การวิเคราะห์ประชาธิปไตยในปริบทพุทธสันติวิธีชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ในระบอบประชาธิปไตย เพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความเข้าใจ และเสริมสร้างความยั่งยืนในสังคมไทย การบูรณาการดังกล่าวไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาปัจจุบัน แต่ยังสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตของชาติ
1. บทนำ
ประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่มีรากฐานอยู่บนหลักการสิทธิ เสรีภาพ และเสมอภาค ในขณะเดียวกัน หลักธรรมะในพุทธศาสนาก็เน้นถึงความสมดุล ความเมตตา และความร่วมมือที่นำไปสู่ความสงบสุขของสังคม การวิเคราะห์ประชาธิปไตยผ่านมุมมองพุทธสันติวิธีจึงช่วยสะท้อนถึงแนวทางในการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่สมานฉันท์และยั่งยืน โดยอาศัยการนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้กับวิธีการปกครองและการพัฒนาสังคม ภายใต้การบรรยายของศาสตราจารย์ ดร. พระเมธีวัชรบัณฑิต (หรรษา ธมฺมหาโส) ป.ธ.6 เจ้าอาวาสวัดใหม่ (ยายแป้น) กรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรสันติศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รับนิมนต์จากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ความรู้แก่นักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง เกี่ยวกับธรรมะกับประชาธิปไตย ตามทีได้โพสต์เฟซบุ๊ก Hansa Dhammahaso ข้อความว่า บรรยายธรรมะกับประชาธิปไตย แต่นักการเมืองถามถึงห่วงใยสถาบันศาสนากับความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ
ส่วนตัวแม้จะจบการศึกษาหลักสูตร ปปร. รุ่น 15 ของสถาบันพระปกเกล้า แต่ก็มิใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ไปบรรยายแก่นักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง เกี่ยวกับธรรมะกับประชาธิปไตย ก็ยังพอจะทำให้มั่นใจได้ว่าน่าจะนำเสนอมุมมองเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้บ้าง
ประชาธิปไตยที่ผ่านการเรียนรู้และพอจะจับประเด็นในช่วงที่เรียนที่พระปกเกล้า ประกอบด้วยมิติที่สำคัญ 3 ประการ คือ (1) อุดมการณ์ ปชต. ได้แก่ สิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ (2) ระบบ ปชต. ได้แก่ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ (3) วิถี ปชต. เช่น สิทธิมนุษยชน สันติวิธี การมีส่วนร่วม และความสำนึกรับผิดชอบ เป็นต้น
ถ้าจะแบ่งประชาธิปไตยออกเป็น 2 ภาค ก็จะเห็นที่ภาคที่ว่าด้วยระบอบการปกครอง และภาคที่ว่าด้วยนักปกครอง เพลโตแบ่ง 2 ประเด็นนี้ค่อนข้างชัด ถึงกระนั้น สิ่งที่เพลโตย้ำมาก และดูว่าจะให้ความสำคัญและพูดบ่อยคือ การมุ่งไปที่นักปกครองตามแบบฉบับ Philosopher King หรือราชาปราชญ์ดังที่ปรากฏใน Republic จนหลายคนรับรู้ว่า ประชาธิปไตยแบบเพลโต คือ คณาธิปไตย มิใช่ประชาธิปไตยแบบพวกมากลากกันไป ผู้ปกครองจึงต้องมีทักษะที่ผ่านการฝึกฝนพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนมีความรอบรู้ในการปกครอง
15 ปีก่อน สถาบันพระปกเกล้า โดยท่าน ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่เป็นเลขาธิการสถาบันในขณะนั้น ได้จัดสัมมนานานาชาติ โดยนำเอาภูมิปัญญาตะวันตก เรื่อง #Philosopher_King มาอธิบายเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างกับ #ธรรมราชา โดยนำพระเจ้าอโศกมาถอดบทเรียนสงครามวิชัยสู่ธรรมวิชัย แปรสงครามที่รบด้วยอาวุธสู่การใช้ธรรมอำนวยสันติสุข ก่อนหน้านั้นยุคพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เคยใช้แนวทางนี้กับพระเจ้าอชาตศัตรู
ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมา นักปกครองของไทยก็ได้นำหลักการธรรมราชา โดยการแปรรูปทศพิธราชธรรมมาเป็นกรอบคิดหลักในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ดังที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงล่วงถึงกฏหมายตราสามดวง จะเห็นว่าสร้อยพระนามของพระมหากษัตริย์ในหลายยุคก็นำธรรมราชาใช้ตั้งชื่อ และบางยุคก็ตั้งเป็นพระนามหลักเป็นพระธรรมราชาก็มี แต่เมื่อเปลี่ยนระบอบการปกครอง เราก็หันไปใช้อุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบตะวันตก ทั้งสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ
ธรรมราชา ที่สัมพันธ์กับทศพิธราชธรรมจึงทำให้ผู้คนเข้าใจผิด (Myth) คิดคลาดเคลื่อนไปว่า เป็นหลักธรรมจำเพาะเจาะจงไปที่พระมหากษัตริย์เท่านั้น เพระให้พระมหากษัตริย์ปฏิบัติตนเหนือความคาดหวังของประชาชนทั่วไปในฐานะสมมติเทพตามที่อ้างอิงบ่อยๆ ในสมัยอยุธยาจนมาถึงยุคธนบุรี และรัตนโกสินทร์
ความจริงแล้ว ในทางพุทธศาสนา หลักทศพิธราชธรรมเป็นตัวชี้วัด (KPIs) นักปกครองทุกคนที่ก้าวสู่ตำแหน่งของนักปกครองตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน ที่จะต้องนำมาแปรลงสู่การปฏิบัติ (Implementation) ให้เหมาะกับตำแหน่ง ยุคสมัย และบริบทการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นข้าราชการการเมือง หรือข้าราชการประจำ
หัวใจสำคัญของทศพิธราชธรรม คือ #การนำธรรมไปทำ หรือนำธรรมลงสู่การปฏิบัติการ จนทำให้ผู้รับบริการหรือพลเมืองเกิด #ความพึงพอใจ ตามรูปวิเคราะห์ของราชาที่ว่า ธัมเมน ปเร รัญเชตีติ ราชา ผู้ใด ทำให้ผู้อื่นพอใจโดยธรรม เหตุนั้น ผู้นั้น เรียกว่าราชา
ธรรมะทั้ง 10 ข้อของทศพิธราชธรรม ประกอบด้วยทาน ศีล บริจาค อาชชวะ มัททวะ ตบะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ อวิโรธนะ จึงกลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานหรือเป็นมาตรวัดคุณสมบัติขั้นต่ำของผู้ปกครองว่า ถ้าเดินทางตามกรอบนี้ ทั้งหลักการและการปฏิบัติก็จะทำให้เกิดการยอมรับ และเป็นที่มาของความศรัทธาน่าเชื่อถือให้แก่พลเมืองทั้งหลายได้เกิดความอบอุ่นใจ และพร้อมที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์กับผู้ปกครอง ในการสร้างความมุ่งคง มั่งคั่ง และเป็นสุขแก่ชาติบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักปกครอง ทั้งที่เป็นข้าราชการการเมือง และข้าราชการประจำ ตั้งข้อสังเกตในช่วงพักเบรก และหลังการบรรยาย คือ ความห่วงใยที่มีต่อสถาบันศาสนาที่เป็นหนึ่งสามของสถาบันหลักของชาติซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับการตั้งถาม และสั่นคลอนในหลายๆ มิติ จนพลเมือง โดยเฉพาะผู้ปกครองต้องหันมาพิจารณาอย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ศาสนา หรือองค์กรทางศาสนาเป็นเครื่องมืออำนวยความสงบสุขแก่พลเมืองอย่างแน่นอน นักการปกครองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่มองเห็นคุณค่าของศาสนา หรือองค์กรศาสนา จึงเพียรพยายามที่นำหลักธรรม หรือกฏธรรมชาติไปออกแบบ แล้วปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับบริบทและวิถีชีวิต ชุมชน และสังคม เพื่อให้พลเมืองอยู่เย็นเป็นสุข
เมื่อใดที่นักปกครองเริ่มรู้สึกว่า ศาสนา หรือองค์กรศาสนาที่ชนชั้นปกครอง หรือพลเมืองนับถือเริ่มไม่ค่อยตอบโจทย์ข้างต้น รวมถึงการแสดงออกของกลุ่มคนที่เป็นศาสนิกของศาสนาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของชุมชนและสังคม เมื่อนั้น ชนชั้นปกครองทั่วโลก ก็จะมีท่าทีหลายๆ อย่าง เช่น ปรับนโยบายที่มีต่อศาสนา ปรับโครงสร้างรวมถึงออกแบบแนวปฏิบัติต่อองค์กรศาสนา หรือแม้กระทั่งลดทอนคุณค่าและความสำคัญของศาสนาให้ไปอยู่ในรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะกับสมรรถนะ หรือความเป็นไปของสังคม
