วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
1ธ.ค.2562 วัดรางหมันจัดประกวดพระเครื่อง สมทบทุนสร้างรพ.กำแพงแสน
1 ธันวาคม 2562 วัดรางหมัน"หลวงปู่แผ้ว ปวโร" จัดประกวดพระเครื่องสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลกำแพงแสน จ.นครปฐม
"หลวงปู่แผ้ว ปวโร" พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง วัดรางหมัน หรือ วัดประชาราษฎร ต.รางพิกุล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ในวาระที่ อายุครบ 8 รอบ 96 ปี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ได้มอบเงินให้โรงพยาบาลกำแพงแสนไปแล้ว 11 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงปู่แผ้ว ได้ปรารภกับคณะศิษย์ว่า โรงพยาบาลกำแพงแสนมีผู้เจ็บไข้ขอรับบริการทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ปีหนึ่งเป็นจำนวนมาก ไม่มีสถานที่เพียงพอทางโรงพยาบาล
หลวงปู่ท่านฟังแล้วมีความเห็นพ้องกับหมอโรงพยาบาลกำแพงแสน จึงได้มีการจัดประกวดพระเครื่องขึ้นเพื่อหาปัจจัยสร้างอาคารโรงพยาบาลกำแพงแสนโดยไม่หักค่าใช้จ่าย
การจัดประกวดพระเครื่องบำรุง มีหลวงปู่แผ้ว เป็นประธาน จัดงาน มีพระอธิการสมศักดิ์ อินฺโท เจ้าอาวาสวัดรางหมัน ให้การสนับสนุนการจัดงานทั้งหมด โดยได้รับความเมตตาจากหลวงปู่แผ้ว ให้จัดสร้างเหรียญเจริญพรบน มาเป็นรางวัลชนะเลิศรายการต่างๆ
งานประกวดพระในครั้ง มีรายการพระเครื่องท้องถิ่นประกวด 37 โต๊ะ ค่าส่งพระตามราคามาตรฐานต่างจังหวัดองค์ละ 300 บาททุกรายการ รางวัลแต่ละอย่างถือว่าสุดยอด ที่จะต้องบอกว่านักล่ารางวัลไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
รางวัลงานประกวดพระเครื่องวัดรางหมัน มีดังนี้
(1) รางวัลชนะเลิศยอดเยี่ยมคะแนนรวมสูงสุด รับถ้วยเกียรติยศ หลวงปู่แผ้ว พร้อมเหรียญทองคำ หลวงปู่แผ้ว รุ่นเจริญพรบน 1 ชุด
(2) รางวัลชนะเลิศคะแนนรวมพระหลวงปู่แผ้ว รับถ้วยเกียรติยศ ดร.ภาณุวัฒน์ สะสมทรัพย์ สส.จังหวัดนครปฐม พร้อมเหรียญทองคำ หลวงปู่แผ้ว รุ่นเจริญพระบน (1 ชุด)
(3) รางวัลพระชนะเลิศแต่ละรายการ รับเหรียญหลวงปู่แผ้ว เนื้อเงิน รุ่นเจริญพรบน ค่าส่งพระเข้าประกวดองค์ละ 300 บาท
ผู้ส่งพระเข้าประกวดลุ้นรับรางวัล ทองคำ 1 สลึง 10 รางวัล พร้อมเหรียญหลวงปู่แผ้ว 50 รางวัล แผงพระเครื่องลุ้นรับโชค ทองคำหนัก 1 สลึง 5 รางวัล เหรียญหลวงปู่แผ้ว 50 รางวัล
เข้าชมรายละเอียดงานประกวดพระได้ที่... https://youtu.be/3RNuDbNYmlw และ https://www.facebook.com/200304500388411/posts/836941016724753/
คณะสงฆ์คลองหลวงจัดกิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะรักษ์สิ่งแวดล้อม
คณะสงฆ์คลองหลวงร่วมพุทธศาสนิกชนพร้อมจัดกิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะ โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข วัดพระธรรมกายเตรียมเปิดศูนย์นวัตกรรมรักษ์วัด รักษ์สิ่งแวดล้อม บริการวัด-ชุมชน ต้นปี พ.ศ. 2563
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 13.30 น. ณ อุโบสถวัดพระธรรมกาย ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้จัดให้มีกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ ในโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ของวัดพระธรรมกาย” ขึ้น โดยมีพระครูสังฆรักษ์รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนายนิพนธ์ แก้วธรรม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ปฏิบัติหน้าที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพระสงฆ์ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ประธานนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร อาสาสมัคร นักเรียน และประชาชนผู้มีจิตอันเป็นกุศล พร้อมเพรียงกันเข้าร่วมกิจกรรมฯ จำนวนกว่า 500 คน โดยกิจกรรมฯ เริ่มต้นจากการกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย, พิธีอาราธนาศีล 5, ประธานฝ่ายฆราวาส กราบถวายรายงานต่อประธานฝ่ายสงฆ์, ประธานฝ่ายสงฆ์ให้โอวาทและกล่าวเปิดกิจกรรมฯ, บันทึกภาพหมู่ จากนั้น เป็นการแบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ ออกเป็น 7 กลุ่ม เพื่อร่วมกันสร้างสัปปายะสู่วัดตามแบบแผนที่เตรียมการไว้ อาทิ การกวาดพื้นถนน, กวาดและเก็บใบไม้, กวาดและถูพื้นอุโบสถ, เช็ดเสาอุโบสถ เป็นต้น ท่ามกลางบรรยากาศแห่งรู้รักสามัคคี มั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา และอิ่มบุญปลื้มใจกันถ้วนหน้า
สำหรับการจัดกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ” นี้ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปฏิทินการดดำเนินงานโครงการฯ โดยองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม ได้ประสานความร่วมมือกับวัดพระธรรมกาย, มูลนิธิธรรมกาย, คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย, ศูนย์ส่งเสริมศีลธรรมจังหวัดปทุมธานี, ชมรมรักษ์บวร รักษ์ศีล ๕, สมาพันธ์หมู่บ้านจัดสรรอำเภอคลองหลวง, ชมรมเรารักคลองสามผู้นำชุมชน, กลุ่มอาสาสมัคร, สถานศึกษา และภาคีเครือข่ายฯ ขับเคลื่อนดำเนินงาน “โครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข” ซึ่งเป็นการดำเนินกิจกรรม “สร้างสัปปายะสู่วัดด้วยวิถี ๕ส ที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม” ตามมติมหาเถรสมาคม และแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ฝ่ายสาธารณูปการ ของมหาเถรสมาคม ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน เพื่อการนำหลักพุทธธรรมเรื่องสัปปายะ และแนวคิดของระบบ ๕ส ลงสู่บริบทของวัด และชุมชน, ควบคู่กับการมุ่งส่งเสริมให้วัดเป็นพื้นที่ต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพ การเรียนรู้ และจิตใจของชุมชน, โดยการขยายผลหลักพุทธธรรมเรื่องสัปปายะ และแนวคิดของ ๕ส รวมถึงหลักความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ประชาชน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง รวมถึงองค์กร และประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วม, ซึ่งทั้งหมดนี้ ย่อมจักนำไปสู่การสร้างสังคม แห่งสุขภาวะอย่างยั่งยืนสืบไป
พระครูสังฆรักษ์รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ กล่าวให้โอวาทในพิธีเปิดกิจกรรมฯ ตอนหนึ่งว่า “วันนี้ นับเป็นวันแห่งการแสดงออกถึงความปรองดองสมานฉันท์ของทุกท่าน ที่มาจากหลากหลายภาคส่วน แต่ล้วนมี จิตอันเป็นกุศลที่แน่วแน่ร่วมกัน เพื่อมาสั่งสมบุญทำความดีด้วยการรวมพลังสร้างสัปปายะให้เกิดขึ้น กับศาสนสถานทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในเขตอุโบสถ เขตพุทธาวาสที่บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ เนื่องด้วยเป็นสถานที่ประดิษฐานไว้ซึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิจกรรมในวันนี้ จึงถือเป็นบุญใหญ่ และจะนำความเป็นสิริมงคลมาสู่ชีวิตของทุกท่านอย่างยิ่ง เพราะเราได้มาร่วมกันพัฒนาพื้นที่วัด ให้สะอาด ร่มรื่น สวยงาม เป็นสถานที่สัปปายะ ต่อยอดสู่การพัฒนาพื้นที่ทางสังคม และการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมเชิงพุทธ ยกระดับสู่การพัฒนาพื้นที่จิตใจ และปัญญาเชิงพุทธ เพื่อชุมชนในที่สุด จึงขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้เห็นความสำคัญ และร่วมกันเสียสละมาร่วมด้วยช่วยกันดูแลรักษาวัดของชุมชนเราให้เป็นรมณียสถานของชาวพุทธที่สมบูรณ์พร้อมยิ่งๆ ขึ้นไป สิ่งที่ทุกท่านจะได้ร่วมกันกระทำนี้ ได้ชื่อว่าเป็นการรักษา และสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนา”
นอกจากกิจกรรม “รวมพลังสร้างสัปปายะ” เพื่อพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพแล้ว ทางด้านการพัฒนาพื้นที่จิต และปัญญาเชิงพุทธ นั้น ทางวัดพระธรรมกายได้จัดให้มีกิจกรรม “เสาร์สร้างสุข” ด้วยการสวดมนต์ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม และฟังธรรม ในทุกวันเสาร์ เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. ณ อาคารโถงช้างฯ อีกทั้งในด้านการพัฒนาพื้นที่สังคมการเรียนรู้ของชุมชนนั้น ในช่วงต้นปีพุทธศักราช 2563 จะมีกำหนดเปิดศูนย์การเรียนรู้ปลูกศรัทธา เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ นวัตกรรมรักษ์วัด รักษ์สิ่งแวดล้อม ขยายผลสู่เครือข่ายบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ต่อไป
ในวันเดียวกันนี้ ภายหลังเสร็จสิ้น “กิจกรรมรวมพลังสร้างสัปปายะ” แล้ว ในเวลา 15.00 น. วัดพระธรรมกาย ได้ร่วมกับ องค์กรภาคีเครือข่ายฯ โดยการประสานงานของคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย จัดให้มี “พิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยคณะสงฆ์อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ตามมติมหาเถรสมาคม” โดยมีพระครูวิจิตรอาภากร เจ้าคณะอำเภอคลองหลวง และเจ้าอาวาสวัดสว่างภพ เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วยเจ้าอาวาส พระสงฆ์ และประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอคลองหลวง เข้าร่วมพิธีฯ โดยพร้อมเพรียงกัน
"ธนาธร" จี้ถาม"ผบ.เหล่าทัพ" มีงบฯ IO มีจริงหรือไม่แต่ไร้คำตอบ
"ช่อ"ข้องใจเงินนอกงบฯกลาโหม 1.8 หมื่นล้าน "ธนาธร" จี้ถาม"ผบ.เหล่าทัพ" มีงบฯ IO มีจริงหรือไม่แต่ไร้คำตอบ
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ 'ช่อ' ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ Pannika Wanich ระบุว่า...เมื่อวานได้เข้าสังเกตการณ์ในกมธ.งบประมาณฯเป็นครั้งแรก เป็นวาระงบกลาโหม ซึ่งเราตั้งข้อสังเกตว่าเป็นงบที่ซับซ้อนชวนงงที่สุด #ธนาธร ตั้งข้อสังเกตความไม่โปร่งใสของเงินนอกงบประมาณ ที่กลาโหมมีมากกว่า 1.8 หมื่นล้าน และยังถามว่ากองทัพเอางบไปทำ IO จริงหรือไม่ แต่ไม่มีคำตอบจากผบ.เหล่าทัพ
เมื่อวานได้เข้าสังเกตการณ์ในกมธ.งบประมาณฯเป็นครั้งแรก เป็นวาระงบกลาโหม ซึ่งเราตั้งข้อสังเกตว่าเป็นงบที่ซับซ้อนชวนงงที่สุด #ธนาธร ตั้งข้อสังเกตความไม่โปร่งใสของเงินนอกงบประมาณ ที่กลาโหมมีมากกว่า 1.8 หมื่นล้าน และยังถามว่ากองทัพเอางบไปทำ IO จริงหรือไม่ แต่ไม่มีคำตอบจากผบ.เหล่าทัพ
อย่างไรก็ตาม เพจ "Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ได้รายงานการชักถามของนายธนาธรถี่หยิบ โดยตั้งหัวข้อว่า "ธนาธรขอกลาโหมเผยสัญญาสัมปทานวิทยุ-ทีวี ขอรายละเอียดสนามม้า-มวย-หวย-งบไอโอ สงสัยทำไมเหล่านายพลรวยผิดปกติ"
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
แนะ 5 ข้อน่ารู้ไว้ป้องกันก่อนไฟไหม้บ้าน "วันที่เกือบไม่เหลืออะไร"
แนะ 5 ข้อน่ารู้ไว้ป้องกันก่อนไฟไหม้บ้าน "วันที่เกือบไม่เหลืออะไร" อุทาหรณ์เกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่หมู่ 4 ต.บ่อภาค อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 จากเหตุเกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่หมู่ 4 ต.บ่อภาค อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประกอบด้วยหลังที่ 1 เจ้าของบ้านชื่อ นายแถว ราชเพียแก้ว บ้านเลขที่ 16 หลังที่ 2 เจ้าของบ้านชื่อนางกันยารัญญ์ แสงปัญญา บ้านเลขที่ 74 ซึ่งทางอำเภอชาติตระการและองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อภาคได้ให้ช่วยเหลือเบื้องต้นนั้น ทางเพจอำเภอชาติตระการ (https://www.facebook.com/Chattrakantown/)ได้แจงเลขที่บัญชีรับความช่วยเหลือจากประชาชนทั่วไปด้วย
พร้อมกันนี้เพจอำเภอชาติตระการได้ แนะ 5 ข้อน่ารู้ไว้ป้องกันก่อนไฟไหม้บ้าน"ในวันที่เกือบไม่เหลืออะไร"
ไฟไหม้บ้านเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของคนเราเลยก็ว่าได้ เพราะเพลิงไฟลุกเผาบ้านเพียงครั้งเดียวก็พาให้วอดวายไม่เหลืออะไรเลย และถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์น่าสลดใจแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองแน่ ๆ ดังนั้นมาเรียนรู้วิธีป้องกันไฟไหม้บ้านอย่างปลอดภัยตามนี้กันดีกว่า รอบคอบไว้ก่อน จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นครับ
1. เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
ต้องยอมรับว่าสาเหตุของเพลิงไหม้เกิดจากการกระทำของคนในบ้านเองอยู่บ่อยครั้ง เช่น สูบบุหรี่บนโซฟาผ้า หรือบนเตียงนอน เก็บวัตถุไวไฟไว้ในที่ที่ไม่ปลอดภัย จนเด็กสามารถหยิบมาเล่นได้ง่าย ๆ รวมทั้งการหุงต้มอะไรทิ้งไว้นาน ๆ และการลืมถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ก็ควรเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ให้หมด และหมั่นตรวจสอบความเรียบร้อยทุกบริเวณ ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง
2. ป้องกันไฟในห้องครัว
