เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวหลังจากที่พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ และ พระมหาสมปอง ตาลปุตโต 2 พระนักเทศน์ชื่อดัง เข้ามาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่ห้อง CA303 อาคารรัฐสภาเกียกกาย ในกรณีที่มีข้อร้องเรียนและวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างในสังคมกรณีไลฟ์สดของพระสงฆ์ทั้งสองรูปว่า ตามบทบาทและอำนาจหน้าที่ ของ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม มีหน้าที่และอำนาจกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการอุปถัมภ์ ทำนุบำรุงและคุ้มครองศาสนาและโบราณสถาน การอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมประชาธิปไตย ภูมิปัญญาชาวบ้าน เอกลักษณ์แบบวิถีชีวิตไทย และศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ซึ่งผู้ที่มาชี้แจงในครั้งนี้ก็คือพระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง รวมถึงได้มีตัวแทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาร่วมด้วย
จากการประชุมกว่า 1.30 ชั่วโมง ได้มีแนวทางเพื่อให้เป็นทางออกต่อทุกฝ่ายโดยมีข้อเสนอให้พระสงฆ์ทั้งสองรูปปฏิบัติคือ
1.ให้ลดปริมาณของความตลกขบขันลง เพื่อให้เหมาะกับความเป็นสมณสารูป
2.ให้งดการโฆษณาทุกรูปแบบที่อาจมีเงินค่าโฆษณาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีเป็นพุทธพาณิช
3.การเผยแพร่ธรรมะทาง Online ถือสิ่งดีควรสนับสนุนให้พระทั่วโลกดำเนินการเผยแผ่ในกิจกรรม Online
นายเพชรวรรต กล่าวต่อไปว่า สำหรับการลดการตลกขบขันในเบื้องต้น กมธ. เสนอให้แบ่งสัดส่วนให้มีเนื้อหาขบขันลดลงให้เหลือ 30% และเนื้อหาธรรมะ 70% แต่พระมหาสมปองได้ขอร้องว่า ในช่วงแรกขอให้แบ่งสัดส่วนเป็น 50:50 % ก่อนเพราะมีโยมที่เข้ามาฟังไลฟ์ถึง 90% ที่เป็นวัยรุ่นซึ่งการเน้นเนื้อหาธรรมะมากไปบางครั้งจะเพิ่มความตึงเครียดจนเกินไป อีกทั้งการผ่อนคลายในภาวะที่ทุกคนอยู่ในความเครียดในภาวะโควิดก็จะเป็นการผ่อนคลายจากวิกฤตความซึมเศร้า ความทุกข์ใจต่างๆ ได้ ซึ่งทางคณะ กมธ. ก็ได้เปิดโอกาสให้ ส่วนการโฆษณาสินค้าไม่ควรหารายได้จากการโฆษณาไม่ว่ากรณีใดๆ แต่หากมีการประชาสัมพันธ์ที่ไม่แสวงหารายได้นั้นทำได้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนยามค้าขายลำบาก สำหรับการบอกบุญเพื่อนำมาเป็นทุนในการพัฒนาระบบและกิจกรรมการเทศนา ก็ขอให้เหมาะสม และส่วนที่สามคือ ให้ช่วยกระจายและช่วยสนับสนุนให้พระสงฆ์ท่านอื่นๆ ทั่วโลกได้มีโอกาสเรียนรู้ การเผยแผ่ทาง Online ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปถึงกับประชาชนที่ขณะนี้ไร้ที่พึ่ง ทำให้เปิดช่องให้ทำผิดศีลผิดธรรม ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคอรัปชั่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาการพนัน ปัญหามีบุตรก่อนวัยอันควร จนส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีผู้ที่ถูกจำคุกด้วยคดีอาญาเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 6 ของโลก
นายเพชรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่า การเผยแผ่ธรรมะที่ทำให้มีผู้รับฟังธรรม พร้อมกันถึง 2.5 แสนคนถือเป็นมิติใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน หากต้องใช้งบของรัฐบาลเพื่อที่จะนำประชาชนมานั่งฟังธรรมพร้อมกันในจำนวนมากถึงขนาดนี้รัฐจะต้องใช้งบประมาณเท่าใด หากคิดตามมูลค่าที่เอกชนคิดค่าเข้าชมในบางรายการ ค่าตั๋วเข้ารับฟังอาจมีราคา 1,000 บาทต่อคน ถ้าสมมุติว่าการฟังเทศนาที่แต่ละคนที่จะเข้ามารับฟังต้องจ่ายคนละ 1,000 บาท รัฐจะต้องมีงบประมาณที่จะทำให้ประชาชนมาฟังธรรมต่อครั้งถึง 250 ล้านบาทต่อครั้งเลยดีเดียว แต่สิ่งนี้กลับกลายว่ามีพระวัยรุ่นเพียง 2 รูปเข้ามาช่วยเหลือ
"หากรัฐเข้าไปให้การช่วยเหลือและสนับสนุน โดยวางกรอบให้ดี ทั้งในแง่ของเส้นที่ขีดว่าจะเกินขอบเขตสมณสารูปกับเส้นที่ขีดที่จะสร้างความเบิกบานให้กับผู้ฟังให้ชัดเจน สิ่งนี้จะก่อให้เกิดปรากฏการใหม่ในสังคมไทย โดยส่วนตัวคิดว่าจะสร้างคนดีให้เกิดในสังคมเพิ่มอีกจำนวนมาก ซึ่งอาจจะตรงกับคำทำนายว่ายุคนี้คือยุค “ศิวิไลซ์” และต่อไปจะเป็นยุค "ไทยมหารัฐ" ตามคำทำนายที่โบราณว่าไว้" นายเพชรวรรต กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น