโครงการสำคัญ

  1. โครงการ “ไทยใหม่ 100 ตำบลต้นแบบ”
    พัฒนาตำบลทั่วประเทศให้เป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจชุมชนและประชาธิปไตยท้องถิ่น

  2. โครงการ “การศึกษาสำหรับความเป็นพลเมือง”
    ปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อปลูกฝังความเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบ

  3. โครงการ “ป่าชุมชนยั่งยืน”
    ฟื้นฟูป่าไม้โดยใช้สิทธิของชุมชนในการดูแลและจัดการร่วมกับภาครัฐ

  4. โครงการ “สวัสดิการประชาชนเพื่อคุณภาพชีวิต”
    ให้สิทธิพื้นฐานด้านสุขภาพ การศึกษา และการคุ้มครองแรงงานที่ถ้วนหน้า


6. อิทธิพลต่อสังคมไทย

ปรัชญาไทยใหม่ได้ส่งผลต่อสังคมไทยทั้งในระดับโครงสร้างและวัฒนธรรม ดังนี้:

  • ด้านการเมือง: เปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายและตรวจสอบอำนาจรัฐ

  • ด้านเศรษฐกิจ: เกิดเครือข่ายเศรษฐกิจทางเลือก เช่น ตลาดสีเขียว วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์

  • ด้านสังคม: ช่วยสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและความร่วมมือระหว่างกลุ่มหลากหลาย

  • ด้านวัฒนธรรม: ฟื้นคืนคุณค่าของวัฒนธรรมท้องถิ่นและจิตสำนึกสาธารณะ


สรุป

ปรัชญาไทยใหม่มิใช่เพียงแนวคิดทางวิชาการหรือข้อเสนอเชิงอุดมคติ หากแต่เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนาประเทศ ที่ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นธรรม ความยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง บทเรียนจากการขับเคลื่อนปรัชญานี้สามารถเป็นแนวทางสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานรากของสังคม


🎵 ชื่อเพลง: "Awaken the Light"

(แปล: ปลุกแสงแห่งใจ)


[Verse 1]
In the silence of the morning haze
I search for hope in broken days
The world spins fast, but I feel slow
Where do we go when we don’t know?


[Chorus]
Awaken the light, deep in our soul
Rise from the dark, reclaim control
We’re more than shadows lost in the night
Together we burn, we awaken the light


[Verse 2]
The voices echo in our fears
But dreams are louder than the tears
Through every fall, we learn to stand
Our fate’s not written in the sand


[Chorus]
Awaken the light, deep in our soul
Rise from the dark, reclaim control
We’re more than shadows lost in the night
Together we burn, we awaken the light


[Bridge]
No fire starts without a spark
No truth survives without a heart
Let courage be the song we sing
And watch the dawn that hope will bring


[Chorus – Final]
Awaken the light, deep in our soul
Rise from the dark, reclaim control
We’re more than shadows lost in the night
Together we burn, we awaken the light


แนวทางการแต่งนี้ใช้หลักสากลคือ:

  • Verse (ท่อนเล่าเรื่อง): สร้างฉาก สื่ออารมณ์ ให้ผู้ฟังเชื่อมโยง

  • Chorus (ท่อนฮุก): ซ้ำได้ จำง่าย มีพลังใจหรือสารหลักของเพลง

  • Bridge (ท่อนเปลี่ยน): สร้างอารมณ์ใหม่ พาเพลงไปสู่จุดไคลแมกซ์

  • ภาษาสากล: ใช้คำง่ายแต่ลึกซึ้ง มีภาพเปรียบเทียบและแรงบันดาลใจ

🎵 ชื่อเพลง: ปลุกแสงแห่งใจ

(Awaken the Light)


[ท่อนที่ 1 – Verse 1]
ในความเงียบยามรุ่งสาง
ฉันมองหาหวังในวันอ้างว้าง
โลกยังหมุนไปเร็วเหลือใจ
แต่ใจฉันยังไม่ไปไหน


[ท่อนฮุก – Chorus]
ปลุกแสงสว่างจากหัวใจ
ลุกขึ้นใหม่จากเงาแห่งไฟ
เราคือไฟที่ยังไม่มอดไหม้
รวมใจเราปลุกแสงแห่งใจ


[ท่อนที่ 2 – Verse 2]
เสียงในใจยังคอยสะท้อน
แม้ความกลัวจะรุมเร้าก่อน
แต่ความฝันยังชัดกว่าเสียงร้อง
เราล้มได้...แต่ยังลุกขึ้นได้อีกครั้ง


