วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2564

“พิชัย”ชี้ 3 ปม"แก้รธน.-ปรับครม.-ข้าวเมียนมา" ทำไทยหมดเชื่อมั่น "บิ๊กตู่" ไปต่อยาก

  


วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2564 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวในงานเสวนา “วิกฤตเศรษฐกิจหลังรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ ประเทศไทยจะไปต่ออย่างไร” ที่พรรคเพื่อไทยว่า  ประชาชนจำนวนมากรู้สึกผิดหวัง และ หมดหวังเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกคว่ำในสภา ทั้งๆที่ทุกฝ่ายทราบดีว่ารัฐธรรมนูญนี้มีปัญหา รัฐบาลเองยังกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน และ สส. ฝั่งรัฐบาลเป็นฝ่ายเข้าชื่อเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้เอง แต่กลับคว่ำเสียเอง และยังไม่รับผิดชอบ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่โดยปกติ ขนาดแค่ พรบ. ที่เสนอโดยรัฐบาลถูกตีตก รัฐบาลยังต้องลาออกเลย ซึ่งการเสนอแก้รัฐธรรมนูญนี้สำคัญกว่าการเสนอ พรบ. อย่างมาก ทำให้ประชาชนจำนวนสิ้นหวังและเบื่อหน่ายกับความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจทั้งที่บริหารประเทศได้อย่างย่ำแย่ แต่ก็ยังพยายามจะรักษาอำนาจไว้ ทำให้ประเทศเสื่อมลงทุกวัน ประชาชนลำบากกันอย่างมากและสิ้นหวังกับผู้นำที่ตามโลกไม่ทันนี้ 

หลังจากประชาชนจำนวนมากแสดงความผิดหวัง ผู้นำกลับกล้าท้าทายว่าถ้าไม่อยากให้สืบทอดอำนาจ ก็ไปแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ ยิ่งตอกย้ำเหมือนต้องการทำลายความรู้สึกของประชาชนให้มากขึ้น เท่ากับยอมรับเองว่ารัฐธรรมนูญนี้เขียนมาเอง ล็อกมาเอง แก้ไขไม่ได้ ผูกขาดให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะบริหารประเทศได้ล้มเหลวขนาดไหนก็ตาม ทิศทางของประเทศไทยมีแต่จะย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ วิกฤตเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วจะยิ่งวิกฤตมากขึ้น 

หลังจากที่คว่ำการแก้รัฐธรรมนูญแล้ว รัฐบาลยังใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุม จน ผบ. ตร. ต้องออกมาขอโทษ ซึ่งเป็นขบวนการคว่ำการแก้รัฐธรรมนูญและปราบม็อบเพื่อที่จะรักษาอำนาจของตนเอง แต่การชุมนุมที่ราชประสงค์หลังจากนั้น ปริมาณคนกลับเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะมาจากความอึดอัดที่ต้องทนอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ มีการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม มีการคุมขังแกนนำทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุด พลเอกประยุทธ์ยังกล้าท้าทายประชาชนที่เบื่อหน่ายให้แก้รัฐธรรมนูญให้ได้ก่อน เพราะทราบดีว่ารัฐธรรมนูญนี้ล็อกตายเพื่อตัวเอง อีกทั้งยังกล้าพูดว่าตนเองไม่ได้เป็นเผด็จการ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาแสดงความเป็นเผด็จการมาตลอด แล้วยังปล่อยให้มีการส่งข้าวให้กับเผด็จการทหารพม่าที่สั่งฆ่าประชาชนชาวพม่าอยู่ในปัจจุบัน แสดงความเป็นพวกเดียวกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้ายังไม่เห็นทิศทางว่าปากท้องของประชาชนจะดีขึ้นได้อย่างไร รัฐบาลทำได้แค่การแจกเงินเพื่อซื้อเวลาเท่านั้น ซึ่งทำให้หนี้สินของประเทศพุ่งกระฉูด แต่ประเทศกลับไม่ได้พัฒนา เพราะแจกเงินแล้วก็หมดไป ดังนั้นเมื่อประชาชนจำนวนมากคิดเหมือนกันดังนี้ จึงได้พากันออกมาชุมนุมกันอีกเป็นจำนวนมาก และน่าจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต 

ตามเหตุผลที่กล่าวข้างต้นจึงอยากจะชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่และทรุดหนักลงไปอีกเรื่อยๆ เมื่อมีการคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วย 3 ปัญหาดังนี้ 

