วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2563

กองทุนสื่อจับมือ "WBTV" ขับเคลื่อนงานพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์



วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา มอบหมายพระราชพรหมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย พระศรีวชิราภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา โดยมี ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ ในพิธีเปิดโครงการสถานีโทรทัศน์พระพุทธศาสนาเพื่อการพัฒนาการผลิตและเผยแพร่สื่อสร้างสรรค์ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติฯ WBTV วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร

โครงการดังกล่าว เป็นการบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ นำเสนอเครือข่ายพลังบวร ผ่านรายการโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น มรดกวัฒนธรรม และพระพุทธศาสนา เชื่อมเครือข่ายคณะสงฆ์และหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านสถานีพระพุทธศาสนา และสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างช่องทางการนำเสนองานเครือข่ายพลังบวร ผ่านช่องทางสื่อดิจิทัลสถานีโทรทัศน์พระพุทธศาสนา และทางสื่อสังคมออนไลน์ 2) เพื่อผลิตรายการเรื่องเล่าของท้องถิ่น มรดกวัฒนธรรม พระพุทธศาสนา มาถ่ายทอดในรูปแบบที่น่าสนใจ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้าง เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเข้าร่วมสัมผัสวิถีวัฒนธรรมและพระพุทธศาสนา และ 3) เพื่อเชื่อมเครือข่ายคณะสงฆ์และหน่วยงานต่าง ๆ ในการร่วมสร้างสรรค์ พัฒนา ผลิตรายการสื่อสร้างสรรค์พลังศรัทธาและกิจกรรมของคณะสงฆ์ ซึ่งมุ่งประสงค์ให้เกิดช่องทางการนำเสนองานเผยแพร่วิถีใหม่ด้านพระพุทศาสนา และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านความร่วมมือของคณะสงฆ์ พุทธศาสนิกชน และหน่วยงานภาคีเครือข่ายในการพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตและเผยแพร่สื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ในสังคม

สามารถติดตามรายการละเอียด "สถานีพระพุทธศาสนา" ได้ทาง WBTV สถานีวิทยุโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติฯ https://www.facebook.com/WBTVwatyannawa หรือ https://www.youtube.com/c/WBTVwatyannawa

 

"ชาญกฤช" เปิด 3 ชุด สคบ.ของขวัญปีใหม่ โค้ดส่วนลด "shopee และ Lazada" ลดแล้ว-ลดอีก!


 
"ชาญกฤช" เปิด 3 ชุด สคบ.ของขวัญปีใหม่ โค้ดส่วนลด "shopee และ Lazada" ลดแล้ว-ลดอีก!! พร้อมบริการตรวจเช็ครถยนต์ฟรีกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ หวังลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง 

วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้มอบหมายให้ สคบ.ประสาน 2  บริษัทอี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ จัดส่วนลดและแจกคูปอง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับพี่น้องประชาชน ได้แก่ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อซื้อสินค้าครบ 300 บาทขึ้นไป รับส่วนลด 15% หรือส่วนลดสูงสุด 100 บาท ซึ่งจะใช้ได้ระหว่างวันที่ 1-31 มกราคม 2564 โดยมีเงื่อนไขต้องกดรับโค้ดผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่น shopee ก่อนซื้อสินค้า ซึ่งสงวนสิทธิ์เฉพาะร้านค้าใน shopee Mall เท่านั้น  และบริษัท ลาซาด้า  จำกัด ซึ่งมอบส่วนลด 10% สำหรับซื้อสินค้าขั้นต่ำ 500 บาท พร้อมแจกคูปองกว่า 10,000 โค้ด เพื่อเลือกซื้อสินค้าใน Lazmall ได้ทุกประเภท ระหว่างวันที่ 1-5 มกราคม 2564 ที่น่าสนใจ สามารถนำส่วนลดที่ได้รับ ไปเลือกซื้อสินค้าซึ่งลาซาด้ามีโปรโมชั่นอยู่แล้ว เพื่อใช้สิทธิ์รับส่วนลดเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย ทั้งนี้มั่นใจว่า นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นการเพิ่มกำลังซื้อในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมได้ด้วย



นายชาญกฤช กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ นายอนุชา ยังได้มอบหมายให้ สคบ.ประสานสมาคมผู้ประกอบการบริการซ่อมยานยนต์ ให้บริการตรวจเช็คสภาพความผิดปกติของรถยนต์เบื้องต้นนอกสถานที่ได้จากอู่ในเครือของสมาคมกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งกรณีเกิดเหตุรถเสียในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล สามารถติดต่อได้ที่หมายเลข 081-665-4444 และ 081-206-6600 ส่วนกรณีเกิดเหตุในพื้นที่ต่างจังหวัด สามารถติดต่อได้ที่หมายเลข 081-970-0654 ทั้งนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชนด้วย

ศบค.รับมอบหน้ากากอนามัย CP 3 หมื่นชิ้น แจกแรงงานต่างด้าว-กลุ่มเปราะบาง พื้นที่ระบาด



 ศบค.รับมอบหน้ากากอนามัย CP 3 หมื่นชิ้น แจกแรงงานต่างด้าว-กลุ่มเปราะบาง พื้นที่ระบาด “หมอทวีศิลป์” แนะการบริโภคข่าวอย่างระมัดระวัง ตรวจแหล่งข่าวให้ชัดเจน ขณะที่ “ซีพี” ยันกุ้งปลอดภัย ไร้โควิด เลี้ยงด้วยนวัตกรรม 3 สะอาด

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พร้อมด้วยนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รับมอบหน้ากากอนามัย CP เพื่อนำไปมอบให้แรงงานต่างด้าวและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รุนแรง จำนวน 30,000 ชิ้น และผลิตภัณฑ์กุ้งซีพี แปซิฟิก จากโครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19 มั่นใจ กุ้งซีพีแปซิฟิก” จากนายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เพื่อเป็นกำลังใจและสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์ และทีมบริหาร ศบค.

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. กล่าวว่า ในยามที่มีวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างนี้ ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจะต้องช่วยกัน พลังเพียงคนใดคนหนึ่งไม่สามารถจะผ่านวิกฤติการณ์นี้ได้ การรวมพลังจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะศึกนี้ใหญ่มากๆ ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ แต่เป็นระดับโลก การที่ได้เห็นน้ำจิตน้ำใจกัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ขนาดกลาง หรือใหญ่โต แต่ก็ก่อร่างสร้างตัวจากตัวบุคคลขึ้นมาก่อน และสามารถที่จะขยายใหญ่ขึ้นไประดับประเทศได้ ทั้งนี้ ขอบคุณ ซีพีเอฟ ที่นำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนคนทั่วไปที่มีความเสี่ยง และคนที่ดูแลผู้ป่วย มีความจำเป็นต้องใช้

“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะนี้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ เพราะมี 45 จังหวัดของประเทศไทยที่เริ่มพบผู้ติดเชื้อ รวมทั้งกำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุด การเคลื่อนที่ เคลื่อนย้าย การพบปะจะเกิดขึ้น มีการสังสรรค์กันในรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง หรือมีการลักลอบเล่นการพนัน ปาร์ตี้ยาเสพติด ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งสิ้น คงต้องนึกย้อนกลับไปช่วงที่เราร่วมมือกันอย่างเข้มข้น และมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเดือนมีนาคม ทุกคนให้ความร่วมมือกันอย่างดี และสามมารถคุมสถานการณ์ได้ ฉะนั้นตอนนี้จะคล้ายๆ กับช่วงเดือนมีนาคม ที่เรามองว่าเป็นช่วงวิกฤต ก็ไม่อยากให้กลับไปล็อคดาวน์กันอีกรอบ ดังนั้น เรามีบทเรียนกันมาแล้วรวมปี ฉะนั้นการจัดการแค่อนามัยส่วนบุคคลพวกเราให้ได้อย่างดี ทุกคนรับผิดชอบตัวเอง ครอบครัว สังคมจะดีขึ้นทันที”โฆษก ศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่หลายคนมีความกังวลเรื่องการบริโภคอาหารทะเลนั้น เรื่องการติดเชื้อทางเดินหายใจ หลักการดูแลของโรค สิ่งที่สัมผัส หรือสิ่งที่จะเข้าสู่ร่างกายส่วนใหญ่จะผ่านทางด้านทางเดินหายใจ มีเพียงเล็กน้อยที่เข้าทางด้านทางเดินอาหาร แต่หากมีการดูแลความสะอาด กินร้อน ช้อนส่วนตัว ล้างมือบ่อยๆ สามารถจัดการกับโรคโควิด-19 ได้ ฉะนั้นอย่าไปกังวลเรื่องการบริโภคอาหาร ซึ่งเชื่อมโยงไปกับพื้นที่บางพื้นที่ เพราะขณะนี้เกือบค่อนประเทศ มีอาหารต่างๆ มากมายที่โยงไปกับหลายจังหวัด จึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องที่เราจะต้องมาตื่นตระหนก ทุกอย่างต้องเดินไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ทั้งอุตสาหกรรมพื้นบ้าน พื้นที่เกษตร หรือจังหวัด ต้องเดินไป เพราะเรายังต้องบริโภค และใช้อยู่ทุกวัน สิ่งต่างๆ ที่จะเข้าตัวเราเท่านั้น ต้องดูแลให้สะอาด ก็จะปลอดภัย ซึ่งเป็นหลักการดูแลโรค ฉะนั้นเรื่องกุ้ง อาหาร มีข้อสรุปแล้วสามารถบริโภคได้ 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนที่มีการแชร์ข้อมูลผ่านโชเชียลต่างๆ เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะนี้มากมาย จนสร้างความตื่นตระหนกนั้น ทุกภาวะวิกฤตมีความตื่นตระหนก และนำมาสู่การหิวข่าว มีการบริโภคข่าวมากมาย พอมีความสนใจตรงนี้มากขึ้น กลุ่มคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือกลุ่มคนที่มีความตั้งใจ ก็จะมีการแชร์ข่าว หรือผลิตข่าวที่ไม่เป็นความจริงออกมา ทั้งด้วยความคึกคะนอง หรือความเข้าใจผิด ก็ทำให้ความตื่นตระหนกเหล่านั้นเกิดมากขึ้นอีก ดังนั้นควรระมัดระวังการบริโภคข่าว ถ้าไม่มั่นใจต้องทวนสอบ และดูต้นทางของแหล่งข่าว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่นายกรัฐมนตรี  ในฐานะผอ.ศบค. จึงต้องให้มีการแถลงข่าวประจำวันทุกวัน 

ด้านนายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า กระบวนการเลี้ยงกุ้งของเรา มีมาตรการในการป้องกันโควิด-19 ตั้งแต่การระบาดรอบแรก มีการใช้แรงงานที่ถูกกฎหมาย ตรวจปัองกันโควิด-19 เป็นอย่างดี และเป็นการเลี้ยงด้วยระบบไบโอซีเคียวริตี้ (Biosecurity) และนวัตกรรม 3 สะอาด ควบคู่ไปกับมาตรการ GAP โดยบริษัทฯ ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้การเลี้ยงสัตว์น้ำตามหลักวิชาการให้กับเกษตรกร เพื่อช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ปลอดภัย ปราศจากโรค และการปนเปื้อน ส่งตรงจากฟาร์มสู่โรงงานแปรรูปในพื้นที่ด้วยระบบขนส่งห้องเย็นที่ทันสมัย ลดการสัมผัสมือคน ทำให้กุ้งสด สะอาด ปลอดภัย ปราศจากเชื้อโควิด ผู้บริโภคสามารถนำไปปรุงสุกด้วยความร้อนและรับประทานได้อย่างปลอดภัย

 

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เจ้าคุณประสารโอด!ถูกจับโยงการเมือง ชนพระผู้ใหญ่


เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2563 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวข้องกับอาตมาที่ปรากฎทางสื่อซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความจริงได้ เช่น เกี่ยวกับการเมือง นักการเมือง หรือการออกมาพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมืองโต้พระเถระผู้ใหญ่ เป็นต้น           

ข้อเท็จจริงนั้นอาตมาอยากบอกทุกท่านผ่านทางสื่อว่าหลายปีที่ผ่านมานั้นอาตมาเลือกใช้วิธีเงียบ สงบ และปฎิบัติศาสนกิจในทางพระพุทธศาสนา โดยไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในทางการเมือง ซึ่งงานในทุกวันนี้นั้นได้เน้นงานบริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์ งานสอนหนังสือ ตรวจวิทยานิพนธ์พระนิสิต เป็นต้น        

ในส่วนกิจการงานพระพุทธศาสนาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปลายด้ามขวานของไทยนั้นได้มีการหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น พระธรรมกิตติเมธี ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พระครูปลัดกวีวัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์พิทักษ์ฯ และพระครูโฆสิตสุตาภรณ์ (ท่านขาว) เจ้าอาวาสวัดบูรพาราม อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ในฐานะฝ่ายวางแผนศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศสพ.จชต.) ว่าเห็นควรให้อาตมาได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการบริหาร การดำเนินงานของ ศสพ.จชต.เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนงานกิจการพระพุทธศาสนาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย        

บัดนี้ พล.อ.มณี  จันทร์ทิพย์  ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มภารกิจเสริมสร้างความร่วมมือ ที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค4 สน. และเลขาธิการศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนถาคใต้(ศสพ.จชต.) พระครูโฆสิตสุตาภรณ์ (ท่านขาว) ได้มีหนังสือจาก ศสพ.จชต. โดยท่านทั้งสองได้นิมนต์อาตมาให้ไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศสพ.จชต.) ซึ่งอาตมาก็ยินดี เต็มใจและตอบรับในตำแหน่งดังกล่าวเพื่อลงไปช่วยงานพระพุทธศาสนาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้         

ขณะนี้อาตมามีภารกิจด้านงานพระพุทธศาสนาอยู่มากพอสมควร การใดๆที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและอื่นๆจึงไม่มีเวลาและไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในส่วนนั้น

ลูกสาว"บิ๊กแนต"นั่งบอร์ดฟลอร์บอลโลก คนแรกในรอบ​ 32​ ปีของชาติอช.



