บทนำ
ในยุคดิจิทัลที่สื่อออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการรับรู้ของสาธารณะ ปรากฏการณ์วิวาทะระหว่าง “ดอกเหมย เพ็ญนภา” หมอลำชื่อดังจากภาคอีสานของไทย และ “เจ้วันวรนา” อินฟลูเอนเซอร์จากกัมพูชา ได้กลายเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจอย่างมากในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเมื่อบริบทของความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาถูกดึงมาเป็นฉากหลังของการสื่อสารเชิงวัฒนธรรมผ่านบทเพลงหมอลำ ซึ่งไม่เพียงเป็นการแสดงออกทางศิลปะ แต่ยังสะท้อนอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และความตึงเครียดในระดับภูมิรัฐศาสตร์ด้วย
บริบทของความขัดแย้ง: ช่องบกและรอยต่อทางอำนาจ
“ช่องบก” อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี เป็นหนึ่งในจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชาที่มีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคง สถานการณ์ตึงเครียดเป็นระยะๆ บริเวณแนวชายแดนนี้มักเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อความขัดแย้งทางการทหารและการทูต โดยเฉพาะในประเด็นข้อพิพาทเรื่องอธิปไตย
บทเพลง "หมอลำดอกเหมยปะทะเขมร" ที่ถูกเผยแพร่ในช่วงเวลานั้นได้สะท้อนนัยสำคัญทางการเมืองและวัฒนธรรม โดยใช้ภาษาลำและภาพเปรียบเปรยของการรบเพื่อเปรียบเปรยการต่อสู้เชิงอัตลักษณ์ระหว่างศิลปินไทยกับชาวเขมรในเวทีออนไลน์
การเมืองแห่งความทรงจำและการขีดเส้นพรมแดนทางอัตลักษณ์
เพลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่หยิบยกภาพของสงคราม การประจันหน้าของ “ขุนหาญ” ซึ่งในบริบทนี้ หมายถึงทหารไทยผู้กล้าหาญที่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตชายแดนช่องบก โดยมิได้หมายถึงอำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อเพลงยังแฝงนัยของการขับเคลื่อนอัตลักษณ์ไทยผ่านศิลปะหมอลำ ไม่ว่าจะเป็นท่อน
“เสียงพิณสะบัดแทนปืนใหญ่ / แคนกู่ไกลคือสัญญาณชัย”
หรือ
“แม้เกิดมาใต้เสียงระฆังราม / ก็ยังลำ... สู้ตามทางเรา”
การเลือกใช้วาทกรรมที่เปรียบเสียงลำกับอาวุธ เป็นการสร้างจินตภาพของ "ศิลปะเป็นการต่อสู้" โดยแทนที่ความรุนแรงด้วยพลังของวัฒนธรรม
วิวาทะออนไลน์: ศิลปะหรือสงครามแห่งชาติพันธุ์?
การปะทะกันระหว่างดอกเหมยและเจ้วันวรนา ไม่เพียงสะท้อนความขัดแย้งระหว่างปัจเจกบุคคล หากยังสะท้อนการต่อสู้เชิงวัฒนธรรมระหว่างไทย-เขมรที่ฝังรากลึก การที่หมอลำซึ่งถือเป็นศิลปะท้องถิ่นถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการตอบโต้และปกป้องอัตลักษณ์ไทย เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมท้องถิ่นมิได้อยู่นอกเหนือการเมือง หากแต่เป็นสนามต่อสู้แห่งความหมายที่สำคัญยิ่ง
ขณะเดียวกัน การตอบโต้ของเจ้วันวรนาในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลในฝั่งกัมพูชา ก็สะท้อนความพยายามในการทวงคืนความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมเขมร ซึ่งถูกมองว่าได้รับการละเลยหรือถูกรุกรานผ่านการล้อเลียนหรือแสดงซ้ำอย่างไม่ให้เกียรติ
ข้อวิเคราะห์และบทสรุป
วิวาทะครั้งนี้มิได้เป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงหรือการปะทะกันของศิลปิน แต่เป็นสัญญาณของความเปราะบางทางอัตลักษณ์ในพื้นที่ชายแดน ซึ่งถูกซ้อนทับด้วยประวัติศาสตร์ ความทรงจำ และความขัดแย้งระดับรัฐชาติ
การใช้ศิลปะหมอลำในการต่อสู้ทางอุดมการณ์และการเมือง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของสื่อในโลกออนไลน์ ที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปะท้องถิ่นได้กลายเป็น "อาวุธทางวัฒนธรรม" อย่างแท้จริง
ดังนั้น การจัดการความขัดแย้งในมิติระหว่างวัฒนธรรมจึงควรมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจร่วม มากกว่าการตอบโต้เชิงรุก ด้วยการใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสมานฉันท์ ไม่ใช่เป็นเวทีในการขับเคลื่อนอคติหรือความเกลียดชัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น