1. ประเทศไทยจะติดกับดักกับผู้นำที่ขาดความรู้ความสามารถ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วตลอด 6 ปีกว่า และยังคงแสดงความล้มเหลวในการบริหารอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ โดยล่าสุดยังมีงบประมาณที่มีการกู้เงินมากกว่าการลงทุน ซึ่งเป็นหนทางแห่งความล่มสลายได้ อีกทั้งยังจัดงบประมาณปี 65 น้อยลงกว่างบประมาณ ปี 64 ถึง 5.66% ทั้งที่ประเทศต้องการการลงทุนเพื่อการพัฒนา ทั้งนี้เพราะกลัวถูกด่าว่ากู้มากไป นอกจากนี้เศรษฐกิจปีนี้ จะขยายตัวได้ต่ำมากไม่มีทางถึง 4% ตามที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลโม้ไว้ ล่าสุดแบงค์ชาติคาดว่าจะเหลือประมาณ 3% หรือ ต่ำกว่าซึ่งเชื่อว่าจะต่ำกว่ามาก อีกทั้งสภาวะเงินทุนไหลออกจะมีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอีก

2. การหาคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยงานจะทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย จะเห็นได้จากบุคคลากรที่บริหารเศรษฐกิจปัจจุบันขาดความรู้ความสามารถและขาดความเข้าใจทางเศรษฐกิจ ได้แต่ขายฝันไม่ต่างจากทีมของนายสมคิดในอดีต แต่ที่แย่กว่าคือความรู้ความสามารถอีกทั้งบารมีทั้งในและนอกประเทศก็ยังด้อยกว่านายสมคิดมาก เศรษฐกิจไทยจึงน่าจะฟื้นยาก อีกทั้ง การปรับ ครม. ครั้งล่าสุดไม่ได้แก้ปัญหาประเทศแต่อย่างไร ปรับเพื่อรักษาสมดุลย์ในพรรคเท่านั้น ดังนั้น ไม่เพียงแต่เศรษฐกิจจะแย่แล้ว สังคม การเมือง ไอซีที และ การศึกษา จะย่ำแย่ตามไปด้วย 

3. ประเทศไทยหมดความน่าเชื่อถือ ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ ยิ่งพลเอกประยุทธ์ท้าคนที่เบื่อพลเอกประยุทธ์ให้แก้รัฐธรรมนูญให้ได้ก่อน ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่ารัฐธรรมนูญนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้นำที่ล้มเหลวได้ นอกจากนี้ยังมีการกระทำที่สวนกับประชาคมโลก ทั้งการนัดพบกับตัวแทนของเผด็จการทหารพม่าที่เป็นที่น่ารังเกียจของชาวโลกในปัจจุบันที่เข่นฆ่าประชาชนอย่างอุอาจโดยไม่สนใจการต่อต้านของนานาชาติ อีกทั้งยังมีการปล่อยให้มีการจัดส่งอาหารให้กับเผด็จการทหารพม่าซึ่งเปรียบเหมือนยุทธปัจจัยเพื่อเป็นกำลังบำรุงสนับสนุนเผด็จการทหารพม่าให้เข่นฆ่าประชาชนพม่าเพิ่ม  จนชนกลุ่มน้อย กองพลที่ 5 กองกำลังสหภาพแห่งชาติกระเหรี่ยง (KNU) ต้องมีแถลงการณ์ออกมาต่อต้านและประกาศจะไม่เกรงใจ การกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน เพราะจะทำให้ประชาชนชาวพม่าที่เกลียดเผด็จการทหารพม่าอยู่แล้วจะพลอยเกลียดรัฐบาลไทยไปด้วย อีกทั้งหากมีการแซงชั่นจากนานาชาติเพื่อทำโทษเผด็จการทหารพม่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์อาจจะโดนไปด้วยที่ปล่อยให้มีการสนับสนุนส่งอาหารให้เผด็จการทหารพม่า นอกจากนี้ การปราบผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง และมีสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บ จนกระทั่งสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ต้องออกแถลงการณ์ประท้วงการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นข่าวไปทั่วโลกแล้ว ทำให้ภาพลักษณ์ไทยไม่ต่างจากพม่าเลย การหมดความน่าเชื่อถือจะส่งผลกระทบถึงการค้าการลงทุนในอนาคต ซึ่งไทยมีปัญหาอยู่แล้วจะยิ่งมีปัญหามากขึ้น

นี่เป็น 3 ปัญหาที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าหากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเทศจะจมปลักกับผู้นำที่ไม่มีความรู้ความสามารถและไม่ทันโลก ประเทศไทยจะเสื่อมลงเรื่อยๆ ประชาชนจะยิ่งลำบาก จะมีสภาพไม่ต่างจากพม่าในอดีตและที่กำลังจะเป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันกดดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เร็วที่สุด เพื่อนำประเทศไทยให้กลับมาเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกได้อีกครั้งเพื่อเศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาได้อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ดร.นิยม เวชกามา" จับมือกรรมาธิการศาสนา สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่ไปช่วยแก้ปัญหาตั้งวัดในศรีสะเกษกว่า 300 แห่ง

วันที่ 24 เมษายน 2567 ดร.นิยม เวชกามา ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม  เวชยชัย ในฐานะอนุกรรมมา...