วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เพลง: เสียงลำข้ามแดน

คลิกฟังเพลงที่นี่


(Verse 1)
เสียงลำลั่นลาน มาจากอีสานแท้
“เหมยเพ็ญนภา” ปะแป้งแต้มใจ
ลำลั่นในจอ โคฟเวอร์ดังไกล
“เจ้วันวรนา” เขมรมาโต้คำ

(Verse 2)
ช่องบกแผ่นดินแดนรอยช้ำ
ขุนหาญใจนำ ยืนหยัดต่อศึกคำ
ศิลป์เป็นโล่ใจ เสียงพิณกระหน่ำ
ลำไม่ถอยจำ ศักดิ์ศรีบ่เคยต่ำ

(Chorus)
เสียงลำข้ามแดน บ่ใช่แค่ความบันเทิง
คือการขานเสียงเชิงวัฒนธรรม
ศิลป์สู้ศึก ในโลกออนไลน์ล่ำ
บ่ได้ย่ำ แต่ยืนหยัดในใจคน

(Bridge)
เสียงแคนกู่ไกล ปลุกใจคนบ้านเฮา
แม้ปะทะลำเพา แต่ยังเฝ้าใจมั่น
แดนศิลป์หมอลำ บ่เป็นแค่ความฝัน
แต่คือศึกแห่งความผูกพัน และศักดิ์ศรี

(Chorus)
เสียงลำข้ามแดน บ่ใช่แค่ความบันเทิง
คือการขานเสียงเชิงวัฒนธรรม
ศิลป์สู้ศึก ในโลกออนไลน์ล่ำ
บ่ได้ย่ำ แต่ยืนหยัดในใจคน

(Outro)
ศึกลำวันนี้ อาจบ่มีเลือดไหล
แต่ใจของเฮา กำลังลำเพื่อยืนยัน
ไม่ใช่เพื่อชนะ ไม่ใช่เพื่อต่อต้านกัน
แต่เพื่อเข้าใจกัน... ข้ามแดนด้วยเสียงลำ


บทความวิชาการ วิเคราะห์ปรากฏการณ์วิวาทะทางสื่อออนไลน์ระหว่างดอกเหมย เพ็ญนภา หมอลำไทยกับเจ้วันวรนา อินฟลูเอนเซอร์ชาวเขมรในสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่ช่องบก

บทนำ

ในยุคดิจิทัลที่สื่อออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการรับรู้ของสาธารณะ ปรากฏการณ์วิวาทะระหว่าง “ดอกเหมย เพ็ญนภา” หมอลำชื่อดังจากภาคอีสานของไทย และ “เจ้วันวรนา” อินฟลูเอนเซอร์จากกัมพูชา ได้กลายเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจอย่างมากในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเมื่อบริบทของความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาถูกดึงมาเป็นฉากหลังของการสื่อสารเชิงวัฒนธรรมผ่านบทเพลงหมอลำ ซึ่งไม่เพียงเป็นการแสดงออกทางศิลปะ แต่ยังสะท้อนอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความตึงเครียดในระดับภูมิรัฐศาสตร์ด้วย

บริบทของความขัดแย้ง: ช่องบกและรอยต่อทางอำนาจ

“ช่องบก” อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี เป็นหนึ่งในจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชาที่มีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคง สถานการณ์ตึงเครียดเป็นระยะๆ บริเวณแนวชายแดนนี้มักเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อความขัดแย้งทางการทหารและการทูต โดยเฉพาะในประเด็นข้อพิพาทเรื่องอธิปไตย

บทเพลง "หมอลำดอกเหมยปะทะเขมร" ที่ถูกเผยแพร่ในช่วงเวลานั้นได้สะท้อนนัยสำคัญทางการเมืองและวัฒนธรรม โดยใช้ภาษาลำและภาพเปรียบเปรยของการรบเพื่อเปรียบเปรยการต่อสู้เชิงอัตลักษณ์ระหว่างศิลปินไทยกับชาวเขมรในเวทีออนไลน์

การเมืองแห่งความทรงจำและการขีดเส้นพรมแดนทางอัตลักษณ์

เพลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่หยิบยกภาพของสงคราม การประจันหน้าของ “ขุนหาญ” ซึ่งในบริบทนี้ หมายถึงทหารไทยผู้กล้าหาญที่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตชายแดนช่องบก โดยมิได้หมายถึงอำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อเพลงยังแฝงนัยของการขับเคลื่อนอัตลักษณ์ไทยผ่านศิลปะหมอลำ ไม่ว่าจะเป็นท่อน

“เสียงพิณสะบัดแทนปืนใหญ่ / แคนกู่ไกลคือสัญญาณชัย”

หรือ

“แม้เกิดมาใต้เสียงระฆังราม / ก็ยังลำ... สู้ตามทางเรา”

การเลือกใช้วาทกรรมที่เปรียบเสียงลำกับอาวุธ เป็นการสร้างจินตภาพของ "ศิลปะเป็นการต่อสู้" โดยแทนที่ความรุนแรงด้วยพลังของวัฒนธรรม

วิวาทะออนไลน์: ศิลปะหรือสงครามแห่งชาติพันธุ์?

การปะทะกันระหว่างดอกเหมยและเจ้วันวรนา ไม่เพียงสะท้อนความขัดแย้งระหว่างปัจเจกบุคคล หากยังสะท้อนการต่อสู้เชิงวัฒนธรรมระหว่างไทย-เขมรที่ฝังรากลึก การที่หมอลำซึ่งถือเป็นศิลปะท้องถิ่นถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการตอบโต้และปกป้องอัตลักษณ์ไทย เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมท้องถิ่นมิได้อยู่นอกเหนือการเมือง หากแต่เป็นสนามต่อสู้แห่งความหมายที่สำคัญยิ่ง

ขณะเดียวกัน การตอบโต้ของเจ้วันวรนาในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลในฝั่งกัมพูชา ก็สะท้อนความพยายามในการทวงคืนความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมเขมร ซึ่งถูกมองว่าได้รับการละเลยหรือถูกรุกรานผ่านการล้อเลียนหรือแสดงซ้ำอย่างไม่ให้เกียรติ

ข้อวิเคราะห์และบทสรุป

วิวาทะครั้งนี้มิได้เป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงหรือการปะทะกันของศิลปิน แต่เป็นสัญญาณของความเปราะบางทางอัตลักษณ์ในพื้นที่ชายแดน ซึ่งถูกซ้อนทับด้วยประวัติศาสตร์ ความทรงจำ และความขัดแย้งระดับรัฐชาติ

การใช้ศิลปะหมอลำในการต่อสู้ทางอุดมการณ์และการเมือง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของสื่อในโลกออนไลน์ ที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปะท้องถิ่นได้กลายเป็น "อาวุธทางวัฒนธรรม" อย่างแท้จริง

ดังนั้น การจัดการความขัดแย้งในมิติระหว่างวัฒนธรรมจึงควรมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจร่วม มากกว่าการตอบโต้เชิงรุก ด้วยการใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสมานฉันท์ ไม่ใช่เป็นเวทีในการขับเคลื่อนอคติหรือความเกลียดชัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...