"น้องน่าน" ภักดิ์กมล​ ศิริวัฒน์​ ลูกสาวคนโตของ​ "บิ๊กแนต" ชัยภักดิ์​ ศิริวัฒน์​ ประธานฟลอร์บอลเอเชีย​ ผงาดยึดเก้าอี้บอร์ดสหพันธ์​ฟลอร์บอลนานาชาติเป็น​คนแรกของเอเชียในรอบ​ 32​ ปี​ โดยได้รับความไง้วางใจจากชาติสมาชิก​ ในขณะที่​ โธมัส​ อีริคสัน​ ได้รับเลือกนั่งประธานต่ออีกสมัยดำรงค์ตำแหน่งถึงปี​ 2024 

จาการที่คณะกรรมการบริหารของสหพันธ์​ฟลอร์บอลนานาชาติ​ หรือ IFF​ ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่หลังจากนั่งครบวาระ​ 4​ ปีเป็นที่เรียบร้อย​ โดยการประชุมครั้งนี้มีชาติสมาชิก​ 43​ ประเทศ​เข้าร่วมประชุมผ่านซูมคอนเฟอร์เร้นท์​ ในตัวแทนของประเทศ​ไทยมีนายชัยภัก​ดิ์​ ศิริวัฒน์​ นายกสมาคมกีฬา​ฮอกกี้แห่งประเทศไทยและประธานฟลอร์บอลเอเชียเข้าร่วมประชุมพร้อมกับ​ นางสาวภักดิ์กมล​ ศิริวัฒน์​ ในฐานะกรรมการของฟลอร์บอลเมืองไทย​

เมื่อถึงวาระของการเลือกตั้งในที่ประชุมได้มีการพูดคุยอย่างกว้างถึงกับชาติสมาชิกในฝั่งของโซนเอเชีย-โอเชียเนีย​ ที่ต้องการเพิ่มสมาชิกอีก​ 1​ เก้าอี้จากเดิมมีแค่​ 1​ ตำแหน่งจากฝั่งโอเชียเนียเท่านั้น​ และเพิ่มฝั่งโซนอเมริกาเพิ่มอีก​ 1​ ที่​ หลังจากคณะกรรมการบริหารสหพันธ์​ฟลอร์บอลนานาชาติเดิมมีเพียงแค่​ 12​ คนมาเป็น​ 14​ คนโดยที่ประชุมเห็นดีด้วยเพื่อการพีฒนากีฬาฟลอร์บอลให้ขยายมากขึ้นในทุกโซนเพื่อหวังผลักดันกีฬาฟลอร์บอลเข้าสู่เกมแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ต่อไปในอนาคต

สำหรับคณะกรรมการบริหารสหพันธ์​ฟลอร์บอลนานาชาติ​ ทุกชาติสมาชิกยังมั่นใจให้​ มิสเตอร์​โธมัส​ อีริคสัน​ ชาวสวีเดน​ นั่งตำแหน่งประธานต่อไปอีก​ 4​ ปี​ ส่วนตำแหน่งกรรมการบริหารคนอื่นๆมีดังนี้​ รองประธานนายฟิลิป​ ซูมาน​ จากสาธารณรัฐเช็ก, เลขาธิการ​ นายจอห์น​ ลิลเจลุนด์ จากฟินแลนด์, เหรัญญิก​ โมนิกา​ เบอร์ดัน​ จากนอร์เวย์, กรรม​การ​บอร์ด​ นายจอร์จ เบียร์ จากสวิตเซอร์แลนด์, นายทามุซ​ ฮิดีร์​ จากยูเครน, นายสตีน​ เฮาแมน​ จากเดนมาร์ก, นายสตีเฟ่น​ คิง​ จากออสเตรเลีย, นายมาร์ติน​ คลาเบเร่จากสวีเดน, นายคาร์ลอส​ โลเปซ​ จากสเปน, นางสาวภักดิ์กมล​ ศิริวัฒน์จากประเทศไทย, นางคาร์ริน่า​ วูโอรี่ จากฟินแลนด์, นายแคลลี่ คาร์ลสัน​ จากสหรัฐ​อเมริกา​ และนางอกาตา​ เพลชาน​ จากโปแลนด์

จากการประกาศคณะกรรมการ​บริหาร​สหพันธ์​ฟลอร์บอลนานาชาติ​ ซึ่งจะดำรงค์ตำแหน่ง​ 4​ ปีนั้น​ การที่นางสาวภัก​ดิ์​กมล​ ศิริวัฒน์​ กรรมการบริหารฟลอร์บอลไทย  ได้ก้าวมานั่งในตำแหน่งบอร์ด​บริหารของฟลอร์บอลโลกถือว่าเป็นประวัติศาสตร์​ของชาติเอเชียที่ได้เข้าไปนั่งบริหารองค์กรระดับโลกในรอบ​ 32​ ปี​ ของการก่อตั้งสหพันธ์​ฟลอร์บอลนานาชาติขึ้นมา​ สำหรับการประชุมครั้งต่อไปของบอร์ดบริหารชุดใหม่จะมีขึ้นในวันที่​ 24​ มกราคมปี 2564​ ต่อไป

 

 

"เศรษฐพงค์" แนะศึกษารูปแบบกฎหมายให้ Google - Facebook จ่ายเงินให้สำนักข่าว



เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2563 พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และรองประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ว่า ออสเตรเลียกำลังจะกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการออกกฎหมายบังคับให้ Google และ Facebook จ่ายเงินให้สำนักข่าวต่างๆ โดยนาย Rod Sims ประธานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าและคุ้มครองผู้บริโภคบอกว่าออสเตรเลียกำลังจะสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมและสร้างความอยู่รอดที่สำคัญให้ธุรกิจสื่อกระแสหลักที่สำคัญ แต่ตัวแทนกูเกิลก็ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ร่างของกฎหมายนี้ที่เปิดเผยในต้นเดือนที่ผ่านมาว่าไม่สามารถทำได้จริง รวมทั้งสมาคมสื่อก็ยังไม่พอใจในเรื่อง "two-way value exchange” เพื่อให้องค์กรสื่อควรจะมีการประมาณรายได้ตามความเป็นจริงจากผู้อ่าน ผู้ชมที่รับคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์มของ Google และ Facebook

พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวว่า แต่ประธานฯ คิดว่ามูลค่าของคอนเทนต์เองก็ใช่ว่าจะเรียกเก็บจากแพทลฟอร์ม Google และ Facebook ฝ่ายเดียว เพราะส่วนหนึ่งมูลค่าของคอนเทนต์สามารถเกิดขึ้นบนเวปไซด์ขอสื่อเองด้วย ถึงแม้ไม่มี Google และ Facebook ดังนั้นเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับแพลตฟอร์มควรจะมีการกำหนดสัดส่วนให้ยุติธรรม ในมุมมองต่อการดำเนินการของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าฯ น่าจะเป็นสิ่งที่ควรทำและสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าเกิดการล่มสลายของธุรกิจสื่อที่ผลิตคอนเทนต์ที่เชื่อถือได้ จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศนั้นได้ๆ จะเกิดการระบาดของ Fake News โดยไม่มีข้อมูลแห่งความเป็นจริงที่จะไปงัดค้างได้ รวมทั้งการรับจ้างปั้นข่าวจะมีการเติบโตขึ้นอย่างน่าใจหาย ดังนั้นความอยู่รอดขององค์กรสื่อมืออาชีพที่สร้างคอนเทนต์ที่มีความน่าเชื่อถือ จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ(Trust) ต่อสังคมนั้นด้วย

"ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญในประเทศไทยเองก็ต้องมีการตื่นตัวในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านเราจะเห็นว่ามี Fake News เกิดขึ้นมากมาย ส่งผลกระทบต่อหลายอย่างในประเทศ ดังนั้นเราควรจะมีการศึกษาเรื่องนี้เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบ้านเรา ซึ่งน่าจะเกิดประโยชน์เป็นอย่างมาก"พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563

"ส.ส.กุลวลี"ประสาน จนท.เร่งฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามสถานศึกษาหลายแห่ง



วันที่ 26 ธันวาคม 2563 น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ  ประสานเจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์มาช่วยฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ตามสถานศึกษาหลายแห่งในพื้นที่ อ.เมือง จ.ราชบุรี หลังพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด -19 สะสมแล้วรวม 5 ราย  ทำให้หลายหน่วยงานเร่งหาแนวทางมาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มข้น 

น.ส.กุลวลี กล่าวว่า ตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อโควิด -19 ที่เดินทางมาจากท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จำนวน 1 ราย ต่อเนื่องมาจนถึงกรณีที่ จ.สมุทรสาคร ได้ประสานหน่วยงาน อปท.ในพื้นที่ และปศุสัตว์จังหวัดช่วยกันฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ในสถานศึกษาที่มีความหนาแน่นของประชาชน  เช่น เขตเทศบาลเมืองราชบุรี  โรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองราชบุรี ตั้งแต่เทศบาล 1-5 ส่วนโรงเรียนทั้งของรัฐบาลและเอกชนหลายแห่ง มีแผนงานในการเข้าไปดำเนินการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 น่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเย็นวันนี้ในเขตเทศบาล              

ส่วนพื้นที่ที่มีความแออัดน เช่น กาดวิถีวัดโขลงสุวรรณคีรี ต.คูบัว ตลาดม่อนหินกอง วัดเขากรวดซึ่งมีไอ้ไข่อยู่ รวมทั้งวัดหนองหอย เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งชุมชน วันนี้จะดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นการเผ้าระวังป้องกันพื้นที่  สิ่งสำคัญตอนนี้อยากให้สวมหน้ากากอนามัยกันทุกคนเพื่อเป็นการป้องกันเชิงรุกที่สามารถดูแลตัวเองได้ พร้อมงดไปในที่ที่แออัด และควรฟังข่าวจากแหล่งข่าวเช่น ประกาศจากจังหวัด คำแถลงจากผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะบางครั้งการแชร์ข้อมูลที่ผิดพลาดไปมาก               

"ในฐานะที่เป็นตัวแทนประชาชนตอนนี้อยากฝากส่วนราชการในจังหวัดทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยทำความเข้าใจและสื่อสารกับประชาชนในเชิงรุก เพราะตอนนี้คนที่วิตกกังวลมาก จึงอยากให้ส่วนราชการอัพเดตข้อมูล ยิ่งช่วงวิกฤตแบบนี้ยิ่งถี่ยิ่งดี วันหนึ่งควรจะอัพเดทข้อมูล สักประมาณ  1-2 ครั้งที่จะต้องบอกประชาชนให้เข้าใจข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง"น.ส.กุลวลีระบุ

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563

รัฐบาลเตรียมผลักดันประเทศเป็นครัวฮาลาลโลก หนุนส่งออกปีหน้าโตตามเป้า 4%



วันที่ 26 ธันวาคม 2563 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไดกำหนดนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกสินค้าอาหารและผลผลิตเกษตรมาตรฐานฮาลาลสู่ตลาดโลกตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล โดยในปี 2563 ตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลกมีมูลค่า 1,533,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 48,004,350 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปี 2569 จะเพิ่มมูลค่าสูงถึง 2,285,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 71,545,354 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฮาลาลประมาณ 150,000 รายการ          

โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้จัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลเกษตรมาตรฐานฮาลาล ประกอบด้วย 1.นโยบายเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล 2.นโยบายยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร 3.นโยบายเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิตและการบริหารจัดการ ตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค 4.นโยบายเพิ่มศักยภาพทางตลาดและโลจิสติกส์ 5.นโยบายยกระดับความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ซึ่ง 5 นโยบายนี้มีแนวทางการดำเนินงานสำคัญๆ อาทิ การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า (Halal Hub) การจัดตั้งสถาบันฮาลาล การส่งเสริมฐานข้อมูลวัตถุดิบฮาลาล (H Number) ระบบศูนย์ข้อมูลกลางการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ด้านฮาลาล (System Protocol for Halal Electronic Resources Exchange)  วิสัยทัศน์ฮาลาลนี้ถือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ภาคเอกชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลอย่างครบวงจร รวมถึงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค          

