วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

สังเวชนียสถานทำไม? ทำไม?ต้องสังเวชนียสถาน



พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาและผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ ม.สงฆ์ มจร รายงาน  หลังจากนำนิสิตปริญญาโทและเอก หลักสูตรสันติศึกษา มจร ทัศนศึกษาแดนแห่งพุทธภูมิ ประเทศอินเดียเนปาล ความว่า 

ในทุกครั้งที่เราผู้ซึ่งได้เรียกขานตัวเองว่าเป็น "พุทธศาสนิกชน" เกิดความสับสนในคุณค่าและเป้าหมายสูงสุดที่ถูกเรียกขานว่า "อุดมการณ์ของการเป็นพุทธ" คืออะไร และเป็นเช่นใด

สังเวชนียสถานเป็นพุทธภูมิข้างนอก ที่จะนำพาเราเข้าถึงพุทธภูมิข้างใน ที่จะช่วยย้ำเตือนและตอบโจทย์ในใจเรา อีกทั้งย้ำเตือนมิให้เราถอยห่างจากอุดมการณ์สูงสุด คือ พระนิพพาน

การที่พระอานนท์ทูลถามหลังจากที่พุทธองค์ปลงอายุสังขารสรุปได้กระชับว่า แล้วเหล่าพุทธบริษัทจะทำอย่างไร ถ้าพระองค์ไม่อยู่กับพวกเราแล้ว พระองค์จึงย้ำว่า "สังเวชนียสถาน" จะเป็นแหล่งที่จะทำให้เกิดการระลึกนึกถึงพุทธปณิธาน และเกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอุดมการณ์สูงสุด คือ "พระนิพพาน"





การที่พระอานนท์ทูลถามหลังจากที่พุทธองค์ปลงอายุสังขารสรุปได้กระชับว่า แล้วเหล่าพุทธบริษัทจะทำอย่างไร ถ้าพระองค์ไม่อยู่กับพวกเราแล้ว พระองค์จึงย้ำว่า "สังเวชนียสถาน" จะเป็นแหล่งที่จะทำให้เกิดการระลึกนึกถึงพุทธปณิธาน และเกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอุดมการณ์สูงสุด คือ "พระนิพพาน"

หากเราขาดสติด้วยอำนาจแห่งโลกธรรม หรือหลงลืมอุดมการณ์ดังกล่าว ขอให้สละเวลา พนมมือ เจริญพุทธมนต์ ปิดเปลือกตา แล้วใช้สติระลึกรู้ เมื่อสมาธิตั้งมั่นจนปัญญาเบ่งบาน ในที่สุดจะทราบว่าเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?

การปลุกกายและกระตุ้นใจให้ปฏิบัติเช่นนั้น ย่อมไม่มีวันที่เราจะหลงไหลได้ปลื้มไปกับโลกธรรม และปล่อยตัวเผลอใจให้ไปคลุกคลี พร้อมทั้งเกลือกกลั้วกับกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาพัวพันในแต่ละวัน

ถ้าเรามีพุทธะอยู่ในวิถี พัฒนาชีวีให้รู้ ตื่น และเบิกบาน ด้วยพลังของสติ สมาธิ และปัญญา อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องด้วยแล้ว ชีวิต และสังคมย่อมได้รับพลังแห่งสันติสุขในปัจจุบันทันทีตามหลักอกาลิโก คือ ปฏิบัติเมื่อใดได้รับผลเมื่อนั้น ไม่ต้องรอเวลา

แต่เพราะเราไม่ตระหนักรู้และใส่ใจต่อการกระตุ้นเตือนของพุทธองค์ที่ว่า "สูเจ้า จงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ คนเขลาข้องอยู่ แต่ผู้มีปัญญาหาข้องอยู่ไม่"  เราจึงพัดพาตัวเองถอยห่างออกไปจากอุดมการณ์ของพุทธองค์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

ปรากฏการณ์พลัดหลงจากอุดมการณ์ดังกล่าว แม้จะทรงย้ำเตือนแล้วเตือนอีก ไม่ใช่เพิ่งเกิด ในพุทธกาลก็เกิด หลังพุทธก็เกิด ในปัจจุบันก็เกิด รวมไปถึงอนาคตก็จะยิ่งเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบจนเข้าสู่กลียุคในที่สุด

ฉะนั้น หมู่ชนที่มิได้เป็นพุทธโดยวิญญาณ หรือวิถี จะสืบสาน รักษา และต่อยอดพระพุทธศาสนาไปเพื่อการใด เพราะเมื่อตัวเอง ชุมชน และสังคมมิได้ประโยชน์ ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ปริยัติ เป็นสะพานทอดเดืนไปสู่การปฏิบัติ ประโยชน์ที่ใช้อามิสบูชาเป็นสะพานทอดเดินไปสู่ปฏิบัติบูชา

ในที่สุด เมื่อหมู่ชนไม่ยึดถือธรรมและวินัยเป็นศาสดาตามที่พุทธองค์ตรัสในมหาปริพนิพพานสูตรแล้ว  เราจะมีศาสดาที่แท้จริงองค์ใดให้เราได้ใช้เป็นหลักปฏิบัติในวิถีชีวิต 

สุดท้ายเราก็จะหันกลับไปนับถือ และพึ่งพาสิ่งภายนอก เช่น ป่าไม้บ้าง จอมปลวกบ้าง ต้นไม้แปลกๆ บ้าง สัตว์แปลกๆ บ้าง รวมไปถึงเทพเจ้าองค์ต่างๆ เพื่อให้มาซึ่งโลกธรรมที่เป็นอิฏฐารมณ์ทั้งหลาย

ประจักษ์ชัดว่า พุทธองค์เคยเตือนประเด็นดอกบัวตามคัมภร์บาลีมี 3 เหล่า การฝึกฝนพัฒนาพุทธศาสนิกชนก็ต้องพิจารณาบริบทและตัวแปรต่างๆ ตามจริตและเหตุปัจจัย ถึงกระนั้น สิ่งที่จะต้องกระตุ้นและชักนำให้พุทธศาสนิกชนมีสติ ระมัดระวังตลอดเวลา คือ "การไม่หลงลืมอุดมการณ์หลัก" ที่พุทธองค์ได้ประกาศไว้ ให้เราได้ปฏิบัติ 

แม้นว่า ชาตินี้จะไม่บรรลุถึงได้ทั้งหมด หากได้ยินได้ฟัง และได้ปฏิบัติเอาไว้บ้าง เส้นทางสู่นิพพาน ทั้งนิพพานชั่วขณะ และนิพพานระยะยาว ย่อมจักปรากฏชัดได้ในที่สุด ในปัจจุบันและภพภูมินี้และอื่นๆ ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น