[ท่อนฮุก – Chorus]
ปลุกแสงสว่างจากหัวใจ
ลุกขึ้นใหม่จากเงาแห่งไฟ
เราคือไฟที่ยังไม่มอดไหม้
รวมใจเราปลุกแสงแห่งใจ


[ท่อนสะพาน – Bridge]
เปลวไฟเริ่มจากประกาย
ความจริงอยู่ได้ด้วยหัวใจ
ให้ความกล้าเป็นบทเพลงของเรา
แสงแรกเช้า...จะนำทางเราไป


[ท่อนฮุกสุดท้าย – Final Chorus]
ปลุกแสงสว่างจากหัวใจ
ลุกขึ้นใหม่จากเงาแห่งไฟ
เราคือไฟที่ยังไม่มอดไหม้
รวมใจเราปลุกแสงแห่งใจ

"สมคิด" โต้กลับ "โฆษกพ่อนายกฯเขมร" บอกไม่ต้องท้าไปศาลโลก ไกล ขอสู้ตามกฎหมายไทย

 


เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ให้สัมภาษณ์กรณีนายเจีย ธิริธ โฆษกสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ท้านายสมคิดให้ไปฟ้องศาลโลก หลังแจ้งความสมเด็จฮุน เซน ปมคลิปเสียงหลุด ว่า โฆษกของสมเด็จฮุน เซนออกมาให้ข่าวที่มาท้าตนเองว่าหากแน่จริงให้ไปฟ้องศาลโลก เรื่องนี้คิดว่าน่าจะเลยเถิดไปหน่อย เพราะตนไปแจ้งความกล่าวโทษสมเด็จฮุน เซน โดยใช้กฎหมายไทย และการดำเนินคดีต่างๆประเทศไทยมีกฎหมายอยู่ คือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องชวนตนไปศาลโลก ไม่ไปหรอก

นายสมคิด กล่าวต่อว่า หากสมเด็จฮุน เซน มีความเป็นผู้ใหญ่หน่อย เรื่องนี้จะจบอยู่ตรงที่ เชิญรักษาการเอกอัครราชทูตไทยไปยื่นหนังสือประท้วงตน ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างสถานทูตกับสถานทูตที่ได้ยื่นเรื่องประท้วง แล้วก็ควรจะจบ ไม่ต้องให้โฆษกมาพูดอีก ซึ่งตนไม่อยากไปตอแยเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ตำรวจไทยดำเนินการ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาท้า ไม่ไป ท้ามาก็ไม่มีประโยชน์ ชกลม

เมื่อถามว่า ได้มีการถอนแจ้งความเรื่องคลิปเสียงหลุด หรือจะยังคงดำเนินการต่อหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า ไม่ใช่คลิปหลุด แต่เป็นคลิปปล่อย ซึ่งสาเหตุไม่ถอนแจ้งความเนื่องจากไม่สามารถถอนได้ เพราะตนยื่นเรื่องความมั่นคงของชาติ และตนรู้ตั้งแต่ต้นว่า เรื่องนี้ไม่สามารถถอนแจ้งความได้ และเชื่อว่า ทีมกฎหมายของสมเด็จฮุน เซนก็รู้ ขั้นตอนต่อไปคือเข้าสู่คดีพิเศษภายหลังมีการสอบสวน ก็ส่งให้อัยการสูงสุดไต่สวนตามขั้นตอน หากไม่มาก็ออกหมายเรียก และออกหมายจับ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการ เพราะฉะนั้น หากมีการออกหมายจับสมเด็จฮุน เซน ก็ไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นสู้ในกฎหมายของไทย ไม่ไปสู้ที่อื่น เช่นเดียวกับสมเด็จฮุน เซนก็ต้องสู้ในกฎหมายภายในประเทศของท่าน อย่าชวนไปศาลโลกเลย ไปไม่ถูกมันไกล


สว.ไม่ทน! เตรียมรื้อใหญ่ตั๋วเครื่องบินแพง จี้รัฐคุมเข้ม พร้อมหั่นภาษีน้ำมัน หวังคนไทยบินสบายกระเป๋า

 