รองโฆษกฯ กล่าวว่า ควบคู่ไปกับการทำงานของกระทรวงเกษตรฯ มุ่งเป้าสู่การเป็นครัวฮาลาลโลก ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กำลังขับเคลื่อนแผนงานส่งเสริมการผลิตกับการพัฒนาคุณภาพของเนื้อไก่ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของอาหารฮาลาล รวมถึงผลักดันการแปรรูปไก่ฮาลาลเพื่อการส่งออก ทั้งนี้ ศอ.บต.ได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการส่งเสริมฟาร์มเลี้ยงไก่ให้กระจายทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงไก่ KKU-1 ที่เป็นผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไก่พันธุ์นี้ทั้งเลี้ยงง่าย และดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วย เพราะมีกรดยูริคและโคเลสเตอรอลต่ำ ไขมันน้อย เนื้อเหนียวแน่นและนุ่ม เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นสร้างประโยชน์อย่างมากต่อการส่งเสริมมาตรฐานอาหารฮาลาล รวมถึงการสร้างอาชีพและรายได้แก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้          

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์มีแผนการผลักดันการส่งออกไทยในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัว 4% หลังจากเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศเริ่มฟื้นตัว และในด้านการต่างประเทศ รัฐบาลได้ผลักดันแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) ที่กำหนดแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมฮาลาลให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยสร้างการยอมรับมาตรฐานฮาลาล และการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในอนุภูมิภาคให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563

สมเด็จพระสังฆราชประทานพรปีใหม่ "ความพร้อมเพรียงของหมู่ชน ยังความเจริญให้สำเร็จ"


วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2563 เพจสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้โพสต์ข้อความว่า 

เนื่องในอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2564 เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โปรดประทานพระรูป พร้อมลายพระหัตถ์เชิญธรรมภาษิต เป็นพระคติธรรม ประทานพรสำหรับความสุขปีใหม่ พุทธศักราช 2564 ว่า

"สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคี วุฑฺฒิสาธิกา

ความพร้อมเพรียงของหมู่ชน

ยังความเจริญให้สำเร็จ"

"สมศักดิ์"เชื่อกม.ปลดล็อกกระท่อมผ่านสภาได้ต้นปีหน้า



เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อมว่า การพิจารณาอยู่ในวาระที่สอง ซึ่งเป็นขั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ โดยที่ประชุมเลือกตนเป็นประธานกมธ.ชุดดังกล่าว เนื่องจากคงเห็นว่าตนมีความตั้งใจที่จะทำกฎหมายฉบับนี้เพื่อชาวบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านบ่อยครั้งว่าอยากให้กฎหมายฉบับนี้เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวกับพืชเศรษฐกิจบางชนิดต้องจริงจัง ถ้าไม่จริงจังจะจบได้ยากมาก โดยสัปดาห์นี้เราได้เริ่มประชุมไปแล้ว แต่เนื่องจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ทำให้เราต้องยกเลิกการประชุมไปก่อน โดยเบื้องต้นนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 8 ม.ค. ซึ่งช่วงนี้ตนได้ขอให้ กมธ. ทุกท่านสรรหาและเก็บข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาพูดคุยกันเมื่อมีการประชุมได้ทันที นำมาปรึกษาหารือกันว่ามีอะไรติดขัดหรือไม่ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า กมธ.ทุกท่านน่าจะมีทิศทางที่ตรงกัน

 นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม ฉบับนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เป็นผู้ดำเนินการยกร่าง แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งส่งต่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ซึ่งทาง ป.ป.ส.ได้พิจารณาหาข้อมูลในการทำกฎหมายอย่างละเอียด การทำกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาจะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน เพราะบางหมู่บ้านมีต้นกระท่อมให้ใช้ประโยชน์อยู่แล้วหากทำเป็นเรื่องอุตสาหกรรมด้วยจะเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งในหลายประเทศมีการปลูกเพื่ออุตสาหกรรม ข้อมูลตรงนี้เราจะต้องมีการรวบรวมและศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ตนเชื่อว่าแม้ว่าจะมีสถานการณ์โควิด แต่ในชั้นการพิจารณาของ กมธ.น่าจะใช้เวลาไม่เกินกรอบเวลา และน่าจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้ภายในการประชุมสมัยนี้หรือภายในต้นปี 2564

 "ตอนนี้ผมต้องย้ำกับประชาชนอีกครั้งว่าเรายังไม่ได้มีการปลดล็อกพืชกระท่อม ดังนั้นขณะนี้อย่างพึ่งทำอะไรที่เกินเลยข้อกำหนด และปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และขอขอบคุณชาวบ้านที่ไว้ใจให้ผมและรัฐบาลให้ได้ดำเนินการเรื่องนี้ เราจะพยายามทำกฎหมายออกมาให้ดีเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด"นายสมศักดิ์ กล่าว

"ตั๊น จิตภัสร์" กมธ. ตำรวจ ร่วมงาน สถาปนา 98 ปี บชน.



เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 น.ส. จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 98 ปี กองบัญชาการตํารวจนครบาล(บช.น.) และวางพานพุ่มสักการะพระอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงนครบาลพระองค์แรก ต้นราชสกุล กฤดากร โดยมี พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ให้การต้อนรับ

ที้งนี้ ในอดีตพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ทรงปรับปรุงและจัดระเบียบกิจการตำรวจกรมกองตระเวน ตามแบบอย่างของสิงคโปร์ หลังจากได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาส ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นกิจการตำรวจไท

น.ส จิตภัสร์ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายนิโรธ สุนทรเลขา ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การตำรวจ สภาผู้แทนราษฏร และในนามของราชสกุล กฤดากร มาร่วมงานในวันนี้ ซึ่งกมธ. ตำรวจ สภาฯ และทาง บชน. จะทำงานร่วมกันตามแผนการปฏิบัติงานเชิงรุก ถือเป็นความร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง ส.ส.ในฐานะผู้แทนของประชาชนกับตำรวจนครบาล อีกทั้งจะต่อยอดและสานต่อโครงการ "ชุมชนสีขาว ต้านยาเสพติด" และโครงการครู D.A.R.E เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันภัยร้ายจากยาเสพติด ให้แก่เด็กและเยาวชนไทยในชุมชนต่อไป

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563

"มจร"ปิดโครงการปฎิบัติธรรม ป้องกันระบาดไวรัสโควิด



เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระราชปริยัติกวี อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มีคำสั่งปิดโครงการปฏิบัติธรรมประจำปีของนิสิตแล้ว สืบเนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 



ทั้งนี้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เปิดโครงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2563 ระหว่างวันที่ 16 – 27 ธันวาคม 2563  ในปีการศึกษา 2563 นี้มหาวิทยาลัยฯได้กำหนดให้ทุกวิทยาเขต วิทยาลัย โครงการขยายห้องเรียนฯ และหน่วยวิทยบริการ จัดโครงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามสถานที่ที่วิทยาเขต วิทยาลัย โครงการขยายห้องเรียน หน่วยวิทยบริการนั้น ๆ โดยมีจำนวนนิสิตทั่วประเทศที่เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จำนวนทั้งสิ้น 12,413 รูป/คน 

สำหรับส่วนกลาง กำหนดให้นิสิตระดับปริญญาตรี ทุกคณะ ทุกชั้นปี เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีนิสิตที่ยื่นคำร้องขอปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,085 รูป/คน 

1. นิสิตคณะพุทธศาสตร์ (บรรพชิต) จำนวน 150 รูป เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ สวนเวฬุวัน ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 

2. คณะครุศาสตร์ (บรรพชิต) จำนวน 179 รูป เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

3. คณะมนุษศาสตร์ (บรรพชิต) จำนวน 258 รูป เข้าภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ พุทธมณฑล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

4. คณะสังคมศาสตร์ (บรรพชิต) จำนวน 303 รูป เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมมหาจุฬาอาศรม ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

5. คณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ (บรรพชิต) จำนวน 34 รูป เข้าฝึกปฏิบัติวิปัสสนา

กัมมัฏฐาน ณ วัดพุน้อย ตำบลชอนม่วง อำมอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

6. คณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชานิติศาสตร์ (ภาคบัณฑิต) จำนวน 75 รูป/คน ณ มจร วิทยาเขตนครสวรรค์ ตำบลนครสรรค์ออก อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

7. นิสิตคฤหัสถ์ จากคณะพุทธศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ และคณะสังคมศาสตร์ จำนวน196 คน ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

การดำเนินโครงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ครั้งนี้ ได้กำหนดให้นิสิตทุกคณะเข้าฝึกภาคปฏิบัติตามตาราง ดังนี้ ภาคเช้า เวลา 04.00 – 12.00 น. ทำวัตรเช้า ปฏิบัติ และฉันภัตตาหารเช้า –เพล/รับประทานอาหารเช้า-กลางวัน

ภาคบ่าย เวลา 13.00 – 17.00 น. แยกกลุ่มปฏิบัติ  สอบอารมณ์กัมมัฏฐาน

ภาคเย็น เวลา 18.00 – 21.00 น. ทำวัตรเย็น/ปฏิบัติ/ฟังบรรยาย จากพระวิปัสสนาจารย์


 

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563

วัดพระธรรมกายชวนสวดมนต์ข้ามปีออนไลน์แบบ New Normal



วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2563 พระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร กล่าวว่า จากสถานการณ์ติดเชื้อรอบใหม่ของโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาครรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง วัดพระธรรมกายจึงจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีแบบออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนได้สร้างบุญเสริมสิริมงคลรับศักราชใหม่ 2564 แบบ New Normal ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องช่วยกันเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด โดยสามารถร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีออนไลน์ได้ในวันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เริ่มเวลา 21.30 น. เป็นต้นไป ทาง www.gbnus.com  , www.dmc.tv สอบถามรายละเอียดโทร.02-831-1000

“ขอเจริญพรถึงพี่น้องประชาชนที่เดินมาทำบุญและปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกาย ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ด้วยการวัดอุณหภูมิและลงทะเบียนก่อนเข้าร่วมพิธี สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างร่วมกิจกรรม ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์70เปอร์เซ็นต์ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 2 เมตร โดยทางวัดมีทีมแพทย์พยาบาลและอาสาสมัครจิตศรัทธาคอยดูแลสุขภาพท่านตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้อาศัยในจังหวัดสมุทรสาครและใกล้เคียงสามารถร่วมกิจกรรมสวดมนต์ ฟังธรรม นั่งสมาธิออนไลน์กับทางวัดได้” พระครูสมุห์สนิทวงศ์ กล่าว

เจ้าคุณประสารมอง! การเลือกตั้งนายก อบจ.กับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา



วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2563 เฟซบุ๊กพระเมธีธรรมาจารย์ - เจ้าคุณประสาร ได้โพสต์ข้อความว่า  

การเลือกตั้งนายกอบจ.กับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา         

ประเทศไทยว่างเว้นจากการเลือกตั้งท้องถิ่นมานานกว่าทศวรรษแล้ว คณะทหารได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและอ้างเหตุความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศล๊อคดาวน์ประชาธิปไตย แช่แข็งประชามติของประชาชนไว้เป็นเวลานาน       

20 ธันวาคม 2563 รัฐบาลได้เปิดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นขึ้นทั่วประเทศนัยว่าเป็นการโยนหินถามทางนั่นคือการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ)และสมาชิกสภาจังหวัด (ส.อบจ.) แต่ยังไม่ยอมเปิดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายกเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)และเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา (สุขาภิบาล กฎหมายปี2542 ให้ยกขึ้นเป็นเทศบาลแล้วทั่วประเทศ) ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ต่างมีสุขเพราะไม่ต้องอยู่ในวาระคราวละ 4 ปีตามกฎหมายกำหนด แต่ให้เป็นเป็นไปตามคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.)บางคนบางตำแหน่งหัวหน้าคสช.แต่งตั้งขึ้นมาเองโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน เช่น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายกเมืองพัทยา เป็นต้น               

การปกครองท้องถิ่น (Local Government)นั้นเกิดจากแนวคิดของรัฐบาลประชาธิปไตยที่มุ่งหวังให้ชุมชนเข้มแข็ง มีตัวแทนเป็นของตัวเอง มีงบประมาณเฉพาะชุมชน เพื่อพัฒนาท้องถิ่นนั้นๆ          

การปกครองในรูปแบบนี้ก็เพราะต้องการจำลองภาพใหญ่ของประเทศคือรัฐบาลกลางที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนลงมาสู่ท้องถิ่นในระดับจังหวัด อำเภอและตำบล เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆได้ดูแลปกครองกันเอง ภาษีก็คืนท้องถิ่น เพื่อพัฒนาท้องถิ่น และที่สำคัญคือสังคมจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อพัฒนาและประคับประครองระบอบประชาธิปไตยให้เจริญงอกงามโดยฐานเแรกนั้นให้ทุกคนได้รู้จักฟังเสียงของประชาชนเสียก่อน            

