วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

มะกัน1ใน5ไม่มีศาสนาตัวชี้วัดเลือกปธน.

ตะลึง!มะกัน1ใน5ไม่มีศาสนา ตัวชี้วัดเลือกประธานาธิบดี : สำราญ สมพงษ์รายงาน

            ขณะนี้อยู่ในช่วงของการดีเบตรณรงค์เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะ มีขึ้นกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ศาสนาก็เป็นตัวชีวัดหนึ่งที่จะรู้ว่าผู้สมัครคนใดจะได้รับการเลือกตั้งระ หว่างพรรคเเดโมแครตและรีพับลิกัน

              จากผลการสำรวจล่าสุดพบว่าชาวอเมริกัน 1 ใน 5 ไม่มีศาสนาโดยไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ทั้งนี้จากข้อมูลจากสำนักข่าว CNN นามว่า Dan Merica ได้รายงานเมื่อวันที่  9 ตุลาคมที่ผ่านมาหัวข้อว่า "Survey: One in five Americans has no religion"  โดย ดร. นเรศ สุรสิทธิ์ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยราชพฤกษ์ได้ถอดใจความว่า


ผลการสำรวจ: ชาวอเมริกันหนึ่งในห้าไม่มีศาสนา

               จากการสำรวจของ Pew แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันหนึ่งในห้าไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ จากการสำรวจเรื่อง ศาสนาและชีวิตประชาชน ซึ่งถูกนำมาเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมาโดย Pew Forum พบว่า คนอเมริกันที่ไม่นับถือศาสนามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นถึง 25% ในห้าปีที่ผ่านมา การสำรวจยังพบด้วยว่ากลุ่มที่ไม่นับถือศาสนาที่กำลังเพิ่มมากขึ้นนี้เป็นพวก วัยรุ่นอเมริกัน ปัจจุบันนี้ชาวอเมริกันกว่า 33 ล้านคนที่ไม่มีศาสนา (ไม่มีความผูกพันกับศาสนา) ในกลุ่มคนเหล่านั้นมี 13 ล้านคนเป็นพวกไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือเป็นพวกที่เชื่อว่าไม่สามารถ พิสูจน์ได้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า

              นอกจากนี้ Pew ยังพบอีกว่าคนอเมริกันที่ไม่เกี่ยวข้องศาสนาเหล่านี้จะเข้าร่วมกิจกรรมทาง ศาสนาน้อยกว่าคนทั่วไป โดยพวกเขาจะเข้าโบสถ์ไม่บ่อยหรือไม่เคยเข้าเลย พวกเขากล่าวว่าศาสนาไม่มีความสำคัญกับชีวิต Pew พบว่า 68% ของพวกไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาต่างก็พูดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า ในขณะที่ 37% อธิบายตัวเองว่าเป็นพวกเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ แต่ไม่ได้เชื่อในศาสนา และหนึ่งในห้าบอกว่าพวกเขาสวดมนต์ทุกวันด้วย

              John Green ที่ปรึกษาวิจัยอาวุโสของ Pew ได้แยกกลุ่มคนที่ไม่นับถือศาสนาออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่ 1: คือคนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบไม่เคยสัมผัสกับกิจกรรมทางศาสนาโดยสิ้นเชิง

กลุ่มที่ 2: คือพวกที่ไม่มีความสุขในศาสนาเลยหันหลังให้ศาสนา

กลุ่มที่ 3: คือชาวอเมริกันที่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนามาตั้งแต่ต้นแม้จะถูกเลี้ยงดูมาจากครอบครัวที่มีศาสนาก็ตาม

              “ในอดีต เราอาจอธิบายคนเหล่านี้ว่านับถือศาสนาแต่ในนาม พวกเขาอาจพูดว่า ‘ฉันเป็นแคทอริก; ฉันเป็นโปรแตสแตนท์’ แต่พวกเขาไม่เคยไปร่วมกิจกรรมทางศาสนาเลย"  Green กล่าวถึงคนกลุ่มสุดท้ายว่า “ปัจจุบันนี้ พวกเขากล้าพูดได้เต็มปากว่า ‘คุณรู้ไหม ฉันไม่นับถืออะไรเลย”

              จากการสำรวจพบว่า 88% ของคนที่ไม่นับถือศาสนา เป็นพวกที่ไม่ได้แสวงหาศาสนาใหม่แต่อย่างใด  Green กล่าวว่า “การไม่นับถือศาสนาทำให้มีมลทินติดตัวน้อยลง” “ปัจจัยที่เติมเต็มที่ทำให้จำนวนคนไม่นับถือศาสนาเพิ่มมากขึ้นคือ คนจำนวนมากที่ไม่เคยเคร่งในศาสนาต่างรู้สึกผ่อนคลายที่จะพูดว่าพวกเขาไม่มี ศาสนา