ห้องครัวเป็นจุดเสี่ยงที่สุดในบ้าน เพราะมีเตาไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถก่อประกายไฟได้อยู่หลายชิ้น ทั้งเตาไมโครเวฟ เตาอบ หม้อหุงข้าว เป็นต้น ฉะนั้นจึงต้องดูแลส่วนนี้กันเป็นพิเศษ ไม่ควรปล่อยให้เตามีคราบอาหารหรือน้ำมันเกาะติด เพื่อป้องกันประกายไฟจากเตากระเด็นมาโดนจนเกิดเพลิงไหม้ นอกจากนี้เวลาทำครัวก็ควรจะใส่เสื้อผ้ากระชับตัว ไม่สวมเสื้อผ้ารุ่ยร่าย ส่วนบริเวณเตาก็อย่าแขวนผ้ากันเปื้อน หรือวางวัตถุไวไฟไว้ใกล้ ๆ ด้วย อีกทั้งหากมีเด็กเล็กอยู่ในบ้านก็ต้องสอนเขาให้ไม่มาเล่นในครัว หรือทางที่ดีก็ควรซื้อถังดับเพลิงและเรียนรู้วิธีใช้ถังดับเพลิงเอาไว้ก็ยิ่งดีค่ะ
3. ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างระมัดระวัง
เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดสามารถเป็นตัวการก่อเพลิงไฟได้ทั้งนั้น เราจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้อย่างยิ่งยวด ด้วยการสำรวจความชำรุดของสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าก่อนการใช้งาน ไม่ควรใช้ปลั๊กพ่วงเสียบใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหลาย ๆ ชิ้น พร้อมกัน และก่อนจะใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า ควรตรวจสอบกำลังไฟไม่ให้เกินกำลังไฟภายในบ้านด้วย นอกจากนี้ก็ไม่ควรเก็บซ่อนปลั๊กไฟ หรือปลั๊กพ่วงเอาไว้ใต้พรมหรือผ้า รวมถึงก่อนออกจากบ้านก็ต้องถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นออกให้หมด โดยเฉพาะถ้าหากพบว่าปลั๊กไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหนที่มักจะร้อนจัด ๆ ก็ต้องเลี่ยงไม่ใช้งาน หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องนำไปเช็กสภาพการใช้งานที่ศูนย์ด้วย
4. ติดตั้งเครื่องตัดไฟ
นอกจากเครื่องตรวจจับควันไฟ ก็ควรติดตั้งเครื่องตัดไฟเอาไว้ในบ้านด้วย เผื่อกรณีที่เกิดไฟฟ้าลัดวงจรโดยที่เราไม่รู้ตัว เครื่องตัดไฟก็จะสามารถตัดกระแสไฟทั้งหมดในบ้านได้ทัน ก่อนที่จะเกิดเหตุเพลิงไหม้ สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับบ้านของเรา รวมทั้งควรติดตั้งสายดินภายในบ้านเพื่อป้องกันเพิ่มขึ้นอีกชั้น
5. ระบายอากาศในบ้าน
หากในบ้านมีอากาศร้อนอบอ้าว ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดไฟไหม้ได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงต้องหาทางระบายความร้อนให้บ้านมีอากาศปลอดโปร่ง เช่น ติดตั้งพัดลมระบายอากาศ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรปิดหน้าต่างและประตูจนมิดชิดเกินไป และควรติดระบบระบายอากาศบนฝ้าเพดานเพิ่มเข้าไปเพื่อความปลอดภัยให้มากขึ้น
เสียเวลาตรวจสอบความเรียบร้อยของบ้านสักนิดก่อนออกไปข้างนอก และลงทุนติดตั้งเครื่องป้องกันไฟไหม้เอาไว้ในบ้านบ้างก็ดี โดยเฉพาะถ้าหากคุณจำเป็นต้องทิ้งบ้านไปไหนไกล ๆ ก็ควรฝากบ้านไว้กับเพื่อนบ้าน ให้เขาช่วยสอดส่องดูแลในระหว่างที่ไม่อยู่ด้วย
กว่า 2 ล้านคนสอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ แม่กองธรรมสนามหลวง เป็นประธานเปิดสอบธรรมศึกษา ปีการศึกษา 2562 "90 ปี สอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ" "เทวัญ"เผยมีประชาชนกว่า 2 ล้านคน ร่วมสอบธรรมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2562 รวมสนามสอบกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศ
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เวลา 08.00 น. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชบพิตรสถิตสีมารามราชวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช แม่กองธรรมสนามหลวง เป็นประธานในพิธีเปิดสอบธรรมศึกษา ปีการศึกษา 2562 "90 ปี สอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ" ที่สนามสอบวิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อ.ภูเพียง จ.น่าน
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานการดำเนินการสอบธรรมศึกษาในปีนี้ มีนายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐนตรี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และนายวรกิตติ ศรีทิพากร ผู้ว่าราชการจังหวัดน่านเข้าร่วม
การสอบธรรมศึกษาเป็นการเรียนรู้หลักวิชาทางพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นโดยพระดำริของกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิตรฯ ถือเป็นรูปแบบการจัดการศึกษา และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ช่วยพัฒนาผู้เรียน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ให้เป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม มีจิตสำนึกในทางที่ดีและสร้างสรรค์ มีสติปัญญารู้เท่าการเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างคุณประโยชน์แก่สังคมและครอบครัว
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การสอบธรรมศึกษาปีนี้เป็นปีที่ 90 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างมั่นคง ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติการจัดสรรงบประมาณผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อดำเนินโครงการสอบธรรมศึกษา ปีการศึกษา 2562 โดยกำหนดจัดพิธีเปิดสอบ ณ สนามสอบวิทยาลัยสงฆ์นครน่านแห่งนี้ พร้อมกับสนามสอบธรรมศึกษากว่า 6,000 แห่ง รวมผู้สมัครสอบทั่วประเทศ จำนวน 2,310,185 คน สำหรับ สนามสอบ จ.น่าน มีนักเรียนสมัครสอบ จำนวน 744 คน
"จุรินทร์"เปิดยิ่งใหญ่! มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36 หนุนธุรกิจยานยนต์ให้เข้มแข็ง
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เวลา 8.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานพิธีเปิดงาน"มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36" ณ ห้องรอยัล จูบิลี ชาเรนเจอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้มาเป็นมาเป็นประธานพิธีเปิด งาน "มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 36" ซึ่งจัดโดย บริษัท สื่อสากล จำกัด ในวันนี้ ตามที่ปัจจุบัน "ยานยนต์" ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่รถยนต์ แต่ยังรวมถึงยานพาหนะทุกชนิด ทุกประเภทที่สามารถรองรับวิถีชีวิต รสนิยม และตอบสนองความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงนั้น ดังนั้นตลาดยานยนต์จึงเป็นตลาดที่กว้างขวาง และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในปีที่ผ่านมา ไทยมียอดผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์ ทั้งเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกยังตลาดต่างประเทศรวมกันกว่า 5 ล้านคัน โดยเฉพาะรถยนต์ ที่มียอดผลิตกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งนับเป็น สถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี
รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเจริญเติบโตของตลาดยานยนต์ในเขตอาเซียน ซึ่งมีไทยเป็นศูนย์กลางเป็นสิ่งที่รัฐบาลเล็งเห็น และให้การส่งเสริมมาโดยตลอดเมื่อผนวกกับการจัดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 36" ภายใต้แนวคิด "โลดแล่นทันใด ทะยานไปด้วยกัน"รวมถึงมีโครงการแสดงสินค้าแบบ B to B(บีทูบี) จึงเป็น เสมือนแรงสนับสนุนให้ธุรกิจยานยนต์ไทยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้ เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และเชื่อมต่อธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้
"ผมได้รับทราบว่าบริษัท สื่อสากล จำกัด ได้ก่อตั้ง "มูลนิธิลม หายใจไร้มลทิน" มาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อรณรงค์แก้ปัญหามลพิษในอากาศที่เกิดจากยานยนต์ และปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตให้แก่เยาวชน ซึ่งกิจกรรมทั้งสองด้านล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง จึงขอแสดงความชื่นชมบริษัท สื่อสากล จำกัด (นิตยสารฟอร์มูลา) ที่ได้ผลิตสื่อพร้อมดำเนิน กิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อวงการยานยนต์ และสังคมส่วนรวม โดยเฉพาะการ จัดงาน "มหกรรมยานยนต์" ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรม และ พาณิชยกรรมของยานยนต์ไทย มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ" นายจุรินทร์ กล่าว
รายงานแจ้งว่า การจัดงานในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จมา 35 ครั้งวันนี้เป็นครั้งที่ 36 และเป็นมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี โดยจัดแสดงนับจากวันนี้ที่อิมแพค เมืองทองธานีไป 12 วัน มีบริษัทรถยนต์และที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกว่า 300 รายจากทั่วโลก และในงานนี้เป็นการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการใช้ยางพาราในการผลิตยางรถยนต์สนโอกาสต่อไปตามนโยบายด้วย
"ปฏิสัมภิทามรรค" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต) ใช้กับสื่อได้
ภาครับ
ต้องเข้าใจความหมายของเนื้อหา ของข่าว ขยายความได้ วิเคราะห์เป็น
จับประเด็นได้ ตั้งหัวข้อ พาดหัวข่าวได้ โปรยได้ สรุปเป็น
ภาคใช้แสดง
สื่อสารได้ รู้ช่องทาง รู้จักใช้สื่อได้ รีไรท์ตามสื่อนั้นๆ ถ่ายทอด
สร้างนวัตกรรมสื่อได้ เชื่อมโยงกันสร้างเป็นความคิดใหม่ วิจัย เป็นนักประดิษฐ์ เป็นผู้นำ สร้างสรรค์
ปฏิสัมภิทา 4 (ปัญญาแตกฉาน - analytic insight; discrimination)
1. อัตถปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจ้งในความหมาย, เห็นข้อธรรมหรือความย่อ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึ่ง ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึ่ง ก็สามารถคิดแยกแยะกระจายเชื่อมโยงต่อออกไปได้จนล่วงรู้ถึงผล - discrimination of meanings; analytic insight of consequence)
2. ธัมมปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในธรรม, ปรีชาแจ้งใจหลัก, เห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อได้ เห็นผลอย่างหนึ่ง ก็สามารถสืบสาวกลับไปหาเหตุได้ - discrimination of ideas; analytic insight of origin)
3. นิรุตติปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ, ปรีชาแจ้งในภาษา, รู้ศัพท์ ถ้อยคำบัญญัติ และภาษาต่างๆ เข้าใจใช้คำพูดชี้แจ้งให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นตามได้ - discrimination of language; analytic insight of philology)
4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ, ปรีชาแจ้งในความคิดทันการ, มีไหวพริบ ซึมซาบในความรู้ที่มีอยู่ เอามาเชื่อมโยงเข้าสร้างความคิดและเหตุผลขึ้นใหม่ ใช้ประโยชน์ได้สบเหมาะ เข้ากับกรณีเข้ากับเหตุการณ์ - discrimination of sagacity; analytic insight of ready wit; initiative; creative and applicative insight)
ปฏิสัมภิทา การสื่อสาร วิทยานิพนธ์
สังฆสามัคคี: มองคณะสงฆ์ผ่านบทบาทการเมือง
ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น พระเมธีธรรมาจารย์อธิบายว่า หากมองว่าพุทธศาสนาคือสันติภาพและความร่มเย็น นำมาซึ่งจิตใจโอบอ้อมอารีของผู้คนแล้ว เป็นไปได้ไหม ที่พระสงฆ์ควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญจะมีประโยชน์อะไรหากไม่มีเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมเข้าไปอยู่ด้วย
https://waymagazine.org/buddhist-monks-and-politics/
ใจรัก
ใจสู้
ใจจ่อ
ใจจด
ใจกว้าง
คณะกรรมการ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ
พระพรหมบัณฑิต
กรรมการมหาเถรสมาคม
ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร
ประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก
ประธานสมาคมวิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติ
ประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์ไทย
ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานคณะกรรมการ
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ
กรรมการมหาเถรสมาคม
ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร
ประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก
ประธานสมาคมวิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติ
ประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่งคณะสงฆ์ไทย
ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานคณะกรรมการ
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ
สธ.ยัน"แบน 3 สารเคมี" โฆษกแนะทานหญ้าแทนข้าวถ้าเลือกไม่ถูกผักมีสารเคมีกับไม่มี