การแต่งตั้งผู้นำท้องถิ่นจากปลายปากกาของคนๆเดียวจึงไม่ต้องตามเจตนารมย์ของกฎหมายและเจตจำนงค์ของประชาชนทั้งประเทศ          

การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในวันนี้สะท้อนอะไรหลายอย่าง เช่น อำนาจ(ทั้งส่วนตัวและอำนาจรัฐ)​ บารมี พวกพ้องบริวาร ความรัก ความเสียสละ หรือการเงิน เป็นต้น แต่ฐานเลือกจะมาจากใหน อย่างไรก็ตามเราต้องฝึกหัด เรียนรู้และทำความรู้จักเพื่อเคารพประชามติของประชาชน นี่สำคัญ  อย่าหาเหตุ อย่ากล่าวอ้าง อย่าเบี่ยงเบน เพื่อใส่อำนาจอื่นใดที่ไม่ขอบธรรมเข้ามา ทุกฝ่ายจะต้องอดทนและเรียนรู้ประชาธิปไตยไปพร้อมๆกันใ้ห้ได้        

พระพุทธศาสนานั้นพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มีความเสียสละ อุทิศตนเพื่อสังคม ประเทศชาติ เห็นประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง พึงละเว้นอกุลศลกรรมทั้งปวงมีทุจริตคอรัปชั่น กินสินบาทคาดสินบน กอบโกยผลประโยชน์  เอารัดเอาเปรียบ เป็นต้น ทรงสอนให้ประพฤติสุจริตทั้ง กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม เพื่อปกครองดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดี มีความสุข           

นายกอบจ.และส.อบจ.ทั้งหลายพึงสังวรระวังบาปทั้งปวงและเดินตามทางแห่งกุศลกรรม          

วันนี้สังคมไทยยังคงมีความแตกแยก ชิงชัง สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การต่อสู้ห้ำหั่นกัน ประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว มีความศิวิไลซ์ ประชาชนอยู่กันอย่างเป็นสุขล้วนมาจากฐานแห่งสามัคคีธรรมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้กว่า 2,500 ปีมาแล้วในวัชชีอปริหานิยธรรม        

วันนี้การปกครองท้องถิ่นได้เดินหน้าในระบอบประชาธิปไตยมาบ้างแล้วแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม  หวังว่าภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะรัฐบาล และส่วนงานที่เกี่ยวข้องคงจะได้ยินเสียงอันแท้จริงของคนไนประเทศ เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วจะได้ช่วยกันกำหนดทิศทางของประเทศให้เป็นไปตามหลักสามัคคีธรรมและระบอบประชาธิปไตยที่สากลที่ทั่วโลกส่วนใหญ่ปฎิบัติกันอยู่ในเวลานี้


             พระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร)

                        21 ธันวาคม 2563

ขอถวายความอาลัย! หลวงพ่อวิริยังค์มรณภาพแล้ว สิริอายุ 100 ปี 11 เดือน 80 พรรษา



วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2563  เพจวัดธรรมมงคลเถาบุญญนนท์วิหาร ได้โพสต์ข้อความว่า 

ประกาศ แจ้งข่าวการมรณภาพ

เจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณวชิโรดม

(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล/ประธานกรรมการคณะสงฆ์ธรรมยุตในประเทศแคนาดา

ได้ถึงแก่การมรณภาพ ในวันอังคาร ที่ ๒๒ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๐๗.๓๒ น. สิริอายุ ๑๐๐ ปี ๑๑ เดือน ๑๕ วัน ๘๐ พรรษา

วัดธรรมมงคลและคณะแพทย์ผู้ดูแลรักษา จึงขอประกาศแจ้งข่าวการมรณภาพของเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ให้ได้ทราบโดยทั่วกัน ทั้งนี้ กำหนดการอื่นๆ ทางวัดจักแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป



ทั้งนี้เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2563 เว็บไชต์ราชกิจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ ระบุว่า พระบาทสมเด็พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณ อดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯสถาปนา สมณศักดิ์ "พระพรหมมงคลญาณ"(หลวงพ่อวิริยังค์ ) พระนักปฏิบัติชื่อดัง เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระญาณวชิโรดม"

โดยที่ทรงพระราชดำริว่า พระพรหมมงคลญาณ เป็นพระเถระผู้เจริญในสมณคุณ ยินดีในเนกขัมมปฏิบัติ สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตร รัตตัญญูมหาเถรกรณธรรม มั่นคงตลอดมา ได้ประกอบกรณียกิจเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา และราชอาณาจักรอย่างไพศาล ดังปรากฏในประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ เป็นที่พระราชาคณะเจ้าคณะรอง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562 แล้วนั้น

ครั้นต่อมา พระพรหมมงคลญาณ ได้เจริญยิ่งด้วยอุตสาหวิริยาธิคุณมิได้ท้อถอย ได้ปกครอง ดูแล และให้ความอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในคณะและในอารามอย่างสม่ำเสมอ สนับสนุนและให้ความสำคัญด้านการศึกษาของพระภิกษุสามเณร ตลอดจนนักเรียน นักศึกษา และเยาวชนของชาติอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการเรียนการสอนวิชาสมาธิ การฝึกอบรมสมาธิภาวนาจิต เผยแพร่ไปทั่วประเทศ และในต่างประเทศ ก่อให้เกิดการน้อมนำธรรมเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนของพุทธศาสนิกชนในยุคปัจจุบัน

สรรพกรณียกิจที่ พระพรหมมงคลญาณ ได้บาเพ็ญปฏิบัติตลอดมานั้น ย่อมเกิดผลดีทั้งแก่พระพุทธศาสนา ประเทศชาติ และประชาชนทั่วไป นับได้ว่าเป็นผู้มีความอุตสาหวิริยะประกอบด้วยเมตตาธิคุณและกรุณาธิคุณเกื้อกูลต่อพหูชน อุทิศตนแก่พระพุทธศาสนาและสังคมอย่างแท้จริง สมควรที่จะได้ยกย่องให้ดารงสมณฐานันดรที่สมเด็จพระราชาคณะสืบไป

จึงทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา "พระพรหมมงคลญาณ" ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาคณะมีราชทินนามที่จารึกในสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระญาณวชิโรดม พุทธาคมวิศิษฐ์ จิตตานุภาพพัฒนดิลก สาธกธรรมวิจิตร วิเทศศาสนกิจไพศาล วิปัสสนาญาณธุราทร ธรรมยุตติกคณิสสรบวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี สถิต ณ วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 10 รูป ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2563 ประกาศ ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2563 เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน

เปิดประวัติ "สมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระญาณวชิโรดม" หรือ หลวงพ่อวิริยังค์ 

เดิมชื่อ วิริยังค์ บุญฑีย์กุล เป็นบุตรขุนเพ็ญภาษชนารมย์ ซึ่งรับราชการเป็นนายสถานีรถไฟ กับ นางมั่น บุญฑีย์กุล เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2463  ณ สถานีรถไฟปากเพรียว (สถานีสระบุรีในปัจจุบัน ) จังหวัดสระบุรี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้อง7 คน  และด้วยบิดาเป็นนายสถานีรถไฟ ชีวิตในวัยเด็กจึงจำเป็นต้องโยกย้ายที่อยู่ไปประจำที่อื่นอยู่บ่อยครั้ง

การบรรพชาอุปสมบท

เมื่ออายุได้ 11 ขวบ ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดสุปัฏนาราม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นของจังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาย้ายมาตั้งหลักปักฐานที่บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา  และเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2478  ได้บรรพชาที่วัดสุทธจินดาวรวิหาร อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา โดยพระธรรมฐิติญาณ (สังข์ทอง นาดวโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาได้ 10 วัน ก็ออกธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาเพื่อแสวงหาที่วิเวก และอุปสมบทเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2484  ขณะอายุ  21 ปี ที่วัดทรายงาม อ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี โดยพระปัญญาพิศาลเถร(หนู ฐิตปญโญ) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่กงมา จิรปุณโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาทองสุข สุจิตโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ 


จากนั้นหลวงพ่อวิริยังค์ ได้เดินธุดงค์ติดตามพระอาจารยกงมาไปในที่ต่างๆ เป็นเวลา 8 ปี วันหนึ่ง พระอาจารย์กงมาพาท่านเดินธุดงค์จากจังหวัดจันทรบุรีไปจังหวัดสกลนคร เพื่อไปพบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงพ่อวิริยังค์ได้รับเลือกให้เป็นอุปัฏฐากอยู่ในพรรษา 4 ปี นอกพรรษา 5 ปี รวมเป็น 9 ปี ได้เดินธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์มั่น เรียนธรรมะอันลึกซึ้ง และจดคำสอนของหลวงปู่มั่นบางตอนไว้ และได้เผยแพร่คำสอนนี้แก่สาธารณชน ในหนังสือที่ชื่อว่า "มุตโตทัย" 


เมื่อปีพ.ศ. 2506 จนถึงปัจจุบัน เป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร มีอายุ 100 ปี พรรษา 79 มีลูกศิษย์ที่ศรัทธาป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2540 ผู้ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ ที่วัดธรรมมงคลถาบุญญนนทวิหาร เพื่อสอนสมาธิสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จนปัจจุบันมีการขยายสาขาสถาบันพลังจิตตานุภาพไปแล้ว 287 สาขาทั่วประเทศ และในต่างประเทศที่แคนาดา 6 แห่ง รวมทั้งที่สหรัฐอเมริกาด้วย


ปริญญากิตติมศักดิ์


พุทธศักราช 2538 ปริญญาพัฒนบริหารศาสตรดุษฎีบัณทิตกิตติมศักดิ์ ด้านบริหารการพัฒนา จาก สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)


พุทธศักราช 2545 ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณทิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา จาก สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา


พุทธศักราช 2545 ปริญญาศาสนศาสตรดุษฎีบัณทิตกิตติมศักดิ์ สาขาการศึกษานอกระบบ จาก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย


พุทธศักราช 2550 ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยโยนก จังหวัดลำปาง


พุทธศักราช 2553 ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณทิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย จังหวัดเชียงราย


พุทธศักราช 2554 ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการเพื่อการพัฒนา จาก มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา


พุทธศักราช 2555 ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา จาก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย


พุทธศักราช 2556 ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ


พุทธศักราช 2557 ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธาและเทคโนโลยี จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ


สมณศักดิ์


พุทธศักราช 2507 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกที่ พระครูญาณวิริยะ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)


พุทธศักราช 2510 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระญาณวิริยาจารย์ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)


พุทธศักราช 2535 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชธรรมเจติยาจารย์ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)


พุทธศักราช 2545 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเจติยาจารย์ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)


พุทธศักราช 2554 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมมงคลญาณ (ฝ่ายวิปัสสนาธุระ)


ขอบคุณภาพ-ข้อมูลจาก : วัดธรรมมงคลเถาบุญญนนท์วิหาร,dhammamongkol.com


ชมรมพิทักษ์พระพุทธศาสนา ร้อง กมธ.ศาสนาสภาฯ แก้ปมพื้นที่"นสล."ทับที่"วัด"



เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 เวลา 09.00 น. ที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ศ.ดร.ดุษฎีวัฒน์ แก้วอินทร์ ประธานชมรมพิทักษ์พระพุทธศาสนา ได้ยื่นหนังสือต่อ นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฏร เรื่องการแก้ไขปัญหาวัดที่สร้างในเขตพื้นที่ นสล. 