              จากสถิติของประชากร จำนวนคืนที่ไม่นับถือศาสนาที่เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดคือประชากรที่มีอายุ ระหว่าง 18-29 ปี  จากการสำรวจพบว่า 34% ของคนหนุ่มสาวที่เกิดระหว่างปี 1990 และ 1994 ไม่นับถือศาสนา ส่วนคนมีอายุซึ่งเกิดระหว่างปี 1981 และ 1989 กว่า 30% ไม่มีศาสนา ซึ่งคิดเป็น 4 % สูงกว่าปี 2007

              ผู้ตอบแบบสอบถามอายุระหว่าง 18-29 ระบุว่าพวกเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ก็เป็นพวกที่ เชื่อว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า เกือบ 42% เป็นคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับศาสนาจากกลุ่มอายุที่อธิบายก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่าพวกเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือเป็นพวกที่เชื่อ ว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า ซึ่งเป็นจำนวนที่มีมากกว่าพวกประกาศตนว่านับถือศาสนาคริสต์ (18%) และแคทอริก (18%)

              Green กล่าวว่า คนกลุ่มนี้เป็น “สัดส่วนของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในสังคมอเมริกัน” เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า “คนที่ไม่มีศาสนานับวันจะมีจำนวนมากยิ่งขึ้น”

              ตัวเลขของ Pew แน่นอนว่าทำให้ Jesse Galef ประธานกลุ่มคนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงและไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา หน้าบาน โดย Jesse Galef พูดว่าการเพิ่มจำนวนขึ้นของคนที่ไม่นับถือศาสนา สามารถแปลงไปเป็นพลังการเป็นตัวแทนด้านการเมืองที่ใหญ่โตขึ้นเพื่อผล ประโยชน์ของกลุ่มที่ไม่นับถือศาสนาได้

              Galef กล่าวว่า “พวกเรารักที่จะเห็นผู้นำทางการเมืองพูดถึงเรื่องนี้ แต่พวกเราต้องต่อสู้กับพวกการเมืองอย่างจริงจังโดยใช้ตัวเลขด้านประชากร ศาสตร์ พร้อมด้วยผู้ลงคะแนน” “เพราะผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงจำนวนมากที่ไม่นับถือศาสนาและประกาศชัดเจนว่า พวกเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือเป็นพวกที่เชื่อว่าไม่ สามารถพิสูจน์ได้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้า ผมคิดว่านักการเมืองจะต้องทำตามข้อเรียกร้องของเราเพื่อคะแนนเสียงของตน”

              Galef พูดว่า “ พวกเราจะไม่ถูกขับไล่และละเลยอีกต่อไป”

              การสำรวจของ Pew ได้เสนอแนะว่า พรรค Democrat จะทำได้ดีกับการให้การยอมรับการเพิ่มจำนวนขึ้นของคนไม่นับถือศาสนา เพราะ 63% ของพวกเขาประกาศตัวว่าสนับสนุนพรรค Democrat มีเพียง 26% ของคนที่ไม่นับถือศาสนาเท่านั้นที่สนับสนุนพรรค Republican

              Green ทำนายว่า "ในอนาคตอันใกล้นี้ ถ้าไม่ใช่ปีนี้ กลุ่มผู้ที่ไม่นับถือศาสนาที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงจะมีบทบาทสำคัญไม่ต่างไป กว่าพวกที่นับถือศาสนาที่ให้การสนับสนุนพรรค Republican

              Green ได้ชี้ให้เห็นว่า ผลของ exit polls ในปี 2008 เป็นหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับการทำนาย เพราะในปีนั้น John McCain ผู้สมัครประธานาธิบดีพรรค Republican พ่ายแพ้ประธานาธิบดี Barack Obama โดยได้ 47 คะแนน จากผู้ลงคะแนนจากศาสนิกชนของศาสนาคริสต์อีแวนเจลิค (ซึ่งเป็นสายหนึ่งในนิกายโปรแตสแตนท์) ขณะที่ Obama ได้ 52 คะแนน จากกลุ่มคนที่ไม่นับถือศาสนา ทำให้ได้รับชัยชนะเหนือ McCain

              จากผลสำรวจ exit polls สัดส่วนของคนอเมริกันที่ไม่นับถือศาสนาซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนผู้สมัคร ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพรรค Democrat มีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นถึง 14 คะแนน จากปี 2000 ถึง 2008

              จากการประกาศผลการสำรวจในการสัมมนาสมาคมนักเขียนข่าวศาสนา ณ กรุง Bethesda, Maryland, Green ได้กล่าวว่า อำนาจทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นของกลุ่มคนที่ไม่นับถือศาสนาภายในพรรค Democrat มีลักษณะคล้ายกับอำนาจของพวก Religious Right ที่ได้มาใน GOP ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เขากล่าวว่า “จำนวนคนที่ไม่นับถือศาสนาที่เพิ่มมากขึ้น จำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพในการควบคุม”

.....................

(หมายเหตุ : ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20121014/142290/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%991%E0%B9%83%E0%B8%995%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%98%E0%B8%99..html)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์ ‎“จาลวรรค” ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์

  วิเคราะห์ ‎“จาลวรรค” ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์ บทนำ “จาล...