วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เพลงวันไม่มีแม่กอด



ไม่เคยมีแม่คอยฟูมฟัก

ไม่เคยมีตักแม่ให้หนุน

ไม่เคยมีอกอุ่นให้เจือจุน

ดร.มหาสำราญก็รักแม่สุดหัวใจ

วันแม่ไม่มีแม่ให้กอด

ไม่มีแม่คอยหยอดคำหวาน

แม่จำปาจากไปก็แสนนาน

ไม่มีแม่คอยปลื้มยามลูกรับปริญญาดร.มหาสำราญ สมพงษ์

โอ้ดวงจำปา

จำปาคนแง้ว

จำปาร่วงแล้ว

เป็นแก้วแดนแถน

จารมาตาบุตราพาลิขิต

ทั่วสารทิศเฝ้าแถลงไข

พระคุณล้วนอจินไตย

รำลึกล้นทั่วแผ่นดินไทย

หลายปีขวบแล้วหนอแม่จาก

โรคามาพรากไปไกลแสน

ลูกอวตารฝ่าวิบากสุดแค้น

ขอแม่ปลื้มเชื้อมิชั่วฝังปฐพี

คลี่เฟซบุ๊กวันแม่น้ำตาร่วง

เมื่อเคลื่อนลงทุกคนต่างมีแม่

แม่จำปาจ๋าสถิตอยู่ถิ่นไหนในดวงแด

แต่ลูกแม่คนนี้ยังตรึงคิดคำนึง

ยี่สิบกว่านานมากที่แม่จาก

ภาพตรึงจิตรามานั่นให้ถวิล

สำเร็จแต่ละก้าวลูกสร้างหวังยลยิน

แต่มิรู้ถิ่นแม่จำปานั้นที่จากลา

สายใยลูกแม่คู่นี่ไม่เคยขาด

แม้พัดพรากจากถิ่นตามวิถี

ลูกนี้เที่ยวค้นหาทั่วปฐพี

มัจจุราชพรากแม่สู่พิภพหนไหน

กุศลใดนานาที่ลูกสร้าง

ดวงเนตรแม่นั้นคงทราบในวิถี

สรรพลูกสร้างล้วนเชิดชูบุพการี

เพียงเท่านี้ชื่นใจแล้วที่ได้เกิดเป็นลูกแม่จำปา

คำว่า"แม่"เสียงที่"แม่จำปา"ไม่ได้ยินแล้ว

เท่าที่จำความได้น้อยครั้งมากที่จะได้อยู่กับ กอดแม่ ที่จำได้ครั้งแรกคือตอนที่แม่ใช้ให้ตักน้ำ แม้อายุตอนนั้นประมาณ 5-6 ขวบ ปรากฏว่าเป็นช่วงน้ำมากและน้องก็เดินตามไปด้วย เพราะความชนจึงเดินเล่นน้ำรอบบ่อและเดินไปตามลำคลอง แต่พากลับมาปรากฏว่าน้องหายเรียกหาก็ไม่ขานได้สักพัก น้อยลอยน้ำขึ้นมาจึงเอาไม้เขียขึ้นฝังเรียกก็ไม่ขาน พอดีมีคนมาช่วยชีวิตน้องไว้ได้

ปกติแล้วแม่จำปาเป็นโรคเลือดคือเวลามีน้องก็จะมีปัญหา พ่อต้องพาไปรักษาในเมืองอยู่นาน ตอนนั้นเรามีพี่น้องอยู่ด้วยกัน 3 คนไล่เลี่ยกัน พ่อก็ปล่อยให้อยู่กับญาติ ซึ่งก็นานพอสมควร เพราะด้วยเหตุนี้กระมั้งชาวบ้านจึงเรียกชื่อเล่นเราว่า "จ่อย" ภายหลังจึงทราบว่าพ่อพาแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร

ด้วยปัญหาสุขภาพของแม่ส่วนหนึ่งทำให้พ่อติดสุราจึงทะเลาะกับแม่อยู่เสมอ มีครั้งหนึ่งแม่จะหนีพ่อไปอยู่กับน้องสาวแม่ ความที่เป็นเด็กวัยดังกล่าวต้องตัดสินใจว่าจะอยู่กับพ่อหรือจะไปกลับแม่ ตอนนั้นกำลังช่วยแม่หุงข้าวอยู่พอดี จึงตัดสินใจไปกับแม่และน้องอีก 2 คน แต่ในที่สุดพ่อก็ตามไปรับแม่และพวกเรากลับ

ด้วยปัญหาผลผลิตทางการเกษตรพ่อได้ตัดสินใจขายที่ดินประมาณ 50 ไร่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์แล้วพาพวกเราอพยพไปอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นช่วงที่เขมรใกล้แตก ได้เห็นทหารนำศพเข้ามาหมู่บ้านที่ไปอยู่ก็กลัวมากอยู่ตามประสาเด็ก ที่จังหวัดบุรีรัมย์แม่มีน้องอีกคนหนึ่ง และแม่ก็มีปัญหาสุขภาพเหมือนเดิม แต่คราวนี้พ่อไม่ได้พาไปรักษาอย่างเช่นที่ผ่านมา บวกกับมีปัญหาถูกกล่าวหาฆ่าเพื่อน จึงหนีโดยพาเอาน้องสาวไปอยู่กับญาติที่จังหวัดหนองคาย ญาติทางบุรีรัมย์จึงได้พาพวกเรากลับให้ไปอยู่กับน้องสาวแม่ โดยอันดับแรกพาไปให้อยู่กับอาที่เป็นญาติทางพ่อที่จังหวัดเพชรบูรณ์ที่เคยเป็นเด็กและเติบโตมาด้วยกันกับพ่อ โดยแจ้งข่าวให้น้อยสาวของแม่ทราบให้มารับโดยมีการตกลงว่าทางอาจะดูแลน้อยชายคนกลาง

ในตอนนั้นนับเป็นช่วงที่ตัดสินใจอีกครั้งสำหรับเด็กอายุเพียง 6-7 ขวบว่าจะอยู่กับอาหรือจะไปอยู่กับแม่ เบื้องต้นตัดสินใจไปอยู่กับแม่ที่บ้านน้องสาวแม่ แต่ด้วยสภาพไม่น่าอยู่บวกกับเป็นห่วงน้องอีกคน จึงลักหนีแม่กลับไปอยู่กับอา แต่เดินไปด้วยระยะทางห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตร โดยเดินตัดป่าข้าวโพดไปใกล้จะถึงบ้านอาก็คิดเป็นห่วงแม่และน้องจึงกลับไปอีก แต่พอจะถึงบ้านความคิดเดิมก็เกิดขึ้นมาอีก จึงเดินกลับไปกลับมาแบบนี้ประมาณ 3 รอบได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจไปอยู่กับอา คาดว่าประมาณ 3-4 เดือน เพราะได้ช่วยอาหยอดข้าวโพด

ต้องยอมรับว่าช่วงเป็นเด็กที่จำความได้นี่ลำบากมาก คำว่าอบอุ่นแถบจะไม่ จึงทำให้เป็นคนเก็บตัว พูดน้อยเข้ากับคนยาก