ศ.ดร.ดุษฎีวัฒน์ กล่าวว่า กรณีวัดสร้างอยู่ในที่สาธารณะประโยชน์ (นสล.) ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันบางกรณีวัดสร้างอยู่ก่อนแต่ออกโฉนด นสล. ภายหลังทับที่วัด บางกรณี นสล. ออกโฉนดก่อนวัดสร้างที่หลัง จึงเกิดข้อพิพาทระหว่างวัดกับหน่วยงานของรัฐ มีคดีความข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บางคดีพิพาทกันถึงศาลฎีกา เป็นเหตุให้พระสงฆ์ ถูกดำเนินคดีศาลพิพากษาสั่งปรับ,สั่งให้พ้นออกจากวัด,จำคุก,วัดถูกศาลสั่งรื้อ เป็นตันด้วยเหตุผลดังกล่าว ทางชมรมพิทักษ์พระพุทธศาสนาจึงได้ร้องเรียนมายังคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมรัฐสภา ได้โปรดพิจารณา

ทั้งนี้คณะกรรมาธิการฯจะนำเข้าสู่การประชุมในคราวต่อไป โดย ดร.ณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ กล่าว่า ในประเด็นพื้นที่ นสล. มีประเด็นที่ถกเถียงกันมาก ในหลายเขตพื้นที่ ทั้งนี้การตีความในแง่กฎหมายมีความเห็นต่าง โดยเฉพาะกรณีพื้นที่ "ป่าช้า"  ซึ่งวัดหลายๆ แห่งจะเกิดในพื้นที่ป่าช้า และมีการตีความหมายว่า พื้นที่ป่าช้าเป็นพื้นที่ นสล. หรือไม่ ซึ่งแต่ละวัดก็มีระยะเวลาที่ก่อตั้งมานาน การขีดเส้นพื้นที่ นสล. กับ วัด อาจจะนำเข้าพิจารณาและหารือกันในหลายฝ่าย ซึ่งมีกฎหมายในหลายส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณากันอย่างละเอียดและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกร่วมกัน

มส.มีมติงดจัดสวดมนต์ข้ามปีที่พุทธมณฑลนครปฐมแล้ว



เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563ที่พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยภายหลังการประชุม นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะโฆษก พศ. แถลงผลการประชุมว่า จากการที่โรคโควิด-19 กลับมาระบาดหนักอีกครั้ง ที่ประชุม มส.จึงมีมติยกเลิกการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในส่วนกลางซึ่งจะจัดขึ้นที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม ส่วนวัดในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้ปฏิบัติตามมาตรการของกรุงเทพมหานคร ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) พิจารณาร่วมกับคณะสงฆ์ในพื้นที่ ดำเนินการตามมาตรการของแต่ละจังหวัด พร้อมกันนี้ มส.ยังเห็นชอบเลื่อนการสอบธรรมสนามหลวงในวันที่ 24 และ 27 ธ.ค. ออกไปก่อน จนกว่าจะมีประกาศจากทางสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวงกำหนดวันสอบใหม่ต่อไป และ มส.ยังเห็นชอบให้เลื่อนกำหนดการฝึกอบรมพระอุปัชฌาย์ในเดือน ม.ค. 2564 ออกไปก่อนด้วย          

นายสิปป์บวร กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ มส.ยังเห็นชอบงดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับแผ่นดินและปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ในโอกาสวันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 ซึ่งกำหนดจัดทุกวันเสาร์จนถึงสิ้นปี 2563 ที่วัดบวรฯ และงดจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล และถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ที่กำหนดจัดทุกวันที่ 28 ของทุกเดือนด้วย อย่างไรก็ตาม ในส่วนภูมิภาคให้พิจารณาตามมาตรการของแต่ละจังหวัดว่าจะสามารถจัดทั้งสองกิจกรรมดังกล่าวได้หรือไม่


"ยิ่งลักษณ์"ยินดีกับนายก อบจ.ใหม่ทุกคน ขอบคุณคนเจียงใหม่"บ่ลืมเฮาสองปี้น้อง"

 


วันที่ 21 ธันวาคม 2563 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับนายกอบจ.ใหม่ทุกท่านนะคะที่ได้รับเลือกตั้ง หลังถูกยึดอำนาจมานาน โดยเฉพาะนายก อบจ.เจียงใหม่ ก็ต้องขอบคุณปี้น้องจาวเจียงใหม่ที่บ่ลืมเฮาสองปี้น้อง เฮาฮักไผเฮาก็ฮักตวยกั๋น เฮาเชียร์ไผเฮาก็เชียร์ตวยกั๋นเน้อเจ้า

"เพื่อไทย"ปลื้ม!ผลเลือกตั้งนายกอบจ.คว้าชัยชนะ9จังหวัด 

ที่พรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. พรรคเพื่อไทย ยินดีกับประชาชน เพราะหลังการยึดอำนาจ ประชาชนเรียกร้องสมาชิกสภาท้องถิ่นมาโดยตลอด การเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนตื่นตัว ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งนายกอบจ.และสมาชิกอบจ. แม้คะแนนการเลือกตั้ง ยังไม่ปรากฎเป็นทางการ ในนามของพรรคมีความพึงพอใจ ส่งผู้สมัคร 25 จังหวัดทั่วประเทศ ผลการเลือกตั้ง ถือว่าประสบชัยชนะถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ใน 9 จังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนในภาคกลาง ผู้สมัครก็ได้ทำงานเต็มที่ หลายคนเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ พรรคส่งผู้สมัครหลายจังหวัดในภาคกลาง แม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่เราก็พึงพอใจ ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี


น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ แม้ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยไม่ชนะทั้งหมด แต่ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเบ่งบานทางประชาธิปไตยได้เกิดขึ้นแล้ว สำหรับสถานการณ์การระบาดโควิด-19 รอบที่สอง พรรคมีความกังวล ในการคัดกรองแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย พรรคมีความห่วงใย ในการดูแลสถานการณ์ ผอ.ศบค. ไร้ประสิทธิภาพในการจัดการปัญหา ทั้งมิติด้านความมั่นคง และหลักสุขภาพ การมีอยู่ศบค. สะท้อนการรวมศูนย์อำนาจ แต่ยังหาผู้รับผิดชอบจากเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้ แรงงานต่างด้าวที่หลบหนี ประเทศเพื่อนบ้าน พม่ามีผู้ติดเชื้อสูงสุด การเฝ้าระวังตามแนวชายแดนเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนแรงงานที่หลบหนี ไม่แจ้งลงทะเบียน การติดตาม ตรวจสอบเป็นสิ่งสำคัญ พรรคเข้าใจในสถานการณ์เป็นอย่างดี ขอให้กำลังใจบุคคลาการทางการแพทย์ อสม. และอยากให้ประชาชนตระหนัก ในมาตรการป้องกัน แม้รัฐบาลจะการ์ดตกไปบ้าง แต่ประชาชนอย่าการ์ดตก ส่วนการล็อกดาวน์ เราเป็นห่วงว่าจะกระทบกับเศรษฐกิจในไตรมาส4 ควรจำกัดวงในการล็อกดาวน์ เพื่อให้ผลกระทบจากทางเศรษฐกิจเกิดน้อยที่สุด

          

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครในนามพรรคทั้งสิ้น 25 คน ได้รับชัยชนะ 9 คน จาก 2 ภูมิภาค เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร จ.เชียงใหม่ นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ์ จ.ลำพูน นายนพรัตน์ ถาวงศ์ จ.น่าน นส.ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร จ.ลำปาง นายอนุวัธ วงศ์วรรณ จ.แพร่ นายวิเชียร ขาวขำ จ.อุดรธานี นายกานต์ กัลป์ตินันท์ จ.อุบลราชธานี นายวิเชียร สมวงศ์ จ.ยโสธร พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะมุกดาธนพงศ์ จ.มุกดาหาร

          

ในส่วนของจังหวัดปทุมธานีและสกลนคร แม้พรรคจะไม่ได้มีมติส่งผู้สมัครในนามพรรค แต่อนุญาตให้ผู้สมัครที่ลงในนามกลุ่ม นำโลโก้พรรคไปหาเสียงได้ และหลังทราบผลมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ นายชูพงษ์ คำจวง ที่พลิกกลับมาชนะ ได้นัดหมายแถลงขอบคุณ วันที่ 22 ธ.ค. เวลา 10.00 น. ห้องประชุมโรงแรมสกลแกรนด์ จ.สกลนคร มีนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย นายพงษ์ศักดิ์ บุญศล นายเสรี สาระนันท์ อดีตส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าว

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ม.มหิดลเปิดรับสมัครพระเณรนักเรียน รับทุนเฉลิมราชกุมารี เรียนต่อวิทยาลัยศาสนศึกษา



ม.มหิดล ขยายโอกาสรับสมัครทุนเฉลิมราชกุมารี โครงการเพชรศาสนา ประจำปี 2563 ให้พระภิกษุ/สามเณร และนักเรียนทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาต่อที่วิทยาลัยศาสนศึกษา

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 มหาวิทยาลัยมหิดล โดย วิทยาลัยศาสนศึกษา ร่วมกับ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มอบ “ทุนเฉลิมราชกุมารี” จาก “โครงการเพชรศาสนา” แก่พระภิกษุ/สามเณรจากโรงเรียนพระปริยัติธรรมทั่วประเทศที่มีผลการเรียนดีเด่นในระดับ Top 100 เข้าศึกษาต่อ ณ วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา โดยริเริ่มโครงการเมื่อปี 2562 มาในปี 2563 ได้ขยายโอกาสทางการศึกษาไปยังกลุ่มนักเรียนทั่วไปที่สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากต่างจังหวัด หรือด้อยโอกาสทางการศึกษาภาคบังคับและปัจจุบัน จากโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอื่นๆ ให้มีโอกาสได้รับทุนเข้ามาศึกษาต่อด้วย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เรืออากาศโท ทันตแพทย์ชัชชัย คุณาวิศรุต รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ และรักษาการแทนคณบดีวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โลกในยุคดิสรัปชันที่ไร้พรมแดนเช่นปัจจุบันมีการเปิดกว้างทางการนับถือศาสนา การศึกษาเพื่อการนำพาโลกสู่สันติภาพ ด้วยความเข้าใจในความแตกต่าง และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข จึงมีบทบาทมากกว่าการมุ่งศึกษาเพียงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ซึ่ง วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบันได้มีการปรับการเรียนการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยได้จัดให้มีการศึกษาศาสนา-ความเชื่อต่างๆ ในแง่มุมที่หลากหลาย เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้งบนพื้นฐานของเหตุและผล ร่วมด้วยทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้นักศึกษาสามารถปรับตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก



บรรยากาศการเรียนการสอนที่ วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล สามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นสากล โดยมีคณาจารย์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ และจัดให้นักศึกษาที่เป็นพระภิกษุสามเณร และนักศึกษาทั่วไป ได้เรียนร่วมกัน แต่เป็นไปด้วยความเหมาะสมตามหลักศาสนา ซึ่งโครงการเพชรศาสนา ในส่วนของพระภิกษุ/สามเณร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเป็นฝ่ายรับผิดชอบให้ทุนการศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จนจบการศึกษาปริญญาตรี ซึ่ง วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น 1 ใน 3 สถาบันอุดมศึกษาที่เปิดให้พระภิกษุ/สามเณรได้เลือกเรียนในโครงการเพชรศาสนา โดยมีหนึ่งในคณะกรรมการเป็นผู้พิจารณาทุนการศึกษาจากวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของ แพทย์หญิงคุณอรวรรณ คุณวิศาล ประธานมูลนิธิน้ำทอง คุณวิศาล ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

สามเณรกิตติพัชญ์ อุ่นปิง หนึ่งในผู้รับ “ทุนเฉลิมราชกุมารี” จาก “โครงการเพชรศาสนา” ปี 2562 ซึ่งกำลังศึกษาชั้นปีที่ 1 หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศาสนศึกษา วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าว่า ท่านเกิดที่จังหวัดสระบุรี สาเหตุที่บวชเรียนเป็นสามเณรตั้งแต่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เนื่องจากโยมพ่อและโยมแม่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สามเณรกิตติพัชญ์ อุ่นปิง ได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 ที่โรงเรียนมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย (วัดชูจิตธรรมาราม) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา โดยได้รับทุนจากโครงการเพชรศาสนา ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จนเมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ท่านได้สมัครเรียนวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยการเสนอแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) ที่แสดงประวัติและผลงานวิชาการและกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งท่านเคยได้ไปร่วมแข่งขันตอบปัญหาวิชาภาษาบาลี และร่วมกิจกรรมจิตอาสาของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง 

สามเณรกิตติพัชญ์ อุ่นปิง ได้กล่าวฝากหลักธรรม “วิริยะ มีความเพียรเรียนหนังสือ ขันติ ถือความอดทนจนถึงฝัน สัจจะ จริงพูดสิ่งใดทำสิ่งนั้น กตัญญู สถาบันทุกวันคืน” ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้เป็นนักศึกษาวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และมุ่งตามปณิธาน “ปัญญาของแผ่นดิน” ของมหาวิทยาลัยมหิดลต่อไป

ในปี 2563 นี้ “โครงการเพชรศาสนา” ได้จัด “ทุนเฉลิมราชกุมารี” สำหรับพระภิกษุ/สามเณร และนักเรียนทั่วไปที่จะเข้าศึกษาต่อวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 50 ทุน โดยกำหนดคุณสมบัติของผู้รับทุน ในส่วนของพระภิกษุ/สามเณรให้มีเกรดเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร (GPAX) 4 ภาคการศึกษา ≥ 2.50 หรือเป็นผู้ได้เปรียญธรรม 5 ประโยค ส่วนนักเรียนทั่วไปให้มีเกรดเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร (GPAX) 4 ภาคการศึกษา ≥ 3.00 เกณฑ์ขั้นต่ำคะแนนเฉลี่ยสาระการเรียนรู้ (GPA) วิชาภาษาอังกฤษ ≥ 3.00 วิชาภาษาไทย ≥ 3.00 วิชาสังคม ≥ 3.00 

เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ จนถึงเวลา 12.00 น.ของวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่ https://tcas.mahidol.ac.th/index.html ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายการศึกษา วิทยาลัยศาสนศึกษา ม.มหิดล โทร. 0-2800-2633 www.crs.mahidol.ac.th

