วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ชาวมอญฉุนนักเขียน'ศิริวร'นำเนื้อหา'หงส์'เป็นลายผ้าถุง

               ทราบกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับรางวัลซีไรต์ประจำปี 2555 ประเภทนวนิยาย คือ "คนแคระ" ของ"วิภาส ศรีทอง" จากทั้งหมด 7 เรื่องที่เข้าชิง

               แต่ผลพวงที่ตามมากับไม่ใช่เรื่อง "คนแคระ" กลับเป็นเรื่อง "โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า" ของ "ศิริวร แก้วกาญจน์"  ที่ถ่ายทอดชะตากรรมของพลเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน

               "ศิริวร"  กล่าวว่า  ข้อมูลเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ค้นเพิ่มเติมจากหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มมากทั้งประวัติศาสตร์พม่า ประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเรื่องคู่ขนาน 2 เรื่อง เดินไปจนสุดท้ายก็บรรจบกัน ระหว่างความเป็นคนนอก คนใน ก็หายไป ทั้งหมดก็คือนิยายเรื่องหนึ่ง

               จุดที่เป็นปัญหาก็คือเนื้อหาในหน้าที่ 181 ความว่า "...พอทูก็ตั้งสติกำราบเชื้อร้าย เช็ดหลังมือกับผ้าถุงลายหงส์กำลังร่อนบินไปสู่ดวงดาวห้าแฉก..."

               เนื่องจาก “หงส์” ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชนชาติมอญในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีตำนานผูกพันกับการสร้างเมืองหงสาวดีเมื่อปีพุทธศักราช 1116 รวมทั้งความเชื่อในทางพุทธศาสนา

               ปัจจุบัน ชาวมอญยังได้ใช้ “หงส์” เป็นสัญลักษณ์บนธงชาติ นั่นคือ “หงส์สีทองบินทะยานไปสู่ดวงดาวสีน้ำเงินบนผืนผ้าแดง”   การนำ "หงส์" ใช้เป็นลายผ้าถุงของเด็กหญิงกะเหรี่ยง จึงสร้างความไม่พอใจให้กับชาวมอญที่อยู่ในประเทศไทยและพม่าเป็นอย่างมาก

               ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2555 นางฉวีวรรณ ควรแสวง นายกสมาคมไทยรามัญ ได้ร่วมกันลงชื่อทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบต่อกรณีเนื้อหาในนวนิยายไม่เหมาะสมดังกล่าว เพราะไม่ต้องการให้เรื่องดังกล่าวนำมาซึ่งความขัดแย้งบานปลายภายในสังคมไทย รวมทั้งระหว่างพลเมืองของภูมิภาคที่จะเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ในฐานะประชาคมอาเซียนในอนาคตต่อไป

               "องค์ บรรจุน" นักเขียนเชื้อสายมอญ ให้ความเห็นผ่านไทยทีพีเอสว่า "หนังสือเล่มนี้เนื้อหาดี ข้อมูลหลากหลาย โดยรวมเขียนได้ดีเข้าใจชาติพันธุ์ของชนกลุ่มน้อยที่ถูกกระทำจากพม่า โดยมีเจตนาดีแต่การใช้สัญลักษณ์ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม"

               เมื่อเกิดความไม่พอใจเช่นนี้ "ศิริวร" ได้ชี้แจงผ่านทางเฟสบุ๊ก ขณะอยู่ประเทศอินโดนีเซีย และให้ความเห็นผ่านหน้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอมรับว่านวนิยายเล่มนี้อาจมีความผิดพลาดในขั้นตอนพิสูจน์อักษรบ้าง

               อย่างไรก็ตาม "เจน สงสมพันธุ์" นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "ขอแสดงความเสียใจที่บางเรื่องไปกระทบต่อความรู้สึกของชนชาติมอญ ซึ่งต้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายพบปะทำความเข้าใจกัน"

               นับเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยงประเด็นที่จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำสู่ความขัดแย้งที่ยากจะแก้ไข

...........

(ชาวมอญฉุนนักเขียน'ศิริวร' นำเนื้อหา'หงส์'เป็นลายผ้าถุง : สำราญ สมพงษ์รายงาน)

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

เชิญศาลพระภูมิไทยตั้งถึงถิ่น'สตีฟ จ็อบส์'

              จะเป็นความจริงขึ้นมาแล้วสำหรับคำถามที่ว่า "สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน"  หลังจากเว็บไซต์วัดธรรมกายได้เผยแพร่สารคดี ซึ่งพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย ระบุว่า   "สตีฟ จ็อบส์" ได้ไปเกิดเป็นภุมมเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์ หรือตามที่ชาวบ้านเข้าใจก็คือเทวดาประจำศาลพระภูมิ ทำให้มีเสียงคัดค้านตามมา

              ขณะที่ "ราช รามัญ" ผู้มีผลงานด้านชีวิตหลังความตาย ได้คลอดหนังสือ "สตีฟ จ็อบส์ตายแล้วไปไหน" เช่นกัน ระบุว่า "สตีฟ จ็อบส์" ไม่ได้ไปเกิดที่เช่นนั้นแน่เพราะว่าเขานับถือพุทธศาสนานิกายเซน  เนื่องจากนิกายนี้ไม่มีนรก-สวรรค์    

              ล่าสุดมีการเชิญศาลพระภูมิไทยนำไปตั้งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นถิ่นของ "สตีฟ จ็อบส์" และสถานที่ตั้งนั้นก็พิเศษสุดเนื่องจากตั้งอยู่ในศูนย์ฝึกหน่วยรบพิเศษหรือที่เรียกว่าหน่วยซีล ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกในแผนปฏิบัติการปลิดชีพ "บิน ลาเดน"

              และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือว่า ทหารที่เป็นคนไทยในหน่วยซีลทำหน้าที่เป็นผู้ตั้งศาลพระภูมิดังกล่าวด้วย เพราะทหารไทยคนนี้มีตำแหน่งเป็นถึงอนุศาสนาจารย์คนแรกที่ประจำในกองทัพสหรัฐนามว่าร้อยเอกสมญา มาลาศรี

              การตั้งศาลพระภูมิในศูนย์ฝึกหน่วยรบพิเศษหรือซีลเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2555 ที่ผ่านมาโดยประกอบพิธีตามตำราไทยทุกประการ

              ร้อยเอกสมญาเปิดเผยว่า  ได้ไปทำพิธีตั้งศาลพระภูมิให้กับหน่วยรบพิเศษ (Special Forces Group) ในค่ายเดียวกัน หน่วยนี้ไปฝึกกับกองทัพไทย ที่เรียกว่า Cobra Gold แล้วได้นำศาลพระภูมิมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย จึงทำพิธีให้ เขาดีใจมากๆที่ตนไปทำพิธีให้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังให้ทหาร

              นับได้ว่าศาลพระภูมิไทยก้าวไกลถึงประเทศสหรัฐแล้ว



ศิษย์เก่า"มจร"สู่อนุศาสตร์คนแรกกองทัพสหรัฐ

              ร้อยเอกสมญา มาลาศรี เป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ มีชีวิตวัยเด็กเหมือนชาวบ้านทั่วไปและค่อนข้างจะเกเรนิดๆ เคยเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯตามโรงงาน พออายุ 17 ปี แม่ป่วยมากจึงตั้งใจบวชเณรเพื่อให้แม่สบายใจ

