วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

จตุโปสถชาดกว่าด้วยสมณะ

     ช่วยเขียนบทความทางวิชาการ  เรื่องวิเคราะห์ จตุโปสถชาดก  ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  19  ขุททกนิกาย  ชาดก ทสกนิบาตชาดก   ที่ประกอบด้วย  

๓. จตุโปสถชาดกว่าด้วยสมณะ

             [๑๓๔๒] ผู้ใด ไม่ทำความโกรธในบุคคลผู้ควรโกรธ ผู้นั้นเป็นสัตบุรุษ ย่อมไม่

                          โกรธ ณ ในกาลไหนๆ บุคคลนั้นแม้จะโกรธ ก็ไม่ทำความโกรธให้

                          ปรากฏ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก.

             [๑๓๔๓] นรชนใดมีท้องพร่อง ย่อมทนความหิวได้ นรชนนั้นเป็นผู้ฝึกตน

                          แล้ว มีตบะ มีข้าวและน้ำพอประมาณ ย่อมไม่ทำบาปเพราะเหตุแห่ง

                          อาหาร นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวนรชนนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก.

             [๑๓๔๔] บุคคลละการเล่นและความยินดีทั้งปวงได้เด็ดขาด ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ

                          นิดหน่อยในโลก เว้นจากการแต่งเนื้อแต่งตัว และเว้นจากเมถุนธรรม

                          นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก.

             [๑๓๔๕] บุคคลใด ละสิ่งที่เขาหวงแหน และโลภธรรมทั้งปวงเสีย ด้วยปัญญา

                          เครื่องกำหนดรู้ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ผู้ฝึกตนแล้ว

                          มีจิตตั้งมั่น ไม่มีตัณหา ไม่มีความหวังว่า เป็นสมณะในโลก.

             [๑๓๔๖] ดูกรท่านผู้มีปัญญาสามารถจะรู้เหตุและมิใช่เหตุที่ควรทำ เราขอถามท่าน

                          ความทุ่มเถียงกันในถ้อยคำทั้งหลาย บังเกิดมีแก่เราทั้งหลาย ขอท่าน

                          โปรดช่วยตัดเสียซึ่งความสงสัยความเคลือบแคลงในวันนี้ ขอได้โปรด

                          ช่วยเราทั้งหมดให้ข้ามพ้นความสงสัยนั้นในวันนี้?

             [๑๓๔๗] บัณฑิตเหล่าใดเป็นผู้สามารถเห็นเนื้อความ บัณฑิตเหล่านั้นจึงจะกล่าวได้

                          โดยแยบคายในกาลนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้จอมประชานิกร ท่านผู้ฉลาด

                          ทั้งหลาย จะพึงวินิจฉัยเนื้อความแห่งถ้อยคำทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้กล่าว

                          แล้วได้อย่างไรหนอ?

             [๑๓๔๘] พญานาคกล่าวอย่างไร พญาครุฑกล่าวอย่างไร ท้าวสักกะผู้เป็นพระราชา

                          ของคนธรรพ์ตรัสอย่างไร และพระราชาผู้ประเสริฐของชาวกุรุรัฐตรัส

                          อย่างไร?

             [๑๓๔๙] พญานาคกล่าวสรรเสริญขันติ พญาครุฑกล่าวยกย่องการไม่ประหาร ท้าว

                          สักกะผู้เป็นพระราชาของคนธรรพ์ตรัสชมการละความยินดี พระราชา

                          ผู้ประเสริฐของชาวกุรุรัฐ ตรัสสรรเสริญความไม่กังวล.

             [๑๓๕๐] คำเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสุภาษิต ในถ้อยคำของท่านทั้ง ๔ นี้ ไม่มีคำทุพภาษิต

                          แม้นิดหน่อยเลย คุณทั้ง ๔ มีขันติเป็นต้นนี้ ตั้งมั่นอยู่ในผู้ใด ก็เปรียบ

                          ได้กับกำรถ หยั่งเข้าเป็นอันดีที่ดุมรถ ฉะนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าว

                          บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรม ๔ ประการนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก.