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2563

"มารค ตามไท"ชี้สังคมไทยขัดแย้งดื้อยา แนะใช้สันติวัฒนธรรมแก้



วันที่ ๑๙ ธ.ค.๒๕๖๓ พระปราโมทย์  วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา นักศึกษาหลักสูตรประกาศนีบัตรแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี รุ่น ๕ สถาบันพระปกเกล้า  เปิดเผยว่า ทุกวันศุกร์ได้เติมเต็มเครื่องมือการทำงานด้านสันติวิธี โดยเรียนแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี รุ่น ๕ สถาบันพระปกเกล้า จึงถอดบทเรียนของพัฒนาการของการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธีในสังคมไทย บรรยายโดย รศ. ดร. มารค ตามไท อาจารย์สาขาการสร้างสันติภาพมหาวิทยาลัยพายัพเชียงใหม่ ที่ระบุว่า 

"การจัดการความขัดแย้งในอดีตมนุษย์มีการพัฒนาการมาเป็นลำดับ ปัจจุบันมีการแก้อย่างเป็นระบบ มิใช่แก้ปัญหาตามสัญชาตญาณ จึงใช้คำว่า สันติวิธี สองความหมาย คือ ๑) #การต่อสู้เรียกร้องโดยสันติวิธี  ๒) #การจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี เช่น มีการประท้วงโดยสันติวิธี แต่ฝ่ายที่จัดการผู้ประท้วงก็พยายามบอกว่าใช้วิธีการจัดการโดยสันติวิธี ทำให้เกิดความสับสน การต่อสู้เรียกร้องโดยสันติวิธี (non-violent action) เช่น ชูป้าย เดินขบวนรูปแบบต่างๆ  ติดสัญลักษณ์ตามเสื้อผ้า ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ยุติการชุมชน ประชัดประชันเอาสินค้าไปเผา ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่คิดว่าไม่เป็นธรรม พยายามจะล้มกฏหมายด้วยการไม่ทำตามกฎหมาย เพราะไม่เห็นด้วย จงไม่ทำตาม เหมือนเด็กไม่ทำตามพ่อแม่ ฐานของการประท้วงทั่วโลกพยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ซึ่งอยากจะเปลี่ยนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราเอากฎหมายอย่างเดียวไม่สนใจความเป็นมนุษย์ทำให้เกิดความขัดแย้ง กฎหมายจะต้องใช้ความเป็นธรรม มีกฎหมายแล้วไม่ปฏิบัติตาม จึงใช้ Civil disobedience คือ การดื้อแพ่ง อารยะขัดขืน การประท้วงของภาคประชาสังคม ลักษณะของ Civil disobedience ให้การศึกษาแก่สังคมยอมรับโทษที่ตามมา ทำด้วยจิตใจที่มั่นคง มีเป้าหมายทางบวกไม่ใช่แค่ทางลบ เป้าหมายคือ พัฒนาคุณธรรมการปกครองของสังคม    

คำถามคือ มีกฏหมายใดที่เรามองว่ามายังไม่ถูกต้อง การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่คิดว่าไม่เป็นธรรมเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างไร เช่น  สิทธิของสตรีชาวฟินแลนด์เป็นประเทศแรกๆ ที่ให้สิทธิสตรี ย้อนไปร้อยปีสตรีไม่มีบทบาททางการเมืองหรือสิทธิ สตรีจึงมีการประท้วงหรือเรียกร้องสิทธิด้วยสันติวิธี ทำให้สตรีมีสิทธิเท่าเทียมผู้ชายในการพัฒนาประชาธิปไตย แต่ปัจจุบันยังมีบางประเทศที่ไม่ให้สิทธิสตรี รวมถึงแรงงานเด็ก การใช้แรงงานเด็กในมิติต่างๆ สหภาพแรงงาน การเจรจาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง 

การเหยียดหยามและจำกัดสิทธิพลเมืองบนฐานชาติพันธุ์ บางชาติพันธ์เป็นพลเมืองชั้นสอง กรณีคนผิดดำคนผิวขาว ซึ่งจะมีกฎหมายแปลกๆ ปรากฏให้ปฏิบัติ ประเด็นต้องพิจารณาในการต่อสู้โดยใช้สันติวิธี คำถามคือ ในการเคลื่อนไหวอย่างไรที่ชื่อว่าสันติวิธี คำตอบคือ มิติทางวัฒนธรรมของการต่อสู้แบบสันติวิธี เพราะสันติวิธีจะไม่ใช้ความรุนแรง  สันติวิธีคือไม่ใช้ความรุนแรง ในทางกายทางวาจาทางใจ ทำให้เจ็บใจ เช่น ล้อเลียนในสิ่งที่เราเคารพ หรือ ด่าตรงๆ ถือว่าเป็นความรุนแรง สันติวิธีแต่ละสังคมจะมีความแตกต่างกัน ความรุนแรงทางใจจึงมีความรุนแรงมากเพราะจะนำไปสู่ความรุนแรงทางกาย 



"เราเคลื่อนไหวเพราะอยากให้สังคมดีขึ้น อยากให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลง แต่เราจะไม่โกรธเกลียดบุคคลที่เราเรียกร้อง" 

เวลาการเคลื่อนไหวต้องศึกษาบริบทที่ทำให้การต่อสู้สำเร็จหรือจะไม่สำเร็จ เช่น มหาตมคานธี มาตินลูเธอคิง ถือว่าทำสำเร็จ คำถาม เหตุผลที่มหาตมะคานธีทำการเรียกร้องสำเร็จเพราะเหตุปัจจัยอะไร สังคมไทยมองสันติวิธีอย่างไร  เช่น นักเรียนใช้สันติวิธีกับครูในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ปฏิกิริยาคือ เวลามีคนเรียกร้องเรารับฟังหรือมองว่ามาท้าทายอำนาจ    

การจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี  เริ่มต้นจากความขัดแย้งจากสิ่งเล็กๆ เช่น ระหว่างบุคคล ต่อมาพัฒนาการเป็นสถาบันในการจัดการความขัดแย้ง   เริ่มต้น การจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี แบ่งออก ๓ ระดับ คือ       

๑) Conflict Management บริหารจัดการความขัดแย้งและความรุนแรง  กำหนดระดับการสูญเสีย กำไร ทรัพย์สิน ชีวิต ที่พอรับได้ เช่น การพูดคุยเพื่อสันติสุข ปี ๒๕๔๙ อย่าให้เกิดความรุนแรงหรือ อย่าให้เกิดการสูญเสีย มากไปกว่านี้ ไม่ใช่ไม่มีความรุนแรงแต่ไม่ให้เกิดความรุนแรงมากกว่านี้  ถือว่าเป็นข้อที่อ่อนที่สุดในการบริหารจัดการความขัดแย้งและความรุนแรง เพียงแค่ระดับว่าไม่ถูกด่าเท่านั้น      

๒) Conflict Resolution (Peacemaking) คลี่คลายความขัดแย้งหรือความรุนแรงในเรื่องเฉพาะ  ต้องการใช้ทักษะต่างๆ เพื่อหาข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ ( Win-Win ) เริ่มต้นจากการบริหารธุรกิจให้เติบโต เช่น การฟัง การสร้างทางออก หาทางออกและสร้างความเข้าใจ เช่น การเจรจาไกล่เกลี่ย (Negotiation) การพูดคุยเพื่อสันติภาพ (Peace talks) ส่วนมากเน้นสันติภาพเชิงลบ (Negative Peace) ยกตัวอย่าง แย่งส้มในตลาด  ปิดหรือเปิดหน้าต่าง จึงต้องอาศัยนักเจรจาไกล่เกลี่ย การไกล่เกลี่ยจึงเป็น Conflict Resolution ด้วยคลี่คลายความขัดแย้ง ความขัดแย้งเกิดขึ้นตลอดมีพัฒนาการตามระบบตามยุค ทำอย่างไรให้หาทางออกทั้งคู่ เช่น ลูกจ้าง นายจ้าง อย่าทำให้ความรุนแรงปรากฎ จึงคลี่คลายปัญหา ภาครัฐใช้ Conflict Resolution ในสังคมไทยระยะแรกๆ เช่น เขื่อนปากมูล ท่อก๊าซยาดานา โรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอก สวนลิ้นจี่ บ้านป่ากลาง น่าน และชุมชนราชประสงค์ จึงต้องการคลี่คลายความขัดแย้ง ความสัมพันธ์แตกหักระหว่างภาครัฐกับประชาชน นักสันติวิธีพึงระวังว่า จะถูกมองว่าเป็นคนอ่อนแอและเป็นเครื่องมือของคู่ขัดแย้ง     

ปัญหาระยะแรกพยายามใช้วิธีเดิมที่อิงอำนาจและการให้คุณให้โทษ ทักษะการจัดการความขัดแย้งเหมือนความรู้ใหม่ที่หาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาช่วยสอน ใช้เทคนิคประชาสัมพันธ์บวกข่มขู่เพื่อเอาชนะแทนที่จะพยายามหาทางออกร่วมกันกับคู่ขัดแย้ง รวมถึงไม่เห็นภาพใหญ่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในสังคม ไม่เข้าใจรูปแบบของการจัดการความขัดแย้ง และ รับมืออย่างไรเมื่อไปดเผชิญไม่เข้าใจสันติวิธี จากสไตล์ของConflict Resolution  ประกอบด้วย ๑)นกหัวขวาน  เสียงดัง ไม่ถอย ชอบเผชิญหน้า ต้องชนะ ชอบขู่ ต้องการความเคารพ  ๒)นกแขกเต้า เป็นมิตรกับทุกคน พูดเก่งชอบพูด ยอมทุกคน ๓)นกฮูก มีสติ สื่อสารเก่ง ชอบเสนา ช้าในการหาข้อสรุป  ๔)นกกระจอกเทศ เลี่ยงความขัดแย้ง หนีปัญหาเร็ว ไม่ร้อนใจ ถอยห่างจากปัญหา ๕)นกฮัมมิ่งเบิร์ด คิดเร็ว ใจร้อน เปลี่ยนจุดยืนตลอด ยืดหยุ่น   

๓) Conflict Transformotion (Peacebuildig) แปลงเปลี่ยนรากเหง้าของความขัดแย้งรุนแรงเพื่อลดความรุนแรงอย่างยั่งยืน เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมที่เป็นสาเหตุของความรุนแรง หรือเป็นอุปสรรคต่อการลดความรุนแรงโดยการเสริมสร้าง " สันติวัฒนธรรม " ให้เกิดขึ้นในทุกส่วนของสังคม เน้นสันติภาพเชิงบวก (Posittive Peace) เน้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นึกถึงรากเหง้า แต่บางครั้งพบสาเหตุแต่แก้ที่สาเหตุไม่ไดเพราะเกินจุดนั้นไปแล้ว จึงต้องหามาตราที่หนักกว่า     

ถ้าเรามองในมิติของสันติวัฒนธรรม (Culture of Peace) เป็นการอยู่ร่วมกันโดยการให้ความเคารพทุกคนเท่ากัน (Respect)  รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) รู้จักการให้อภัย (Forgiveness) ไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แต่พูดคุยกันโดยใช้เหตุผลสาธารณะ (Non-violence) และรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม มีจิตอาสา (Social awareness) พระพุทธศาสนามองว่าคนเหมือนกัน คือ เราทุกคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่าเทียมกัน ในแง่ของศาสนาเราทุกคนจะมีความเท่าเทียมกัน แต่ปกติมนุษย์ใครกระทำเราจะกระทำรุนแรงตอบ การอยู่ร่วมอย่างสันติไม่ใช่แปลว่าไม่ขัดแย้ง เหมือนศิลปินทำประติมากรรมพูคนในเรือในสนามบินแห่งหนึ่ง มีความหลากหลายในบ้าน  อยู่ในเรือเหมือนกันแต่มีความเห็นต่างกัน  เราจะสร้างสันติวัฒนธรรมโดยการพัฒนาประชาธิปไตย สังคมประชาธิปไตยจะจัดการกับความขัดแย้งทั้งภายในและกับประเทศประชาธิปไตยอื่น โดยไม่ใช้ความรุนแรง สันติวัฒนธรรมจึงเป็นหัวใจของการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีคือการสร้าง Culture of Peace ในสังคมไทย ประกอบด้วย