บรรยายที่สำนักงาน กกต. วันนี้ จึงได้สองมุมมอง คือ มุมมองของศาสนา หรือหลักธรรมที่ผู้ปกครองสามารถนำไปปรับใช้ (Excution) และมุมมองที่ผู้ปกครองมีต่อสถานการณ์ของศาสนาในสังคมไทย ทั้งสองมุมมองนั้น นับว่าเอื้อเฟื้อเกื้อหนุนกันทั้งสองด้าน อันจะส่งผลต่อการจัดวางท่าทีระหว่างศาสนจักรและอาณาจักรให้สามารถอยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่พลเมืองต่อไป
ประชาธิปไตยในสังคมไทยมีพัฒนาการที่สัมพันธ์กับแนวคิดธรรมราชาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งใช้ ทศพิธราชธรรม เป็นกรอบในการบริหารกิจการบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม เมื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองในปี พ.ศ. 2475 สังคมไทยหันมารับอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบตะวันตก ทว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงเผชิญความท้าทายจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับบทบาทของผู้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ในปัจจุบัน แม้ประชาธิปไตยไทยจะมีการพัฒนาด้านสิทธิและเสรีภาพ แต่ก็ยังพบปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการบริหารที่ขาดธรรมาภิบาล สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นไปได้ของการนำหลักพุทธสันติวิธีมาเป็นแนวทางในการสร้างประชาธิปไตยที่สมานฉันท์
3. หลักการและอุดมการณ์
แนวคิดพุทธสันติวิธีในบริบทประชาธิปไตยสามารถแบ่งได้เป็นสามมิติสำคัญ:อุดมการณ์: ยึดมั่นในหลักสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ โดยประยุกต์ใช้ความเมตตา กรุณา และขันติธรรมระบบ: ส่งเสริมธรรมาภิบาลผ่านหลัก ทศพิธราชธรรม ได้แก่ ทาน ศีล บริจาค อาชชวะ มัททวะ ตบะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ และอวิโรธนะวิถีทาง: ใช้สันติวิธี การมีส่วนร่วม และความสำนึกรับผิดชอบเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง
4. วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์
วิสัยทัศน์: การสร้างสังคมประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืน โดยเน้นความสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพและธรรมาภิบาล
ยุทธศาสตร์: การศึกษา: บรรจุหลักพุทธสันติวิธีและทศพิธราชธรรมในหลักสูตรการเรียนการสอน
การบริหาร: สร้างระบบการตรวจสอบที่โปร่งใสโดยอิงหลักธรรมาภิบาล
การสื่อสาร: ส่งเสริมการใช้สื่อสร้างสรรค์ที่เน้นคุณธรรมและความร่วมมือ
การมีส่วนร่วม: ส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจ
5. แผนโครงการเชิงปฏิบัติ
โครงการอบรมผู้นำธรรมราชา: พัฒนาผู้นำที่มีคุณสมบัติตามกรอบ Philosopher King ของเพลโตและ ธรรมราชา ของพุทธศาสนา
โครงการสร้างเวทีเสวนาประชาธิปไตยแบบสันติวิธี: เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อสร้างความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย
โครงการเผยแพร่ธรรมะเพื่อสังคมประชาธิปไตย: รณรงค์ผ่านสื่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงบทบาทของธรรมะในระบอบการปกครอง
6. อิทธิพลต่อสังคมไทย
การประยุกต์ใช้พุทธสันติวิธีในประชาธิปไตยจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในสามด้าน:
การเมือง: ลดความขัดแย้งและส่งเสริมธรรมาภิบาล
สังคม: สร้างวัฒนธรรมความสมานฉันท์และความรับผิดชอบร่วมกัน
เศรษฐกิจ: ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านหลักความพอเพียง
7. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
สนับสนุนการศึกษาด้านประชาธิปไตยเชิงคุณธรรม: เพิ่มการบูรณาการหลักธรรมะในหลักสูตรการพัฒนาผู้นำ
ส่งเสริมธรรมาภิบาลในทุกระดับ: กำหนดให้ ทศพิธราชธรรม เป็นมาตรวัดประสิทธิภาพของนักปกครอง
สร้างกลไกการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์: ใช้สื่อในการเผยแพร่ความรู้และปลูกฝังอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น