วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

เมินอภัยทานมุ่ง'อภัย-นิรโทษ'ปรองดองไม่เกิด

              ขณะนี้ทุกฝ่ายต่างก็บอกว่า ต้องการเห็นการยุติความขัดแย้ง เลิกเล่นกีฬาสี สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ

              ฝ่ายรัฐบาลเองก็หวังเป็นฐานในการแก้ปัญหามุ่งพัฒนาประเทศไปข้างหน้า ไม่ติดหล่มอย่างเช่นทุกวันนี้ ขณะเดียวกันก็ยังจ่อ พ.ร.บ.ปรองดองคาไว้ในวาระการประชุมสภา พร้อมมอบให้สถาบันพระปกเกล้าและมหาวิทยาลัยต่างๆถามความเห็นประชาชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

              ส่วนฝ่ายค้านเองก็ค้านสมชื่อกลัวว่าฝ่ายรัฐบาลจะซ่อนเงื่อน ลักไก่ อภัยโทษ นิรโทษกรรมให้กับคนบ้างคนที่อยู่แดนไกล

              การเมืองไทยจึงเป็นคู่ขนาน  ไม่สงวนจุดต่างประสานจุดร่วมที่เป็นประโยชน์ของชาติ  ไม่พิจารณาผลการกระทำของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไร ตั้งหน้าตั้งตาตำหนิไว้ก่อนหรือสักว่าเป็นข่าว

              ประเทศไทยถือ(ดี)ว่าเป็นเมืองพุทธ จนกระทั้งมีการเคลื่อนไหวให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่จะมีคนไทยสักกี่เปอร์เซนต์ที่เข้าใจหลักธรรมพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

              ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ชอบให้ทานทำบุญตักบาตรก็นับได้ว่าเป็นชาวพุทธที่ดีระดับหนึ่ง จนกระทั้งต้องมีทหารคอยคุ้มครองพระไปบิณฑบาตทาง  3 จังหวัดชายแดนใต้

              แต่การให้ทานในพระพุทธศาสนานั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1. อามิสทานหรือวัตถุทาน การให้วัตถุสิ่งของต่างๆ  2. ธรรมทาน การให้พระธรรมคำสั่งสอน และ 3. อภัยทาน การให้อภัยแก่คนที่เราโกรธ หรืออาฆาตพยาบาท หรือสัตว์อื่นๆ นับเป็นทานที่น่ายกย่อง

              ดูเหมือนว่าชาวพุทธไทยนิยมที่จะทำทาน 2 ประเภทคือ อามิสทานและธรรมทาน แต่สำหรับอภัยทานแล้วไม่ค่อยอยากให้กันเท่าใดนัก

              นอกจากนี้ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนายังให้ความสำคัญกับผู้ที่จะรับทานด้วย หากผู้รับทานเป็นผู้บริสุทธิ์ผลของทานนั้นก็จะมีมาก ตรงกันข้ามถ้าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ก็จะมีผลน้อย ดังนั้น หากมีการอภัยทานแล้วผู้รับนั้นก็ต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยเช่นเดี่ยวกัน  หรือต้องทำให้ตัวบริสุทธิ์ต้องมีความสำนึกด้วย ผลแห่งการปรองดองก็จะเกิดขึ้น

              ประเด็นของ "อภัยทาน" สามารถนำไปสู่ความปรองดองได้ ซึ่งพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) นักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปปร) รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้า ได้เขียนบทความเรื่อง ''อภัยทานกับความจริง การอภัยโทษ และการนิรโทษกรรม'' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง "อภัยทานในฐานะเป็นเครื่องมือสร้างความปรองดองในสังคมไทย" ซึ่งผ่านการอนุมัติจากสถาบันพระปกเกล้าแล้ว และมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1424&menutype=1&articlegroup_id=276)

              เนื้อหาในบทความนั้น พระมหาหรรษาได้อ้างอิงความเห็นของศ.ดร.คณิต ณ นคร ที่ให้ความสำคัญกับ "อภัยทาน" ที่สอดคล้องกับความเห็นของนายเนลสัน เมนเดลล่า อดีตผู้นำแอฟริกาใต้ ที่จะนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ พร้อมกับนิยามความหมายของคำว่า "อภัยทาน" "อภัยโทษ" และคำว่า "นิรโทษกรรม" มีนัยยะเหมือนและแต่ต่างกันอย่างไร รวมถึงแนวทางการปฏิบัติไปสู่เป้าหมาย

              พระมหาหรรษาได้ระบุในบทส่งท้ายของบทความโดยสรุปว่า "อภัยทาน" นับเป็นหลักการที่สำคัญประการหนึ่งที่สังคมตะวันตกและพระพุทธศาสนาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสในประเด็นนี้ว่า "อภัยทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด" ความปรองดองที่แสดงตัวผ่านการอภัยโทษและการนิรโทษกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากการให้อภัยยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในเบื้องต้น

              บทความเรื่อง "อภัยทานกับความจริง การอภัยโทษ และการนิรโทษกรรม'' น่าจะเป็นหลักคิดที่จะนำไปสู่กระบวนการของสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ แต่หากสังคมการเมืองไทยยังเมินอภัยทานมุ่งแต่จะอภัยโทษ นิรโทษกรรม ก็เชื่อแน่ว่าความปรองดองจะไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้สามารถศึกษารายละเอียดจากลิ้งค์บทความดังกล่าว

สำราญ สมพงษ์รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์ ‎“จาลวรรค” ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์

  วิเคราะห์ ‎“จาลวรรค” ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์ บทนำ “จาล...