 ๑) ให้ความเคารพทุกคนเท่ากัน

 ๒) รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา 

 ๓) รู้จักการให้อภัย 

 ๔) อยู่ร่วมกันอย่างสันติ       

ปัจจุบันมีศัพท์คำว่า #สันติวิธีรักษาอำนาจ เพื่อให้ตนเองอยู่ในอำนาจ คำถามการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธีในสังคมไทยอยู่ตรงจุดใด โดยมีความพยายามใช้ Conflict Resolution เพื่อสังคมไม่ต้องเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เราอาจจะเผชิญกับความขัดแย้งหากใช้แต่ Conflict Resolution จะเอาไม่อยู่ จำเป็นต้องใช้ Conflict Transformotion บางครั้งเราเรียกว่า ความขัดแย้งที่ดื้อยา (Intractable Conflict) ลักษณะของความขัดแย้งแบบดื้อยาจะอยู่ยืดเยื้อ ต่างฝ่ายยึดและปกป้อง #คุณค่าศักดิ์สิทธิ์(Sacred Values) ของตนเอง มีความเชื่อที่ปลูกฝังมานาน เช่น หยุดเคลื้อนไหวได้ไหมจะให้ร้อยล้าน มีความซับซ้อน เห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู ทำให้เกิดหลุม attractor จะตีความทุกอย่างในทางลบ โดยใช้ภาษาคนดีขัดแย้งกับคนไม่ดี ความจริงที่ไม่ตรงกับจุดยืนตนเองคือความเท็จ  จึงต้องหาคุณค่าศักสิทธิ์ของทุกฝ่าย เช่น ชีวิต ความรัก สุขภาพ  ความยุติธรรม ศักดิ์ศรี ส่วนคุณค่าทางโลกคือ เงิน ความสะดวกสบาย ตำแหน่ง แค่สิ่งที่พึงระวังคือ  การทำลายคุณค่าศักดิ์สิทธิ์ของผู้อื่น     การขึ้นออกจากหลุมไม่สามารถใช้การประนีประนอมได้ เพราะเกี่ยวกับคุณค่าศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองฝ่ายต้องรื้อภาพของการถูกสร้างเป็นศัตรู เพื่อหาทางรักษาคุณค่าศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองฝ่าย        

พระปราโมทย์   สรุปว่า ดังนั้น ในมิติของประชาธิปไตยแนวพุทธมุ่งเน้นพระธรรมวินัยในด้านคำสอนที่เป็นพระธรรม พระพุทธองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับอธิปไตยหรือความเป็นใหญ่มีอยู่ ๓ ประการ คือ ๑) #อัตตาธิปไตย คือ ถือความคิด ความเห็นของตนเป็นใหญ่ ไม่ฟังใครอื่นเขา เทียบได้กับเผด็จการ  

๒) #โลกาธิปไตย ยึดถือความเห็นของคนส่วนใหญ่เป็นใหญ่ เห็นคนหมู่มากทำอะไรและทำอย่างไรก็ทำตาม ไม่นำความคิดเห็นของตนเองมาใคร่ครวญไตร่ตรองหาเหตุผลว่าควรทำหรือไม่ควรทำแต่อย่างใด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ทำเพราะเห็นว่าคนอื่นเขาทำ เทียบได้กับประชาธิปไตยในรูปแบบของพวกมากลากไป

๓) #ธัมมาธิปไตย ยึดถือหลักการที่ถูกต้องและมีเหตุผล เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น หรือแม้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง แต่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมทำด้วยความเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม เป็นอธิปไตยที่ไม่มีรูปแบบในโลกของโลกียชน แต่เป็นหลักการที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในการปกครองของอริยสาวกของพระพุทธเจ้าผู้หมดกิเลส ไม่ทำเพื่อตนเอง แต่ทำทุกอย่างเพื่อผู้อื่น

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563

"พระเสียดายแดด"ถวายความรู้โซลาร์เซลล์กับคณะสงฆ์ธรรมยุตทั่วประเทศ


วันที่ 19 ธ.ค.2563 เฟซบุ๊กพระครูวิมลปัญญาคุณ ศรีแสงธรรม ได้โพสต์ภาพและข้อความว่า กราบถวายสักการะและกราบขอบพระคุณความเมตตาในเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พระเถรานุเถระเจ้าคณะพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะภาค เจ้คณะจังหวัดที่มอบโอกาสให้เกล้ากระผมได้มาบรรยายถวายความรู้พลังงานแสงอาทิตย์กับการพัฒนาวัด ณ ที่ประชุมเจ้าคณะจังหวัดคณะธรรมยุตทั่วประเทศ กับคณะอนุกรรมการคณะธรรมยุต ณ ตึกติสสมหาเถระ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม.

ได้ยกตัวอย่างโรงเรียนเสียดายแดด หลักแนวคิดในการพัฒนาบนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีเรื่องพลังงานและการเกษตรมาเป็นการขับเคลื่อนเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทโลกคือสิ่งแวดล้อม และบริบทของชุมชนคือการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาอย่างมั่นคงและยังยืน หลังจบการบรรยายพระเถรานุเถระให้ความสนใจเป็นอันมาก ติดต่อให้ไปช่วยติดตั้งในวัดต่างๆ หลายแห่งเพราะค่าไฟฟ้าสูงขึ้น มีการใช้พลังงานมากขึ้น หากประหยัดตรงจุดนี้ 30 ปีจากนี้น่าจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น สะดวกต่อการพัฒนาวัดและพัฒนาชุมในยุคที่ต้องปรับตัวตามบริบทของสังคม

และขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณพระราชสารสุธีที่สนับสนุนและเป็นกำลังใจในการทำงานในเวทีอันทรงเกียรติตรงนี้

กมธ.ศาสนาฯสภาฯถวายความรู้ พระสังฆาธิการนนทบุรี พร้อมผลักดันคลอด กม.อุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธ



วันที่ 18 ธ.ค. 2563 เวลา 13.00 น. ที่วัดบัวขวัญพระอารามหลวง จ.นนทบุรี  พระราชนันทมุนี เจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี  เจ้าอาวาสวัดวัดบัวขวัญพระอารามหลวง เป็นประธานการประชุมคณะสงฆ์ระดับเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ จังหวัดนนทบุรี  ในการนี้มีคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วมถวายแนวคิดและความรู้เกี่ยวกับการจัดทำบัญชีวัด รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ รวมถึงชี้แจงถึงอำนาจหน้าที่ในกรอบของคณะกรรมาธิการฯ 

นายนพดล แก้วสุพัฒน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ได้กล่าวว่า ที่ได้มาร่วมการสัมนาในครั้งนี้ ตนรู้สึกดีใจเพราะปัจจุบันคณะกรรมาธิการฯ ได้ทำงานในหลายมิติที่จะช่วยสนับสนุนงานพระพุทธศาสนา   หากพระคุณเจ้ามีเรื่องที่จะนำเสนอให้กรรมาธิการซึ่งอยู่ในอำนาจนิติบัญญัติ ก็สามารถยื่นเรื่องมาที่คณะกรรมาธิการฯได้  สำหรับการทำงานของกรรมาธิการฯล่าสุดได้นำเสนอกฎหมายจำนวน 4 ฉบับ แก่นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประกอบด้วย 1.) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... 2.) ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา พ.ศ. ....3.) ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....4.) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน พ.ศ. ....



นายสัมพันธ์ เสริมชีพ อนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ กล่าวถึง การจัดทำบัญชีวัด ซึ่งยังมีข้อจำกัดในการจัดทำบัญชีวัดในหลายประการที่พระภิกษุสงฆ์ที่มีพรรษามากแล้ว จึงยากที่จะเข้าใจ อีกทั้งมีกฎหมายที่ส่งผลโดยตรงกับคณะสงฆ์ โดยยังขาดความรู้และความเข้าใจในกฎหมายที่มีการพัฒนาและบัญญัติอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาจึงทำให้การบังคับใช้กฎหมายกับพระสงฆ์ที่ยังไม่ทราบถึงตัวบทกฎหมาย เป็นโทษกับพระสงฆ์โดยตรง ซึ่งรัฐบาลควรมาสนับสนุนให้ความรู้กับคณะสงฆ์ด้วย

นายนิยม เวชกามา  ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ กล่าวว่า ในข้อกฎหมายที่บังคับใช้และกระทบกับพระภิกษุสงฆ์ควรได้รับการพิจารณา ซึ่งบางครั้งยังขัดกับพระธรรมวินัยที่พระสงฆ์อยู่ในกรอบพระธรรมวินัยอยู่แล้ว แต่ฝ่ายบ้านเมืองยังขาดความรู้ความเข้าใจในหลักพระธรรมวินัย ซึ่งบรรพบุรุษผู้นำบ้านเมืองในอดีตได้นำหลักและแก่นของพระพุทธศาสนามาเป็นหลักของบ้านเมืองจนนำมาสู่ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของไทย ส่งผลให้เป็น 1 ใน 3 ของสถาบันหลักของชาติ อันมีสีของธงไตรรงค์ที่มีสีขาวสื่อถึงศาสนาโดยมีพุทธศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ปวงชนชาวไทยนับถือมากที่สุดกว่า 95% 

ม.ล.สัญชัย ทองแถม ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ  กล่าวเพิ่มเติมว่า บูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ล้วนเป็นพุทธมามกะ อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก และได้กล่าวตอนหนึ่งในวันขึ้นครองราชว่าขอมอบตัวแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า กับได้รับการจัดการให้ความคุ้มครองรักษาพระพุทธศาสนาโดยชอบธรรมตลอดไป ทั้งนี้การตรากฎหมายต่างๆ ควรยึดตามหลักของพระพุทธศาสนาและหลักของกฎหมายบ้านเมืองควรไปในทิศทางเดียวกัน

นายณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ เสนอให้ควรมีการจัดสัมนาและให้ความรู้กับพระสงฆ์ในแง่ของการจัดทำบัญชีและกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระสงฆ์อีกทั้งควรมีการทำงานร่วมกันระหว่างพุทธบริษัทสี่ โดยเฉพาะฝ่ายฆราวาส ควรเข้ามามีบทบาทในการทำงานและผสานรอยรั่ว ซึ่งในงานบางอย่างพระสงฆ์ที่มีกรอบพระธรรมวินัยไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองหรือไม่เหมาะแก่สมณสารูป จึงควรจัดให้มีสภาองค์กรชาวพุทธที่มาทำหน้าที่นี้  ทั้งการตรากฎหมายต่างๆ ควรทำประชามติให้เป็นที่รู้กันและก่อนบังคับใช้กฎหมายควรมีระยะเวลาที่จะบังคับใช้ เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายได้ทราบและทำความเข้าใจดังเป็นระเบียบปฏิบัติในนนานาอารยประเทศที่พัฒนาแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ว่าที่ดร.ผอ.ฝ่ายธ.กรุงไทย จัดทดลองโมเดลดุษฎีนิพนธ์ หวังพัฒนาผู้นำองค์กรสันติสุขตามแนวพุทธสันติวิธี


วันที่ 17 ธ.ค.2563 ที่ห้องประชุมชั้น 23 ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่สุขุมวิท พระปราโมทย์  วาทโกวิโท,ดร. วิทยากรต้นแบบสันติภาพ อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ได้เป็นวิทยากรฝึกอบรมและโค้ชผู้นำธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่สุขุมวิท หลักสูตรผู้นำองค์กรสันติสุขโดยพุทธสันติวิธี หัวข้อ Inner Peaceful for Leadership : พัฒนาผู้นำองค์กรด้วยสันติภายใน โดยเป็นการนำModel สู่การทดลองงานวิจัยระดับดุษฎีนิพนธ์ ของนิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร เริ่มต้นจากการเจริญสติสร้างสันติภายในสำหรับผู้นำองค์กร เชื่อมโยงกับการโค้ชผู้นำภายใต้คำว่า #ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้นำแบบใด ท่านมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไรในการเป็นผู้นำของท่าน ทุกท่านได้แลกเปลี่ยนจากการโค้ชผ่านภาพ ทำให้ทุกท่านได้ตระหนักภายในตนโดยเฉพาะภายใน โดยผู้นำในมิติพระพุทธศาสนาจะต้องมีจังหวะ เวลา เสนา จักขุมา ธรรมะ เป็นผู้นำที่นั่งในหัวใจคนมากกว่าผู้นำที่นั่งอยู่บนหัวคน

จากนั้นดร.จตุพร  วิศิษฎ์โชติอังกูร ในฐานะเป็นวิทยากรกระบวนการ และที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท The Ultimate Leader จำกัด แลกเปลี่ยนสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นกัลยาณมิตรภายใต้หัวข้อ  Inside Leadership Behaviors : Knowing yourself (ผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลง จากภายในสู่ภายนอก) โดยใช้เครื่องมือตาม Model เน้นให้ผู้นำได้เข้าใจตนเองและเข้าใจคนอื่น เพราะถ้าเรารู้จักตนเองเราจะรู้จักคนอื่น ผู้นำจึงต้องมีความสุขจากภายใน ไม่มีอะไรเลวร้ายในจิตใจที่ดี คนหนึ่งมองหาสิ่งที่ขาด อีกคนมองในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ คนหนึ่งหาวิธีลืม อีกคนหาวิธีปล่อยวาง คนหนึ่งกนีความทุกข์ อีกคนเรียนรู้จะอยู่กับความทุกข์ ความทุกข์อยู่กับเราสั้นๆ แต่เราคิดซ้ำๆ ทำให้ความทุกข์อยู่ยาว ผู้นำต้องใช้วิชาตัวเบาโดยจัดการใจตนเอง