              สามเณรสมญาได้ท่องไปตามจังหวัดต่างๆขึ้นเหนือล่องใต้ถึงเมืองหาดใหญ่ เรียนนักธรรมบาลีที่วัดในวัง อ.นาทวี จ.สงขลา สอบได้เปรียญธรรมหรือประโยค 3  เข้ากรุงเทพฯอยู่ที่วัดโพธินิมิตรตลาดพลูสอบได้ประโยค 4 เรียนเตรียมอุดมศึกษาที่วัดมหาธาตุฯท่าพระจันทร์ และกศน.ควบคู่ไปด้วย

              หลังจากนั้นได้มีโอากาสไปเรียนภาษาอังกฤษที่ประเทศพม่าปี2535  เรียนได้ 1 ปีกลับมาเรียนต่อหลักสูตรปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย "มจร"  วิทยาเขตเชียงใหม่ ที่วัดสวนดอก  แต่เรียนได้เพียงเทอมเดียว เศรษฐีชาวพม่าที่เคยเป็นโยมอุปัฏฐากถวายทุนให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศศรีลังกา

              เพราะความไม่ชอบจึงเรียนได้เพียง 1 ปี จึงกลับเมืองไทยเรียนต่อที่ มจร วัดศรีสุดาราม คณะมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ จนจบรุ่นที่ 46 รุ่นเดียวกับพระมหาสมปอง ตาลปุตโต แล้วสมัครสอบเป็นพระธรรมทูตเดินทางไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จำพรรษาที่วัดพุทธวราราม เมืองเด็นเวอร์ และวัดสันติธรรมาราม รัฐโคโลราโด

              และได้ย้ายจากวัดสันติธรรมมารามไปอยู่ทีวัดธรรมคุณาราม เมืองเลซี่ย์ รัฐยูทาห์ ได้ไปเรียนต่อภาษาอังกฤษ ที่ Davis Apply Technology college  ช่วงนั้นมีทหารมาไห้วพระที่วัดก่อนที่จะไปสงครามที่ประเทศอิรัค คิดอยากจะเป็นทหารบ้างตามที่เคยตั้งความฝันไว้ตอนเป็นเด็ก จึงกลับมาลาสิกขาบทที่ประเทศไทยแล้วกลับไปอยู่ที่วัดป่าพุทยานันทาราม เมืองลาสเวกัส และได้ตัดสินใจสมัครเป็นทหาร

              ร้อยเอกสมญาได้ไปฝึกครั้งแรกที่ Fort Jackson รัฐเซาท์ แคโรไล่น่า แล้วเรียนต่อวิชาชีพต่อที่ Fort Lee รัฐเวอร์จิเนีย ได้ยศเป็นสิบเอก หลังจากนั้นถูกส่งไปประจำการที่ Hawaii หน่วยที่ประจำการอยู่นั้นถูกเรียกให้ไปปฏิบัติหน้าที่อิรัค และร้อยเอกสมญาก็ได้รับคำสั่งให้ไปอิรัคด้วย

              ร้อยเอกสมญา กล่าวว่า เมื่อตอนสมัครเป็นทหารใหม่ๆนั้น ก็สมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ด้วย และได้ติดยศร้อยตรีเหมือนกับประเทศไทย ขณะเดียวกันได้เดินเรียนต่อด้านเทววิทยา-อนุศาสนาจารย์แบบพุทธ (Master of Divinity in Buddhist Chaplaincy) ที่ University of the West in Los Angeles, California. และได้ไปเรียนโรงเรียนนายทหารที่ Fort Jackson, South Carolina. หลังจากจบแล้วได้มาประจำการที่ Joint Base Lewis-McChord เมือง Tocoma รัฐวอชิงตัน ในเดือนตุลาคม 2010  และได้ยศเป็นร้อยเอก 

              "ผมเป็นอนุศาสนาจารย์ชาวพุทธคนแรกที่เป็นทหารกองประจำการ โดยมีอนุศาสนาจารย์ชาวพุทธคนหนึ่งเขาเข้าเป็นหทารก่อนผมสองปี แต่ว่าเขาเป็น Army National Guard ถ้าบ้านเราก็คือ นักเรียน รด. แต่ว่าเขาได้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่อิรัคหนึ่งปี เขาเพิ่งจะเข้ามาเป็นทหารกองประการเมื่อปีที่แล้วนี้ ซึ่งเป็นหลังผมหนึ่งปี"  ร้อยเอกสมญา กล่าว

              นับได้ว่าร้อยเอกสมญา มาลาศรี นับเป็นคนไทยคนหนึ่งที่พัฒนาตัวเองจากเด็กบ้านนอกยากจน และพลิกชีวิตตัวเองจากการได้เข้ามาบวชในพุทธศาสนาเรียนจบประโยค 4 ปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิตที่ มจร เป็นพระธรรมทูต เพราะความอยากเป็นทหารจึงผันตัวเองเป็นทหารที่ประเทศสหรัฐและได้เป็นอนุศาสนาจารย์ครูสอนทหารคนไทยคนแรกของกองทัพสหรัฐ  นับเป็นเกียรติประวัติที่น่ายกย่องเผยแพร่เป็นแบบอย่างของคนดี

..................

(หมายเหตุ : เชิญศาลพระภูมิไทยตั้งถึงถิ่น'สตีฟ จ็อบส์' : สำราญ สมพงษ์ รายงาน)





วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

6ปีรัฐประหาร'ทักษิณ'ผู้เสียสละเทียบชั้น'ปรีดี'?

              19กันยายน2555 เป็นวันครบรอบ 6 ปีการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" หลังจากนั้นเจ้าตัวถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปีจากคดีที่ดินรัชดา มีสภาพเป็นนักโทษหนีคุก เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปตามหัวเมืองต่างๆ จนเกิดปัญหาทำให้ ป.ป.ช.สอบกระทรางการต่างประเทศกรณีการออกหนังสือเดินทางให้

              ตลอดระยะเวลา 6 ปีนี้กลุ่มคนเสื้อแดง และล่าสุด "สมเกียรติ อ่อนวิมล" ก็กวักมือเรียกให้ "ทักษิณ" กลับบ้าน แต่ "ทักษิณ" ทิ้งประโยชน์ส่วนตนมองประโยชน์ส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง จึงได้ประกาศไม่เดินทางกลับช่วงที่บ้านมีความขัดแย้งสูง ดังนั้น "ทักษิณ" จึงควรจะได้รับการยกย่องว่า "เป็นผู้เสียสละ" แล้ว

              หากจะให้ดีไปกว่านั้น "ทักษิณ" ควรจะประกาศยุติบทบาททางการเมือง ไม่ลวงลูกโผทหาร ไม่ชักใย "น้องสาว" ให้ถูกตราหน้าว่าเป็น "นายกฯหุ่นเชิด" ก็จะทำให้เธอได้รับการยกย่องว่าเป็น "นารีขี่ม้าขาว" เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็เป็นได้เพียง "นารีถือโพย" เท่านั้น