วันที่ 25 มิถุนายน 2568  จากประเด็นร้อนค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศพุ่งสูงลิ่ว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ผ่านมา ล่าสุดวุฒิสภาไม่รอช้า โดยนายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด ประธานคณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้ออกมานำทีมประชุมเพื่อหาทางออกเรื่องนี้อย่างจริงจัง พร้อมระบุว่าปัญหาตั๋วแพงไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป และเตรียมหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้ทั้งสายการบินและผู้โดยสารได้รับประโยชน์ร่วมกันแบบ "Win-Win"

การประชุมครั้งนี้ มีผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมหารือ ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากกรมการค้าภายใน, คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค, ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, นายกสมาคมสายการบินประเทศไทย และนายกสมาคมคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหานี้อย่างรอบด้าน



เปิดปมตั๋วแพง: ไม่ใช่แค่ดีมานด์-ซัพพลาย แต่ยังมีช่องโหว่ที่ไม่ซื่อสัตย์!

นายนิฟาริด ชี้แจงถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่าในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา มีสายการบินบางรายคิดค่าบริการตั๋วเครื่องบินแพงเกินจริง อย่างไรก็ตาม ปัญหาตั๋วแพงก็ไม่น่าจะเป็นจริงเสมอไป จึงเสนอแนวคิดให้สายการบินลองคิดค่าเฉลี่ยในแต่ละเที่ยวบิน โดยแยกจำนวนที่นั่งระหว่างตั๋วราคาปกติกับตั๋วราคาสูง ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตั๋วมีราคาสูง นอกจากเรื่อง Demand-Supply และกลไกทางการตลาดแล้ว การเลือกวันเดินทาง เช่น วันเสาร์และอาทิตย์ ก็มีผลอย่างมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นายนิฟาริดย้ำว่า มีกฎหมายและเพดานจำกัดราคาสูงสุดอยู่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่กำหนดราคาไว้อย่างชัดเจน

สว.ชงแก้กฎเหล็ก! เล็งคุมตัวแทนขายตั๋ว-ลดภาษีน้ำมัน ดันตั๋วถูกลง

ประเด็นที่คณะอนุกรรมาธิการให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ การควบคุมตัวแทนจำหน่ายตั๋วที่ไม่ซื่อสัตย์ ที่สร้างความเสียหายให้กับสายการบิน นายนิฟาริดเสนอให้รัฐบาลเข้ามา "กำกับดูแล" อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกลไกในการกำกับดูแล และนี่คือ "ช่องโหว่" สำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข

อีกหนึ่งข้อเสนอที่น่าสนใจคือเรื่อง ภาษีน้ำมัน ทางสายการบินได้เสนอว่า หากสามารถลดภาษีในส่วนนี้ลงได้ จะส่งผลให้ราคาตั๋วโดยสารถูกลงได้อย่างชัดเจน ซึ่งทางสายการบินพร้อมที่จะเปิดเผยโครงสร้างต้นทุนในแต่ละส่วนของตั๋วโดยสาร เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้บริโภคมากที่สุด

สนามบินไทยต้องเป็น "ห้องรับแขก" ระดับโลก เทียบชั้นสิงคโปร์

นอกเหนือจากเรื่องราคาตั๋วแล้ว คณะอนุกรรมาธิการยังมองไปถึงภาพรวมของการเดินทางทางอากาศ โดยมีแนวคิดที่จะพัฒนาสนามบินในประเทศไทยให้เป็น "ห้องโดยสาร" หรือ "ห้องรับแขก" ระดับโลก ที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้เดินทางจากต่างประเทศมากที่สุด โดยยึดสนามบินชางงีของประเทศสิงคโปร์เป็นต้นแบบ

แนวคิดนี้มุ่งเน้นให้สนามบินไทยครบครันไปด้วยความสะดวกสบาย ความสวยงาม และสะท้อนถึงวัฒนธรรมไทยอย่างเต็มที่ เพื่อเป็น "หน้าด่าน" ที่ดีและมีราคาที่เป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศโดยรวม

วุฒิสภาอาสาเป็น "สื่อกลาง" ประสานงานทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์สูงสุด

สิ่งสำคัญที่คณะอนุกรรมาธิการเน้นย้ำคือ การสื่อสารระหว่างสายการบินและผู้โดยสาร โดยทางวุฒิสภาพร้อมที่จะเป็น "สื่อกลาง" ในการประสานงานกับรัฐบาลและสายการบินที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาและแก้ไขกฎหมายบางประการที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการกำหนดราคาที่เป็นธรรม และเพื่อให้การเดินทางทางอากาศของคนไทยเป็นไปอย่างสะดวกสบายและคุ้มค่าที่สุด