ผู้นำจงกล้าซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเอง ผู้นำจึงมี 3 มิติ คือ นำตน นำทีม นำองค์กร  ผู้นำจึงต้องมีความสุขจากภายในตนเอง จึงจะสามารถนำพาคนอื่นให้มีความสุข เพราะถ้าแห้งแล้งคนรอบข้างจะแห้งเเล้ง ความสุขจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ ผู้นำจึงพัฒนาด้านกาย ด้านพฤติกรรม ด้านจิตใจ ด้านปัญญา จึงต้องเรียนรู้เข้าใจรูปแบบเฉพาะของผู้คน เพื่อเข้าใจผู้คนในแบบที่เขาเป็น : Learning Style For Learning Coach มีการ Workshop พฤติกรรม คุณลักษณะร่วมที่คล้ายกันของคนในกลุ่มในด้านบวกและด้านลบ เราเป็นเราแต่เราพัฒนาได้ ผู้นำจึงแบ่งออกเป็น 4 สี คือ 1)เขียวคือนักวิชาการ คนเจ้าระเบียบ 2)เหลืองนักสร้างบรรยากาศคนกลุ่มอะไรก็ได้  3)แดงนักปฏิบัติคนกลุ่มไม่ยอมใคร 4)ฟ้านักคิดสร้างสรรค์กลุ่มคนร่าเริง จะมีลักษณะจุดแข็งจุดอ่อนต่างกันสอดรับกับจริตในทางพระพุทธศาสนาจริตจะทำให้คนมีความแตกต่างกัน แต่ละคนมีความหลากหลาย สามารถเชื่อมโยงกับสัตว์ 4 ทิศ คือ  อินทรีย์  กระทิง  หมี  หนู ซึ่งจะบ่งบอกถึงพฤติกรรมภายในและภายนอกของแต่ละบุคคล ทุกคนจะมีตัวตนของเราที่อยู่ภายใน ผู้นำจึงต้องเข้าใจคนอื่นเข้าใจในความแตกต่างของแต่ละบุคคล     

พระปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า จึงขอชื่นชมในความมุ่งมั่นของนายนนท์ปวิชช์ สุจริต ผู้อำนวยการฝ่ายสถาบันพัฒนาศักยภาพบุคลากร ธนาคารกรุงไทย นิสิตระดับปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา รุ่น 1 ในการนำ Model ลงมาพัฒนาผู้นำในกรุงไทยถือว่าเป็นงานวิจัยสร้าง สร้างประโยชน์ต่อองค์กร งานวิจัยรับใช้สังคม จึงโค้ชผู้นำธนาคารกรุงไทยผ่าน Modelการพัฒนาผู้นำองค์กรให้เกิดสันติสุข เพราะการเป็นผู้นำที่สุดยอดสามารถนำตนเองได้อย่างมีความสุข ผู้นำจึงสามารถออกแบบการเป็นผู้นำจากโลกภายในสู่การเปลี่ยนแปลงโลกภายภาย ผู้นำถ้ารู้จักตนเองแล้ว ยังสามารถเข้าใจคนอื่นจะสามารถทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขและเกิดสันติสุขในองค์กร แต่สุดท้ายต้องมีความจริงใจจุดร่วมบนความหลากหลายของผู้คน เราไม่สามารถเปลี่ยนตัวตนแต่เราสามารถพัฒนาตนเอง จึงย้ำว่า ผู้นำเขียวเน้นเหตุผล ผู้นำแดงเน้นงาน ผู้นำฟ้าเน้นคน และผู้นำเหลืองเน้นความรู้สึก  แต่ผู้นำต้องปนเปื้อนในทุกสี ออกจากจุดของตนเองแล้วไปอยู่จุดอื่นสร้างความสมดุล โดยไม่ไปเปลี่ยนคนอื่นๆ  ทำให้เราเห็นศักยภาพที่แท้จริงของเพื่อนร่วมงาน มีวิธีการสื่อสารที่ถูกต้องคนกับเพื่อนร่วมงานอย่างสันติ โดยทำให้เราเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจธรรมชาติ ยอมรับว่า #เป็นเช่นนั้นเอง และยอมรับความแตกต่างแต่สร้างสรรค์       


ศรัทธาไหลหลั่ง! ถวายภัตตาหารพระนิสิต "มจร" ปฏิบัติธรรมประจำปีกว่าหมื่นรูปทั่วไทย


วันที่ 17 ธ.ค.2563  นายอุทัย มณี  รองประธานมูลนิธิรามัญรักษ์  ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า   ได้เป็นตัวแทน พธ.บ.รุ่น46 คณะสังคมศาสตร์ส่วนกลาง ได้เดินทางไปร่วมถวายเพลแก่อธิการบดี คณบดี และคณาจารย์ รวมทั้งนิสิตประมาณ 300 รูป    ที่มหาจุฬาอาศรม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 

นายอุทัย ระบุว่า วันนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก ร่มรื่นเย็นสดชื่น ยุคปี 40 มีแต่ต้นมะพร้าว ต้นลำใย ปัจจุบันเหลือต้นลำใย มะพร้าวไม่มีแล้ว กุฎิมีหลายหลัง..โครงการปฎิบัติเหลืออีกหลายวัน เพื่อนๆ พระคุณเจ้าใครว่าง เชิญครับ รำลึกถึงความหลังกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 เวลา 17.00 น. พระเทพเวที, รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ประธานพิธีเปิดโครงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2563 ระหว่างวันที่ 16 – 27 ธันวาคม 2563 

ในปีการศึกษา 2563 นี้ มหาวิทยาลัยฯได้กำหนดให้ทุกวิทยาเขต วิทยาลัย โครงการขยายห้องเรียนฯ และหน่วยวิทยบริการ จัดโครงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามสถานที่ที่วิทยาเขต วิทยาลัย โครงการขยายห้องเรียน หน่วยวิทยบริการนั้น ๆ โดยมีจำนวนนิสิตทั่วประเทศที่เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จำนวนทั้งสิ้น 12,413 รูป/คน 

สำหรับส่วนกลาง กำหนดให้นิสิตระดับปริญญาตรี ทุกคณะ ทุกชั้นปี เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีนิสิตที่ยื่นคำร้องขอปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,085 รูป/คน 

1. นิสิตคณะพุทธศาสตร์ (บรรพชิต) จำนวน 150 รูป เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ สวนเวฬุวัน ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 

2. คณะครุศาสตร์ (บรรพชิต) จำนวน 179 รูป เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

3. คณะมนุษศาสตร์ (บรรพชิต) จำนวน 258 รูป เข้าภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ พุทธมณฑล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

4. คณะสังคมศาสตร์ (บรรพชิต) จำนวน 303 รูป เข้าฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมมหาจุฬาอาศรม ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

5. คณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ (บรรพชิต) จำนวน 34 รูป เข้าฝึกปฏิบัติวิปัสสนา

กัมมัฏฐาน ณ วัดพุน้อย ตำบลชอนม่วง อำมอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

6. คณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชานิติศาสตร์ (ภาคบัณฑิต) จำนวน 75 รูป/คน ณ มจร วิทยาเขตนครสวรรค์ ตำบลนครสรรค์ออก อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

7. นิสิตคฤหัสถ์ จากคณะพุทธศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ และคณะสังคมศาสตร์ จำนวน196 คน ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


การดำเนินโครงการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ครั้งนี้ ได้กำหนดให้นิสิตทุกคณะเข้าฝึกภาคปฏิบัติตามตาราง ดังนี้ ภาคเช้า เวลา 04.00 – 12.00 น. ทำวัตรเช้า ปฏิบัติ และฉันภัตตาหารเช้า –เพล/รับประทานอาหารเช้า-กลางวัน

ภาคบ่าย เวลา 13.00 – 17.00 น. แยกกลุ่มปฏิบัติ  สอบอารมณ์กัมมัฏฐาน

ภาคเย็น เวลา 18.00 – 21.00 น. ทำวัตรเย็น/ปฏิบัติ/ฟังบรรยาย จากพระวิปัสสนาจารย์

โดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ในแต่ละคณะ ส่วนงานต่าง ๆที่เกี่ยวข้อง และได้รับการอนุเคราะห์คณะพระวิปัสสนาจารย์จากสถาบันวิปัสสนาธุระ  โดยได้คัดเลือกพระวิปัสสนาจารย์ และจัดอบรมสัมมนาพระวิปัสสนาจารย์ เพื่อชี้แจงแนวทางการสอนและการปฏิบัติงานในฐานะพระวิปัสสนาจารย์ประจำโครงการฯ เมื่อวันที่ 14 – 15  ธันวาคม 2563 เป็นที่เรียบร้อย ร่วมถึงได้รับการอุปถัมภ์โครงการฯ จากหาวิทยาลัยฯ และพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปในการเป็นเจ้าภาพภัตตาหารเช้าและเพล

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2563

โควิดมิใช่ปัญหา! สันติศึกษา"มจร" จัดสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ พระนิสิตป.โทจากสหรัฐ


เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 พระปราโมทย์  วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย"มจร" อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า หลักสูตรสันติศึกษา มจร ได้จัดสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์พระนิสิตระดับปริญญาโท สาขาวิชาสันติศึกษา มจร  ผ่านโปรแกรม Zoom จากประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้วิจัยคือพระธรรมทูตในสหรัฐอเมริกา ได้แก่พระราชมงคลวิเทศ (น้อม กาญจนรํสี) เจ้าอาวาสวัดมงคลเทพมุนี รัฐเพ็นซิลวาเนีย กรรมการสมัชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพระนิสิตระดับปริญญาโทรุ่นที่  สาขาวิชาสันติศึกษา มจร ภายใต้หัวข้อ "การเสริมสร้างพลังใจของชาวพุทธในสหรัฐอเมริกาตามหลักพละ 5 กรณีศึกษาวัดมงคลเทพมุนี" โดยมีคำถามวิจัยมุ่งว่า วัดในประเทศสหรัฐอเมริกามีกระบวนการเสริมสร้างพลังใจของชาวพุทธในสหรัฐอเมริกาอย่างไร โดยเฉพาะในยุคของสถานการณ์ของโควิด จึงมีวัดมงคลเทพมุนีเป็นต้นแบบ 

คำถามต่อมาคือ วัดในต่างแดนจะใช้วิธีการแบบ Inside - Out หรือ Outside - In การบริหารแบบมองจากข้างในไปหาข้างนอก คือ Inside-Out หมายถึง คนภายในวัดคิดอะไรได้ก็ทำไปโดยไม่ดูความต้องการของนอกวัด  ไม่ดูความสนใจของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาว่าต้องการอะไร ไม่มีการประเมินตนเอง ไม่เก็บข้อมูลล่วงหน้ามาประกอบการวางแผน ใช้จินตนาการเป็นส่วนใหญ่ ข้อด้อยคือไม่ตอบสนองตามความต้องการข้างนอก ซึ่งตลาดสมัยใหม่จะมีการทำวิจัยก่อนว่า ลูกค้าแถวนั้นต้องการสินค้าประเภทใด งานวิจัยหรือการสอบถามเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบจะช่วยให้วางสินค้ามาวางขายได้อย่างถูกต้อง  ส่วนการ " แบบมองจากข้างนอกไปหาข้างใน" คือ Outside-in หมายถึง  การบริหารวัดแบบฟังเสียงคนภายนอก ฟังทุกคน ฟังทุกกลุ่ม ฟังทุกประเด็น เพื่อการพัฒนา ซึ่งคนข้างนอกจะมองเห็นมิติที่คนภายในไม่เห็น ฟังเสียงของคนมีส่วนได้ส่วนเสีย แล้วสรุปออกมาเพื่อสนองความต้องการ      

การบริหารวัดในต่างแดนมีความจำเป็นต้องบริหารแบบ Inisde-Out และ Outside-in มาผสมผสานกัน ด้วยการใจกว้างรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย ให้มีส่วนร่วมในการบริหารวัด  มีการบริการที่ดี วัดที่ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ต้องใจกว้าง คือ "บริหารแบบมองจากข้างนอกไปหาข้างใน" ทุกศาสนาจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดในดินแดนตะวันตก จึงมีโอกาสเรียนรู้พระพุทธศาสนามหายานและศาสนาฮินดู รวมถึงพระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง วัดไทยในต่างแดน ทำให้เห็นมิติความเป็นเอกภาพของแต่ละนิกายต่างๆ     

พระปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า ดังนั้น หลักสูตรสันติศึกษาจึงสอบนิสิตระดับปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้การเสริมสร้างพลังใจของชาวพุทธในสหรัฐอเมริกาตามหลักพละ 5 กรณีศึกษาวัดมงคลเทพมุนี งานวิจัยต้นแบบให้พลังกำลังใจคนไทยในสหรัฐอเมริกายามโควิด ผ่านการบริหารวัดแบบ  Inisde_Out และ Outside_in            


 


โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก"

โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก" 1. บทนำ เปิดเรื่อง : สันติสุข ชายหนุ่มนักเขียนนิยายธรรมะที่ต้องการค้นหามิติใหม่ของการเล่าเรื่องธรรม...