              และจะให้ดีไปกว่านั้น "ทักษิณ" ควรจะประกาศไม่เดินทางกลับประเทศไทยอีก ตามข้อเสนอของ "คณิต ณ นคร" ประธาน คอป.   ที่ระบุว่า "ถ้าอยากเป็นรัฐบุรุษ ต้องรู้จักคำว่าเสียสละ แม้ว่าจะไม่กลับประเทศ ก็สามารถเป็นรัฐบุรุษได้เช่นกัน เหมือนนายปรีดี พนมยงค์ ที่ทำงานเพื่อประเทศโดยที่ไม่เคยกลับประเทศ เพียงเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ"

              "ทักษิณ" ยอมรับข้อเสนอของ "คณิต" ก็จะกลายสภาพเป็น "State Man หรือ รัฐบุรุษ" เทียบชั้น  "ปรีดี พนมยงค์" ทันที

              หาก "ทักษิณ"  ไม่ยอมรับและยังดึงดันที่จะเดินทางกลับไทยโดยไร้ความผิดแล้ว อาจจะถูก "แผ่นดินสูบ" ก็เป็นได้ ในที่นี้คือ ถูกสูบจากความดีที่เสียสละมา ความเป็น "State Man หรือ รัฐบุรุษ" ให้หมดไป

              คำว่า "แผ่นดินสูบ" คงจะสามารถตีความได้ในลักษณะเช่นนี้ได้  อย่างเช่น "เสฐียรพงษ์ วรรณปก" เจ้าของคอลัมน์ "รื่นร่ม รมเยศ" ที่มติชน ได้เขียนเรื่อง " เมื่อคนชั่วถูกแผ่นดินสูบ" เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ยกกรณีผู้ที่แผ่นดินสูบเมื่อครั้งพุทธกาลคือ พระเทวทัตและนางจิญจมาณวิกา

              กรณีของพระเทวทัตอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ระบุว่า "มีข้อที่น่าสังเกตว่า ทั้งๆ ที่พระเทวทัตถูกประณามว่าเป็นมารร้ายคอยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า ชาวพุทธฝ่ายจีนเขายังถือว่า พระเทวทัตมีความสำคัญมิใช่น้อย ถึงกับยกย่องให้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง (ว่ากันอย่างนั้น เท็จจริงอย่างไรผมก็ยังไม่ได้เห็นหลักฐานชัดๆ) เขาอธิบายว่า พระเทวทัตยิ่งเลวร้ายต่อพระพุทธองค์เพียงใด พระพุทธคุณยิ่งเด่นชัดขึ้นในความรู้สึกของประชาชนเพียงนั้น ดุจดังจุดดำช่วยขับให้ผ้าขาวเด่นชัดขึ้นฉันนั้น"

              ขอเสริมอาจารย์เสฐียรพงษ์ตรงจุดนี้ก็คือว่า ตามพุทธประวัติแล้วช่วงที่พระเทวทัตจะถูกแผ่นดินสูบนั้นสำนึกผิดขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(อริยะ)เป็นที่พึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทำนายว่าด้วยอานิสงส์แห่งการสำนึกผิดนี้  พระเทวทัตหลังจากเสวยกรรมในนรกแล้วจะสั่งสมบารมีและบรรลุพระปัจเจกพุทธเจ้าในที่สุด            

              ส่วนกรณีของ "นางจิญจมาณวิกา" ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้าทำให้เธอตั้งครรภ์เพราะหวังจะทำลายชื่อเสียงของพระองค์ เมื่อพิสูจน์ความจริงปรากฏจึงถูกประชาทัณฑ์วิ่งหนีออกจากพระอารามและถูกแผ่นดินสูบ

              อาจารย์เสฐียรพงษ์ระบุว่า ถ้าไม่ตีความตามตัวอักษรคงจะหมายความว่า "นางคงวิ่งกะเล่อกะล่าหนีฝูงชนจนตกท่อประปา เอ๊ยตกหลุมตกบ่อตาย หรือไม่ก็คงถูกประชาชนรุมกระทืบตายคาเท้านั่นเอง"

              หาก "ทักษิณ"  ไม่ยอมรับข้อเสนอของ "คณิต" ตามการตีความไม่ตรงตามตัวอักษร อาจจะถูก "แผ่นดินสูบ" พลาดโอกาสการเป็น "State Man หรือ รัฐบุรุษ" จึงมองไม่เห็นว่าสังคมไทยจะเกิดความปรองดองเมื่อใด

............

(หมายเหตุ : 6ปีรัฐประหาร'ทักษิณ'ผู้เสียสละเทียบชั้น'ปรีดี'? : กระดานความคิดโดยสำราญ สมพงษ์)

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

มจรวิจัยพบบทสวดโพชฌงค์แก้'โรคซึมเศร้า'จากภัยพิบัติได้จริง

              น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับคนไทยเนื่องจากมีผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตสูงถึงกว่า  3  ล้านราย ทั้งโรคจิต โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคลมชัก  และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า ทั้งนี้จากการเปิดเผยของนายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2555ที่ผ่านมา

              ปัญหาเกิดจากโลกร้อนเกิดภัยพิบัติต่างๆ ตามมาทั่วโลก  ประเทศไทยก็มีการเปลี่ยนเป็นสภาพสังคมเมืองมากขึ้น เกิดภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วม  สุโขทัยระทม คนกรุงขวัญผวาฝนตกหนักทุกวันกลัวว่าน้ำจะท่วมอีก และสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าอีกอย่างหนึ่งก็คือ "น้ำลาย" จากนักการเมืองที่ด่ากันผ่านสื่อทุกวัน

              เมื่อสภาพสังคมไทยป่วยเป็นโรคจิตเช่นนี้จะอาศัยเพียงโรงพยาบาลโรคจิตก็คงจะไม่เพียงพอ แล้วบุคคลหรือหน่วยงานใดที่จะเป็นอาสาเข้ามาช่วย มองไปทั่วประเทศไทยก็เห็นมีแต่ลูกศิษย์ "นักจิตบำบัดที่เก่งที่สุดในโลก" ตามที่ ดร.เมล กิลล์ (Dr.Mel Gill)  นักจิตบำบัด ผู้รับขนานนามว่า  "นักพูดพันล้าน กูรูผู้สร้าง แรงบันดาลใจ"  ประกาศยกย่องนั้นก็คือ "พระพุทธเจ้า"

              พุทธวิธีบำบัดโรคจิตโดยเฉพาะโรคซึมเศร้านั้นก็มีทั้งการฝึกสมาธิ ฝึกอานาปานสติ และการสวดบทพระปริตร

              การสวดนั้นจะใช้บทใด เพราะบทสวดที่พระสวดนั้นก็มีทั้งเจ็ดตำนานและสิบสองตำนาน ซึ่งเรื่องนี้นางเบญญาภา กุลศิริไชย นักศึกษาปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้ทำการวิจัยในการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "การลดภาวะซึมเศร้าในผู้ประสบภัยพิบัติด้วยการรับบทสวดโพชฌงคปริตรเข้าจิตใต้สำนึก" และได้นำเสนอในการบรรยายสาธารณะเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่บัณฑิตวิทยาลัย "มจร" วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์  กทม.

