วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ดร.นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหายาเสพติด แนวทางการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ และอนุกรรมาธิการด้านการปราบปรามยาเสพติดและการบังคับใช้กฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผว่า ทั้งนี้ด้วยตนมีฉายาว่า ส.ส.สายพระ หลังจากที่ได้ประชุมในชั้นอนุ กมธ. และ กมธ.ใหญ่ จึงมีแนวคิดสำหรับกรณีหากคิดว่าจะปราบยาเสพติดให้ราบคาบหมดไปจากประเทศไทยนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ยากและไม่ง่าย
ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องทราบถึงต้นเหตุของต้นตอของยาเสพติด แท้จริงแล้วปัญหายาเสพติดเกิดจากความโลภของมนุษย์เพียงกลุ่มเล็กๆ ที่คิดค้นนำสารตั้งต้นและผสมตามสัดส่วนที่ถูกต้อง จนนำมาเป็นผลที่ได้คือ “ยาเสพติด” แน่นอน ยาเสพติดที่มีคุณภาพดี จะต้องสามารถทำให้มนุษย์ผู้เสพยาเสพติดเมื่อเสพแล้วจะต้องรู้สึกเคลิบเคลิ้ม รู้สึกพอใจอยากเสพอีก หากเสพจนถึงขนาดที่เรียกว่า “ติด” ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะผู้เสพก็เหมือน “หนูติดจั่น” อย่างไรเสียก็ต้องกลับมาเสพอีก ผลที่ได้ก็คือ เม็ดเงินอันมหาศาล จากอำนาจของยาเสพติดจะบีบบังคับให้ผู้ติดยาเสพติดให้หาเม็ดเงินมาซื้อยาเสพติดทุกวิถีทางโดยไม่สนใจว่าแหล่งที่มาของเงินจะถูกหรือผิด เม็ดเงินอันมหาศาลจากผู้เสพจำนวนมากจะหลั่งไหลเข้าสู่มือพ่อค้ารายใหญ่ โดยมีพ่อค้ารายรอง และรายย่อย ได้ผลตอบแทนเป็นเม็ดเงินต่อๆ กันมา เม็ดเงินเหล่านี้มีช่องทางที่จะนำไปฟอกเงินในช่องทางอื่นๆ เช่น บ่อนการพนัน ธุรกิจสีเทา ฯลฯ จะมองแล้วถือเป็นธุรกิจที่หอมหวน แต่ในทางพระพุทธศาสนา เพียงขึ้นชื่อว่า “ยาเสพติด” แล้วถือเป็นสิ่งร้ายแรงมาก เป็นสิ่งเดียวที่ถูกบรรจุเป็น” สิ่งต้องห้าม” พร้อมกันใน 3 หมวดธรรม คือ 1.) อบายมุข6 2.) ศีล5 3.) มิจฉาวณิชชา5
ทั้งนี้ตนขอยกอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งในสมัยพุทธกาล ชื่อเรื่องว่า “พระใบลานเปล่า” พระโปฐิละเถระ ซึ่งรู้จักกันในนามของ “พระใบลานเปล่า” พระโปฐิละเป็นอาจารย์สอนธรรมให้กับพระภิกษุ 500 รูป เป็นเจ้าคณะใหญ่ถึง 18 คณะ แตกฉานในพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้ามาถึง 7 พระองค์ เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง พระพุทะเจ้าประสงค์จะให้พระโปฐิละเป็นผู้มีความรู้ทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และเทศนา คือได้ทั้งคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ สมกับที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ แต่เนื่องจากพระโปฐิละมัวแต่สอนคนอื่นจนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ยามใดเมื่อพระโปฐิละอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาของคนโดยทั่วไป วันหนึ่ง พระโปฐิละไปกราบพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า "มาแล้วหรือ ท่านใบลานเปล่า" เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า "กลับแล้วหรือ ท่านใบลานเปล่า"
ทำให้พระโปฐิละกลับไปคิดตริตรองว่า “เราเป็นผู้ทรงไว้ทั้งพระไตรปิฎก แต่พระบรมศาสดาก็ยังตรัสเรียกเราว่าใบลานเปล่า อาจเป็นเพราะเรามิได้บรรบุธรรมแต่อย่างใด” ที่ผ่านมาก็มีแต่เรียนเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย เมื่อมองดูใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสยังมีกิเลส โลภ-โกรธ-หลง พระโปฐิลจึงเกิดความละอายใจ อยากจะปฏิบัติธรรมบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่าง ๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าพระโปฐิละร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน มาขอฝึกกับพระลูกศิษย์ที่เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่มีท่านใดยอมสอนเช่นกัน เมื่อหมดทางเลือกท่านจึงไปขอฝึกกับสามเณรซึ่งเป็นลูกศิษย์ของตนเองแต่เป็นพระอริยบุคคล เณรจึงทดสอบว่าพระโปฐิละมีความจริงใจและลดอัตตาในการเป็นอาจารย์หรือยัง
จึงสั่งให้พระโปฐิละห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วให้พระโปฎฐิละ เดินลงไปในสระน้ำ ท่าน โปฎฐิละ ก็ทำตามคือเดินลงไปเรื่อย ๆ ถามเณรว่าลงพอหรือยัง เณรซึ่งอยู่ริมตลิ่งก็ตะโกนบอกว่า “ยัง..ลงไปอีก” ท่านก็ลงไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงคอ เณรถึงสั่งให้พอ ครั้นเมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า "เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจะจับเหี้ยได้? " ท่านโปฎฐิละ ด้วยความเป็นผู้คงแก่เรียนมีปัญญามากอยู่แล้ว ก็เข้าใจคำสอนของเณรทันที และตอบเณรว่า "จะจับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไรก็คอยดักจับเท่านั้นเองก็จะได้เหี้ยโดยง่าย" การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่” จิต” เพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุม ท้ายที่สุดพระตุจโฉโปฎฐิละ ก็บรรลุธรรม ในที่สุด
ดร.นิยม กล่าวต่อว่า หากจะนำแนวคิดของการปิดทวารทั้งห้าคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เหลือคือ มโนทวาร ในการปราบยาเสพติด ตนมีแนวคิดว่าการที่จะปราบให้ราบคาบจะต้องปราบที่ “ตัวการใหญ่” นั่นคือ “ทวารที่ 6” แน่นอนสิ่งที่จะต้องปิดช่องทางทุกทางไม่ให้ยาเสพติดไปถึงผู้เสพ ตนจึงขอเสนอทวารที่จะต้องปิด 5 ทวาร ได้แก่
1.เส้นทางการเงิน
2.ช่องทางการสื่อสาร
3.เส้นทางลำเลียง
4.เอาผู้เสพเป็นพวกใช้ยาเสพติดเป็นยาแก้
5.ปราบซื้อขายตำแหน่งและปราบการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
เส้นทางทั้ง 5 ทางดูเหมือนจะยากแต่หากวางแผนเหมือนฮ่องกง ที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว เราก็สามารถดำเนินการได้เช่นกัน ขออย่างเดียวคือ “ผู้นำ” หรือนายกรัฐมนตรีต้องเอาจริง!! สิ่งนี้คืออนาคตของลูกหลานไทยและอนาคตชาติไทย หากนายกรัฐมนตรีเอาจริง ก็จะเหมือน พระโปฐิลเถระ ที่ได้บรรลุธรรม แต่ถ้านายกรัฐมนตรีไม่เอาจริง การมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้นก็คงได้เพียงชื่อว่า “ใบลานเปล่า”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น