เรื่องนี้ยังต้องมีการหารือกันอีกหลายครั้ง เพราะการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ไม่สามารถได้คำตอบที่ชัดเจนได้ในการประชุมเพียงครั้งเดียว แต่แนวทางที่ชัดเจนได้ปรากฏแล้วว่า จะต้องมีการกำหนดราคาที่เหมาะสม การกำหนดพื้นที่ และการแนะนำผู้โดยสารถึงวันและเวลาที่เหมาะสมในการเดินทาง รวมถึงวิธีการซื้อตั๋วอย่างชาญฉลาด

บทสรุปของการหารือครั้งนี้คือความมุ่งมั่นที่จะหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย เพื่อให้คนไทยได้เดินทางอย่างสบายใจและสบายกระเป๋า และเพื่อให้ธุรกิจการบินของไทยเติบโตไปพร้อมกับการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม รอติดตามความคืบหน้ากันต่อไปว่ามาตรการเหล่านี้จะออกมาเป็นรูปธรรมเมื่อใด.


ทูตสหรัฐฯ หนุนรัฐบาล "แพทองธาร" ร่วมปราบอาชญากรรมออนไลน์ จับตาสถานการณ์ไทย-กัมพูชาใกล้ชิด



เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำไทยย้ำ พร้อมจับมือรัฐบาลไทยปราบอาชญากรรมออนไลน์ หลัง "แพทองธาร" เดินหน้านโยบายเชิงรุก ชี้เป็นภัยร่วมของโลก ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาใกล้ชิด หนุนแก้ไขด้วยสันติวิธีและยึดหลักการทางการทูต

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวระหว่างร่วมงานเฉลิมฉลอง 249 ปี วันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ที่ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ จ.สมุทรปราการ โดยแสดงจุดยืนชัดเจนในการร่วมมือกับรัฐบาลไทย นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อจัดการกับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ที่กำลังทวีความรุนแรงทั่วโลก

นายโกเดคกล่าวว่า ไทยและสหรัฐมีเป้าหมายร่วมกันในการแก้ไขปัญหานี้ พร้อมเปิดกว้างความร่วมมือกับทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศเพื่อให้ประชาชนทุกประเทศปลอดภัยจากภัยคุกคามบนโลกออนไลน์

“รัฐบาลของเราให้ความสำคัญกับความมั่นคงทั้งในระดับชาติและระดับประชาชน เราพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยและพันธมิตรทุกประเทศที่มีจุดยืนตรงกันในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์” ทูตสหรัฐฯ กล่าว

ขณะเดียวกัน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและไทยว่า อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยหวังว่าจะมีผลสรุปที่ประสบความสำเร็จในอนาคตอันใกล้ และจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในเวลาที่เหมาะสม

ชี้สหรัฐยังเปิดกว้างรับนักศึกษาไทย – วอนอย่าท้อใจแม้กฎวีซ่าเข้มขึ้น

สำหรับกรณีการปรับเกณฑ์การขอวีซ่านักศึกษาที่เข้มงวดขึ้น เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ชี้แจงว่าเป็นมาตรการด้านความมั่นคงที่หลายประเทศทั่วโลกก็ใช้เช่นกัน โดยยังยืนยันว่า สหรัฐฯ ยังคงยินดีต้อนรับนักศึกษาจากไทยและประเทศอื่น ๆ และแนะให้ผู้ที่สนใจศึกษาต่อในสหรัฐติดตามข้อมูลการนัดหมายจากเว็บไซต์ของสถานทูตและสถานกงสุลอย่างใกล้ชิด

จับตาแนวชายแดนไทย-กัมพูชาใกล้ชิด หวังคลี่คลายอย่างสันติ

ในช่วงท้าย เอกอัครราชทูตโกเดคได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า สหรัฐฯ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอสนับสนุนให้ทั้งสองประเทศแก้ไขความแตกต่างด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบของข้อผูกพันและบรรทัดฐานทางการทูต

“เราสนับสนุนให้ทั้งไทยและกัมพูชาใช้ช่องทางทางการทูตเพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างสันติ ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญไม่ใช่แค่ต่อทั้งสองประเทศ แต่ต่อภูมิภาคอาเซียนและต่อสหรัฐอเมริกาด้วย” เขากล่าวทิ้งท้าย


พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...