ช่วยเขียนบทความทางวิชาการ เรื่องวิเคราะห์ จตุโปสถชาดก ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 ขุททกนิกาย ชาดก ทสกนิบาตชาดก ที่ประกอบด้วย
๓. จตุโปสถชาดกว่าด้วยสมณะ
[๑๓๔๒] ผู้ใด ไม่ทำความโกรธในบุคคลผู้ควรโกรธ ผู้นั้นเป็นสัตบุรุษ ย่อมไม่
โกรธ ณ ในกาลไหนๆ บุคคลนั้นแม้จะโกรธ ก็ไม่ทำความโกรธให้
ปรากฏ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก.
[๑๓๔๓] นรชนใดมีท้องพร่อง ย่อมทนความหิวได้ นรชนนั้นเป็นผู้ฝึกตน
แล้ว มีตบะ มีข้าวและน้ำพอประมาณ ย่อมไม่ทำบาปเพราะเหตุแห่ง
อาหาร นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวนรชนนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก.
[๑๓๔๔] บุคคลละการเล่นและความยินดีทั้งปวงได้เด็ดขาด ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ
นิดหน่อยในโลก เว้นจากการแต่งเนื้อแต่งตัว และเว้นจากเมถุนธรรม
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก.
[๑๓๔๕] บุคคลใด ละสิ่งที่เขาหวงแหน และโลภธรรมทั้งปวงเสีย ด้วยปัญญา
เครื่องกำหนดรู้ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ผู้ฝึกตนแล้ว
มีจิตตั้งมั่น ไม่มีตัณหา ไม่มีความหวังว่า เป็นสมณะในโลก.
[๑๓๔๖] ดูกรท่านผู้มีปัญญาสามารถจะรู้เหตุและมิใช่เหตุที่ควรทำ เราขอถามท่าน
ความทุ่มเถียงกันในถ้อยคำทั้งหลาย บังเกิดมีแก่เราทั้งหลาย ขอท่าน
โปรดช่วยตัดเสียซึ่งความสงสัยความเคลือบแคลงในวันนี้ ขอได้โปรด
ช่วยเราทั้งหมดให้ข้ามพ้นความสงสัยนั้นในวันนี้?
[๑๓๔๗] บัณฑิตเหล่าใดเป็นผู้สามารถเห็นเนื้อความ บัณฑิตเหล่านั้นจึงจะกล่าวได้
โดยแยบคายในกาลนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้จอมประชานิกร ท่านผู้ฉลาด
ทั้งหลาย จะพึงวินิจฉัยเนื้อความแห่งถ้อยคำทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้กล่าว
แล้วได้อย่างไรหนอ?
[๑๓๔๘] พญานาคกล่าวอย่างไร พญาครุฑกล่าวอย่างไร ท้าวสักกะผู้เป็นพระราชา
ของคนธรรพ์ตรัสอย่างไร และพระราชาผู้ประเสริฐของชาวกุรุรัฐตรัส
อย่างไร?
[๑๓๔๙] พญานาคกล่าวสรรเสริญขันติ พญาครุฑกล่าวยกย่องการไม่ประหาร ท้าว
สักกะผู้เป็นพระราชาของคนธรรพ์ตรัสชมการละความยินดี พระราชา
ผู้ประเสริฐของชาวกุรุรัฐ ตรัสสรรเสริญความไม่กังวล.
[๑๓๕๐] คำเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสุภาษิต ในถ้อยคำของท่านทั้ง ๔ นี้ ไม่มีคำทุพภาษิต
แม้นิดหน่อยเลย คุณทั้ง ๔ มีขันติเป็นต้นนี้ ตั้งมั่นอยู่ในผู้ใด ก็เปรียบ
ได้กับกำรถ หยั่งเข้าเป็นอันดีที่ดุมรถ ฉะนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าว
บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรม ๔ ประการนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก.
[๑๓๕๑] ท่านนั้นแลเป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นผู้ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม
มีปัญญาดี พิจารณาปัญหาด้วยปัญญา เป็นนักปราชญ์ ตัดความสงสัย
ความเคลือบแคลงทั้งหลายเสีย ได้ตัดความสงสัยความเคลือบแคลง
ทั้งหลายสำเร็จแล้ว ดุจนายช่างงาตัดงาช้างด้วยเครื่องมืออันคมฉะนั้น
[๑๓๕๒] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง
ขอให้ผ้าผืนนี้ซึ่งมีสีสดใสดุจสีอุบลเขียว ไม่หม่นหมองหาค่ามิได้ มีสี
เสมอด้วยควันไฟ เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน.
[๑๓๕๓] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง
ขอให้ดอกไม้ทองมีกลีบตั้งร้อยอันแย้มบาน มีเกสร ประดับด้วยรัตนะ
จำนวนพัน เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน.
[๑๓๕๔] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง
ขอให้แก้วมณีอันหาค่ามิได้ งามผ่องใส คล้องอยู่ที่คอ เป็นแก้วมณี
เครื่องประดับคอของข้าพเจ้า เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน.
[๑๓๕๕] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง
ขอให้โคนม โคผู้ และช้าง อย่างละพัน รถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ๑๐
คัน และบ้านส่วย ๑๖ ตำบลแก่ท่าน.