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ที่กระทรวงนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงจุดยืนกระทรวงสาธารณสุขต่อการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตร ว่า คณะกรรมการฯ ที่เป็นผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข ได้ยืนยันในที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายวานนี้ (27 พฤศจิกายน 2562) ยืนยันตามมติเดิมในการประชุมเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ให้แบนสารเคมีอันตราย 3 สาร มีการรับรองมติการประชุมไปแล้ว และได้ให้ข้อมูลถึงผลกระทบต่อสุขภาพทั้งเกษตรกรและประชาชน รวมทั้งจากการประชุมทางไกลกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล และนายแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ทุกคนมีความห่วงใยที่พบผู้ป่วยจากสารเคมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการปลูกพืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด เช่นที่โรงพยาบาลน่านจากเดิมพบผู้ป่วยปีละ 40 คนเพิ่มเป็นเดือนละ 25 คน
สำหรับการเฝ้าระวังพืชผักผลไม้ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบสารเคมีตกค้างหลายชนิด เช่นที่จังหวัดพิษณุโลกพบสารพาราควอตตกค้างในกะหล่ำปลี 0.21 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สูงเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ถึง 20 เท่า ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งมีผลต่อทารกในครรภ์
กระทรวงสาธารณสุข ได้เพิ่มมาตรการดูแลสุขภาพประชาชน โดยให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พัฒนาศักยภาพ อสม. 80,000 คน ให้เป็น อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ สุ่มตรวจพืชผักผลไม้ แหล่งน้ำธรรมชาติ ตรวจหาสารพาราควอตด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากสารพิษ โดยประสานกับศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เข้มข้นความปลอดภัยของผัก ผลไม้ อาหารในประเทศ และที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ด่านตรวจผ่านแดน 52 ด่าน
"จุดยืนของกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต่อการแบน 3 สาร ต่อจากนี้ไปจะเน้นการดูแลสุขภาพประชาชนให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับเยาวชนรุ่นหลัง ทั้งจากพัฒนาการล่าช้า และโรคต่าง ๆ เช่น โรคสมองเสื่อม มะเร็ง" นายแพทย์สุขุมกล่าว
สำหรับการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขได้ยืนยันต่อที่ประชุมหลายครั้งว่า ยังคงยืนตามมติเดิมแบน 3 สาร และขอให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนตามข้อมูลที่มีจำนวนมากและชัดเจน ที่เคยได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมขอให้คงมติคณะกรรมการในการแบนสารเคมีอันตราย 3 สารเหมือนเดิม
นายแพทย์ไพศาล กล่าวถึงการลงมติว่า ในส่วนคณะกรรมการไม่มีการลงมติ หรือยกมือลงมติแต่อย่างใด
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า "อัปยศประเทศไทย กลับมติเดิมได้"” ขอถามทุกๆท่านว่า ถ้ามีผัก 2 กอง กองที่หนึ่งมีสารเคมี อีกกองไม่มีสารเคมี (เกษตรอินทรีย์) จัดมาให้คณะกรรมการทุกท่านเลือกทาน ท่านเลือกทานกองใด ถ้าคิดไม่ได้ ตอบไม่ถูก แนะนำไปทานกองที่ 3 คือ ทานหญ้าแทนข้าว (Cr.https://www.isranews.org/isranews/82958-moph-82958.html?fbclid=IwAR2IaYnNBjrojuIC_Qg0cQhpMmtgHe16cPMZPRyGxxl33nSdk3aXTCh9wRQ)
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่รับรองมติที่ประชุมให้แบนสารเคมี 3 ชนิด ส่วนการประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ไม่มีการให้ยกมือ หรือลงมติรายบุคคลให้ยกเลิกมติเดิม ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขยืนยันในมติเดิม
ส่วนความเห็นกรณีที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย มติเอกฉันท์ 24 เสียง ยืดเวลา 6 เดือน แบน “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส” จำกัดการใช้ “ไกลโฟเซต” นั้น
ส่วนนายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ในเมื่อไม่สามารถพึ่งรัฐ เรื่องอาหารปลอดภัย สิ่งที่ต้องช่วยกันคือใช้อำนาจผู้บริโภคโดยหน้าที่ของเรา
1) เดินหน้าช่วยกันให้ความรู้ผู้บริโภคด้วยกัน ผู้ขายติดฉลากหรือป้ายมาจากแปลงเคมีหรือไม่
2) ช่วยกันเดินหน้าสร้างตลาดเกษตรอินทรีย์
3) พัฒนา ชุดตรวจ ขณะนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สสส. และ 9 มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร. พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล กำลังประเมิน ชุดตรวจ 10 ชุด จากกลุ่มต่างๆ ในการตรวจ พาราควอต ไกลโฟเซต และกลุ่มฆ่าแมลง (ซึ่งรวมคลอไพริฟอส) ได้แก่ ออแกโนคลอรีน ออแกโนฟอสเฟต คาบาร์เมต และไพรีทรอยภายในปลายมกราคม จะได้ชุดตรวจน้ำ ที่สะดวก ถูก รวดเร็ว และในมีนาคม จะได้ชุดตรวจในพืช ผัก ผลไม้
นายแพทย์ธีระวัฒน์ กล่าวอีกว่า ไม่นานนัก เราจะสร้างเกราะป้องกันภัยให้ตนเองและครอบครัวได้ เหล่านี้ ยังหมายความถึงทุกเรื่องในประเทศไทย ถ้าเราไม่ร่วมกัน ช่วยกัน หวังพึ่ง ลมๆ แล้งๆ เราเองและลูกหลาน คงจะประสบเคราะห์กรรมไปมากขึ้นกว่านี้ อีกเป็น สิบเป็นร้อยเท่า
"กรรมการวัตถุอันตราย และกรมวิชาการเกษตร รวมกระทั่งถึงกระทรวงอุตสากรรม และอื่นๆที่เกี่ยวข้องพยายามที่จะยัดเยียดสารเคมีพิษเหล่านี้ให้คงอยู่ในประเทศไทย โดยที่ไม่เคยคำนึงถึงอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตและสุขภาพโดยที่กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงตัวเลข ผู้ป่วยที่เสียชีวิตทั้งเฉียบพลันและที่เกี่ยวเนื่องกับการได้รับสารเคมีเหล่านี้ต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรเองหรือเป็นประชาชนที่อยู่ในพื้นที่"
กมธ. ศึกษาบริหารจัดการน้ำ ตั้ง "ธรรมนัส" เป็นประธานฯ
กมธ. ศึกษาบริหารจัดการน้ำ ตั้ง "ธรรมนัส" เป็นประธานฯ ดันโครงการผันน้ำภาคเหนือมาใช้ คาดลงทุน 6 ปีคุ้มทุน
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา เกียกกาย คณธกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำ ได้แถลงผลการประชุมกมธ.ครั้งแรก โดยนายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ส.ส.ตาก พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกกมธ. กล่าวว่า วันนี้มีการประชุมกมธ. ที่มีสมาชิก กมธ. 49 คน ซึ่งที่ประชุมได้เลือก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน กมธ. และนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ เป็นรองประธานฯ วันนี้เส้นเลือดใหญ่ของไทยกำลังแห้งขอด เพราะไม่สามารถบริหารจัดการ และกักเก็บน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน้าฝนก็น้ำท่วม หน้าแล้งก็แล้ง เราจึงต้องมีโครงการผันน้ำจากลุ่มแม่น้ำ แม่น้ำเมย และแม่น้ำสาละวิน มาใช้ และจะแก้ปัญหาน้ำเค็มของกทม. จากการประเมินจะใช้งบดำเนินการไม่มาก คิดว่าประมาณ 6 ปีก็จะคุ้มการลงทุน ถ้ารัฐบาลรีบดำเนินการแก้ปัญหา และสร้างรายได้ให้คนไทยมหาศาล
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องดีที่ส.ส. และส.ว. ได้ตั้งกมธ.ชุดนี้มา ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญโดยส่งตัวแทนมา 12 คน ปัญหาใหญ่ของไทยตอนนี้คือ การบริหารจัดการน้ำ ดังนั้นกมธ. ชุดนี้จึงมีความสำคัญ เพราะจะทำหน้าที่เข้าไปตรวจสอบการบริหารจัดการน้ำในทุกๆ องค์กร
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
"ธนิก"เพื่อไทยเบอร์ 1 จับหมายเลขเลือกซ่อมขอนแก่น ผู้หนุน"พปชร."สวมกอด"หญิงหน่อย"
เลือกตั้งซ่อมเขต 7 ขอนแก่น"ธนิก มาสีพิทักษ์"พรรคเพื่อไทย จับได้หมายเลข 1 มั่นใจได้ชัยชนะ ทางด้าน "สมพงษ์" ชี้ถึงเวลาต้องตัดสินใจเอาปชต.หรือไม่ ส่วน "คุณหญิงสุดารัตน์"ขอชนะแบบถล่มทลาย พบผู้สนับสนุนพรรค พปชร.เข้ามาสวมกอดจำนวนมาก
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ที่ว่าการอำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย นายพงศกร อรรณนพพร ผู้อำนวยการการเลือกตั้งจ.ขอนแก่นพรรคเพื่อไทย นำนายธนิก มาสีพิทักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขตเลือกตั้งที่ 7 จ.ขอนแก่น มา กรอกใบสมัคร
จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการจับสลาก เลือกหมายเลขผู้สมัครระหว่างนายธนิก มาสีพิทักษ์ พรรคเพื่อไทยและนายสมศักดิ์ คุณเงิน พรรคพลังประชารัฐ
ซึ่งผลการจับสลาก นายธนิก จากพรรคเพื่อไทยได้หมายเลข 1 ส่วนผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐได้หมายเลข 2 ซึ่งกระบวนการก่อนและระหว่างการจับสลาก มีผู้สนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย เดินทางมาให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก หลังการจับสลากหมายเลขเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและรับเอกสารการสมัครของ นายธนิก ต่อด้วยการชำระค่าสมัครและออกใบเสร็จรับเงิน
ภายหลังการรับสมัครเสร็จสิ้น นายธนิกเปิดเผยว่า ดีใจ ที่สามารถจับ สลากได้หมายเลข 1 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของชัยชนะในเบื้องต้น สำหรับขั้นตอนการหาเสียงยืนยันจะใช้ทุกช่องทางในการสื่อสาร เพื่อให้เข้าถึงพี่น้องประชาชน โดยมั่นใจว่าจะสามารถหาเสียงได้ทันเนื่องจากมีการเตรียมการมาดีพอ และเชื่อว่าจะสามารถเข้าถึงได้ทุกครัวเรือน
พร้อมยอมรับว่ามีความกังวลเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะการกดดันผู้สนับสนุนของพรรคเพื่อไทย และเริ่มพบว่ามีท่าทีในการข่มขู่ จึงต้องสื่อสารไปถึงประชาชน ขออย่าหวาดกลัว ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง จึงมั่นใจว่าจะสามารถฝ่าด่านเหล่านี้ไปได้ ขณะเดียวกันขอฝากไปถึงผู้มีอำนาจ ให้เข้ามาตรวจสอบ หากพี่น้องประชาชนหรือผู้สนับสนุนของพรรคเพื่อไทยถูกข่มขู่
นายธนิกมั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาได้พบปะพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด จึงสามารถเข้าถึงและสื่อสารได้ไม่ยาก
ด้านนายสมพงษ์ระบุว่าในส่วนของยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทยในการหาเสียงนั้น ได้เตรียมการไว้เรียบร้อย โดยการหาเสียงจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือการปราศรัยใหญ่และการเข้าหาพี่น้องประชาชน ไปตามหมู่บ้านตำบลต่างๆ เพื่อชี้แจงหลักการทำงานของพรรค โดยมองว่าเมื่อมีผู้สมัครเพียงสองคน การทำงานจะง่ายขึ้นและไม่ต้องสื่อสารมาก
เนื่องจากฝ่ายหนึ่งเป็นขั้วอำนาจนิยมและอีกฝ่ายเป็นขั้วประชาธิปไตย พี่น้องประชาชนจะเลือกอย่างไร ขณะเดียวกันรู้สึกเสียดายเพราะผู้สมัคร จากอีกพรรคหนึ่ง เคยเป็นบุคคลที่รู้จักคุ้นเคย แต่วันนี้เขาเข้าไปเข้าพรรคที่ไม่ค่อยจะถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนจะต้องตัดสินใจ ว่าตนเองพอใจในความเป็นอยู่หรือไม่ กินดีอยู่ดีหรือไม่ หากตอนนี้สบายร่ำรวยก็ตัดสินใจเลือกฝ่ายผู้มีอำนาจ
แต่หากคิดว่า ประเทศชาติจะเดินหน้าไม่ไหว ก็ต้องหันมาทางฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้ง
โดยส.ส.1ที่นั่งที่จะได้ ถือว่ามีความสำคัญแต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน พร้อมตั้งคำถามว่าบ้านเมืองในขณะนี้เป็นอย่างไร มีความเป็นอยู่อย่างไร 5 ปีที่ผ่านมามีอะไรดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งประชาชนจะต้องใช้ดุลยพินิจ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลยังยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้น
จากนั้นคุณหญิงสุดารัตน์ นายสมพงษ์ นำนายธนิกพร้อมผู้สมัคร มาสักการะศาลเจ้าพ่อแสนเมือง อำเภอหนองเรือ เพื่อความเป็นสิริมงคล และการทำงานต่อจากนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งในจุดดังกล่าวมีผู้สนับสนุน และชาวบ้านที่ทราบข่าว ออกมาให้กำลังใจ และอวยพรให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
ซึ่งในช่วงดังกล่าว มีผู้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนข้อความพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาสวมกอดคุณหญิงสุดารัตน์ ด้วยความยินดี พร้อมพูดคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์ว่า ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอ และได้ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย
คุณหญิงสุดารัตน์ ได้กล่าวทักทายพร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาต้อนรับอย่างอบอุ่น ขณะเดียวกันมีความตั้งใจที่จะอุทิศการทำงานของพรรคเพื่อไทยเพื่อดูแลพี่น้องชาวหนองเรือ ให้อยู่ดีกินดีราคาพืชผลไม่ต้องตกต่ำเหมือนที่เป็นอยู่ และขอให้พี่น้องมีความสุข โดยมาขอ โอกาสให้นายธนิก เข้าไปทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน ขอไม่เยอะขอชนะอย่างถล่มทลายเท่านั้น