              ผู้วิจัยได้นำเสนอว่า ลักษณ์ของผู้ประสบภัยพิบัติที่เกิดภาวะซึมเศร้าจะมีทัศนคติที่บิดเบือนไปในทางลบ และมีจิตใต้สำนึกจะต้านทานทุกอย่างที่เข้ามา ฉะนั้นถ้ามีวิธีการที่สามารถส่งข้อมูลเชิงบวกเข้าจิตใต้สำนึกได้โดยตรงที่ปราศจากการต้านทานจากจิตสำนึก น่าจะช่วยฟื้นฟูจิตใจลดภาวะซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี

              ผู้วิจัยได้ค้นคว้าข้อมูลพบว่า มีหลักการนี้เรียกว่า "ซับลิมินอล แมสเซส" (subliminal messages) เป็นการส่งข้อมูลต่างๆ เข้าจิตใต้สำนึกโดยที่จิตไม่สามารถต้านทานได้  และขั้นตอนของการวิจัยด้วยวิธีนี้ได้ใช้บทสวดโพชฌงคปริตรในการทดลอง เพราะถือกันมาว่าเป็นพุทธมนต์สำหรับสวดสาธยายเพื่อให้คนป่วยหายจากโรคทางกายและใจได้

              ผู้วิจัยได้ทดลองจากผู้ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์อุทกภัยในประเทศไทยปี พ.ศ.2554 ที่อพยพไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงจังหวัดนครปฐม โดยแบ่งคนที่มีภาวะซึมเศร้าออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 ให้ฟังเสียงเพลงธรรมชาติที่ซ่อนบทสวดโพชฌงคปริตรและคำแปล กลุ่มที่ 2 ฟังเสียงเพลงธรรมชาติเท่านั้น และกลุ่มที่ 3 ไม่ได้ฟังทั้งสองอย่าง ตลอด 7 วัน

              หลังจากนั้นทำการประเมินปรากฏว่ากลุ่มที่ 1 มีสภาวะซึมเศร้าลดลงและเพิ่มความรู้สึกสุขภาวะทางจิตได้ อีกทั้งยังส่งผลต่อเนื่องในระยะยาวนาน ส่วนกลุ่มที่ 2 มีสภาวะซึมเศร้าลดลงและเพิ่มความรู้สึกสุขภาวะทางจิตได้ แต่ไม่ส่งผลต่อเนื่องเหมือนกลุ่มที่ 1  ส่วนกลุ่มที่ 3 มีภาวะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร

              ทั้งนี้ผู้ที่ฟังบทสวดโพชฌงคปริตรนั้นมีความรู้สึกสุขภาวะทางจิตด้านความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นมิตร ร่าเริง มีจิตใจเข้มแข็ง มีสมาธิเพิ่มขึ้น

              จากผลการทำ "ซับลิมินอล แมสเซส" ด้วยฟังบทสวดโพชฌงคปริตรดังกล่าวสอดคล้องกับการทดลองของนักจิตบำบัดในต่างประเทศเช่น สตาร์ค(Stark)  ไคล์น โฮลท์ และคีย์

              อย่างไรก็ตามผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่าผู้สวดโพชฌงคปริตรก็ต้องมีองค์ประกอบคือ มีจิตเมตตา มุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง (ไม่ใช่มุ่งหวังแต่สตางค์)  สวดไม่ผิด และรู้ความหมายของบทสวดด้วย ขณะที่ผู้ฟังก็ต้องมีองค์ประกอบเช่น ไม่เคยทำกรรมหนักหรืออนันตริยกรรม ไม่มีมิจฉาทิฏฐิอย่างเช่นรับได้กับผู้บริหารที่ทุจริต โกงกินเป็นต้น  และมีความเชื่อมั่นในอานุภาพของโพชฌงคปริตร

              จากผลการวิจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าคำสอนสามารถนำไปแก้ปัญหารักษาโรคซึมเศร้าได้เจริง นับเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ ตามที่ สกอ.ได้ตั้งความหวังเมื่อคราวเดินทางไปประเมินผลการจัดการศึกษาของ "มจร" ระหว่างวันที่ 12-14 ก.ย.ที่ผ่านมา

              แต่หากต้องการที่จะทราบพุทธวิธีในการบำบัดทางจิตมากยิ่งขึ้นวันที่ 27 ก.ย.ที่จะถึงนี้ทาง "มจร"  จะจัดงาน 65 ปีของคณะพุทธศาสตร์ ที่ "มจร" อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยจะมีการปาฐกถาพิเศษและเสวนาวิชาการเรื่อง "เหลียวหลังแลหน้าพุทธศาสตร์ในประชาคมอาเซียน" ซึ่งมีผู้ร่วมเป็นวิทยากรประด้วยพระธรรมโกศาจารย์อธิการบดี พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต และมีนายกฤษณะ ไชยรัตน์ แห่งเครื่องเนชั่นเป็นผู้ดำเนินรายการ


 สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

เปิดมิติใหม่ผู้นำศาสนาอาเซียนร่วมแก้ขัดแย้ง

              กระแสความขัดแย้งระหว่างศาสนานับวันจะยิ่งทวีความรุ่นแรงมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีชาวมุสลิมทั่วโลกได้ลุกฮือขึ้นประท้วงหนังหมิ่นศาสนาอิสลาม ขณะเดียวกันก็มีความกระทบกระทั้งกันระหว่างชาวมุสลิมกับพุทธอย่างเช่นที่ พม่า อินเดีย และมาเลเซีย หรือชาวพุทธกับคริสต์ หากผู้นำแต่ละศาสนาไม่จับมือกับดับไฟเสียแต่ต้นลมแล้ว ก็ยิ่งจะเกิดผลเสียกับชาวโลก

             นับเป็นมิติหมายอันดีที่ผู้นำศาสนาในภูมิภาคอาเซียนได้มีการประชุมปรึกษา หารือกันระหว่างวันที่ 17-19 ก.ย.ที่ผ่านมา ในการสัมมนานานาชาติ เรื่อง "ศาสนากับกระบวนการสร้างสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน"  ซึ่งจัดโดยศาสนาสันนิบาตโลกมุสลิม สภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ณ โรงแรมเดอะสุโกศลหรือโรงแรมสยามซิตี้เดิม  อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งโครงการนี้ยังเป็นการรองรับการก้าวสู่ "ประชาคมอาเซียน" หรือ ASEAN Community ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) อีกด้วย

              งานนี้มีวิทยากรสำคัญที่เข้าร่วมการสัมมนา อาทิ นายอับดุลเลาะห์ บิน อับดุลมุหชิน อัล ตุรกี เลขาธิการสันนิบาตโลกมุสลิม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช พระราชวราจารย์ ประธานร่วมศาสนาเพื่อสันติภาพ สภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย (RfP - IRC Thailand) สมเด็จพระสังฆราช Tep Vong (กัมพูชา) ประธานร่วมศาสนาเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ

               Mr. Myint Swe จากมูลนิธิรัตนเมตตา สหภาพพม่า อัครสังฆราช Fernando Capalla จากฟิลิปปินส์ สังฆราชแห่งมินดาเนาและประธานกิจการระหว่างศาสนาและระหว่างชาวคริสต์ของ สหพันธ์สภาสังฆราชแห่งเอเชีย Dr.Nyoman Udayana Sangging กรรมการบริหารของสมาคมฮินดูแห่งอินโดนีเซีย พระอาจารย์ภูสวรรค์ รองประธานพุทธศาสนสัมพันธ์ประเทศลาว Sadsr V. Harcharan Singh ประธานสภา Gurdwards แห่งมาเลเซีย Prof. Dr. Philip K Widjaja รองเลขาธิการพุทธสมาคมแห่งอินโดนีเซีย Huji Mohamad Idris ประธานชุมชนอิสลามในกรุงโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม Dr. Yabit Alas คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรูไนดารุสซาลาม Sister Maria Law ประธานองค์กรระหว่างศาสนาแห่งสิงคโปร์ เป็นต้น

              สำหรับฝ่ายไทยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีวิทยาลัยอิสลามยะลา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายกสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผศ.สุกรี หลังปูเต๊ะ คณบดีคณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ร่วมในการสัมมนาและให้การต้อนรับคณะวิทยากรจากต่างประเทศ
  
           ทั้งนี้สภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้นำศาสนาในพื้นที่ 5 ศาสนา คือ อิสลาม พุทธ คริสต์ ซิกข์ และฮินดู เพื่อเป็นเวทีและสะพานเชื่อมระหว่างผู้นำศาสนารวมทั้งประชาชนทั่วไปในการนำ หลักการทางศาสนาที่ถูกต้องมาใช้ในกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยเปิดโอกาสให้แต่ละศาสนาในพื้นที่เสนอทางออกในมิติของการอยู่ร่วมกันอย่าง สมานฉันท์และสันติสุข

              แนวแนวคิดจัดการสัมมนานานาชาติระดับอาเซียนในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้นำศาสนาทั้ง 5 ศาสนาในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน และนำตัวอย่างอันดีตลอดจนประสบการณ์ในการจัดการความขัดแย้งทางศาสนาหรือความ ขัดแย้งอื่นๆ ที่สามารถใช้หลักการและกระบวนการทางศาสนาเข้าไปเยียวยาไปใช้แก้ไขปัญหาความ ขัดแย้งในแต่ละพื้นที่ของอาเซียน รวมทั้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยต่อไป

              งานสัมมนาเริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 17 ก.ย. โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดแทนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า ศาสนาถือเป็นกระบวนการสำคัญในการแก้ไขปัญหาทางสังคม  ตนคิดว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เกิด จากศาสนาและเกิดจากการเมืองมากกว่า เพราะไทยเปิดโอกาสให้ทุกคนในทุกศาสนิกมีโอกาสเท่ากันในการเข้ามาบริหาร ประเทศ ที่ผ่านมามีผู้บริหารระดับประเทศที่เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม เช่น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภา และรมว.มหาดไทย  นอกจากนี้ยังมีผู้ว่าฯที่เป็นมุสลิมก็มี จึงขอยืนยันว่าปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ไม่ใช่ความขัดแย้งทางด้านศาสนา แต่เป็นปัญหาความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ และ ความรู้สึก
 
            วันอังคารที่ 18 ก.ย.เป็นการเสวนาเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือและการสานเสวนาระหว่างศาสนา เพื่อแปลงเปลี่ยนความขัดแย้งและสร้างสันติภาพในประเทศอาเซียน, การสร้างเครือข่ายศาสนาเพื่อสันติภาพในอาเซียน และการประชุมกลุ่มย่อยซึ่งมีหัวข้อน่าสนใจ เช่น แบ่งปันความสำเร็จในการจัดการความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับศาสนา, ความเป็นสมัยใหม่และความสมานฉันท์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ศาสนา และความขัดแย้งและบทบาทของศาสนา: กรณีศึกษาของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น

              หลังจากนั้นวันพุธที่ 19 ก.ย.คณะผู้นำศาสนาเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงเช้าร่วมสัมมนาที่มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา มีวงประชุมร่วมกับคนในพื้นที่เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งและการใช้หลักศาสนา ในการจัดการความขัดแย้ง โดยจะมีการร่วมแถลงข่าวของผู้นำศาสนาในประเทศอาเซียนด้วย

              เชื่อแนวทางแนวทางการปรึกษาหารือกันพูดคุยกันนี้จะสามารถสร้างสันติภาพให้ เกิดขึ้นในโลกได้ มากกว่าการโพทนาด่าท่อกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานสัมมนาลักษณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ

 (หมายเหตุ  : ขอบคุณข้อมูลจาก thaipbs.or.th และศูนย์ข่าวภาคใต้สำนักข่าวอิศรา isranews.org/south-news)

สำราญ สมพงษ์รายงาน 

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

หมอเปรมเผยเคล็ดลับ'รวยโดยสุจริต'


              เพราะคำว่า "รวย" ทำให้มนุษย์เกิดมาแล้วต่างแสวงหาไปตามอัตภาวะของแต่ละบุคคล ดำบ้าง ขาวบ้าง เทาๆบ้าง สุจริตบ้าง  ทุจริตบ้าง บางคนหาคำนี้มาตลาดชีวิตก็ไม่พบ หรือพบแล้วก็ไม่มีเวลาที่จะใช้ตายไปก่อนก็มาก

             เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่บูชาคำว่า "รวย" จึงทำให้ไม่สนใจถึงวิธีการของการได้มา  ทำให้ผลสำรวจความเห็นของโพลล์สำนักต่างๆ ออกมาว่าคนส่วนใหญ่รับได้กับผู้บริหาร คนรวย ที่ทุจริต คอรัปชั่น แม้นแต่คนรุ่นใหม่ก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว

              สาเหตุมาจากอะไรเพราะไม่รู้วิธีที่จะแสวงหาคำว่า "รวยโดยสุจริต" ใช่หรือไม่

              หากยังไม่รู้คำว่า "รวยโดยสุจริต" ทำอย่างไร นายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตส.ส.ขอนแก่น ปริญญาโท สาขาพระพุทธศาสนาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) มีคำแนะในหนังสือ "คิดเป็นทำจริงคุณก็รวยได้" จากปราชญ์สำนักพิมพ์ ที่มีนายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของอาณาจักรโบนันซ่าเขาใหญ่เป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

              นายแพทย์เปรมศักดิ์ได้เปิดตัวหนังสือเล่มนี้เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2555 ที่ร้านหนังสือ B2S เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี "อวัสดา ปกมนตรี" พิธีกรสาว ผู้ประกาศข่าวชื่อดังในอดีต ทำหน้าที่เป็นพิธีกรแนะนำและยิงคำถาม ซึ่งมีผู้ไปร่วมงานมากพอสมควร นายแพทย์เปรมศักดิ์ได้ได้ให้มุมมองแนวคิดในการทำหนังสือช่วงที่พักเวทีการเมืองมาสู่การเป็นนักเขียน นำเอาความรู้ประสบการณ์ชีวิตมาถ่ายทอด

              นายแพทย์เปรมศักดิ์ได้ให้บัญญัติ 10 ประการของการแสวงหาคำว่า"รวยโดยสุจริต" คือ

              1.การทำธุรกิจอันใดต้องมีความรู้เป็นอย่างดีก่อนลงมือทำ 2. นักธุรกิจต้องไม่ละเลยเป้าหมายของธุรกิจส่วนใหญ่นั่นก็คือผลิตสินค้าและบริการให้ดีขึ้นเรื่อยๆ 3.ปรับปรุงเพิ่มการผลิตให้มากขึ้นและลดต้นทุนค่าใช้จ่าย 4.นักธุรกิจต้องวางหลักปฏิบัติว่าต้องประหยัดทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำธุรกิจ จงหาเงินก่อนแล้วจึงคิดเรื่องใช้ 5. อย่ามองข้ามโอกาสขยายงานแต่ไม่มากเกินไปหรือขาดการวางแผนที่ดี