พออยู่กับอาได้ระยะหนึ่งหลวงปู่ที่อยู่วัดหนองจิก ต.ท้ายทุ่ง อ.ตะพานหิน (ปัจจุบันขึ้นกับอ.ทับค้อ) จ.พิจิตร ซึ่งเป็นญาติที่พ่อเคยบวชเป็นสามเณรอยู่ด้วยกับอาคนดังกล่าว ได้มาเห็น เพราะเข้าใจว่าหลวงปู่ไปเยี่ยมญาติและหาผ้าป่าด้วย ได้เห็นจึงรับผมและน้องไปเป็นลูกศิษย์วัดที่วัดหนองจิก ได้เรียนหนังสืออยู่ป.หนึ่ง ช่วงนั้นเข้าใจว่าเรียนประมาณเดือนตุลาหรือพฤศจิกายน เอกสารอะไรก็ไม่มีหลวงปู่ก็แจ้งกับทางโรงเรียนว่าเป็นลูกบุญธรรม พอสิ้นภาคการศึกษาป.หนึ่งปรากฏว่าทางโรงเรียนให้ขึ้นไปเรียนป.สองได้ สาเหตุหนึ่งคงมาจากช่วงเป็นเด็กนั้นแม้ว่าพ่อจะเป็นอย่างไรก็สิ่งที่หนึ่งท่านทำก็คือช่วงกลางคืนจะสอนหนังสือผมอยู่เสมออยู่ป.หนึ่งช่วงอยู่จังหวัดบุรีรัมย์บังคับให้ท่องสูตรคูณแม่สามให้ได้ปรากฏว่าท่องไม่ได้ โดนตีซิครับ แต่ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวทำให้มาเรียนต่อสามารถอ่านหนังสือได้ พอขึ้นป.สองทำให้เรียนหนังสือเก่งอ่านออกเขียนได้ นิทานที่อ่านเสมอก็เรื่องนกกางเขนที่แต่งด้วยกลอนแปด

สมัยนั้นโรงเรียนตั้งอยู่ในวัดไม่มีอะไรทำวันหยุดก็หาหนังสืออ่าน ไปรื้อโต๊ะครูหานิทานอ่าน จำได้เรื่องจันทโครพเป็นเรื่องหนึ่งที่อ่าน รามเกียรติ์

ช่วงที่เรียนอยู่ป.สอง ปี 2518 พ่อได้พาน้องชายคนเล็กที่อยู่กับแม่มาเยี่ยม ปรากฏว่าหลวงปู่บังคับให้พ่อบวชกล่อมอยู่นาร ในที่สุดพ่อก็ติดสินใจบวชพระตั้งแต่นั้นมาจนกระทั้งท่านมรณภาพคาผ้าเหลืองเมื่อเดือนกุมภาพพันธ์ พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา หลวงพ่อเป็นพระหัวดีสอบได้นักธรรมเอก เป็นเจ้าอาวาสเป็นคู่สวด สวดปาติโมกข์ได้ สิ่งหนึ่งที่ท่านทำอยู่เสมอคือสอนหนังสืออ่านไม่ได้ตี แต่เป็นเณรท่านไม่ตีแล้วดีหน่อย

ช่วงที่อยู่กับอาที่เพชรบูรณ์และมาอยู่กับหลวงปู่ที่จังหวัดพิจิตรแทบจะไม่ได้ข่าวแม่เลย และมาทราบภายหลังว่ามีสามีใหม่ และเคยมาเยี่ยมที่วัดหนึ่งครั้งแต่หลวงพ่อห้ามอย่าได้มาเยี่ยมอีก

พอขึ้นป.สาม หลวงพ่อได้พาผมกับน้องชายไปอยู่กับลุงและป้าที่จังหวัดนครสรรค์ซึ่งป้านี้ก็คือพี่สาวอา(เรื่องยาว) เรียนจนจบป.สี่ หลวงพ่อจังได้พากลับไปบวชเณรพร้อมกับลูกลุงที่วัดหนองจิก อยู่ได้สองปีสองนักธรรมโทได้ หลวงปู่เห็นหน่วยก้านดี จึงได้พาไปฝากเรียนต่อที่วัดเทวราชกุญชร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ปี 2523 อยู่กับหลวงลุงที่เป็นญาติทางจังหวัดศรีสะเกษ

อยู่กรุงเทพเรียนหนังสือสอบป.ธ. 5 ได้ เรียนป.ธ.6 ที่วัดชนะสงครามสองปีไม่ผ่าน เพราะเรียนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และเรียนวิชาเสริมที่ถนนท่าพระอาทิตย์เกือบหมด ในช่วงนี้แทบจะไม่ได้ข่าวแม่เลย แม้จะไปเยี่ยมหลวงพ่อที่จังหวัดพิจิตรและศรีสะเกษปีละครั้งก็ไม่ทราบข่าวทุกที่ไปเยี่ยมนอนคุยกับหลวงพ่อท่านก็จะเล่าเรื่องราวต่างในอดีตจนถึง เช้าก็กลับกรุงเทพฯ