พร้อมยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ปล่อยให้พี่น้องยากลำบาก โดยเฉพาะราคาพืชผลทางการเกษตร จะอยู่เคียงข้างพี่น้องเพราะทุกของพี่น้องคือทุกข์ของพรรคเพื่อไทย วันนี้จึงมาให้กำลังใจ
จากนั้น นายสมพงษ์ พาผู้สมัคร ของพรรคเพื่อไทย ขึ้นรถแห่ แนะนำตัว พร้อมบอกหมายเลขผู้สมัคร ภายในเขตเทศบาลอำเภอหนองเรือด้วย
อว.เปิดตัว หุ่นยนต์สอนปัญญาประดิษฐ์ “KidBright AIBot” ชาติแรกอาเซียน
อว.เปิดตัว หุ่นยนต์สอนปัญญาประดิษฐ์ “KidBright AIBot” ชาติแรกอาเซียน
Source - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (Th)
Thursday, November 28, 2019 08:00
20128 XTHAI XECON BUS V%WIREL P%KTO
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ เปิดตัว KidBright หุ่นยนต์สอน AI ในงานวันรวมพลคน KidBright: KidBright Developer Conference 2019 (KDC19) ภายใต้แนวคิด “Empowered coding with AI”
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า โครงการสื่อการสอนโปรแกรมมิ่งในโรงเรียน (Coding at School Powered by KidBright) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการบิ๊กร็อก (Big Rock) เมื่อปี 2560 โดยส่งมอบ KidBright จำนวน 2 แสนบอร์ด ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมต้นและสถาบันอาชีวศึกษาทั่วประเทศ ทำให้ได้เรียนรู้การเขียนโปรแกรมหรือเขียนโค้ด (Coding) นำมาสู่การขยายผลให้ครูและอาจารย์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนผสมผสานการเขียนโค้ดเข้ากับการสอนปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) จนเกิดเป็นการประกวด Coding at School for Teacher หรือ KruKid Contest ซึ่งโครงการนี้ได้ขับเคลื่อนไปอย่างสมบูรณ์
วันนี้ประกาศการก้าวเข้าสู่ AI Nation พร้อมเปิดตัวหุ่นยนต์สอนปัญญาประดิษฐ์ KidBright AIBot เป็นชาติแรกของอาเชียน ซึ่งเป็นการผสมผสานการเขียนโค้ดดิ้ง แบบบล็อกเข้ากับการสอนปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับนักเรียน เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวไกลในศตวรรษที่ 21 โดย อว.ได้วางไว้ในเรื่อง AI for Thai คือสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในสาขา AI และสาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาอุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจและเข้าถึง AI ได้อย่างง่าย และการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เปิดกว้างให้นวัตกรหรือผู้ประกอบการด้าน AI นำไปใช้ได้ เพื่อรองรับการสร้างสรรค์งานที่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจด้วยปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานรากการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน มุ่งสู่ความเป็น AI Nation
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ตนอยากเรียนให้ทราบว่าตนและประชาคม อว. พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนงานภายใต้ภารกิจของเรา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไกลในศตวรรษที่ 21 และมุ่งสู่ความเป็น AI Nation ดังที่เราเคยทำสำเร็จแล้วในการขับเคลื่อน Maker Nation ผ่านโครงการ KidBright Bigrock Project ที่ผ่านมา
"การเพิ่มความสามารถด้าน AI ให้บอร์ด KidBright ในวันนี้จะนำไปสู่การสร้างอุตสาหกรรมของเล่นวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย และ KidBright จะทำให้ประเทศไทยเป็น Coding Nation และสามารถเชื่อมเข้ากับโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) และเหล่าเมกเกอร์ทั่วประเทศ ทำให้ประเทศไทยเป็น Maker's Nation รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ ทั้งองค์ความรู้และเครื่องมือสนับสนุนเพื่อมุ่งไปสู่ AI Nation จิ๊กซอว์ทั้งสามตัวเป็นส่วนประกอบสำคัญในการนำประเทศไทยไปสู่ Smart Nation อย่างเป็นรูปธรรม" ดร.สุวิทย์ กล่าว
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. สนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถนำผลงานวิจัยไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เป็นการพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศและเอกชนไทยสามารถแข่งขันได้ ในปี 2562 KidBright ได้ขยายผลสู่ภาคอุตสาหกรรม ทำให้เกิดระบบนิเวศของอุตสาหกรรมบอร์ดสมองกลฝังตัวมีการมีการผลิตบอร์ดขยายความสามารถไม่ต่ำกว่า 10,000 ชิ้น และเกิดการพัฒนาต่อยอด เช่น IKB-1 , GoGo Bright และ KB-IDE อย่างเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืน
ในปีนี้ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มอีกบริษัท 2 คือ บริษัท อินโนเวทีฟ เอ็กเพอรีเม้นท์ จำกัด และ บริษัท ไทย ดอม คอม จำกัด รับถ่ายทอดเทคโนโลยี และนำบอร์ด KidBright ไปผลิตเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศไทยด้วยผลงานวิจัยของ เนคเทค-สวทช. และสร้างผลกระทบให้กับกระบวนการทางด้าน STEM Education และ อุตสาหกรรมขนาดย่อม (SME)
ที่มา: www.bangkokbiznews.com
'อว.'บุกเซ็นเอ็มโอยูเกาหลีใต้
Source - ข่าวสด (Th)
Thursday, November 28, 2019 05:35
16647 XTHAI XCORP SME BUS XPR PR XTRAVEL TRAV XEDU EDU MIDD V%PAPERL P%KSD
ดึงนักลงทุนร่วมอีอีซีไอ-พัฒนาเอไอ
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.กระทรวงการอุมดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)เปิดงาน "ASEAN-ROK Startup Expo 2019" ที่อาคารจัดแสดงนิทรรศการ BEXCO นคร ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา เวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
นายสุวิทย์กล่าวตอนหนึ่งว่า ไทยและเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องมาอย่างยาวนานกว่า 61 ปี มีนักท่องเที่ยวเกาหลีมาท่องเที่ยวในไทยจำนวนมาก และเกาหลีเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทย และทั่วโลกต่างตระหนักว่าเกาหลีมีความก้าวหน้าและเชี่ยวชาญเรื่องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์หรือความบันเทิง หรือ K-pop ที่โด่งดังอย่างมากทั้งในไทยและระดับสากล ซึ่งตรงกับแผนของประเทศไทยที่กำลังส่งเสริมสตาร์ตอัพทางด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ให้เกิดขึ้น
"ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต้องการเชิญประเทศเกาหลีเข้าร่วมเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) เรื่องจากเกาหลีมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง artificial intelligence (AI) เป็นอย่างมาก โดยทางการไทยอาจมอบสิทธิพิเศษให้แก่นักลงทุนเกาหลีที่มีความสนใจลงทุนในไทย เนื่องจากที่ผ่านมา นักลงทุนในเกาหลีมาลงทุนในเมืองไทยน้อย เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามที่มีนักลงทุนเกาหลีไปร่วมลงทุนกว่า 8,000 ราย ขณะที่มาลงทุนในประเทศไทยไม่ถึง 1,000 ราย" นายสุวิทย์กล่าว
วันเดียวกันนี้ ผู้แทน 3 องค์กรของไทย ได้แก่ 1.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 2.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 3.ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ศจ.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีการเงินประเทศเกาหลี Korea Techhnology Finance Corporation (KOTEC) โดยนายสุวิทย์ และนางปัก ยอง ซอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง SME and Start Up ของเกาหลีใต้ ร่วมเป็นสักขีพยาน
ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับ 1.ผลการประเมินศักยภาพทางธุรกิจ รวมทั้งจุดแข็งและโอกาสจากการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญหลากสาขา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาปรับปรุงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและการดำเนินธุรกิจ 2.เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งในส่วนของสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยสามารถใช้ควบคู่กับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Start up&Innobiz ของ สบย. และการร่วมลงทุนในรูปแบบต่างๆ 3.เพิ่มโอกาสเข้าถึงกลไกสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีจากทางภาครัฐและเอกชน
ที่มา: นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 29 พ.ย. 2562 (กรอบบ่าย)
Source - กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (Th)
Thursday, November 28, 2019 08:00
20128 XTHAI XECON BUS V%WIREL P%KTO
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ เปิดตัว KidBright หุ่นยนต์สอน AI ในงานวันรวมพลคน KidBright: KidBright Developer Conference 2019 (KDC19) ภายใต้แนวคิด “Empowered coding with AI”
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า โครงการสื่อการสอนโปรแกรมมิ่งในโรงเรียน (Coding at School Powered by KidBright) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการบิ๊กร็อก (Big Rock) เมื่อปี 2560 โดยส่งมอบ KidBright จำนวน 2 แสนบอร์ด ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมต้นและสถาบันอาชีวศึกษาทั่วประเทศ ทำให้ได้เรียนรู้การเขียนโปรแกรมหรือเขียนโค้ด (Coding) นำมาสู่การขยายผลให้ครูและอาจารย์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนผสมผสานการเขียนโค้ดเข้ากับการสอนปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) จนเกิดเป็นการประกวด Coding at School for Teacher หรือ KruKid Contest ซึ่งโครงการนี้ได้ขับเคลื่อนไปอย่างสมบูรณ์
วันนี้ประกาศการก้าวเข้าสู่ AI Nation พร้อมเปิดตัวหุ่นยนต์สอนปัญญาประดิษฐ์ KidBright AIBot เป็นชาติแรกของอาเชียน ซึ่งเป็นการผสมผสานการเขียนโค้ดดิ้ง แบบบล็อกเข้ากับการสอนปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับนักเรียน เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวไกลในศตวรรษที่ 21 โดย อว.ได้วางไว้ในเรื่อง AI for Thai คือสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในสาขา AI และสาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาอุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจและเข้าถึง AI ได้อย่างง่าย และการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่เปิดกว้างให้นวัตกรหรือผู้ประกอบการด้าน AI นำไปใช้ได้ เพื่อรองรับการสร้างสรรค์งานที่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจด้วยปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานรากการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน มุ่งสู่ความเป็น AI Nation
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ตนอยากเรียนให้ทราบว่าตนและประชาคม อว. พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนงานภายใต้ภารกิจของเรา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไกลในศตวรรษที่ 21 และมุ่งสู่ความเป็น AI Nation ดังที่เราเคยทำสำเร็จแล้วในการขับเคลื่อน Maker Nation ผ่านโครงการ KidBright Bigrock Project ที่ผ่านมา
"การเพิ่มความสามารถด้าน AI ให้บอร์ด KidBright ในวันนี้จะนำไปสู่การสร้างอุตสาหกรรมของเล่นวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย และ KidBright จะทำให้ประเทศไทยเป็น Coding Nation และสามารถเชื่อมเข้ากับโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) และเหล่าเมกเกอร์ทั่วประเทศ ทำให้ประเทศไทยเป็น Maker's Nation รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ ทั้งองค์ความรู้และเครื่องมือสนับสนุนเพื่อมุ่งไปสู่ AI Nation จิ๊กซอว์ทั้งสามตัวเป็นส่วนประกอบสำคัญในการนำประเทศไทยไปสู่ Smart Nation อย่างเป็นรูปธรรม" ดร.สุวิทย์ กล่าว
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. สนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถนำผลงานวิจัยไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เป็นการพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศและเอกชนไทยสามารถแข่งขันได้ ในปี 2562 KidBright ได้ขยายผลสู่ภาคอุตสาหกรรม ทำให้เกิดระบบนิเวศของอุตสาหกรรมบอร์ดสมองกลฝังตัวมีการมีการผลิตบอร์ดขยายความสามารถไม่ต่ำกว่า 10,000 ชิ้น และเกิดการพัฒนาต่อยอด เช่น IKB-1 , GoGo Bright และ KB-IDE อย่างเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืน
ในปีนี้ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มอีกบริษัท 2 คือ บริษัท อินโนเวทีฟ เอ็กเพอรีเม้นท์ จำกัด และ บริษัท ไทย ดอม คอม จำกัด รับถ่ายทอดเทคโนโลยี และนำบอร์ด KidBright ไปผลิตเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศไทยด้วยผลงานวิจัยของ เนคเทค-สวทช. และสร้างผลกระทบให้กับกระบวนการทางด้าน STEM Education และ อุตสาหกรรมขนาดย่อม (SME)
ที่มา: www.bangkokbiznews.com
'อว.'บุกเซ็นเอ็มโอยูเกาหลีใต้
Source - ข่าวสด (Th)
Thursday, November 28, 2019 05:35
16647 XTHAI XCORP SME BUS XPR PR XTRAVEL TRAV XEDU EDU MIDD V%PAPERL P%KSD
ดึงนักลงทุนร่วมอีอีซีไอ-พัฒนาเอไอ
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.กระทรวงการอุมดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)เปิดงาน "ASEAN-ROK Startup Expo 2019" ที่อาคารจัดแสดงนิทรรศการ BEXCO นคร ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา เวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
นายสุวิทย์กล่าวตอนหนึ่งว่า ไทยและเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องมาอย่างยาวนานกว่า 61 ปี มีนักท่องเที่ยวเกาหลีมาท่องเที่ยวในไทยจำนวนมาก และเกาหลีเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทย และทั่วโลกต่างตระหนักว่าเกาหลีมีความก้าวหน้าและเชี่ยวชาญเรื่องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์หรือความบันเทิง หรือ K-pop ที่โด่งดังอย่างมากทั้งในไทยและระดับสากล ซึ่งตรงกับแผนของประเทศไทยที่กำลังส่งเสริมสตาร์ตอัพทางด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ให้เกิดขึ้น
"ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต้องการเชิญประเทศเกาหลีเข้าร่วมเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) เรื่องจากเกาหลีมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง artificial intelligence (AI) เป็นอย่างมาก โดยทางการไทยอาจมอบสิทธิพิเศษให้แก่นักลงทุนเกาหลีที่มีความสนใจลงทุนในไทย เนื่องจากที่ผ่านมา นักลงทุนในเกาหลีมาลงทุนในเมืองไทยน้อย เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามที่มีนักลงทุนเกาหลีไปร่วมลงทุนกว่า 8,000 ราย ขณะที่มาลงทุนในประเทศไทยไม่ถึง 1,000 ราย" นายสุวิทย์กล่าว
วันเดียวกันนี้ ผู้แทน 3 องค์กรของไทย ได้แก่ 1.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 2.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 3.ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (ศจ.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีการเงินประเทศเกาหลี Korea Techhnology Finance Corporation (KOTEC) โดยนายสุวิทย์ และนางปัก ยอง ซอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง SME and Start Up ของเกาหลีใต้ ร่วมเป็นสักขีพยาน
ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับ 1.ผลการประเมินศักยภาพทางธุรกิจ รวมทั้งจุดแข็งและโอกาสจากการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญหลากสาขา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาปรับปรุงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและการดำเนินธุรกิจ 2.เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งในส่วนของสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยสามารถใช้ควบคู่กับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Start up&Innobiz ของ สบย. และการร่วมลงทุนในรูปแบบต่างๆ 3.เพิ่มโอกาสเข้าถึงกลไกสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีจากทางภาครัฐและเอกชน
ที่มา: นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 29 พ.ย. 2562 (กรอบบ่าย)
"พุทธเป็นราก..วิทย์" # 2 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต)
เทศโนโลยีแบบก้าวหน้าที่อาศัยวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความจริงของธรรมชาติแบบไม่มีที่สิ้นสุด ช่วยให้มนุษย์สะดวกสบาย ทำให้ก้าวข้ามยุคอุตสาหกรรมไปสู่ยุคข้อมูลข่าวสารสนเทศ แต่พัฒนาไปสู่ความสุดโต่ง
การสื่อสารมีความสำคัญ
เดิมพูดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ต่อไปจะต้องสื่อสารเป็น
ปากเป็นเอก
ต่อไปจะมีความสำคัญ
มองความแตกต่างเป็นความผสมประสานกลมกลืน (ธรรมชาติ) เป็นไปด้วยดี เกื้อกูล เติมเต็ม ให้เกิดดุลยภาพ จะเกิดได้ด้วยการศึกษา
โดยเริ่มจาก คิดเป็นเจตคติ โดยเฉพาะเจตคติวิทยาศาสตร์ ทำให้จิตใจของมนุษย์มีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ไม่ควรหลงกับผลสำเร็จของวิทยาศาสตร์
เจตคติเชิงพุทธที่เอื้อต่อวิทยาศาสตร์ หลักการพื้นฐาน
มองสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยคือสัมมาทิฏฐิคล้ายวิทยาศาสตร์แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด ส่วนพุทธสร้างสรรค์ชีวิตที่ดีงามด้วยคือจริยศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์
มนุษย์หากมีเจตคติเชิงพุทธเกี่ยวกับเทวดาแม้ว่าจะเชื่อว่ามีหรือไม่มีก็ไม่ใช่ปัญหาในการดำเนินชีวิต
"พล.ต.บุรินทร์ - เสธ.พีท"แจง"กมธ.ปิยบุตร" ยันไม่เคยคิดเป็นศัตรูประชาชน-แค่ผู้รับมอบอำนาจ
"กมธ.กฎหมายฯ" เชิญ "พล.ต.บุรินทร์ - เสธ.พีท" ชี้แจงปมร้องทุกกล่าวโทษผู้เห็นต่างทางการเมือง - เผยเป็นแค่ผู้รับมอบอำนาจ ไม่สามารถใช้ดุลยพินิจได้ ย้ำ ไม่เคยคิดเป็นศัตรูกับประชาชน
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภาเกียกกาย คณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน นายปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะประธาน กมธ. พร้อมคณะ เปิดประชุมในวาระพิจารณาศึกษากรณีการดำเนินคดีโดยรัฐ เพื่อกลั่นแกล้งประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง ทางด้านกลุ่มผู้ร้องเรียนที่เดินมาร่วมให้ข้อมูลทั้งสิ้น 10 ราย ได้แก่ นายกรกช แสงเย็นพันธ์, นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว, นายธนพล พันธุ์งาม, นางศรีไพร นนทรีย์, นายธนวัฒน์ วงศ์ไชย, นายเกษมชาติ ฉัตรนิรัติศัย, นางสาวดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์, นางสาวณัฎฐา มหัทธนา, นายกฤต แสงสุรินทร์ และนายวศิน พงษ์เก่า โดยมีพลตรี บุรินทร์ ทองประไพ ในฐานะสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก และพันเอก พิทักษ์พล ชูศรี ผบ.กรมทหารพราน ที่ 22 เป็นผู้ที่มาชี้แจงต่อกรรมาธิการถึงกรณีดังกล่าว
โดยเริ่มต้น นายปิยบุตร ได้เปิดโอกาสให้กลุ่มนักกิจกรรมที่โดนคดีความได้เป็นผู้ซักถาม และพูดถึงคดีความของตนเอง จากนั้นเปิดโอกาสให้กรรมาธิการแต่ละคนได้ร่วมซักถาม สลับกับให้ พล.ต.บุรินทร์ และ พ.อ.พิทักษ์พล ชี้แจงเป็นระยะ โดย น.ส. ชลธิชา กล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐประหาร 24 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ตนโดนไปแล้ว 7 คดี ซึ่งทุกคดีผู้แจ้งความคือ พล.ต.บุรินทร์ ทั้งนี้ ตนใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต จัดกิจกรรมโดยสงบ สันติ โดยตลอด กรณีนี้เป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองกลั่นแกล้งผู้เห็นต่างทางการเมืองหรือไม่
"โบว์" เชื่อมีกระบวนการปิดปากผู้เห็นต่าง
น.ส.ณัฎฐา ระบุว่า คดีความที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เชื่อว่ามีการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ เป็นกระบวนการคุกคาม กลั่นแกล้งดำเนินคดีปิดปากประชาชน ทางหนึ่งคือ ให้มีผู้แจ้งความดำเนินคดี ซึ่งแต่ละขั้นตอนเป็นไปอย่างรวดเร็ว กับอีกทางหนึ่งคือ มีสร้างข่าวปลอมให้ร้ายทำลาย แม้ผู้เสียหายเช่นตนเองจะมีการแจ้งความดำเนินคดี แต่ไม่มีการดำเนินคดีดังกล่าว ไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการดำเนินการใดๆ เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
นางศรีไพร ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิต ระบุว่า ปัญหาแรงงานหลังจากมีรัฐประหาร คนงานย่านรังสิตตกงานทันที 300 กว่าคน นายจ้างฉวยโอกาสปิดโรงงาน แรงงานไม่อาจชุมนุมเรียกร้องได้ อำนาจต่อรองแรงงานหมดสิ้น ตนจึงต้องมาแสดงออกในเรื่องนี้ แต่ก็ถูกดำเนินคดี และอีกเรื่องคือ หลังการรัฐประหาร ปัญหาคนงานได้รับการแก้ไขช้าลง คนที่ออกมาเรียกร้อง ถูกติดตาม ทหาร ตำรวจ ตามถึงบ้าน แม้ปัจจุบัน มีการเลือกตั้งแล้ว วันนี้ก็ยังไม่มีความเป็นอิสระ
ขณะที่ น.ส.ดวงทิพย์ กล่าวว่า แม้ตนเองจะเป็นทนายความสิทธิมนุษยชน ทำงานในพื้นที่ภาคอีสาน แต่จากการเข้าไปสังเกตการณ์ก็ถูกดำเนินคดี ซึ่งบุคคลสำคัญที่ร้องทุกข์กับประชาชน กลุ่มนักศึกษาในพื้นที่ ส่วนใหญ่แล้วคือ พ.อ.พิทักษ์พล ชูศรี ไม่ว่าจะเป็นกรณีการพาเจ้าหน้าที่บุกค้นโดยไม่มีหมายค้นบ้านนักศึกษาดาวดิน หรือ แจ้งความดำเนินคดี ม.112 กับ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา จากกรณีการแชร์ข่าวบีบีซีไทย
กมธ.ร่วมซัก -กระบวนการแจ้งความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการซักถามของ กมธ.นั้น นายปิยบุตร ประธาน กมธ.ถามว่าในการดำเนินคดี 1. อาศัยอำนาจกฎหมายใด 2.ในการไปแจ้งความมีคำสั่้งจาก คสช.ให้เป็นผู้แทนหรือตัดสินใจได้ตัวเอง ด้านนายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ เลขานุการกรรมาธิการ กมธ. ถามว่า 1.ในการได้รับมอบอำนาจ แต่ละคดีเป็นเรื่องที่ฝ่ายข่าวชงเรื่องแล้วเบื้องบนมอบอำนาจให้ หรือ เบื้องบนเห็นข่าวและเห็นว่าจะดำเนินคดีเลยขอข้อมูล แล้วส่งให้ท่านในฐานะผู้รับมอบอำนาจ 2.ที่ผ่านมา มีบางคดีที่ยกฟ้อง ซึ่งหากผู้บังคับสั่งให้แจ้งความ ท่านมีดุลยพินิจเห็นว่าไม่เข้าข่ายองค์ประกอบความผิด ท่านมีสิทธิ์ที่จะแย้งไม่ดำเนินคดี หรือว่าต้องยืนยันแจ้งความดำเนินคดี
ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม โฆษก กมธ. ถามว่า กรณีที่มีการดำเนินคดีกับผู้แชร์ข่าว หรือบทความ เช่น ในกรณีของการแชร์ข่าวบีบีซีไทย ซึ่งมีผู้แชร์ข่าวดังกล่าวไปกว่า 3,000 คน แต่ที่ถูกดำเนินคดีมีเพียง 2 คนนั้น พิจารณาจากอะไร
แจงเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจาก คสช.
ด้าน พล.ต.บุรินทร์ กล่าวว่า การร้องทุกข์กล่าวโทษ สำหรับตนเองและ พ.อ.พิทักษ์พล อยู่ในฐานะผู้รับมอบอำนาจเท่านั้น เพียงรับส่งมอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้ไปดำเนินคดีตามตามคำสั่ง คสช. ตั้งแต่ ปี 2557 ซึ่ง แบ่งเป็น 2 ส่วน 1.ด้านกองกำลัง มอบให้ ผบ. กองกำลังต่างๆมีอำนาจ 2.ส่วนที่ขึ้นกับสำนักงานเลขาธิการรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อสำนักงานเลขาฯได้รับมติจากคณะ คสช.ให้ดำเนินคดีกับบุคคลใดก็ตาม ก็จะทำหนังสือมอบอำนาจมายังตน แล้วจะปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาต่อไป โดยตนจะเป็นผู้รับมอบอำนาจในเรื่องการเมือง และยังมีเรื่องอื่นๆ ที่มีคนอื่นรับผิดชอบ เช่นเรื่องเกี่ยวกับ ยาเสพติด อาวุธสงคราม เป็นต้น ในกรณีของตน ทุกคดี เป็นคดีความสงบเรียบร้อย เป็นอาญาเกี่ยวกับความมั่นคง จึงเป็นความผิดยอมความไม่ได้ ที่ว่าตนแจ้งความแล้ว 200-300 คดี เป็นคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า ร่วมปฏิบัติหน้าที่กับ คสช.
พล.ต.บุรินทร์ กล่าวด้วยว่า 1.เมื่อมีเหตุการณ์จะมีการรวบรวมข้อมูล พยาน หลักฐาน นำเสนอ คสช. พิจารณาแล้วถึงมอบหมาย โดยส่งพยานหลักฐานมาให้ 2.เมื่อรับคำสั่งแล้ว ไม่มีโอกาสใช้ดุลยพินิจ เป็นคำสั่งต้องปฏิบัติตาม ส่วนการดำเนินคดีกับผู้แชร์ข้อความที่มีความผิด กรณีบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักสามารถติดตามได้ ขณะที่บุคคลอื่นๆ อาจต้องใช้เวลานานในการพิสูจน์ บางคนใช้ชื่อปลอม
ลั่นไม่เคยผลักประชาชนเป็นศัตรู
พล.ต.บุรินทร์ กล่าวว่า อยากเรียนว่า เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เราถึงได้รับมอบอำนาจให้ไปแจ้งความดำเนินคดี และทุกครั้ง ข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน เป็นขั้นตอนตามกฎหมาย ตนไม่สามารถพูดลึกไปกว่านี้ได้ เป็นผู้ได้รับอำนาจตามกฎหมาย เป็นผู้ปฏิบัติตามเท่านั้น ถ้าไม่ปฏิบัติก็มีความผิด ไม่เคยมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรู ทุกคนเป็นพลเมือง เราทำทุกอย่างให้ประเทศเดินหน้า เราไม่มีทางที่จะผลักให้ประชาชนเป็นศัตรู ไม่มีประเทศไหน รัฐไหนทำอย่างแน่นอน กองทัพต้องอยู่กับประชาชน เรื่องที่แจ้งความแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องพนักงานสอบสวน ที่จะต้องติดตาม ซึ่งเมื่อพยานหลักฐานชัดเจนเขาก็ต้องติดตามเรื่อง