              6.นักธุรกิจต้องดำเนินกิจการเองและตรวจสอบอย่างใกล้ชิด 7. นักธุรกิจต้องตื่นตัวที่จะปรับปรุงสินค้าบริการอยู่เสมอ 8.นักธุรกิจต้องเต็มใจที่จะเสี่ยง 9.นักธุรกิจต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆอยู่เสมอๆ และ10.สร้างความเชื่อถือให้กับสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นมา

              หลังจากนั้นนายแพทย์เปรมศักดิ์ได้แนะนำวิธีการของนักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จถึงระดับเศรษฐี รวมถึงธุรกิจที่น่าลงทุนอย่างเช่น การเล่นหุ้น ซึ่งต้องศึกษาหาความรู้แต่ไม่ใช่รวยด้วยการปั่นหุ้น ธุรกิจที่ดินและศิลปวัตถุที่ต้องแสวงหามาด้วยสุจริตไม่ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อการได้มา

              หากพิจารณาเนื้อหาในหนังสือ "คิดเป็นทำจริงคุณก็รวยได้"  ไม่มีประโยคไหนที่แนะนำให้รวยด้วยวิธีโกง ทุจริต คอรัปชั่น แต่มีเนื้อหาที่เข้าหลักอิทธิบาท 4 ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา  มีความชอบที่จะทำธุรกิจสีขาวอย่างขยันมั่นเพียร จิตใจแน่วแน่โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา

              และเข้าหลักของหัวใจเศรษฐดี 4 ประการคือ อุ อา กะ สะ นั้นก็คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ อันได้แก่

              1.อุฏฐานสัมปทา มีความขยั่นมั่นเพียรในการทำธุรกิจ  2.อารักขสัมปทา รู้จักใช้คำว่า "รวย" ให้เป็นประโยชน์กับตนและสังคม โดยรู้จักการแบ่งปัน  3.กัลยาณมิตตตา  รู้จักเลือกคบบัณฑิตไม่คบคนชั่วหรือคนพาลาในคาบบัณฑิต  4.สมชีวิตา ดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาท คือ รู้จักคำว่าพอเพียง

              เหล่านี้คือเคล็ดลับในหนังสือ "คิดเป็นทำจริงคุณก็รวยได้"  นับเป็นการรวยโดยสุจริตโดยแท้ โดยไม่ต้องใช้อำนาจหน้าที่โกง กิน ทุจริต คอรัปชั่น อย่างใด



....................

สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

'เสธ.หนั่น-เจ๊หน่อย'สร้างอาราม ชวนนักการเมืองหันหน้าเข้าวัด


               วันที่ 7 เดือนกันยายน พ.ศ.2555 เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 77 ปีของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา โดยเปิดบ้านสนามบินน้ำให้บุคคลต่างๆ เข้าอวยพร
              สิ่งที่พล.ต.สนั่นฝากก็คือ อยากให้นักการเมืองมีความรักความสามัคคีกัน หันหน้าเข้าสู่ความปรองดองเพื่อความเจริญของประเทศ และขอให้อภัยซึ่งกันและกัน มาเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่า

              ขณะเดียวกันพล.ต.สนั่น ก็ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนกำลังเตรียมสร้างวัดที่จังหวัดปทุมธานี โดยใช้พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ อยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเป็นพื้นที่ของวัดกกบริเวณรังสิต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและยังไม่มีชื่อวัดอย่างเป็นทางการ

              “ผมอยากสร้างวัดเพราะช่วงนี้ก็บั้นปลายชีวิตแล้ว อยากให้คนเข้าวัดกันมากๆ โดยเฉพาะนักการเมือง อยากให้หันหน้าเข้าวัดกันมากขึ้น อย่าทุกข์ อย่าเครียด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”พล.ต.สนั่น กล่าว
              ขณะเดียวกันคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ได้ประกาศที่จะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ  ในนามพรรคเพื่อไทยโดยให้เหตุผลต้องการที่จะบูรณะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ประเทศนปาล จึงขอทำงานที่ยิ่งใหญ่ในการรับใช้พระพุทธศาสนา
              นับว่าเป็นสิ่งที่ดียิ่งที่บุคคลทั้งสองมีกุศลจิตสร้างสมบารมีในบั้นปลายของชีวิต แต่หากมีกำลังจะสร้างบารมีเพิ่มก็ขอแนะคือการสนับสนุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ โดยเฉพาะยิ่งที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ที่มีพระนิสิตนักศึกษาเรียนอยู่ทั้งพระและคฤหัสถ์หลายพันรูป/คน
              มีศิษย์เก่าผู้ที่จบการศึกษาแห่งนี้ที่เป็นนักการมืองก็หลายคนที่สังกัดพรรคเพื่อไทยอย่างเช่น ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง นายอดิศร เพียงเกษ จบถึงระดับปริญญาเอก นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกรัฐบาล ที่มีผลงานวิจัยเรื่อง "สัมมาวาจากลไกสร้างความปรองดอง" ที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์อย่างเช่นนายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก และที่กำลังศึกษาอยู่ก็อย่างเช่นพระรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรมว.สามารณสุข
              และที่สำคัญก็คือมหาจุฬาฯได้เปิดโครงการหลักสูตรสันติศึกษาพร้อมกับหลักสูตรผู้นำเชิงพุทธระดับปริญญาเอกขึ้น เชื่อแน่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติและทั่วโลกได้ สอดคล้องอดีตผู้นำเอเชียและผู้มีบทบาทสำคัญด้านการกำหนดนโยบายสาธารณะระหว่างประเทศ เตรียมจัดตั้งสภาสันติภาพและปรองดองแห่งเอเชีย (เอพีอาร์ซี) ขึ้น โดยมีเป้าหมายช่วยส่งเสริมสันติภาพในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
              ขณะเดียวกันมหาจุฬาฯเป็นสถานการศึกษาของคณะสงฆ์ที่เปิดการศึกษามาเกือบร้อยปีแล้ว และคณะแรกที่เปิดก็คือคณะพุทธศาสตร์โดยจะมีการจัดงาน 65 ปีของคณะในวันที่ 27 กันยายนนี้ที่มหาจุฬาฯ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยจะมีการปาฐกถาพิเศษและเสวนาวิชาการเรื่อง "เหลียวหลังแลหน้าพุทธศาสตร์ในประชาคมอาเซียน" ซึ่งมีผู้ร่วมเป็นวิทยากรประด้วยพระธรรมโกศาจารย์อธิการบดี พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต และมีนายกฤษณะ ไชยรัตน์ แห่งเครื่องเนชั่นเป็นผู้ดำเนินรายการ
              จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งพล.ต.สนั่น คุณหญิงสุดารัตน์ และผู้ไปร่วมงาน  65 ปีคณะพุทธศาสตร์มหาจุฬาฯ ได้สร้างสมบารมีเพิ่มจนสามารถได้ดวงตาเห็นธรรม ลดความยึดมั่นถือมั่นจากการแบ่งสีแบ่งฝ่าย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง หากชวนคนที่อยู่แดนไกลมาสร้างบารมีด้วยก็จะดีไม่น้อย
.............................
สำราญ สมพงษ์รายงาน




วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

เมินอภัยทานมุ่ง'อภัย-นิรโทษ'ปรองดองไม่เกิด

              ขณะนี้ทุกฝ่ายต่างก็บอกว่า ต้องการเห็นการยุติความขัดแย้ง เลิกเล่นกีฬาสี สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ

              ฝ่ายรัฐบาลเองก็หวังเป็นฐานในการแก้ปัญหามุ่งพัฒนาประเทศไปข้างหน้า ไม่ติดหล่มอย่างเช่นทุกวันนี้ ขณะเดียวกันก็ยังจ่อ พ.ร.บ.ปรองดองคาไว้ในวาระการประชุมสภา พร้อมมอบให้สถาบันพระปกเกล้าและมหาวิทยาลัยต่างๆถามความเห็นประชาชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

              ส่วนฝ่ายค้านเองก็ค้านสมชื่อกลัวว่าฝ่ายรัฐบาลจะซ่อนเงื่อน ลักไก่ อภัยโทษ นิรโทษกรรมให้กับคนบ้างคนที่อยู่แดนไกล

              การเมืองไทยจึงเป็นคู่ขนาน  ไม่สงวนจุดต่างประสานจุดร่วมที่เป็นประโยชน์ของชาติ  ไม่พิจารณาผลการกระทำของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไร ตั้งหน้าตั้งตาตำหนิไว้ก่อนหรือสักว่าเป็นข่าว

              ประเทศไทยถือ(ดี)ว่าเป็นเมืองพุทธ จนกระทั้งมีการเคลื่อนไหวให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่จะมีคนไทยสักกี่เปอร์เซนต์ที่เข้าใจหลักธรรมพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

              ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ชอบให้ทานทำบุญตักบาตรก็นับได้ว่าเป็นชาวพุทธที่ดีระดับหนึ่ง จนกระทั้งต้องมีทหารคอยคุ้มครองพระไปบิณฑบาตทาง  3 จังหวัดชายแดนใต้

              แต่การให้ทานในพระพุทธศาสนานั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1. อามิสทานหรือวัตถุทาน การให้วัตถุสิ่งของต่างๆ  2. ธรรมทาน การให้พระธรรมคำสั่งสอน และ 3. อภัยทาน การให้อภัยแก่คนที่เราโกรธ หรืออาฆาตพยาบาท หรือสัตว์อื่นๆ นับเป็นทานที่น่ายกย่อง

              ดูเหมือนว่าชาวพุทธไทยนิยมที่จะทำทาน 2 ประเภทคือ อามิสทานและธรรมทาน แต่สำหรับอภัยทานแล้วไม่ค่อยอยากให้กันเท่าใดนัก

              นอกจากนี้ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนายังให้ความสำคัญกับผู้ที่จะรับทานด้วย หากผู้รับทานเป็นผู้บริสุทธิ์ผลของทานนั้นก็จะมีมาก ตรงกันข้ามถ้าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ก็จะมีผลน้อย ดังนั้น หากมีการอภัยทานแล้วผู้รับนั้นก็ต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยเช่นเดี่ยวกัน  หรือต้องทำให้ตัวบริสุทธิ์ต้องมีความสำนึกด้วย ผลแห่งการปรองดองก็จะเกิดขึ้น

              ประเด็นของ "อภัยทาน" สามารถนำไปสู่ความปรองดองได้ ซึ่งพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) นักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปปร) รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้า ได้เขียนบทความเรื่อง ''อภัยทานกับความจริง การอภัยโทษ และการนิรโทษกรรม'' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง "อภัยทานในฐานะเป็นเครื่องมือสร้างความปรองดองในสังคมไทย" ซึ่งผ่านการอนุมัติจากสถาบันพระปกเกล้าแล้ว และมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1424&menutype=1&articlegroup_id=276)

              เนื้อหาในบทความนั้น พระมหาหรรษาได้อ้างอิงความเห็นของศ.ดร.คณิต ณ นคร ที่ให้ความสำคัญกับ "อภัยทาน" ที่สอดคล้องกับความเห็นของนายเนลสัน เมนเดลล่า อดีตผู้นำแอฟริกาใต้ ที่จะนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ พร้อมกับนิยามความหมายของคำว่า "อภัยทาน" "อภัยโทษ" และคำว่า "นิรโทษกรรม" มีนัยยะเหมือนและแต่ต่างกันอย่างไร รวมถึงแนวทางการปฏิบัติไปสู่เป้าหมาย

              พระมหาหรรษาได้ระบุในบทส่งท้ายของบทความโดยสรุปว่า "อภัยทาน" นับเป็นหลักการที่สำคัญประการหนึ่งที่สังคมตะวันตกและพระพุทธศาสนาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสในประเด็นนี้ว่า "อภัยทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด" ความปรองดองที่แสดงตัวผ่านการอภัยโทษและการนิรโทษกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากการให้อภัยยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในเบื้องต้น

              บทความเรื่อง "อภัยทานกับความจริง การอภัยโทษ และการนิรโทษกรรม'' น่าจะเป็นหลักคิดที่จะนำไปสู่กระบวนการของสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ แต่หากสังคมการเมืองไทยยังเมินอภัยทานมุ่งแต่จะอภัยโทษ นิรโทษกรรม ก็เชื่อแน่ว่าความปรองดองจะไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้สามารถศึกษารายละเอียดจากลิ้งค์บทความดังกล่าว

สำราญ สมพงษ์รายงาน

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

พุทธสันติวิธีแก้ขัดแย้ง(การ)เมืองไทยได้จริงหรือ?




             ปัญหาความขัดแย้งแบ่งสีแบ่งฝ่ายขาดความสามัคคีที่เกิดขึ้นให้สังคมไทยปัจจุบัน  ยังไม่มีแนวโน้มจะที่ประสานรอยร้าวให้กลับคืนมาเหมือนเดิมได้

             หากปล่อยไว้เช่นนี้มีแต่จะเป็นตัวถ่วงพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ แล้วทุกวันนี้เรามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหานี้กันหรือยัง หรือจะเป็นเชื้อเพลิงเติมความขัดแย้งไปเรื่อยๆจนยากที่จะเยียวยา

             หากยังไม่เห็นแนวทางพลเอกภณ วนากมล อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อนสนิทของพันเอกวินัย สมพงษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอแนวคิดผ่านทางเฟซบุ๊คเรื่องหนังเกาหลี ที่ระบุโดยสรุปว่า เขาสร้างมีสาระและชวนให้ติดตาม

             การสร้างชาติสมัยใหม่ต้องมีวิธีคิดที่เรียกว่า"ยุทธศาสตรการสร้างชาติ"ซึ่งมีให้เห็นคือประเทศสิงคโปร์และเกาหลีใต้จะมีที่มาไม่เหมือนการสร้างชาติในสมัยโบราณ เขาจะกำหนดเป้าหมายของชาติส่วนรวมขึ้น และแยกแขนงที่เป็นองค์ประกอบเป็นเรื่องๆไป และทำแผนยุทธศาสตร์ให้นำไปปฏิบัติโดยสอดคล้องประสานกัน

