อุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องของไทยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความสำคัญในฐานะผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของโลก การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของตลาดดั้งเดิม เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย และการเติบโตของตลาดใหม่ในตะวันออกกลางที่มีความต้องการอาหารกระป๋องสูงขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งในหลายภูมิภาค บทความนี้จะวิเคราะห์ปัจจัยการเติบโตและความท้าทายของอุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องไทย พร้อมเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
การวิเคราะห์ปัจจัยการเติบโต
ตลาดอเมริกา: ตลาดอเมริกามีมูลค่าการส่งออก 632 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.90 ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และแคนาดาเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย (402.39 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 15.41
ตลาดเอเชียและตะวันออกกลาง: การส่งออกไปยังตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.97 มีสาเหตุมาจากความต้องการกักตุนอาหารอันเป็นผลจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านความมั่นคง เช่น สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์และรัสเซีย-ยูเครน ความต้องการที่สูงขึ้นนี้สะท้อนจากการส่งออกไปยังอิสราเอลที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 103.43 และอิรักที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 110.31
ตลาดแอฟริกา: การส่งออกไปยังแอฟริกาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29.87 จากความต้องการอาหารกระป๋องในพื้นที่ที่มีปัญหาความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะในประเทศที่มีปัญหาความขัดแย้งภายใน เช่น ลิเบียและอียิปต์
ตลาดยุโรป: ตลาดยุโรปฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและความต้องการกักตุนอาหารเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้ง เช่น ในยูเครน ซึ่งส่งผลให้การส่งออกไปยังภูมิภาคยุโรปเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.48
พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลง: ในภูมิภาคออสเตรเลียและโอเชียเนีย การส่งออกทูน่ากระป๋องเพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมานิยมอาหารพร้อมรับประทาน สะท้อนถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สะดวกสบายและมีความยั่งยืนมากขึ้น
ความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ปัญหาการลดลงของปริมาณปลาทูน่าในธรรมชาติอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลกระทบต่อการหาวัตถุดิบและต้นทุนการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องหาทางลดผลกระทบจากการขาดแคลนทรัพยากร
การแข็งค่าของเงินบาทและภาวะเงินเฟ้อ: ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศอาจกระทบต่อการส่งออก โดยการแข็งค่าของเงินบาททำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นในสายตาของผู้บริโภคต่างชาติ
มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงาน: หลายประเทศที่เป็นตลาดหลักได้มีการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น เช่น มาตรฐานด้านการทำประมงอย่างยั่งยืนและการจ้างแรงงานที่เป็นธรรม ซึ่งผู้ประกอบการทูน่ากระป๋องไทยต้องปรับตัวและปฏิบัติตามเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิต: ภาครัฐควรสนับสนุนการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตทูน่ากระป๋อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และยกระดับคุณภาพให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ
สนับสนุนการประมงอย่างยั่งยืน: เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ภาครัฐควรออกมาตรการส่งเสริมการทำประมงที่ยั่งยืนเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรับผิดชอบ รวมถึงให้ความรู้และการสนับสนุนแก่ชาวประมงในการปรับตัวตามมาตรฐานใหม่ ๆ
ขยายตลาดและสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ: การสนับสนุนการส่งออกทูน่ากระป๋องไปยังตลาดใหม่ ๆ เช่น ตะวันออกกลาง และเพิ่มช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซ จะช่วยกระจายฐานผู้บริโภคและเพิ่มยอดขาย ซึ่งเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
สนับสนุนผู้ประกอบการในการรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ: ควรมีนโยบายการให้คำแนะนำและการจัดทำแผนการเงินที่ยืดหยุ่นเพื่อช่วยผู้ประกอบการรับมือกับปัญหาความผันผวนของค่าเงินและภาวะเงินเฟ้อ เช่น การให้สินเชื่อพิเศษเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก
อุตสาหกรรมทูน่ากระป๋องของไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศและความต้องการสะสมสินค้าจากสถานการณ์ความขัดแย้ง แต่ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแข็งค่าของเงินบาท และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงาน ดังนั้น การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมและการสนับสนุนเชิงนโยบายจากภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น