ขณะที่ พ.อ.พิทักษ์พล กล่าวถึงการแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่แชร์บทความที่เกี่ยวข้องกับคดี ป.อาญา ม.112 ว่า มาจากการติดตามกลุ่มข่าวของจังหวัดขอนแก่น โดยสันติบาล ข่าวกรองแห่งชาติ ก็เข้ามาดูเรื่องนี้ ซึ่งขณะนั้นมีการแชร์บทความที่เกี่ยวข้องกับ ม.112 เมื่อไปดู ฝ่ายกฎหมายให้คำปรึกษา แจ้งให้ไปร้องทุกข์ เรื่องตนกับไผ่ หรือนายจตุภัทร์ ไม่ได้มีเหตุแค้นเคืองอะไรกันมาก่อน ตนแจ้งความในฐานะเจ้าพนักงาน และไม่ก้าวล่วงเรื่องการดำเนินคดีแต่อย่างใด
การประยุกต์ใช้ AI ใน Customer Buying journey
เมื่อกล่าวถึง Customer Buying Journey ผู้อ่านหลายท่านที่ทำงานด้านการติดต่อกับลูกค้า การขาย หรือการตลาด น่าจะคุ้นเคยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย สำหรับผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยผู้เขียนสรุปสั้นๆ ให้ฟัง Customer Buying Journey คือการศึกษาเส้นทางตั้งแต่ลูกค้ายังไม่รู้จักบริษัทเรา ทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า ทำให้เค้าเริ่มรู้จัก กระตุ้นเค้าสนใจ จนเป็นลูกค้า และ รักษาให้เป็นลูกค้าต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาการทำการตลาดและการขายตลอด Journey ที่กล่าวไปจะเป็นลักษณะ Mass marketing (ใช้วิธีการทำให้รู้จักและจูงใจให้เป็นลูกค้าในแบบ/วิธีเดียวกัน)หรือ ดีขึ้นมาอีกขั้นเป็นลักษณะ Segment marketing (แยกกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มย่อยลงเพื่อทำการขายและการตลาดด้วยวิธีที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มย่อย) ในยุคปัจจุบันในการที่จะขับเคลื่อนลูกค้าตลอด Journey ให้ลูกค้าเกิดความประทับใจมากขึ้น คือการขายและการตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ย่อยลงไป (Sub segment marketing)จนถึงระดับบุคคล (One to one marketing) ให้ท่านลองนึกภาพ e-mail/SMS จากธนาคารที่มาแนะนำผลิตภัณฑ์ได้ตรงกับที่ท่านต้องการย่อมดีกว่าการที่ธนาคารส่งข้อมูลทุกผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารออกใหม่ให้กับท่านทุกเรื่องอาจสร้างให้เกิดความรำคาญ ซึ่งในอดีตอาจทำได้ยากเนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรและเทคโนโลยี ปัจจุบันหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญในการที่จะช่วยให้บริษัททำสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวข้างต้นได้คือเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ซึ่งคือการทำให้การวิเคราะห์และตัดสินใจให้เป็นแบบอัตโนมัติ (Automated analytic) เพื่อให้สามารถทำงานได้มากขึ้นและเร็วขึ้น (Scale the analytic) โดย AI สามารถแยกได้เป็น 3 ระดับ
โดยขั้นที่ 1 Artificial narrow intelligence คือการที่ Machine สามารถทำงานเฉพาะเรื่องบางเรื่องที่เจาะจงและเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ เช่น การใช้ AI ในการตรวจจับการฉ้อโกงในการรูดใช้บัตรเครดิต (Credit card fraud detection) ระดับที่ 2 คือ Artificial general Intelligence คือการที่ Machine สามารถทำงานเรื่องทั่วไปที่มนุษย์ทำได้ เช่น รถที่ขับเคลื่อนแบบไร้คนขับ หรือ การที่ Machine สามารถพูดคุยตอบโต้กับมนุษย์ได้อย่างธรรมชาติ เป็นต้น ระดับที่ 3 คือระดับสูงสุด Artificial super intelligence คือการที่ Machine สามารถทำงานได้เก่งกว่ามนุษย์ เช่น Alpha GO ของบริษัท Deep mind ที่ถือหุ้นโดย Google ที่สามารถเล่นหมากล้อมได้เก่งกว่าแชมป์ Go ระดับโลกจากเกาหลี การที่ Machine มีความคิดสร้างสรรค์ หรือมีทักษะทางสังคมในการโต้ตอบกับมนุษย์ที่สูงกว่าคนทั่วไป ในส่วนถัดไปผู้เขียนขอยกตัวอย่างการเทคโนโลยี AI ในระดับที่ 1 และระดับที่ 2 สำหรับการประยุกต์ใช้ในแต่ละขั้นของ Customer Buying Journey
เริ่มต้นที่ขั้นที่ 1 ของ Customer Buying Journey คือการทำความเข้าใจและรู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในอดีตขั้นตอนนี้มักเกิดจากการทำวิจัยตลาดโดยใช้การสังเกตพฤติกรรม หรือการเข้าร่วมใช้ชีวิตประจำวันกับกลุ่มเป้าหมาย (Ethnography research) ซึ่งใช้ต้นทุนสูงและทำได้ในช่วงเวลาจำกัด ในปัจจุบันการพัฒนาด้านเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ทำให้เราสามารถศึกษาวิถีชีวิตและการตอบสนองต่อ Brand หรือ สินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องส่งนักวิจัยลงไปและขยายช่วงเวลาการศึกษา โดยการใช้เทคโนโลยีแว่นตาที่สามารถบันทึกการมองและการตอบสนองของกลุ่มตัวอย่างหรืออาจเป็น sensor และกล้องที่สามารถจับพฤติกรรมและการตอบสนองต่างๆ ของกลุ่มตัวอย่าง โดย AI จะเข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เข้ามา เช่น คำพูด สีหน้า คำอุทาน การใช้เวลาให้ความสนใจกับส่วนไหนเป็นพิเศษ ในกรณีที่เป็นภาษาต่างชาติก็จะทำการแปลภาษา และบันทึกเป็นข้อความและแยกแยะความหมายของพฤติกรรมได้อย่างเรียลไทม์ ตัวอย่างของบริษัทที่ให้บริการ platform ดังกล่าวเช่น บริษัท Qualsight เป็นผู้ให้บริการด้านวิจัยตลาดกับธุรกิจค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค โดยให้กลุ่มตัวอย่างใส่แว่นตาที่เชื่อมต่อข้อมูลกับ Platform ทำให้ผู้วิจัยสามารถเห็นพฤติกรรมการเลือกซื้อ ว่ามองที่ชั้นวางตรงไหนก่อน หยิบสินค้าอะไร พูดหรืออุทานว่าอะไรบ้าง พิจารณาตัวสินค้านานมั้ยหรือมองตรงไหนบนตัวสินค้าเป็นพิเศษ ข้อมูลดังของกลุ่มตัวอย่างหลายๆ รายจะถูกประมวลผลโดย AI เพื่อระบุ pattern การซื้อสินค้า ทำให้ร้านค้าและผู้ผลิตสินค้าสามารถปรับปรุงเรื่องตำแหน่งชั้นวางที่เหมาะสม รวมถึงการออกแบบ packaging และป้ายสลาก เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ของ Customer Buying Journey คือการเข้าถึงลูกค้าเพื่อให้ลูกค้ารู้จักและสนใจ ซึ่งในอดีตการเข้าถึงจะผ่านทางทีวี วิทยุ ป้ายโฆษณา ซึ่งมีต้นทุนสูงและไม่สามารถนำเสนอ content ที่ต่างกันตามกลุ่มเป้าหมายย่อยได้ดีมากนัก ปัจจุบัน content marketing เข้ามามีบทบทสำคัญในการเข้าถึงลูกค้า เราสามารถนำเทคโนโลยี AI มาช่วยทำเรื่อง content การสื่อสารให้เจาะจงลงไปเฉพาะกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น ปัจจุบันมี (software platform) หลายแห่ง เช่น Platform wordsmith จะช่วยนำข้อมูลต่างๆ ที่บริษัท upload ขึ้นไปมาทำ content ที่สร้างขึ้นโดย AI (AI generated content) ด้วยเทคโนโลยี AI Natural language generation ทำให้สามารถสร้าง content ในรูปแบบ บทความ หรือ content สำหรับ Email marketing ที่ได้จำนวนมากภายในระยะเวลาอันสั้น เช่นบริษัทผู้ผลิตวิตามินที่มี Content ของวิตามินแต่ละตัวอยู่สามารถสร้าง content ที่สร้างขึ้นโดย AI เป็นสำหรับกลุ่มนักกีฬากอลฟ์ นักกีฬาวิ่ง ซึ่งอาจมีความต้องการการบำรุงจากวิตามินที่หลากหลายแตกต่างกันทำให้การทำ Content สำหรับกลุ่มเป้าหมายย่อยได้เจาะจงและรวดเร็วขึ้น
ขั้นที่ 3 ของ Customer Buying Journey คือการดึงผู้สนใจให้มาเป็นลูกค้า เราสามารถใช้เทคโนโลยี AI ในการพยากรณ์ระดับโอกาสในการเป็นลูกค้า โดยการใช้ AI ในการระบุ pattern ของพฤติกรรม online ของลูกค้า เช่น ผู้เข้าชมที่คลิกขอโบร์ชัวร์ หรือ จำนวนนาทีที่ใช้ในหน้าweb มาพยากรณ์โอกาสในการในการเข้ามาเป็นลูกค้า ซึ่งเราอาจใช้ AI ในการส่งข้อมูลและ Content ตามระดับของโอกาสในการเป็นลูกค้า เช่น ถ้าประเมินแล้วอยู่ในระดับที่มีโอกาสเป็นลูกค้าสูงมาก อาจมีการส่ง content ที่มีลักษณะเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งและโปรโมชั่นพิเศษเพื่อปิดการขาย แต่ถ้าประเมินแล้วว่าผู้เข้าชมยังมีโอกาสเป็นลูกค้าในเกณฑ์ปานกลางอาจส่ง content ที่ชี้ชวนว่าทำไมเค้าควรใช้สินค้าและ
บริการของเรารวมถึงการให้ทดลองใช้ เพื่อสร้างความสนใจและเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นผู้สนใจและเป็นลูกค้าต่อไป นอกจากนี้เรายังสามารถทำให้ร้านค้าออนไลน์มีการบริการที่เฉพาะเจาะจงกับผู้สนใจแต่ละราย โดยการใช้ AI ในการเทรน chat bot ให้สามารถคุยตอบโต้ข้อซักถามจากผู้สนใจอย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงการตรวจสอบสินค้าในสต็อค ระบุวันส่งของ เจรจาต่อรองราคา เพื่อปิดการขายเสมือนกับมีพนักงานเป็นผู้ให้บริการ
ขั้นตอนสุดท้ายใน Customer Buying journey คือการสร้างความผูกพันให้เกิดกับลูกค้า (Engagement) โดยมีเป้าหมายให้ลูกค้ายังคงใช้บริการต่อ ใช้บริการเพิ่ม รวมถึงแชร์ประสบการณ์ด้านบวกต่างๆ ต่อให้กับคนที่รู้จัก ในขั้นตอนนี้ AI เข้ามามีบทบาทในการสื่อสาร Content ที่เกี่ยวข้องโดยการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า เพิ่มเติม (predictive customer service) ตัวอย่างเช่น Netflix ที่มีการใช้ข้อมูลของท่านและผู้ชมคนอื่นๆ ในการนำเสนอหนังและรายการที่ท่านน่าจะสนใจ ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดี ในส่วนของการแชร์ประสบการณ์ด้านบวกเราสามารถใช้ AI ในการวัดการพูดถึงแบรนด์ในโลก online (Online brand sentiment) โดยการสร้าง algorithm ให้จับคำที่มี keyword บวกหรือลบเพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับและหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที
โดยสรุปคือในการจะดึงดูดและสร้างประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าตลอด Customer Buying journey ในยุคปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า AI จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยทำให้การวิเคราะห์และตัดสินใจให้เป็นแบบอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถทำงานได้มากขึ้นและเร็วขึ้น จนเราสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากๆ หรือแม้กระทั่งการตลาดแบบ one to one ได้ในต้นทุนที่ต่ำและยังคงมีประสิทธิผลเทียบเท่าหรือมากกว่าที่มนุษย์ทำได้ ทั้งนี้ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตุว่าบริษัทที่เป็น Pure Platform เช่น Netflix Amazon หรือ youtube จะมีการประยุกต์ใช้ AI ในตลอดทุกช่วงของ Journey ได้อย่างไม่ยากนักเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะเป็น Online ทั้งระบบ ในขณะที่การประยุกต์ใช้ AI ของบริษัททั่วๆ ไป ยังเป็นลักษณะการนำ AI มาใช้เพียงแค่บางช่วงของ Journey โดยเหตุผลสำคัญคือข้อมูลนำเข้ามีลักษณะ เป็น Offline ทำให้การจัดเก็บข้อมูลและการสะสมข้อมูลที่เป็นระบบ (Create and Curate data) ทำได้ยากกว่า ส่งผลต่อความถูกต้องและความเพียงพอต่อการประยุกต์ใช้ AI สำหรับในอนาคตผู้เขียนมองว่าการที่บริษัทต่างๆ เริ่มทำ Digital Transformation มากขึ้นจะทำให้การนำ AI มาใช้ตลอด Journey ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
"เสรีพิศุทธ์"รอด! มติ กมธ.ป.ป.ช. 7-2 ไม่มีอำนาจถอดประธาน
"เสรีพิศุทธ์"รอด! มติ กมธ.ป.ป.ช. 7-2 ไม่มีอำนาจถอดประธาน "สิระ-ปารีณา"กินแห้ว ไม่ยอมหยุดเตรียมใช้ช่องทางอื่น
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมโดยได้เสนอเรื่องถอดถอนประธานคณะกรรมาธิการ ตามที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐเสนอ ขึ้นมาพิจารณา โดยได้ขอมติต่อที่ประชุมว่า กมธ.มีความสามารถที่จะปลดประธานได้หรือไม่ ผลออกมาว่า 7 ต่อ 2 เสียง มีความเห็นว่าไม่มีอำนาจ โดย 2 เสียงนั้นคือนายสิระและนางสาวปารีณา ส.ส.ราชบรี พรรคพลังประชารัฐ
ทั้งนี้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้เสนอต่อที่ประชุมว่า ขอให้นายสิระใช้ช่องทางอื่น
หลังจากนั้นนายสิระแถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 และงดออกเสียง 4 คน เห็นด้วยกับการที่คณะกรรมาธิการฯไม่มีอนำาจในการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธาน รองประธาน และเลขานุการ ของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งเสียงโหวตจำนวน 7 คนที่เห็นด้วยเป็นของพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ด้วย ส่วน2 คนที่ไม่เห็นด้วยได้แก่ตนและน.ส.ปารีณา ส่วน4 คนที่งดออกเสียงเป็นกรรมาธิการฯสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล
นายสิระ กล่าวต่อว่า แม้ที่ประชุมจะมีมติเสียงข้างมากไปแล้ว แต่ตนจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ และยืนยันว่าการแต่งตั้งตำแหน่งกรรมาธิการสามัญต่างๆยังเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้อำนาจหน้าที่มิชอบของประธานกรรมาธิการฯ ดังนั้นตนจะดำเนินการต่อไปใน3 แนวทางได้ แก่ 1. จะเสนอเรื่องต่อประธานสภาฯให้ตรวจสอบพฤติกรรมประธานกรรมาธิการฯ ในการกระทำดังกล่าว โดยมีการใช้ตำแหน่ง รวมถึงมติในกรรมาธิการฯว่าสามารถปลดประธานได้รหือไม่ 2.ในวันที่2 ธ.ค. 10.00 น. ตนจะยื่นหนังสือต่อประธานป.ป.ช.เพื่อให้สอบพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ว่ามีพฤติกรรมโดยมิชอบ และ3.หารือในที่ประชุมสภา โดยจะสอบถามว่าตำแหน่งกมธ.มีอำนาจแค่ไหน
