วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

"ทองย้อย แสงสินชัย"มอง"อนาคตของพระศาสนาที่น่าวังเวง" จบป.ธ.๙ไม่ศึกษาพระไตรปิฎกนั่นคือเบี่ยงเบน



วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เฟซบุ๊ก"ทองย้อย แสงสินชัย"ได้โพสต์ข้อความว่า อนาคตของพระศาสนาที่น่าวังเวง

--------------------------------

นานมาแล้วญาติมิตรท่านหนึ่งเสนอประเด็นเรื่อง-ผู้จบประโยคเก้ากับการศึกษาพระไตรปิฎก ผมขึ้นบัญชีไว้แล้วว่าจะเขียนเรื่องนี้ ตั้งท่าเขียนไปได้หน่อยหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่จบ

หลักของเรื่องก็คือ เรียนพระไตรปิฎกจำเป็นต้องจบประโยคเก้าหรือไม่?

คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น

ฝรั่งที่เรียนบาลีแล้วศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน จนทำพจนานุกรมบาลีออกมาได้อย่างสมบูรณ์ล้ำหน้าคนไทย ไม่มีใครจบประโยคเก้าสักคน แต่ทุกคนเรียนรู้ภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง

จึงได้หลักว่า-จะศึกษาพระไตรปิฎกต้องมีความรู้ภาษาบาลี

แล้วผู้จบประโยคเก้าล่ะ จำเป็นต้องศึกษาพระไตรปิฎกหรือไม่?

คำตอบก็คือ จำเป็น และจำเป็นอย่างยิ่งด้วย

เพราะเรียนบาลีเป้าหมายคือเอาไปเป็นเครื่องมือในการศึกษาพระไตรปิฎก

จบประโยคเก้า แต่ไม่ศึกษาพระไตรปิฎก นั่นคือเบี่ยงเบน

....................

คนที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย ต้องจบหมอทุกคนหรือไม่

ไม่ใช่เลย ไม่ต้องเป็นหมอก็ช่วยเหลือผู้ป่วยได้ ถ้ารู้วิธีช่วย

เพราะรู้วิธีช่วยเหลือผู้ป่วยให้รอดตายหายป่วยนั่นแหละ เขาจึงเป็นหมอ

แต่คนที่เรียนเพื่อเป็นหมอ จบหมอแล้ว ถ้าไม่ช่วยรักษาผู้ป่วย นั่นคือเบี่ยงเบน

....................

เรื่องนี้ผมพูดมานานแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง

ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะผมไม่ใช่คนสำคัญที่พูดอะไรไปคนจะต้องฟัง

แต่ถ้าเรื่องนี้แม่กองบาลีพูด อาจจะมีคนฟัง เพราะพระคุณท่านเป็นผู้รับผิดชอบการสอบบาลีของคณะสงฆ์

แล้วเรื่องเรื่องเดียวกันนี่แหละ ถ้าสมเด็จพระสังฆราชตรัสออกมา เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที

ยิ่งถ้าคนสำคัญของบ้านเมืองพูด-เรื่องเดียวกันนี่แหละ-คราวนี้วิ่งกันหัวซุกหัวซุกหัวซุนทีเดียวแหละ

สังคมเราเป็นกันอย่างนี้

who สำคัญกว่า what หรือ how

ยิ่งในระบบราชการด้วยแล้ว นายสำคัญที่สุด

ถ้านายคิดหรือเป็นความต้องการของนาย ดีหรือไม่ดีเลิกพูด

บางทีผิดหรือถูกก็เลิกพูดด้วย

แต่ถ้าไม่ใช่นาย เรื่องที่คิด จะดีขนาดไหน - ขอประทานโทษ - ไม่มีหน้าที่ กรุณาอย่าสะเออะ

เราจึงทิ้งความคิดดีๆ ไปเสียเยอะ เพียงเพราะผู้คิดเป็นคนโนเนม

และเพราะเหตุนี้กระมัง คนเราจึงอยากมีอำนาจ อยากได้อำนาจ

เพราะมีอำนาจ เอ่ยปากอะไร คนก็วิ่งกันหัวซุกหัวซุกหัวซุนสนองความต้องการ

แล้วก็ร้อยละร้อยของคนมีอำนาจ ใช้อำนาจไปเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง

และความต้องการของตัวเอง-แทบทั้งหมด-เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง

ที่จะคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ของบ้านเมืองนั้นมีน้อยอย่างยิ่ง

ได้อำนาจกันมากี่รุ่นต่อกี่รุ่น ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด

ที่เราไม่ค่อยคิดกันก็คือ ความต้องการประโยชน์ส่วนตัวหรือความเห็นแก่ตัวนั้น สามารถฝึกหัดขัดเกลากันได้

ฝึกหัดอบรมสั่งสอนให้ลด ละ เลิก ทำได้
ฝึกหัดอบบรมสั่งสอนให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ก็ทำได้

แต่เราก็ไม่ได้สนใจที่จะฝึกหัดอบบรมสั่งสอนกัน โดยเฉพาะลูกหลานของเราที่จะเติบโตขึ้นมามีอำนาจต่อจากคนรุ่นเรา

เรามีแต่ส่งเสริมให้เขาทะยานอยาก

แต่ที่จะให้รู้จักควบคุมตนเองนั้นไม่ได้สอน

....................

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนวิธีฝึกหัดขัดเกลาควบคุมตนเอง

เรารับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมาช้านาน ควรได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่

ก็ได้อยู่ ไม่ใช่ว่าไม่ได้

แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งเบี่ยงเบน

จากศาสนาแห่งปัญญา เราก็ทำให้เบี่ยงเบนเป็นศาสนาแห่งพิธีกรรม

การเรียนบาลีเป็นเรื่องหนึ่งที่เบี่ยงเบน

จากเรียนบาลีเพื่อศึกษาพระไตรปิฎก ก็เบี่ยงเบนไปเป็นเรียนเพื่อสอบได้ เพื่อเป็นเกียรติ

แต่พร้อมกันนั้นก็มีสิ่งที่น่าสังเกต นั่นคือ คนที่สนใจศึกษาพระไตรปิฎก-แต่ไม่ได้เรียนบาลี มีมากขึ้น

สนใจปฏิบัติธรรม สนใจศึกษาธรรมะ แต่ไม่มีความรู้ทางบาลี

ส่วนผู้ที่เรียนบาลี ก็เรียนด้วยความมุ่งหมายอย่างอื่น แต่มิใช่มุ่งศึกษาพระไตรปิฎก

นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา

....................

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ถ้าเอาหลักอริยสัจตั้งเป็นเกณฑ์ ก็เป็นแค่ (๑) ทุกข์-สาธยายถึงปัญหา

ยังไม่ได้พูดถึง (๒) สมุทัย-สาเหตุของปัญหา

ยังไม่ได้พูดถึง (๓) นิโรธ-ความดับทุกข์ คือเป้าหมายที่พึงประสงค์

และส่วนที่สำคัญที่สุด (๔) มรรค-หนทางปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ

....................

ผมได้ข้อยุติส่วนตัวมานานแล้วว่า อย่ามัวแต่เรียกร้องให้ใครทำอะไรเพียงอย่างเดียว แต่จงลงมือทำด้วยตัวเอง

อะไรที่ทำได้ ลงมือทำไป
ไม่ต้องรอใคร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การค้นคว้าศึกษาเรียนรู้ ต้องทำตลอดเวลา

บอกกล่าว เผยแพร่ เผยแผ่ ทำทุกโอกาสที่ทำได้
หาโอกาสทำ ไม่รอให้โอกาสวิ่งมาหาท่าเดียว

และที่สำคัญที่สุด - ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ไม่ใช่พูดแต่ปาก

ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้
รู้เพื่อพูด
พูดแต่ไม่ทำ

วิธีนี้ทำให้วันคืนไม่ได้ล่วงเลยไปเปล่าๆ
เก็บบุญใส่ย่ามได้ทุกวัน มากหรือน้อย ก็ได้ทุกวัน

พร้อมกันนั้นก็ไม่ได้ละเลยเพิกเฉย

กระตุก กระตุ้น กระทุ้ง กระแทกอะไรได้ ก็ทำไปด้วย เป็นการบอกเพื่อนร่วมชะตากรรมว่า ทำอะไรได้ก็จงเร่งทำเข้าเถิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่มีตำแหน่งมีหน้าที่

