เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 9.00 น. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แสดงความเป็นห่วงต่อการที่สภาพปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรุนแรง และเข้าสู่ภาวะโลกเดือด ขณะที่ประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าวด้วย เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่ขนาบทั้งสองฝั่งของประเทศได้เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติและเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงในภาคเหนือ มีมวลน้ำมหาศาลไหลลงมาที่ภาคกลางจนถึงกรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ มีปัจจัยเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมถึง 3 ด้าน คือ ปริมาณน้ำเหนือ ปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำทะเลหนุนสูง จนทำให้กรุงเทพฯ มีความเสี่ยงที่จะจมน้ำมากขึ้นทุกปี หากไม่มีการวางแผนป้องกันที่ดีพอ
จากการตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค จึงมอบหมายให้ ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค จัดงานเสวนา เดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum) ครั้งที่ 2 ขึ้น ในหัวข้อ “ทางรอดกรุงเทพ : วิกฤตน้ำท่วม” ขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เวลา 09.00 - 11.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ และมีนายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขขึ้นกล่าวเปิดงาน
ในงานเสวนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ มาร่วมเสวนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อแนวทางการป้องกันกรุงเทพฯ ไม่ให้ต้องจมน้ำอย่างถาวรในอนาคต อาทิ 1. นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ 2. ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค 3. รศ. ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4. นายชวลิต จันทรรัตน์ นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย ดำเนินการเสวนาโดย ผศ. ดร.เจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรค สนใจร่วมงาน เดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum) ครั้งที่ 2 “ทางรอดกรุงเทพ : วิกฤตน้ำท่วม” ที่พรรคประชาธิปัตย์ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://form.democrat.or.th/democrat-forum2 หรือติดตามผ่านการถ่ายทอดสดที่ เพจพรรคประชาธิปัตย์ได้ตลอดรายการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากบทความ: การวิเคราะห์วิกฤติ "โลกเดือด" และความเสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร พบว่า ปัจจุบัน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังสร้างผลกระทบรุนแรงต่อภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ภาวะ “โลกเดือด” ส่งผลให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในลักษณะภูมิอากาศที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและการดำรงชีวิตในประเทศไทยด้วยเช่นกัน กรุงเทพมหานครมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมเนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นทุกปี บทความนี้จะวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่กรุงเทพฯ ต้องเผชิญ และนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในอนาคต
วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่กรุงเทพฯ เผชิญในภาวะโลกเดือด
อุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นและระดับน้ำทะเลที่หนุนสูงขึ้น
การที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลทั้งสองฝั่งของประเทศไทยสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลหนุนสูงในอ่าวไทย ซึ่งกระทบต่อกรุงเทพฯ โดยตรง เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่ำและมีการทรุดตัวอย่างต่อเนื่อง การที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะยิ่งส่งผลให้กรุงเทพฯ มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่มีพายุและคลื่นลมแรง
ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นและความถี่ของฝนตกหนัก
สภาวะโลกร้อนทำให้การตกของฝนมีความรุนแรงและความถี่ที่สูงขึ้นจากเดิม ปริมาณฝนที่สูงขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาสั้น ๆ ส่งผลให้กรุงเทพฯ เผชิญกับน้ำท่วมที่ไม่สามารถระบายน้ำออกได้ทัน เนื่องจากโครงสร้างระบบระบายน้ำในเมืองยังขาดความสามารถในการรองรับปริมาณน้ำที่สูงขึ้น
มวลน้ำจากพื้นที่ทางเหนือไหลลงมาสะสมในกรุงเทพฯ
ในช่วงฤดูฝน น้ำท่วมที่เกิดจากภาคเหนือจะไหลมาสู่ภาคกลาง ส่งผลให้กรุงเทพฯ กลายเป็นพื้นที่ที่รองรับมวลน้ำมหาศาลซึ่งไหลผ่าน ทำให้มีน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ลุ่มต่ำ หากมีการจัดการน้ำไม่ดีพอ กรุงเทพมหานครจะเผชิญกับภาวะน้ำท่วมรุนแรงและเสี่ยงต่อการจมน้ำในอนาคต
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อป้องกันกรุงเทพฯ จากวิกฤติน้ำท่วมในภาวะโลกเดือด
พัฒนาระบบระบายน้ำในเมืองให้มีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสูงขึ้น
การขยายระบบระบายน้ำให้มีความสามารถรองรับปริมาณน้ำมากขึ้นและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในเมืองให้ทันสมัย นอกจากนี้ ควรจัดตั้ง “ระบบระบายน้ำสองชั้น” ซึ่งสามารถเก็บกักน้ำฝนในช่วงน้ำมากและระบายออกในช่วงที่น้ำลดลงได้ เพื่อรองรับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในระยะสั้นและยืดหยุ่นตามสถานการณ์
สร้างเขื่อนและพื้นที่รับน้ำเพิ่มเติมในเขตชานเมืองกรุงเทพฯ
การสร้างเขื่อนและพื้นที่รับน้ำตามชานเมืองของกรุงเทพฯ จะช่วยแบ่งเบาภาระของระบบระบายน้ำในเขตเมือง อีกทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้น้ำเหนือไหลมาสะสมในกรุงเทพฯ มากเกินไป โดยควรจัดสรรงบประมาณในการสร้างพื้นที่รับน้ำเพิ่มเติมเพื่อรองรับปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ
การปลูกป่าชายเลนและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง
การปลูกป่าชายเลนในพื้นที่ชายฝั่งและการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซับน้ำและป้องกันการกัดเซาะจากน้ำทะเล ป่าชายเลนยังช่วยลดแรงของคลื่นที่เข้ามาในเขตเมืองหลวง และพื้นที่สีเขียวในเมืองยังช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังจากฝนที่ตกหนักในเขตกรุงเทพฯ
ส่งเสริมการศึกษาสาธารณะและความรู้ด้านการป้องกันภัยพิบัติในชุมชน
นโยบายส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้าใจในการเตรียมตัวและปฏิบัติในสถานการณ์น้ำท่วมจะช่วยลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ควรมีการอบรมให้กับชุมชนและสถานศึกษาด้านการป้องกันและรับมือกับน้ำท่วม เพื่อให้คนในเมืองหลวงมีทักษะการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น
การกำหนดเขตการก่อสร้างและพัฒนาเมืองโดยคำนึงถึงการระบายน้ำ
ควรกำหนดนโยบายการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงการระบายน้ำและการกระจายตัวของโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ พื้นที่ลุ่มต่ำและเสี่ยงต่อน้ำท่วมควรจะถูกจำกัดการก่อสร้าง และควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองที่สอดคล้องกับหลักการของการรักษาสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืน
จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครโดยตรง นโยบายที่มีประสิทธิภาพและการวางแผนอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจละเลย การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างพื้นที่รับน้ำและป่าชายเลน การส่งเสริมความรู้ด้านการป้องกันภัยพิบัติ รวมถึงการกำหนดการพัฒนาเมืองที่เป็นระบบ จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบที่กรุงเทพฯ ต้องเผชิญจากวิกฤติน้ำท่วมในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น