             "ที่ทำสำเร็จเพราะเกาหลี รักชาติรู้คุณค่าของบรรพบุรุษ ที่สละชีวิตในสงครามที่โหดร้ายในอดีต ผมจึงถามตัวเองว่า ขณะนี้ชาติไทยมีเกียรติและเป็นที่ยอมรับจากต่างชาติในเรื่องอะไร  ถ้าคนไทยกับเกาหลีหรือสิงคโปร์อยู่ด้วยกัน เขาจะเชื่อถือใครมากกว่ากัน?.."อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ระบุ

             ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาได้ดูคลิปหนังเกาหลีที่นำวีรบุรุษโบราณมาเป็นตัวพล็อตเรื่อง อย่างจูมงมหาบุรุษกู้บัลลังก์โซซอนโบราณให้กลับมาเกรียงไกร และเรื่องมูยุน ได้เห็นตัวเอกของเรื่องทิ้งความแค้นส่วนตัวแม้กระทั้งผู้ที่ฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง แล้วจับมือกันร่วมต้านชนชาติที่เข้ามาปกครองแบบกดขี่ มีอุดมการณ์แน่วแน่ และเทคนิควิธีที่จะใช้ในการกู้ชาติ

             แล้วประเทศไทยจะเริ่มที่จุดใด ซึ่งก็คงหนี้ไม่พ้นที่จะต้องเริ่มที่สถานการศึกษา แม้ว่าบางแห่งจะลงไปเล่นกีฬาสีด้วยก็ตาม

             สถานศึกษาหลายแห่งได้ตั้งสถาบันสันติศึกษาขึ้นมา รวมถึงสถาบันพระปกเกล้าที่ตั้งสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล เปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรหลายรุ่นแล้ว และหนึ่งในนักศึกษาจำนวนนั้นก็คือพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  อันเป็นที่มาของผลงานหนังสือเรื่อง "ปัญจสดมภ์: ค่านิยมแห่งชาติ" และ"พุทธสันติวิธี"

             ขณะเดียวกันพระมหาหรรษายังได้ผลักดันให้มีการเปิดหลักสูตรสันติศึกษาขึ้นใน "มจร" ล่าสุดสภาวิชาการก็ได้อนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

             พระมหาหรรษา กล่าวในเฟซบุ๊คว่า เนื้อหาของหลักสูตรนี้จะเริ่มต้นศึกษาภาคทฤษฎี เช่น วิชาเกี่ยวกับสันติภาพ ความขัดแย้งและความรุนแรง พัฒนาการความขัดแย้งและสันติภาพในโลกยุคใหม่ พุทธสันติวิธี กระบวนการสร้าง และรักษาสันติภาพ สันติสนทนา ผู้นำเพื่อสันติภาพ ขันติธรรมทางศาสนา และองค์กรสันติภาพระหว่างประเทศ ส่วนภาคปฏิบัติจะเป็นการเน้นการสร้างทักษะในการเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง ทั้งในศาล และกรณีขัดแย้งในชุมชุมชนต่างๆ

             โดยการนำเครื่องการสื่อสาร และการใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาสนับสนุนกระบวนการปฏิบัติในสถานการณ์จริง อีกทั้งเน้นดูสถานการณ์ความขัดแย้ง และความรุนแรงทั้งในและต่างประเทศ ที่ครอบคลุมถึงมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

             หลักสูตรนี้จะเปิดรับสมัครตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 เน้นทั้งสารนิพนธ์ และวิทยานิพนธ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศักยภาพของนิสิต และอาจารย์ที่ปรึกษา โดยมีคณาจารย์บรรยายประกอบผู้เชี่ยวชาญด้านสันติภาพจำนวนมาก เช่น พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดี"มจร" พระไพศาล วิสาโล  ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ พลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ จากสถาบันพระปกเกล้า  นายนพพร โพธิรังสิยากร ผู้พิพากษาศาลอาญา ดร.พศวัจน์ กนกนาค ผู้พิพากษาศาลฏีกา

             หลักสูตรนี้เป็นการร่วมมือระหว่างมหาจุฬาฯ สถาบันพระปกเกล้า ศาล องค์กรสันติภาพต่างๆ ในประเทศและต่างประเทศ

             "การเมืองในปัจจุบัน ควรเป็นการเมืองแบบเมตตา (Compassionate Politics) ไม่ใช่ การเมืองแห่งการทำลายล้าง หรือ ประหัตประหารกัน เพราะผลเสียจะไม่ตกอยู่กับนักการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ที่จะได้รับผลทุกข์หรือผลเสียนั้น คือประเทศชาติและประชาชนไทยทั้งหมดซึ่งเป็นที่มาของนักการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น"

             พระมหาหรรษาได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเมืองผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่ผ่านมา น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีแนะเป็นทางแนวในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในการเมืองและสังคมไทยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางแห่งพุทธสันติวิธี

'หมอเปรม'คลอดหนังสือ'คิดเป็น ทำจริง คุณก็รวยได้'

            

             คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักการเมืองจะเขียนหนังสือหรือมอบให้คนอื่นเขียนแล้วจัดพิมพ์จำหน่วย บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตบนถนนการเมืองของตัวเอง

             ดร.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตส.ส.ขอนแก่น สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ทำเช่นนั้น โดยอาศัยช่วงที่ว่างเว้นในหน้าที่การเมือง

             หนังสือของนพ.เปรมศักดิ์แทนที่จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองแต่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำธุรกิจการหาเงินโดยให้ชื่อว่า "คิดเป็น ทำจริง คุณก็รวยได้" โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 10 กันยายนนี้ ณ ร้านหนังสือ B2S ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ล ชั้น 3 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป โดยวันดังกล่าวจะมีการสนทนากับแขกรับเชิญ...นักขายพันล้าน "สมพร ทิมแสง" เจ้าของตำนานสู้แล้วรวยและบุคคลสำคัญอีกคับคั่ง ขณะนี้ก็มีการว่างขายตามร้านหนังสือบ้างแล้ว

             "เรื่องง่ายๆ ที่บางครั้งเราไปตั้งโจทย์ให้มันยาก มันก็เลยหาคำตอบได้ยาก ความสำเร็จอยู่ข้างหน้าเรา...หากเรามุ่งมั่นและทำจริงกับสิ่งนั้น ความสำเร็จที่ได้มาจากความสุจริต คือ ความสุขที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง...." ดร.นพ.เปรมศักดิ์ ได้ระบุในเฟซบุ๊คและว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากกว่า

             เมื่อถามว่าตอนนี้นพ.เปรมศักดิ์รวยหรือยังก็ได้รับคำตอบว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก

.......

(หมายเหตุ : หมอเปรมศักดิ์คลอดหนังสือ "คิดเป็น ทำจริง คุณก็รวยได้" แนววิธีแก้ปัญหาในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน : สำราญ สมพงษ์รายงาน)






วิเคราะห์ปัญจาลวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์

  วิเคราะห์ปัญจาลวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23: พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์ในปริบทพุทธสันติวิธี บทนำ พระไตรปิฎกเล...