[๑๓๕๖] พญานาคในกาลนั้น เป็นพระสารีบุตร พญาครุฑเป็นพระโมคคัลลานะ
ท้าวสักกเทวราชเป็นพระอนุรุทธะ พระเจ้าโกรัพยะเป็นพระอานนท์
บัณฑิต วิธูรบัณฑิตเป็นพระโพธิสัตว์นั่นเอง ขอท่านทั้งหลายจงจำ
ชาดกไว้อย่างนี้.
ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ จตุโปสถชาดก ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 ขุททกนิกาย ชาดก ทสกนิบาตชาดก
วิเคราะห์จตุโปสถชาดกในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้
บทนำ
จตุโปสถชาดกเป็นชาดกที่มีเนื้อหาสำคัญในพระไตรปิฎก เล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 ขุททกนิกาย ชาดก ทสกนิบาตชาดก ซึ่งกล่าวถึงหลักธรรมที่นำไปสู่ความเป็นสมณะอันแท้จริง ผ่านคุณธรรมสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ความอดทน (ขันติ) การไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา) การละความยินดี (เนกขัมมะ) และความไม่กังวล (อวิตรกะ) หลักธรรมเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในแนวทางของพุทธสันติวิธี ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีที่เป็นไปตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
สาระสำคัญของจตุโปสถชาดก
จตุโปสถชาดกมีใจความสำคัญเกี่ยวกับคุณธรรมของผู้ที่ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นสมณะในโลก โดยเนื้อหาในชาดกแบ่งออกเป็นหลายประเด็นสำคัญ ดังนี้
ขันติ (ความอดทน) - ผู้ที่ไม่โกรธแม้ในสถานการณ์ที่ควรโกรธ นับว่าเป็นสัตบุรุษและเป็นสมณะในโลก (บทที่ 1342)
อวิหิงสา (การไม่เบียดเบียน) - ผู้ที่สามารถควบคุมความหิวและการบริโภคพอประมาณ จะไม่ทำบาปเพราะเหตุแห่งอาหาร (บทที่ 1343)
เนกขัมมะ (การละความยินดีทางโลก) - ผู้ที่สามารถละการเล่น ความยินดี การกล่าววาจาเหลาะแหละ และกามคุณทั้งหลาย นับว่าเป็นสมณะในโลก (บทที่ 1344)
อวิตรกะ (ความไม่กังวล) - ผู้ที่สามารถละความโลภและสิ่งที่ผู้อื่นหวงแหนได้ ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนดีแล้ว มีจิตตั้งมั่น ไม่มีตัณหา (บทที่ 1345)
ต่อมา มีการถกเถียงในหมู่เทวดาเกี่ยวกับคุณธรรมที่สำคัญที่สุด โดยแต่ละฝ่ายให้ความเห็นต่างกัน
พญานาคกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "ขันติ"
พญาครุฑกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "อวิหิงสา"
ท้าวสักกะกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "เนกขัมมะ"
พระเจ้าโกรัพยะกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "อวิตรกะ"
บัณฑิตวิธูรเป็นผู้สรุปว่าคุณธรรมทั้ง 4 นี้ล้วนเป็นสิ่งที่ประเสริฐและควรดำรงไว้ทั้งหมด (บทที่ 1350)
จตุโปสถชาดกในปริบทพุทธสันติวิธี
พุทธสันติวิธีเป็นกระบวนการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขความขัดแย้งและสร้างสังคมที่สงบสุข ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับหลักธรรมในจตุโปสถชาดกได้ดังนี้
ขันติในการแก้ไขความขัดแย้ง - การอดทนและไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ เป็นแนวทางที่ช่วยลดความรุนแรงในการปะทะทางวาจาและการกระทำ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในสังคมและการเจรจาเพื่อสันติภาพ
อวิหิงสาและการอยู่ร่วมกันโดยสันติ - หลักของการไม่เบียดเบียนเป็นรากฐานของพุทธสันติวิธีที่เน้นการอยู่ร่วมกันโดยไม่มีความรุนแรง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในด้านการป้องกันและยุติความขัดแย้ง
เนกขัมมะและการละความยึดติด - การละความยินดีในสิ่งที่เป็นวัตถุหรือกิเลส เป็นแนวทางในการลดความขัดแย้งที่เกิดจากความโลภและตัณหา สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
อวิตรกะและการมีจิตใจสงบ - ความไม่กังวลและการมีจิตที่เป็นกลางเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจอย่างมีสติ สามารถนำไปใช้ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและการเจรจาเพื่อความปรองดอง
การประยุกต์ใช้ในบริบทสมัยใหม่
หลักธรรมในจตุโปสถชาดกสามารถนำมาปรับใช้ได้ในบริบทปัจจุบัน เช่น
การบริหารจัดการความขัดแย้งในสังคม โดยใช้ขันติและอวิหิงสาเป็นแนวทางหลัก
การพัฒนาคุณธรรมในการเป็นผู้นำ โดยเน้นความไม่ยึดติดในอำนาจและการตัดสินใจด้วยปัญญา
การสร้างความปรองดองในองค์กรและครอบครัว โดยใช้หลักขันติ อวิหิงสา และอวิตรกะ
สรุป
จตุโปสถชาดกแสดงให้เห็นถึงหลักธรรมสำคัญ 4 ประการที่นำไปสู่ความเป็นสมณะอันแท้จริง หลักธรรมเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดของพุทธสันติวิธี ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการจัดการความขัดแย้งและการพัฒนาสังคมที่สงบสุข การเข้าใจและปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เกิดสันติสุขภายในตนเอง แต่ยังส่งเสริมความสงบสุขในระดับสังคมและโลกอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น