แม้กระแสการไม่มีศาสนาจะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่การเข้าใจศาสนาพุทธในฐานะการพัฒนาตนเองและการปฏิบัติเพื่อความเป็นอิสระทางจิตใจ จะช่วยให้เกิดการมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของศาสนาและลดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการยึดมั่นในศาสนา การปรับปรุงแนวทางการสอนศาสนาและสร้างพื้นที่การสนทนาจะเป็นหนทางหนึ่งในการสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นในสังคม
ในปัจจุบันมีจำนวนคนที่ไม่เลือกนับถือศาสนาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลายคนเห็นว่าศาสนาเป็นสิ่งล้าหลัง ไม่จำเป็น และในบางครั้งอาจจะกลายเป็นเครื่องมือที่พันธนาการผู้คน อย่างไรก็ตาม ศาสนาพุทธให้ความสำคัญต่อการพึ่งพาสติปัญญาของตนและการเข้าใจธรรมชาติของชีวิตโดยปราศจากการยึดติดกับพิธีกรรมทางศาสนาหรือความเชื่อทางไสยศาสตร์ การวิเคราะห์ประเด็นที่ว่าการไม่มีศาสนาส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในมิติใดบ้างจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคมในปัจจุบัน
1. ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาในพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธไม่ใช่เพียงลัทธิความเชื่อหรือพิธีกรรม แต่เป็นชุดของหลักธรรมและการปฏิบัติที่เน้นการพัฒนาตนเองและการทำความเข้าใจสัจธรรมตามธรรมชาติ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มนุษย์เข้าใจและรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ปราศจากการอ้างอิงถึงเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ
2. ศาสนาพุทธในฐานะกฏธรรมชาติ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับการปรากฏหรือการหายไปของพระพุทธเจ้า หลักธรรมในศาสนาพุทธเป็นการสอนให้มนุษย์เข้าใจความทุกข์และวิธีดับทุกข์ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการเช่นการพิจารณาอริยสัจ 4 ที่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปในธรรมชาติและความเป็นจริงของชีวิต
3. การนับถือศาสนาผ่านการปฏิบัติ การนับถือพระพุทธศาสนาไม่ใช่การเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือเข้าใจไม่ได้ แต่เป็นการนำหลักธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การมีสติ สมาธิ และปัญญา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาตนเองและการสร้างสรรค์ความสุขที่ยั่งยืน การนับถือที่แท้จริงจึงไม่ใช่การยึดติดกับรูปแบบภายนอก แต่เป็นการฝึกฝนภายในให้เป็นอิสระจากความทุกข์
4. พระพุทธศาสนากับการดับทุกข์ในจิตใจ ศาสนาพุทธชี้ให้เห็นถึงความทุกข์ในจิตใจและทางร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้มนุษย์พยายามหาหนทางในการดับทุกข์อย่างมีเหตุผล ซึ่งขัดแย้งกับความเข้าใจผิดที่ว่าศาสนาเป็นภาระหรือสิ่งที่คอยผูกมัดศาสนิกชน แต่ในทางตรงกันข้าม ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือช่วยปลดเปลื้องจิตใจให้เป็นอิสระจากความทุกข์
5. แนวคิดการไม่มีศาสนากับการส่งเสริมสติปัญญาตนเองในพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเน้นให้มนุษย์เชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถของตนเอง การดำรงตนในพระพุทธศาสนาคือการฝึกฝนและพัฒนาอริยสัจและมรรคมีองค์ 8 ที่จะนำไปสู่ความสงบสุข ศาสนาพุทธไม่คาดหวังให้มนุษย์ฝากความสำเร็จหรือความสุขไว้กับสิ่งอื่น แต่เชื่อมั่นในคุณค่าของความพยายามและการรู้เท่าทันในจิตใจตนเอง
6. แนวทางการทวนกระแสกับความอิสระในการเลือกไม่มีศาสนา พุทธประวัติแสดงให้เห็นถึงการทวนกระแสด้วยการเลือกทางเดินชีวิตที่แตกต่างจากกระแสหลัก ความอิสระนี้เองเป็นเครื่องมือสำคัญในการฝึกฝนสติและการตระหนักรู้ ซึ่งสอดคล้องกับทัศนคติของคนที่เลือกที่จะไม่มีศาสนาหรือไม่ยึดติดกับศาสนา โดยหากมองในมุมนี้ ผู้ที่ไม่มีศาสนาก็สามารถเข้าใจและปฏิบัติธรรมในบางมิติได้โดยไม่ขัดแย้งกับหลักธรรม
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
สนับสนุนการศึกษาด้านศาสนาและปรัชญาในรูปแบบที่เป็นกลาง: การให้ความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธในมิติทางธรรมชาติและกฏแห่งธรรมชาติ รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรที่ไม่เน้นเพียงพิธีกรรม จะช่วยให้คนทั่วไปเข้าใจว่าศาสนาพุทธเป็นการฝึกฝนตนเอง มิใช่การยึดติดกับความเชื่อแบบเดิม
สร้างพื้นที่ให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนในประเด็นศาสนาและการไม่มีศาสนา: การเปิดพื้นที่สาธารณะให้คนทุกศาสนาและคนที่ไม่มีศาสนาสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์ จะช่วยลดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันระหว่างคนที่มีศาสนาและไม่มีศาสนา
ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลด้านศาสนาและการดำรงชีวิตแบบพุทธที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน: ควรสนับสนุนการให้ข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาพุทธที่เชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตประจำวัน และการพัฒนาตนเองเพื่อให้เข้าถึงความสุขอย่างแท้จริง
สนับสนุนการฝึกสติและสมาธิสำหรับผู้ที่ไม่มีศาสนา: การฝึกสติ สมาธิ และการตระหนักรู้ถึงความทุกข์และการดับทุกข์ เป็นเครื่องมือที่ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับการมีศาสนา การส่งเสริมการฝึกปฏิบัติเหล่านี้จะช่วยให้คนที่ไม่มีศาสนาได้มีเครื่องมือในการพัฒนาจิตใจของตนเอง