จนกระทั้งปี 2529 ตอนนั้นยังเป็นสามเณรอยู่ ได้ทราบข่าวว่าแม่ไปอยู่กับหลวงตาที่อำเภอบางมูลนาก จ.พิจิตร ซึ่งเป็นบ้านเดิมของแม่ จึงตามไปหาจนพบ และทราบว่าแม่ป่วย จึงพาเข้ากรุงเทพมหานคร เข้ารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แพทย์สันนิษฐานว่าเป็นโรงม้ามโต เข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ต้องทานยาอยู่เสมอ แต่เพราะแม่เป็นคนไม่ชอบทานยา ยาที่แพทย์จัดมาให้จะเหลือยู่เสมอ ตอนเช้าหลังบิณฑบาตจะจัดอาหารให้ท่านทานเป็นประจำ แต่ท่านทานน้อยบางครั้งก็ไม่ทาน ถึงขั้นต้องบังคับ ร้องไห้ก็หลายครั้ง

แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ทำให้แม่ก็คือ ปี 2530 แม่ได้มีโอกาสบวชพระลูกชาย แม่ได้ชื่อว่าเป็นแม่พระมหาเต็มภาคภูมิ และช่วงนั้นก็เรียนต่อที่ มจร ระดับปริญญาตรี โดยเอาวุฒิป.ธ. 5 และสอบเทียบม. 6 เข้าเรียนในปี 2529 จนกระทั้งปี 2534 ตลอดระยะเวลานี้สิ่งที่ทำคือเรียนหนังสือดูแม่ ปรนนิบัตรอาจารย์ ปฏิบัติตามระเบียบวัด เทศน์งานศพ

ปี 2534 แม่เข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้งสุดท้ายแพทย์ให้แอดมิดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ค่ารักษาพยาบาลเป็นแสนบาท แต่ด้วยระบบสังคมสงเคราะห์ทางโรงพยาบาลจึงทำให้ได้มีโอกาสรักษาแม่จะบำรุงโรงพยาบาลบ้างก็เล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดแล้วแม่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นพระลูกชายรับปริญญาตรี แม่ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ความทรงจำที่จำได้คือ แม่ต้องการให้ลูกชายเป็นคนดี ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ยี่สิบปีกว่าแล้ว น้อยครั้งมากที่จะฝันถึงท่านเช่นเดียวกับหลวงพ่อ จึงเข้าใจว่าท่านไปดี ส่วนหนึ่งคงได้อานิสงส์ทีได้บวชพระลูกชาย และมั่นใจว่าท่านจะได้เกาะชายผ้าเหลืองไปสู่ภพที่ดี สิ่งที่ปรากฏตลอดชีวิตของท่านนั้นคงจะเป็นผลกรรมแต่ชาติปางก่อน

แต่สิ่งหนึ่งที่มีความรู้สึกก็คือ เมื่อมาอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา ไม่เคยมีความรู้สึกว่ามีความลำบาก และความน้อยเนื้อต่ำใจแม้จะมีอยู่บ้างคลายไปตามกาลเวลา จนเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง

ใครจะคิดว่า เด็กชายคนหนึ่งประสบชะตากรรมต่างๆนานาจะสามารถพัฒนาตัวเอง เป็นมหา เป็นดอกเตอร์ได้ เพราะพระพุทธศาสนา มจร โดยแท้ ถ้าผมไม่แทนคุณ ผมคงถูกตราหน้าว่าเป็นคนอกตัญญู สิ่งที่ผมทำทุกวันเพราะแรงจิตหวังแทนคุณ บูชาคุณพระพุทธเจ้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"วิเคราห์ ทิฏฐิสังยุตต์ มูลปัณณาสก์ ทุติยเปยยาล - นวาตสูตร

  "วิเคราห์   ทิฏฐิสังยุตต์  มูลปัณณาสก์  ทุติยเปยยาล  -   นวาตสูตร  - เนวโหตินนโหติตถาคตสูตร - รูปีอัตตาสูตร - อรูปีอัตตาสูตร -รูปีจอร...