ผมเข้าใจดีถึงธรรมชาติของระบบการปกครองบังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นระบบราชการหรือคณะสงฆ์ --

ทุกอย่างแล้วแต่นาย
ทุกอย่างแล้วแต่คนนั่งหัวโต๊ะ

แต่ผมก็ยังอยากที่จะเสนอแนวคิดเพื่อเป็นกำลังใจว่า-เราควรช่วยกันเริ่มสร้างวัฒนธรรมใหม่

งานมีอยู่ ๓ งบ คือ -
๑ งานประจำ
๒ งานที่นายสั่ง
๓ งานที่เราคิดแล้วเสนอขึ้นไป หรือทำในกรอบอำนาจของเรา

งานประจำ - คืองานที่ทำกันมา ถึงเวลาก็ทำกันไป ไม่ดีขึ้น ไม่เลวลง แต่นานไปก็จะค่อยๆ เรียวลง เสื่อมลง งานงบนี้มีมากที่สุด

งานที่นายสั่ง – งานงบนี้มีน้อยที่สุด มีเป็นครั้งคราว

งานที่เราคิดแล้วเสนอขึ้นไป - งานงบนี้เป็นศูนย์ คือไม่มีใครคิดจะทำ

ธรรมชาติของคนมีนายคือ ไม่คิดอะไรเอง ทุกอย่างรอให้นายสั่ง

เจ้าคณะพระสังฆาธิการของเรา ตั้งแต่กรรมการมหาเถรสมาคมจนถึงเจ้าอาวาสรูปสุดท้าย ตกอยู่ในธรรมชาติข้อนี้

ถ้าคนนั่งหัวโต๊ะไม่สั่งอะไร ทุกท่านก็จะนั่งทับตำแหน่งนิ่งๆ ไม่ขยับตัวทำอะไรทั้งสิ้น-แม้จะมีความคิด แม้จะเห็นว่าควรทำเพียงไรก็ตาม

....................

ตอนตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมชุดใหม่ มีกระแสคึกคักอยู่พักสั้นๆ หลายๆ ฝ่ายชื่นชมยินดี ผมเองก็พลอยชื่นชมยิน อนุโมทนาสาธุการ

และแอบมีความหวังว่า การพระศาสนาคงจะขยับตัวไปข้างหน้าได้บ้าง

พอกระแสคึกคักสงบ ทุกอย่างก็สงัดเงียบ

และทุกอย่างก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม

ผมไม่อยากเห็นการเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมมีความหมายเพียงแค่-เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลเท่านั้นเอง

แนวคิดที่ผมขอเสนอก็คือ ขอได้โปรดมีความกล้าที่จะทำงานในงบที่ ๓ กันบ้างเถิด

ถ้ายังคิดอะไรไม่ออก ลองจับที่งาน-ปฏิรูปการเรียนบาลีกันเสียใหม่ก็ได้นะขอรับ

ชูประเด็นหลัก --

....................................................
ใครยังจะเรียนบาลีเพื่อสอบได้ประโยคเก้าเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล ก็เรียนไป

แต่คณะสงฆ์ไทยส่งเสริมการเรียนบาลีเพื่อศึกษาพระไตรปิฎก
....................................................

นี่เป็นการประกาศนโยบายรักษาพระศาสนาไปในตัว

ศึกษาพระไตรปิฎกก็คือศึกษาพระธรรมวินัย
ศึกษาพระธรรมวินัยก็คือศึกษาตัวพระศาสนา

พระเถระรูปหนึ่งท่านกล่าวว่า-เรื่องเรียนบาลี เรื่องศึกษาพระไตรปิฎกนี่ ต้องแล้วแต่ศรัทธาของแต่ละคน บังคับกันไม่ได้

ถ้าเราฝากอนาคตของพระศาสนาไว้ในมือของท่านที่คิดเช่นนี้

อนาคตของพระศาสนาก็น่าวังเวงพิลึก

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
๑๕:๕๗

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพลง: ทางแห่งสันติ

คลิก ฟังเพลงที่นี่  (The Path of Peace) (ท่อนแรก) บนหนทางที่ลมพัดมา กลางพสุธาที่โศกเศร้า ฝุ่นคลุ้งฟ้าหม่นหมองเทา แสงแห่งธรรมยังน...