แค่ยาแก้ปวด! "พิชัย" เย้ยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่
"พิชัย"ห่วง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่เป็นแค่ยาแก้ปวดรักษาอาการป่วยหนักไม่ได้ แนะ 7 เรื่องต้องรีบทำเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ลดราคาน้ำมัน ลดค่าเดินทาง บาทอ่อน เร่งเจรจาการค้า เตือน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวรับมือคลื่นการเปลี่ยนแปลงใหญ่
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยที่กำลังทรุดหนัก แต่ดูเหมือนว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นเพียงมาตราการระยะสั้น อีกทั้งเกรงว่าจะไม่เพียงพอที่จะฟื้นสภาวะเศรษฐกิจของไทยที่กำลังย่ำแย่ในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนัก เป็นผลมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดมาตลอด 5 ปี และยังมีแนวโน้มที่จะทรุดหนักลงไปอีก จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะมาซ้ำเติม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ได้มีการรับมือเตรียมพร้อมให้ดี คิดเพียงการแจกเงิน แม้จะถูกท้วงติงว่าจะไม่เกิดประโยชน์ แต่รัฐบาลยังคงดื้อรั้น ซึ่งผลจากจีดีพีที่ตกต่ำแสดงชัดเจนถึงความล้มเหลวของการแจกเงินสะเปะสะปะโดยประเทศไม่ได้พัฒนา และเมื่อรัฐบาลแจกเงินจนหมดกระสุนแล้ว ก็ยังไม่มีแนวทางที่จะพัฒนาต่อ ขนาดประชุม ครม. เศรษฐกิจ ยังไม่มีนโยบายแก้ไขปัญหาใดๆ ออกมา แถมยังต้องไปถามข้าราชการประจำ ซึ่งแสดงว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลได้หมดสภาพแล้ว การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดดังกล่าว จึงดูเหมือนจะเป็นแนวคิดของข้าราชการประจำ เป็นเสมือนยาแก้ปวดที่บรรเทาอาการชั่วคราว แต่ไม่สามารถจะรักษาอาการป่วยหนักของประเทศได้
ดังนั้น เมื่อทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลคิดอะไรไม่ออกแล้ว จึงอยากขอเสนอแนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน 7 แนวทางดังนี้
1. รัฐบาลต้องยอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจย่ำแย่ และเลิกโกหกประชาชน ยิ่งรัฐบาลปฏิเสธความจริงก็จะยิ่งแก้ปัญหาไม่ได้ การยอมรับปัญหาจะช่วยให้รัฐบาลหาทางแก้ไข และควรชี้แจงกับประชาชนเรื่อยๆว่าได้แก้ไขเรื่องอะไรบ้าง เพราะปัจจุบันประชาชนไม่ทราบเลยว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทำอะไรบ้าง นอกจากแจกเงินสะเปะสะปะไปวันๆแล้วไม่ได้ผลอะไรเท่านั้น การโกหกยังทำให้คนที่เชื่อรัฐบาลต้องประสบปัญหาทางเศรษฐกิจถึงขั้นล้มละลายเพราะไม่ได้เตรียมรับมือเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
2. การเร่งการเจรจาการค้า ทั้งทวิภาคี และ พหุภาคี โดยนับเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วที่รัฐบาลจากการปฏิวัติไม่สามารถเจรจาเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆได้ เพราะกฏหมายของหลายประเทศบังคับไม่ให้เจรจากับประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เมื่อเลือกตั้งแล้ว แม้รัฐบาลจะมาแบบแปลกๆ แต่ก็ควรใช้โอกาสนึ้ในการเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี ทั้งทวิภาคี และ พหุภาคี จะไปรอเพียง RCEP อย่างเดียวไม่ได้ การเจรจาเขตการค้าเสรีจะช่วยทำให้การส่งออกและการลงทุนของไทยดีขึ้น มิเช่นนั้นปีหน้าเมื่อสหรัฐตัดจีเอสพีไทยจะเริ่มถูกนำมาใช้ การส่งออกไทยจะยิ่งลดลงอีก และ เรื่องจีเอสพีนี้ก็เช่นกัน อยากให้รัฐบาลไทยเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เมื่อสหรัฐตัดจีเอสพีไทย แทนที่ไทยจะร้องครวญคราง หรือ แก้ตัวว่าเพราะไทยพัฒนาแล้ว ทั้งๆที่คนจะจนตายกันหมดแล้ว รัฐบาลควรถือโอกาสนี้เปิดเจรจาเขตการค้าเสรีทวิภาคี (FTA) กับสหรัฐเลย จะแลกเปลี่ยนหรือจะขออะไรก็ทำกันทีเดียว จะได้ไม่ต้องมาเป็นปัญหากันอีกเมื่อจะถูกตัดจีเอสพี การเจรจาทวิภาคีสามารถทำได้ทันทีกับประเทศคู่ค้าสำคัญทุกประเทศ และควรต้องเร่งดำเนินการ แทนที่จะปล่อยเฉยหลังจากเจรจาไม่ได้มา 5 ปีของการปฏิวัติ
3. ทำเงินบาทให้อ่อนค่าลง เพื่อให้ราคาสินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ อีกทั้งยังช่วยการท่องเที่ยวของไทยที่เริ่มเหี่ยวเฉาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ในขณะที่ค่าเงินของนักท่องเที่ยวอ่อนค่าลง ทำให้การมาเที่ยวไทยแพงขึ้นมากถึงสองเด้ง ซึ่งรัฐบาลต้องกำชับแบงก์ชาติให้ดำเนินการโดยด่วน หากทำไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ หากปล่อยค่าเงินบาทให้แข็งค่า ทั้งๆที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ เติบโตต่ำ ไม่สมเหตุสมผล โดยไทยสามารถอธิบายเหตุผลกับประเทศต่างๆถึงการที่บาทจะอ่อนค่าได้ ขนาดประธานาธิบดีสหรัฐยังตำหนิ ประธานธนาคารกลางของสหรัฐถึงขนาดเรียกว่าเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของสหรัฐเลย เมื่อธนาคารกลางของสหรัฐไม่ลดดอกเบี้ยและค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐแข็งค่าเกินไป ซึ่งรัฐบาลควรดูเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าแบบยาวนานเหมือนคนไม่รู้เรื่องเช่นนี้
4. รัฐบาลต้องเร่งทุ่มเงินจำนวนมากในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆเพื่อปรับปรุงและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทยที่เริ่มถดถอยมาตลอด ทั้งนี้ไม่ใช่แจกเงินสะเปะสะปะเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร แม้ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจของไทยจะย่ำแย่ การค้าขายฝืดเคือง ประชาชนลำบากกันอย่างมาก แต่ฐานะการเงินการคลังของประเทศไทยยังแข็งแกร่ง มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับสูง และยังคงมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในระดับต่ำเพียง 40% กว่าเท่านั้น การทุ่มงบประมาณจำนวนมากของภาครัฐเพื่อพัฒนาประเทศในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เป็นเรื่องที่ควรทำและต้องทำ แต่ต้องพัฒนาความคิดให้มีการลงทุนในโครงการที่เกิดประโยชน์จริงๆ โดยจะต้องมุ่งเน้นการนำไปสู่การสร้างงาน และ การจ้างงานที่ถาวรในอนาคต เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการว่างงานอย่างมากในปีหน้า
5. ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยการลดราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท จากการลดการเก็บภาษึสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่เก็บอยู่ถึงลิตรละ 5.99 บาทในปัจจุบัน ที่ในอดีตไม่ได้เก็บ และลดราคาเบนซินลิตรละ 2 บาท จากการลดการเก็บภาษีสรรพสามิตเช่นกัน การลดราคาดีเซลจะช่วยทำให้ค่าขนส่งสินค้าลดลงด้วย นอกจากนี้ จากรัฐบาลควรช่วยลดค่าเดินทางของประชาชน โดยลดค่าบริการขนส่งสาธารณะลง ซึ่งผลสำรวจบอกค่าเดินทางเป็นค่าใช่จ่ายหลักของประชาชน ดังนั้นการลดค่าเดินทางจะช่วยได้มาก อีกทั้ง การให้ใช้น้ำประปาฟรี ไฟฟ้าฟรี ในปริมาณที่จำกัดเพื่อให้ประหยัดการใช้ ก็ควรถูกนำมาช่วยเหลือประชาชนอีกครั้งในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
6. เพิ่มรายได้ประชาชน จากการเร่งสร้างธุรกิจด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ระดับยูนิคอร์น โดยสนับสนุนและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้สร้างธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากเพื่อเพิ่มรายได้ บริษัทเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในประเทศกลุ่มอาเซียนเกือบทุกประเทศยกเว้นไทย ซึ่งทำให้มีการจ้างงานและช่วยประชาชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการต่อยอดทางธุรกิจในอนาคตด้วย การแก้กฏหมายที่เป็นอุปสรรคต้องเร่งดำเนินการ
7. เร่งสร้างความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการมี Rule of Law ที่ชัดเจน อะไรที่เคยทำในสมัยเผด็จการแล้วไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก ก็ต้องเลิกทำอย่างเด็ดขาดแล้ว รัฐมนตรึคนไหนมีปัญหาภาพลักษณ์ในสายตาของประชาชนและในสายตาของนานาชาติ ก็ควรจะต้องปรับเปลี่ยนออกไป การบังคับใช้กฏหมายต้องเป็นธรรม ทั่วถึง และ โปร่งใส ทั้งนี้ต้องรวมถึงการบังคับใช้กฏหมายขององค์กรอิสระด้วย
นี่เป็นเพียง 7 เรื่องแรกที่รัฐบาลควรต้องเร่งดำเนินการเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และแก้ไขจุดอ่อนของรัฐบาลตั้งแต่ในอดีต ซึ่งยังคงมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ และหวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจและเร่งดำเนินการ
นอกจากนี้ยังอยากขอแนะนำ ธุรกิจในภาคเอกชนว่าจะต้องรีบปรับตัวรองรับคลื่นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะถาโถมเข้ามา แม้ว่าธุรกิจปัจจุบันยังดีและมั่นคง แต่อาจจะถูก disrupt ได้ง่ายๆเลยจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดังนั้นจึงอยากให้เปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก และต้องเปลี่ยนก่อนที่จำเป็น (Change before you have to) เพราะถ้าหากรอถึงคราวจำเป็นอาจจะสายไปแล้ว และหากธุรกิจใดคิดว่ากำลังจะถูก disrupt ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองก่อนโดน disrupt โดยหากธุรกิจใดเริ่มย่ำแย่แล้วก็ควรจะเลิกกิจการเลย แล้วหาช่องทางทำธุรกิจใหม่ อย่าทู่ซี้ เพราะโลกยุคใหม่ไม่เหมือนยุคเก่าแล้ว การประคองเพื่อหวังฟื้นอาจจะเป็นไปได้ยาก การเริ่มต้นธุรกิจใหม่อาจจะมีอนาคตมากกว่า ทั้งนี้ต้องประเมินธุรกิจของตนให้ชัดเจน
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับคลื่นของการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของโลกที่กำลังถาโถมาเข้ามาตามที่ได้เคยเตือนล่วงหน้ามานานแล้ว ประชาชนทุกฝ่ายต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยเฉพาะรัฐบาล หากรู้ว่าตัวเองไม่พร้อมก็ต้องเร่งปรับปรุงตัว หรือไม่ก็ต้องหาคนที่มีความพร้อมมากกว่าเข้ามาทำงานแทน เพื่อให้ประเทศไทยปรับตัวและพัฒนาต่อไปได้ ไม่ตกยุค หรือ ถูก disrupt ในระยะเวลาอันรวดเร็วนี้
สีสัน! "จุรินทร์" มอบรางวัลเชื่อมสะพานสื่อไทย-จีนครั้งที่ 7
"จุรินทร์"เดินหน้าเชื่อมสะพานสื่อไทย-จีน เป็นประธานมอบรางวัลบุคคลแห่งปีที่ชาวจีนรู้จักครั้งที่ 7
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เวลา 20.00 น. ที่ ICONSIAM นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัล Thailand Headline Person of the Year Awards ปี 2019 ครั้งที่ 7 โดยแสดงความยินดีกับการเปิดงาน Thailand Headline Person of the Year Awards ปี 2019 ครั้งที่ 7 ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนในอีกมิติหนึ่ง
นายจุรินทร์ กล่าวว่า การมอบรางวัลบุคคลแห่งปีในมิติของการสร้างสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมไทยจีนถือเป็นภารกิจและเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยรู้สึกชื่นชมที่กิจกรรมนี้จัดขึ้นมาเป็นปีที่ 7 แล้วโดยทราบว่าหลายฝ่ายขนานนามว่าเป็นงานออสก้าเมืองไทยโดยบุคคลที่ได้รับรางวัลล้วนได้รับความนิยมในการนำเสนอข่าวติดอันดับจากสื่อจีนในประเทศไทย ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับรางวัลทั้งวันนี้และที่ผ่านมา
"ในวันนี้สำหรับในส่วนของความสัมพันธ์ไทยจีนทางด้านเศรษฐกิจการค้า ล่าสุดผมเพิ่งนำคณะของกระทรวงพาณิชย์และเอกชนจากประเทศไทยไปร่วมงาน Chaina International Imports Expo ซึ่งเกิดจากการเชิญของรัฐบาลจีนและมีท่าน สีจิ้นผิงได้ให้เกียรติเดินทางเป็นประธานการเปิดงานซึ่งประเทศไทยปีนี้ได้รับเกียรติเป็นแขกพิเศษของทางการจีนและได้มีโอกาสนำภาคเอกชนไปขายสินค้าและสามารถสร้างมูลราคาการส่งออกในงานนี้ถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศและการที่รัฐบาลจีนได้ให้โอกาสกับภาคเอกชนไทย รวมทั้งอีกหลายประเทศซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของรัฐบาลจีนและความร่วมมือที่ดีทางด้านเศรษฐกิจระหว่างจีนกับประเทศไทย" นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับThailand Headline ทราบว่าเป็นสื่อที่จดทะเบียนในประเทศไทยและมีส่วนสำคัญในการรายงานข่าวสารจากประเทศไทยในหลายมิติทั้งทางด้านการเมืองเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมการท่องเที่ยวให้กับประชาชนชาวจีนนับ 1,000 ล้านคนได้มีโอกาสรับทราบข่าวสารจากประเทศไทยในฐานะอย่างน้อยที่สุดรองนายกรัฐมนตรีจากประเทศไทย ขอถือโอกาศนี้ ขอบคุณที่สื่อสารข่าวสารจากประเทศไทยไปสู่การรับรู้ของประชาชนชาวจีนซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในทุกมิติให้เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้นของประชาชนชาวจีนอย่างน้อยที่สุดงานทางด้านวัฒนธรรม และงานทางด้านเศรษฐกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของผมขอขอบคุณด้วยความจริงใจและขอสร้างความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลทุกท่านผมมั่นใจว่าสิ่งนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในระดับรัฐบาลและในระดับประชาชนของสองประเทศให้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป
ครม.เทงบฯ 3.4พันล้านสานต่อโรงเรียนประชารัฐชายแดนใต้
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบหลักการดำเนินโครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและ 4 อำเภอจังหวัดสงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย ทั้งนี้ สืบเนื่องจากข้อสั่งการของนายกฯเมื่อปี 60 ให้มีการปรับระดับโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในพื้นที่อำเภอละ 1 แห่งให้เป็นโรงเรียนประจำ
โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนที่ยากจน หรือนักเรียนที่ถูกทอดทิ้งไม่มีผู้อุปการะ และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม และทั่วถึงเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับคุณภาพชีวิตในคนในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 61 ถึงปัจจุบันและมีโรงเรียนในโครงการ 64 โรงเรียน มีนักเรียน 5,049 คน คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ของบประมาณจากครม.วงเงิน 3,416.54 ล้านบาท แบ่งเป็นจ้างครูรายเดือน ซื้อสื่อการเรียนการสอน 132.81 ล้านบาท งบลงทุนในการก่อสร้างหอนอนและครุภัณฑ์ 1,031.37 ล้านบาท งบอุดหนุนเพื่อเป็นค่าอาหาร 3มื้อและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากงบฯอุดหนุนรายหัว 2,252.36 ล้านบาท
"จุรินทร์"เปิดปชป.รณรงค์"ยุติรุนแรง-เสมอภาค"ทางเพศ LGBT
"จุรินทร์"เป็นประธานเปิดการรณรงค์ยุติความรุนแรง ดันประชาธิปัตย์ ขับเคลื่อน 3 ข้อ ส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ LGBT
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการรณรงค์ยุติความรุนแรง โดยกล่าวว่า มีความยินดีที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ ช่วยกันคิดถึงทางออกไปทางแก้ไข และในการเสวนาวันนี้ขอฝากการบ้านให้ทุกฝ่ายและทุกคน คิดทำการบ้านให้ 3 ประเด็นเพื่อช่วยหาคำตอบในเรื่องของการที่จะทำอย่างไรให้เราที่จะส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศให้เกิดขึ้นได้ในโลกของความเป็นจริงและเป็นรูปธรรม คือ
1.ช่วยหาคำตอบอย่างเป็นรูปธรรมว่าเราจะขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร เพราะต้องยอมรับความจริงว่าสังคมเราปัจจุบันยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่มากมายหลายรูปแบบทั้งในเรื่องของการจ้างงานซึ่งได้มีการพูดคุยในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศที่ผมเป็นประธานกรรมการระดับประเทศอยู่ อย่างไรก็ตามตนเพิ่งประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลมาเมื่อไม่กี่วันมานี้เกี่ยวกับงานเชิงนโยบาย และที่อยากได้คำตอบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน และพรรคประชาธิปัตย์อยากได้คำตอบเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม คือ จะขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างไรเรื่องการจ้างงาน ค่าตอบแทนที่ยังไม่เท่าเทียมในเรื่องของตำแหน่ง ในเรื่องของความก้าวหน้าในงาน ทั้งในส่วนของภาคราชการ ภาคเอกชนและการเข้าถึงบริการสาธารณะ หรือการหาคำตอบในเรื่องของการถ้าจะอุปสรรคในการเข้ารับบริการสาธารณะด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศที่ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ เหล่านี้เป็นประเด็นที่พวกผมอยากได้รับคำตอบที่เป็นรูปธรรมเพื่อพลักดันร่วมกับพวกเราต่อไป
2.เราจะร่วมด้วยช่วยกันในการสร้างหลักคิดที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างไร ทุกเพศมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และเราจะช่วยกันดำเนินการอย่างไรที่จะเปลี่ยนความคิดบรรทัดฐานของสังคม ที่ยังมีความรู้สึกบางประการในทางลบกับเพศสภาพบางเพศสภาพซึ่งผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เราต้องช่วยกันเปลี่ยนหลักคิดของสังคมให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และในประการที่สามที่เป็นหัวใจสำคัญที่ตนคิดว่าเป็นที่มาของการรณรงค์ของเราในช่วงเดือนพฤศจิกายน ของ UN ดังนี้เราจะช่วยกันลดหรือขจัดความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศได้อย่างไร
"เพราะตัวเลขเท่าที่ผมมีอยู่น่าเป็นห่วงมากตัวเลขสถิติของการใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะต่อสตรีมีความน่าเป็นห่วงและผมคิดว่าจะลามไปถึง LGBT ด้วย ซึ่งกำลังเป็นปัญหาเช่นเดียวกันแต่ยังไม่มีการรวบรวมตัวเลขเรื่อง LGBT แต่อย่างน้อยกับสตรีก็เป็นตัวสะท้อนที่น่าห่วงก็คือสถิติของ UN Human Rights ปีที่แล้ว 2018 ที่สำรวจมาทั่วโลกพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อสตรีไม่ได้ลดลง แปลว่าอย่างน้อยก็เท่าเดิมเท่าเดิมก็แย่แล้วหรือว่าอาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำนี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงตัวเลขนอกจากนั้นก็คือว่าถึงร้อยละ 83 ของสตรีเพศที่ถูกทำร้ายมาจากคนใกล้ตัวอันนี้ยิ่งน่าเป็นห่วงเพราะเราไม่รู้ว่าคนข้างๆ เราจะก่อความรุนแรงกับเราเมื่อไหร่" นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ประการที่ 3 ตัวเลขถัดมาก็คือว่าคนใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นคนรักคู่สมรส คนในครอบครัวหรือญาติพี่น้องก็ตาม ได้ก่อเหตุแห่งความรุนแรงจนกระทั่งทำร้ายให้เกิดการเสียชีวิตตัวเลขเฉลี่ยถึง 157 คนต่อวันคือตัวเลขที่ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งและเราต้องช่วยกันหาทางแก้ปัญหาเหล่านี้ และสำหรับด้านกฎหมายที่ได้มีการดำเนินการกันมาอย่างต่อเนื่องนั้นทางพรรคประชาธิปัตย์โดยตนจะได้นำเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อหารือและดำเนินการต่อไป
สังเวชนียสถานทำไม? ทำไม?ต้องสังเวชนียสถาน
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาและผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ ม.สงฆ์ มจร รายงาน หลังจากนำนิสิตปริญญาโทและเอก หลักสูตรสันติศึกษา มจร ทัศนศึกษาแดนแห่งพุทธภูมิ ประเทศอินเดียเนปาล ความว่า
ในทุกครั้งที่เราผู้ซึ่งได้เรียกขานตัวเองว่าเป็น "พุทธศาสนิกชน" เกิดความสับสนในคุณค่าและเป้าหมายสูงสุดที่ถูกเรียกขานว่า "อุดมการณ์ของการเป็นพุทธ" คืออะไร และเป็นเช่นใด
สังเวชนียสถานเป็นพุทธภูมิข้างนอก ที่จะนำพาเราเข้าถึงพุทธภูมิข้างใน ที่จะช่วยย้ำเตือนและตอบโจทย์ในใจเรา อีกทั้งย้ำเตือนมิให้เราถอยห่างจากอุดมการณ์สูงสุด คือ พระนิพพาน
การที่พระอานนท์ทูลถามหลังจากที่พุทธองค์ปลงอายุสังขารสรุปได้กระชับว่า แล้วเหล่าพุทธบริษัทจะทำอย่างไร ถ้าพระองค์ไม่อยู่กับพวกเราแล้ว พระองค์จึงย้ำว่า "สังเวชนียสถาน" จะเป็นแหล่งที่จะทำให้เกิดการระลึกนึกถึงพุทธปณิธาน และเกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอุดมการณ์สูงสุด คือ "พระนิพพาน"
การที่พระอานนท์ทูลถามหลังจากที่พุทธองค์ปลงอายุสังขารสรุปได้กระชับว่า แล้วเหล่าพุทธบริษัทจะทำอย่างไร ถ้าพระองค์ไม่อยู่กับพวกเราแล้ว พระองค์จึงย้ำว่า "สังเวชนียสถาน" จะเป็นแหล่งที่จะทำให้เกิดการระลึกนึกถึงพุทธปณิธาน และเกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอุดมการณ์สูงสุด คือ "พระนิพพาน"
หากเราขาดสติด้วยอำนาจแห่งโลกธรรม หรือหลงลืมอุดมการณ์ดังกล่าว ขอให้สละเวลา พนมมือ เจริญพุทธมนต์ ปิดเปลือกตา แล้วใช้สติระลึกรู้ เมื่อสมาธิตั้งมั่นจนปัญญาเบ่งบาน ในที่สุดจะทราบว่าเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?
การปลุกกายและกระตุ้นใจให้ปฏิบัติเช่นนั้น ย่อมไม่มีวันที่เราจะหลงไหลได้ปลื้มไปกับโลกธรรม และปล่อยตัวเผลอใจให้ไปคลุกคลี พร้อมทั้งเกลือกกลั้วกับกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาพัวพันในแต่ละวัน
ถ้าเรามีพุทธะอยู่ในวิถี พัฒนาชีวีให้รู้ ตื่น และเบิกบาน ด้วยพลังของสติ สมาธิ และปัญญา อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องด้วยแล้ว ชีวิต และสังคมย่อมได้รับพลังแห่งสันติสุขในปัจจุบันทันทีตามหลักอกาลิโก คือ ปฏิบัติเมื่อใดได้รับผลเมื่อนั้น ไม่ต้องรอเวลา
แต่เพราะเราไม่ตระหนักรู้และใส่ใจต่อการกระตุ้นเตือนของพุทธองค์ที่ว่า "สูเจ้า จงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ คนเขลาข้องอยู่ แต่ผู้มีปัญญาหาข้องอยู่ไม่" เราจึงพัดพาตัวเองถอยห่างออกไปจากอุดมการณ์ของพุทธองค์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ปรากฏการณ์พลัดหลงจากอุดมการณ์ดังกล่าว แม้จะทรงย้ำเตือนแล้วเตือนอีก ไม่ใช่เพิ่งเกิด ในพุทธกาลก็เกิด หลังพุทธก็เกิด ในปัจจุบันก็เกิด รวมไปถึงอนาคตก็จะยิ่งเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนเข้าสู่กลียุคในที่สุด
ฉะนั้น หมู่ชนที่มิได้เป็นพุทธโดยวิญญาณ หรือวิถี จะสืบสาน รักษา และต่อยอดพระพุทธศาสนาไปเพื่อการใด เพราะเมื่อตัวเอง ชุมชน และสังคมมิได้ประโยชน์ ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ปริยัติ เป็นสะพานทอดเดืนไปสู่การปฏิบัติ ประโยชน์ที่ใช้อามิสบูชาเป็นสะพานทอดเดินไปสู่ปฏิบัติบูชา
ในที่สุด เมื่อหมู่ชนไม่ยึดถือธรรมและวินัยเป็นศาสดาตามที่พุทธองค์ตรัสในมหาปริพนิพพานสูตรแล้ว เราจะมีศาสดาที่แท้จริงองค์ใดให้เราได้ใช้เป็นหลักปฏิบัติในวิถีชีวิต
สุดท้ายเราก็จะหันกลับไปนับถือ และพึ่งพาสิ่งภายนอก เช่น ป่าไม้บ้าง จอมปลวกบ้าง ต้นไม้แปลกๆ บ้าง สัตว์แปลกๆ บ้าง รวมไปถึงเทพเจ้าองค์ต่างๆ เพื่อให้มาซึ่งโลกธรรมที่เป็นอิฏฐารมณ์ทั้งหลาย
ประจักษ์ชัดว่า พุทธองค์เคยเตือนประเด็นดอกบัวตามคัมภร์บาลีมี 3 เหล่า การฝึกฝนพัฒนาพุทธศาสนิกชนก็ต้องพิจารณาบริบทและตัวแปรต่างๆ ตามจริตและเหตุปัจจัย ถึงกระนั้น สิ่งที่จะต้องกระตุ้นและชักนำให้พุทธศาสนิกชนมีสติ ระมัดระวังตลอดเวลา คือ "การไม่หลงลืมอุดมการณ์หลัก" ที่พุทธองค์ได้ประกาศไว้ ให้เราได้ปฏิบัติ
แม้นว่า ชาตินี้จะไม่บรรลุถึงได้ทั้งหมด หากได้ยินได้ฟัง และได้ปฏิบัติเอาไว้บ้าง เส้นทางสู่นิพพาน ทั้งนิพพานชั่วขณะ และนิพพานระยะยาว ย่อมจักปรากฏชัดได้ในที่สุด ในปัจจุบันและภพภูมินี้และอื่นๆ ต่อไป
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
ส.ส.สกลนครเพื่อไทยเข้ากราบ กก.มส.รับคำแนะนำอภิปรายในสภาฯ
ส.ส.สกลนครเพื่อไทยเข้ากราบ กก.มส.รับคำแนะนำอภิปรายในสภาฯ พร้อมชวนชาวพุทธศาสนิกชนช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนา
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 ดร.นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมาได้เข้ากราบนมัสการสมเด็จพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม เขตสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพมหานคร เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก-อีสาน กรรมการมหาเถรสมาคม ได้รับความเมตตา ข้อธรรมวินัยที่จะปรับใช้ในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
"ขอให้พี่น้องชาวพุทธศาสนิกชนลุกขึ้นมาช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนา" ดร.นิยม ระบุ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก"
โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก" 1. บทนำ เปิดเรื่อง : สันติสุข ชายหนุ่มนักเขียนนิยายธรรมะที่ต้องการค้นหามิติใหม่ของการเล่าเรื่องธรรม...
-
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณประสาร” รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(...
-
วิจารณ์สนั่นหลักสูตรบาลีป.ธ.1-2 ถึงป.ธ. 9 เรียนพระไตรปิฎก 149 หน้า "เจ้าคุณหรรษา" ยกสามเณร 2 รูป หนึ่งจบ ป.ธ. 9 อายุ 17 ปี หนึ่งจบ...
-
พระปิดตายันต์ยุ่งมหาอุตโม หลวงปู่ทิม อิสริโก จัดสร้างเพื่อหารายได้ สร้างหอฉันอุตตโม ออกแบบโดยช่างเกษม มงคลเจริญ ประกอบด้วย เนื้...