             [๑๓๕๑] ท่านนั้นแลเป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นผู้ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม

                          มีปัญญาดี พิจารณาปัญหาด้วยปัญญา เป็นนักปราชญ์ ตัดความสงสัย

                          ความเคลือบแคลงทั้งหลายเสีย ได้ตัดความสงสัยความเคลือบแคลง

                          ทั้งหลายสำเร็จแล้ว ดุจนายช่างงาตัดงาช้างด้วยเครื่องมืออันคมฉะนั้น

             [๑๓๕๒] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง

                          ขอให้ผ้าผืนนี้ซึ่งมีสีสดใสดุจสีอุบลเขียว ไม่หม่นหมองหาค่ามิได้ มีสี

                          เสมอด้วยควันไฟ เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน.

             [๑๓๕๓] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง

                          ขอให้ดอกไม้ทองมีกลีบตั้งร้อยอันแย้มบาน มีเกสร ประดับด้วยรัตนะ

                          จำนวนพัน เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน.

             [๑๓๕๔] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง

                          ขอให้แก้วมณีอันหาค่ามิได้ งามผ่องใส คล้องอยู่ที่คอ เป็นแก้วมณี

                          เครื่องประดับคอของข้าพเจ้า เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน.

             [๑๓๕๕] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง

                          ขอให้โคนม โคผู้ และช้าง อย่างละพัน รถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ๑๐

                          คัน และบ้านส่วย ๑๖ ตำบลแก่ท่าน.

             [๑๓๕๖] พญานาคในกาลนั้น เป็นพระสารีบุตร พญาครุฑเป็นพระโมคคัลลานะ

                          ท้าวสักกเทวราชเป็นพระอนุรุทธะ พระเจ้าโกรัพยะเป็นพระอานนท์

                          บัณฑิต วิธูรบัณฑิตเป็นพระโพธิสัตว์นั่นเอง ขอท่านทั้งหลายจงจำ

                          ชาดกไว้อย่างนี้.

ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ จตุโปสถชาดก ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  19  ขุททกนิกาย  ชาดก  ทสกนิบาตชาดก

วิเคราะห์จตุโปสถชาดกในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ

จตุโปสถชาดกเป็นชาดกที่มีเนื้อหาสำคัญในพระไตรปิฎก เล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 ขุททกนิกาย ชาดก ทสกนิบาตชาดก ซึ่งกล่าวถึงหลักธรรมที่นำไปสู่ความเป็นสมณะอันแท้จริง ผ่านคุณธรรมสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ความอดทน (ขันติ) การไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา) การละความยินดี (เนกขัมมะ) และความไม่กังวล (อวิตรกะ) หลักธรรมเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในแนวทางของพุทธสันติวิธี ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีที่เป็นไปตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนา

สาระสำคัญของจตุโปสถชาดก

จตุโปสถชาดกมีใจความสำคัญเกี่ยวกับคุณธรรมของผู้ที่ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นสมณะในโลก โดยเนื้อหาในชาดกแบ่งออกเป็นหลายประเด็นสำคัญ ดังนี้

  1. ขันติ (ความอดทน) - ผู้ที่ไม่โกรธแม้ในสถานการณ์ที่ควรโกรธ นับว่าเป็นสัตบุรุษและเป็นสมณะในโลก (บทที่ 1342)

  2. อวิหิงสา (การไม่เบียดเบียน) - ผู้ที่สามารถควบคุมความหิวและการบริโภคพอประมาณ จะไม่ทำบาปเพราะเหตุแห่งอาหาร (บทที่ 1343)

  3. เนกขัมมะ (การละความยินดีทางโลก) - ผู้ที่สามารถละการเล่น ความยินดี การกล่าววาจาเหลาะแหละ และกามคุณทั้งหลาย นับว่าเป็นสมณะในโลก (บทที่ 1344)

  4. อวิตรกะ (ความไม่กังวล) - ผู้ที่สามารถละความโลภและสิ่งที่ผู้อื่นหวงแหนได้ ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนดีแล้ว มีจิตตั้งมั่น ไม่มีตัณหา (บทที่ 1345)

ต่อมา มีการถกเถียงในหมู่เทวดาเกี่ยวกับคุณธรรมที่สำคัญที่สุด โดยแต่ละฝ่ายให้ความเห็นต่างกัน

  • พญานาคกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "ขันติ"

  • พญาครุฑกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "อวิหิงสา"

  • ท้าวสักกะกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "เนกขัมมะ"

  • พระเจ้าโกรัพยะกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "อวิตรกะ"

บัณฑิตวิธูรเป็นผู้สรุปว่าคุณธรรมทั้ง 4 นี้ล้วนเป็นสิ่งที่ประเสริฐและควรดำรงไว้ทั้งหมด (บทที่ 1350)

จตุโปสถชาดกในปริบทพุทธสันติวิธี

พุทธสันติวิธีเป็นกระบวนการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขความขัดแย้งและสร้างสังคมที่สงบสุข ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับหลักธรรมในจตุโปสถชาดกได้ดังนี้

  1. ขันติในการแก้ไขความขัดแย้ง - การอดทนและไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ เป็นแนวทางที่ช่วยลดความรุนแรงในการปะทะทางวาจาและการกระทำ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในสังคมและการเจรจาเพื่อสันติภาพ

  2. อวิหิงสาและการอยู่ร่วมกันโดยสันติ - หลักของการไม่เบียดเบียนเป็นรากฐานของพุทธสันติวิธีที่เน้นการอยู่ร่วมกันโดยไม่มีความรุนแรง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในด้านการป้องกันและยุติความขัดแย้ง

  3. เนกขัมมะและการละความยึดติด - การละความยินดีในสิ่งที่เป็นวัตถุหรือกิเลส เป็นแนวทางในการลดความขัดแย้งที่เกิดจากความโลภและตัณหา สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

  4. อวิตรกะและการมีจิตใจสงบ - ความไม่กังวลและการมีจิตที่เป็นกลางเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจอย่างมีสติ สามารถนำไปใช้ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและการเจรจาเพื่อความปรองดอง

การประยุกต์ใช้ในบริบทสมัยใหม่

หลักธรรมในจตุโปสถชาดกสามารถนำมาปรับใช้ได้ในบริบทปัจจุบัน เช่น

  • การบริหารจัดการความขัดแย้งในสังคม โดยใช้ขันติและอวิหิงสาเป็นแนวทางหลัก

  • การพัฒนาคุณธรรมในการเป็นผู้นำ โดยเน้นความไม่ยึดติดในอำนาจและการตัดสินใจด้วยปัญญา

  • การสร้างความปรองดองในองค์กรและครอบครัว โดยใช้หลักขันติ อวิหิงสา และอวิตรกะ

สรุป

จตุโปสถชาดกแสดงให้เห็นถึงหลักธรรมสำคัญ 4 ประการที่นำไปสู่ความเป็นสมณะอันแท้จริง หลักธรรมเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดของพุทธสันติวิธี ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการจัดการความขัดแย้งและการพัฒนาสังคมที่สงบสุข การเข้าใจและปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เกิดสันติสุขภายในตนเอง แต่ยังส่งเสริมความสงบสุขในระดับสังคมและโลกอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บัณฑิตสมบูรณ์: พุทธจิตวิทยาก้าวข้ามอคติ 4

การวิเคราะห์เชิงปรากฏการณ์วิทยาและพุทธจิตวิทยา: กระบวนทัศน์ "บัณฑิตสมบูรณ์" และการก้าวข้ามอคติ 4 ประการ กรณีศึกษา: ดุษฎีสัมโมทนียก...